ไม่นานนัก จี้ฮั่นโม่ก็มาถึงเขาทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างถนนคอนกรีต และการขุดเหมืองในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแค่ให้กู้หว่านเยว่ตรวจดู“ข้าน้อยรู้ว่าท่านต้องการดู แบบนี้จะทำให้ท่านตรวจสอบได้สะดวก”จี้ฮั่นโม่เป็นคนซื่อสัตย์ ใบหน้าที่ดูซื่อ ๆ ของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยกู้หว่านเยว่ตรวจสอบอย่างละเอียดจนจบ ดวงตาของนางฉายแววชื่นชม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สั่งให้จี้ฮั่นโม่ดำเนินการตามแผนงานต่อไปจี้ฮั่นโม่ก็ดีใจเช่นกันเพราะอะไรน่ะหรือ ก่อนหน้านี้เขาทำงานที่กรมโยธาธิการ ส่วนใหญ่จะสร้างพระราชวังให้ฮ่องเต้และนางสนม ล้วนเป็นงานที่สิ้นเปลืองแรงงานและทรัพยากรของประชาชนแต่ตอนนี้กลับได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จี้ฮั่นโม่ผู้ที่ยึดมั่นในความถูกต้องจะไม่รู้สึกดีใจได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น งบประมาณที่กู้หว่านเยว่ตั้งไว้ก็ไม่มีกำหนด นั่นหมายความว่าเขาสามารถทำงานแบบทุ่มเทสุดกำลังได้“ขอบคุณฮูหยิน นายหญิง เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”หลังจากที่จี้ฮั่นโม่จากไป กู้หว่านเยว่ก็เรียกฟู่หลานเหิงเข้ามา แล้วบอกวิธีที่นางคิดได้ในตอนกลางวัน
จนกระทั่งกลับมาที่หมู่บ้านสือหานนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นฟู่หลานเหิงมาหานาง นางถึงได้รู้สึกหมดกำลังใจเล็กน้อยแต่ในจังหวะนั้น ฟู่หลานเหิงก็พุ่งตัวลงไปช่วยนางโดยไม่คิดชีวิต“ข้าเห็นชัดเจนมาก ตอนที่ท่านกระโดดลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง ท่านไม่ได้คิดอะไรมากเลย ท่านมาช่วยข้าใช่หรือไม่?”ฟู่หลานเหิงเห็นแววตาของซูจิ่นเอ๋อร์ที่คลอไปด้วยน้ำตา เขาไม่กล้ามองหน้านาง“ใช่แต่ถึงแม้คนที่ตกลงไปไม่ใช่เจ้า เป็นคนอื่น ข้าผ่านไปเห็นก็จะเข้าไปช่วยเหมือนกันเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น”หลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกใจสั่นอย่างรุนแรง ราวกับโดนเข็มทิ่มแทง จึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน“ข้ามีธุระด่วน ต้องรีบไปชายแดน คงรำลึกความหลังกับคุณหนูซูต่อไม่ได้แล้ว ถ้ามีโอกาสครั้งหน้า ข้าจะมากินอาหารที่เจ้าทำอีก”“ใต้เท้าฟู่!”ซูจิ่นเอ๋อร์ยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ฟู่หลานเหิงไม่เปิดโอกาสให้นางเลย พริบตาเดียวก็พาผู้ติดตามหายไปบนเส้นทางเล็ก ๆ นั้นแล้ว“ใต้เท้าฟู่...”น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ซูจิ่นเอ๋อร์เอื้อมมือปาดน้ำตา“เจ้าบอกสิว่าเจ้าจะทรมานไปเพื่ออะไรกัน?”จู่ ๆ เสียงของจินโหย่วเฉียนก็ดังขึ้นข้างหลัง เขายื่นผ้
คุณชายอายุเกือบยี่สิบห้าแล้ว ไม่เด็กแล้ว กว่าจะชอบใครสักคนก็ไม่ง่ายเลยเขาที่เป็นบ่าวรับใช้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ไม่จำเป็น” จินโหย่วเฉียนพูดอย่างเปิดเผย “สุภาพบุรุษไม่ควรฉวยโอกาสในยามที่ผู้อื่นอ่อนแอ”พูดจบ ก็พาบ่าวรับใช้ขี่รถจากไปด้านนี้ หลังจากที่ซูจิ่นเอ๋อร์ถูกฟู่หลานเหิงปฏิเสธ นางก็กลับเข้าไปในห้องร้องไห้อยู่หนึ่งชั่วยามจนกระทั่งนางหยางเรียกให้นางไปทานข้าวเย็น นางถึงได้หยุดส่องกระจก แล้วมองดวงตาบวมแดงในกระจกซูจิ่นเอ๋อร์ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ จึงแสร้งบอกว่าตัวเองไม่สบายเพราะตกน้ำ อยากจะนอนพัก“หรือว่าจะเป็นหวัด? แม่จะให้พี่สะใภ้ใหญ่มาดูอาการให้เจ้า”นางหยางเป็นห่วงลูกสาวมาก จึงจะรีบไปตามกู้หว่านเยว่ซูจิ่นเอ๋อร์รีบเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรท่านแม่ ข้าแค่ตกน้ำ รู้สึกง่วงนิดหน่อยนอนหลับสักพักก็หายแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่กำลังตั้งครรภ์ อย่าไปรบกวนนางเลย”นางหยางได้ยินเสียงขึ้นจมูกของซูจิ่นเอ๋อร์ก็รู้ทันที จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ เดี๋ยวแม่ช่วยยกข้าวเย็นมาให้เจ้า ถ้าเจ้าอยากกินก็กินสักหน่อย ถ้ากินไม่ลงก็วางไว้ก่อน”พูดจบก็จากไปอย่างเข้าใจสถานการณ์กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงรู้ว
แต่หากใช้กฎนี้ไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีคนคิดอยากจะแหกกฎนี้ คนในกลุ่มของพวกเขาก็จะช่วยกันปราบปรามเองเมื่อเห็นว่าผู้อพยพจากตงโจวสงบลงแล้ว ฟู่หลานเหิงก็รีบสั่งให้คนส่งข่าวนี้ไปให้กู้หว่านเยว่โดยเร็วกู้หว่านเยว่รู้ข่าวก็ดีใจมาก“น้องหญิงเจ้าฉลาดจริง ๆ ยิ่งอยู่กับเจ้า ก็ยิ่งพบว่าเจ้ามีข้อดีมากมายจนนับไม่ถ้วน”ซูจิ่งสิงยิ้มเล็กน้อย มองภรรยาของตัวเองด้วยความชื่นชม“ข้าได้ยินรายงานสถานการณ์จากทางนั้นมาว่า เหล่าทหารทั้งสามกองทัพต่างยอมรับในตัวเจ้า แค่เจ้าพูดคำเดียว ก็สามารถยุติสงครามได้”กู้หว่านเยว่ทำหน้าเขินอาย “วิเศษขนาดนั้นเลยหรือ?”นางมองซูจิ่งสิง “คนอื่นไม่รู้ แต่ท่านจะไม่รู้เลยหรือ? วิธีนั้นไม่ใช่ข้าคิดคนเดียว ท่านเป็นคนที่คอยเตือนให้ข้าคิดได้”ซูจิ่งสิงสมกับเป็นคนที่รับมือกับพวกทูเจวี๋ยมาเป็นเวลานาน รู้ดีว่าควรจะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไรดังนั้น ตอนที่นางจนปัญญา อีกฝ่ายก็ช่วยชี้แนะ และก็เป็นเพราะว่ากู้หว่านเยว่ฉลาด แค่ฟังประโยคเดียวก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป“พวกเราสองคนต่างเกื้อหนุนกันและกัน ไม่แบ่งแยกเจ้ากับข้า”ซูจิ่งสิงกลับรู้สึกเฉย ๆ เขาไม่เคยสนใจชื่อเสียง เงินทอง หร
“ฝ่าบาท เรื่องที่ผู้ถูกเนรเทศก่อความวุ่นวายแนวป้องกันชายแดนเมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีจดหมายส่งเข้ามาแล้ว”ชิงเยี่ยนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นายคนใหม่ของเจดีย์หนิงกู่สามารถปราบปรามผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรงเลย”จงหลี่เผยความประหลาดใจออกมา เขาก็รู้ด้วยว่าผู้ถูกเนรเทศเหล่านี้อาศัยอยู่ในป่าที่ตะวันไม่ตกดิน จึงสามารถหาเลี้ยงชีพได้ด้วยการล่าสัตว์เท่านั้นดังนั้นเนื่องจากขาดแคลนอาหารอย่างต่อเนื่อง จึงมักมาก่อความวุ่นวายที่เจดีย์หนิงกู่เมืองตงโจวครุ่นคิดหาวิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย“ผู้ใดกันที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้?”“เป็นสตรีนางหนึ่ง ได้ยินมาว่านางเป็นชายาของเจิ้นเป่ยอ๋อง” ในจดหมายมีคำพูดนิดเดียวเพียงสามประโยค ชิงเยี่ยนไม่ค่อยเข้าใจนักจงหลี่พูดอย่างเฉยเมย “สตรีผู้ดีเลิศ ไม่ควรถูกตีตราไว้ว่าเป็นภรรยาของผู้อื่น”เขานึกถึงวันที่อยู่ในเมืองอวี้ขึ้นมาในหัวได้โดยพลัน พลางสบตากับกู้หว่านเยว่ใช่นางหรือ?“วันหลัง ไปเยี่ยมเจดีย์หนิงกู่สักหน่อยสินายใหม่”จงหลี่คิดว่า อาจจะมอบภาพเหมือนให้อีกฝ่าย ให้พวกเขาช่วยตามหาน้องสาวกู้หว่
“มีเรื่องอะไรกันเสียงดังเอะอะถึงเพียงนี้?”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วถาม ฉู่เฟิงเมียงมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ“ดูเหมือนว่ามีคนกำลังโต้เถียงกันอยู่นอกศูนย์พักพิง”“โต้เถียงอะไรกัน?”ศูนย์พักพิงมีทหารคอยเฝ้าอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกเนรเทศก่อความวุ่นวายในเมื่อเกิดการโต้เถียงขึ้น ทำไมทหารที่เฝ้าอยู่ถึงไม่เข้ามาห้าม?ความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในหัวของกู้หว่านเยว่ “ฉู่เฟิง เราไปดูกันเถอะ”“ขอรับ”เนื่องจากภายนอกเกิดความวุ่นวายมากเหลือเกิน หากลงจากรถม้าก็มีโอกาสเกิดเรื่องไม่คาดคิดสูงดังนั้นซูจิ่งสิงจึงยืนกรานปฏิเสธไม่ให้กู้หว่านเยว่ลงจากรถ แค่เปิดหน้าต่างรถเพียงบานเดียวสังเกตการณ์อยู่ภายในรถ“ข้าบอกแล้วว่าครอบครัวนี้ติดเชื้อกาฬโรค พวกท่านก็ไม่เชื่อ”ชายร่างใหญ่คนหนึ่งชี้ครอบครัวสามคนที่นอนอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “ปีนั้นบ้านเกิดของข้าเคยเกิดกาฬโรคมาก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะอยู่รอดมาได้ ก็เลยเข้าใจอาการของกาฬโรคเป็นอย่างดี พวกเขาต้องติดเชื้อกาฬโรคแน่นอน”“การแพร่เชื้อของกาฬโรคนั้นรุนแรงมาก รีบขับไล่พวกเขาออกไปซะ ถ้าไม่ไล่ออกไป พวกเราที่นี่ทุกคนจะพบกับความหายนะกันหมด”เขาพูดพลางหยิบผ้าออก
“ในเมื่อพวกเขาติดเชื้อกาฬโรคแล้ว พวกเราก็ไม่รอดหรอก”ชายร่างใหญ่พูดด้วยความตื่นตระหนก“ศูนย์พักพิงแห่งนี้อันตรายเกินไปจริง ๆ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว กาฬโรคน่ากลัวมาก พวกเรารีบไปกันเถอะ”“ใจเย็น ทุกคนอยู่ในความสงบ!”นายทหารที่เป็นหัวหน้าตะโกนดังลั่น “พวกเขาจะเป็นกาฬโรคหรือไม่ยังไม่รู้ ต้องรอให้หมอตรวจดูก่อนถึงจะได้คำอธิบาย”“รอให้หมอตรวจเสร็จ พวกเราทุกคนไม่ติดเชื้อกันหมดแล้วหรือ?”ชายร่างใหญ่หาโอกาสสร้างความโกลาหลอยู่เสมอ “ชีวิตของผู้ถูกเนรเทศก็คือชีวิตเหมือนกัน!”เขาหันไปมองทุกคน “พวกเราหนีกันเถอะ!”เดิมทีผู้ถูกเนรเทศกลุ่มนี้ก็ต้องทรมานทนหิวทนหนาวอยู่แล้ว ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ ถึงได้มาที่นี่ไม่นึกว่าที่นี่จะมีเชื้อกาฬโรค เวลานี้ใครยังกล้าอยู่ที่นี่อีก ต้องการหลบหนีออกไปไว ๆ ใจจะขาดในศูนย์พักพิงแห่งนี้มีผู้คนอยู่สองสามร้อยคนเป็นอย่างน้อย เมื่อเกิดความวุ่นวายใด ๆ ก็ไม่ควรประมาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรื่องนี้แพร่กระจายไปยังศูนย์พักพิงอื่น ๆ แล้วใครยังกล้าที่จะอยู่อย่างสงบสุขภายในศูนย์พักพิงอีก?กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น มองไปที่ชายร่างใหญ่“ชายร่างใหญ่ผู้นี้ไ
“เช่นนั้นข้าก็เคยเห็นคนตายมาก่อน ข้าจะพูดโดยไม่รู้สาเหตุว่าเจ้าตายไปแล้วได้งั้นหรือ?”หลี่ชิวเตี๋ยเท้าเอวยิ้มเยาะ มองชายร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเย็นชา มองไปมองมา“ในเมื่อเจ้าไม่ใช่หมอ แต่มาพูดลอย ๆ ใส่ร้ายคนอื่นว่าติดเชื้อกาฬโรค ซ้ำยังก่อความวุ่นวายที่นี่อีก เจ้ามีเจตนาอะไร?”“ข้าน้อยเปล่า...” เห็นชัดเจนว่าชายร่างใหญ่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนที่พูดจาเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรในเวลานี้แววตาของเขาวิบวับ จ้องมองไปที่ทางเดินว่างเปล่าข้าง ๆ อย่างฉับพลัน อยากจะหันหลังหนีจากไป“จับเขาไว้”กู้หว่านเยว่ที่คอยดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน เพลานี้จึงเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด ฉู่เฟิงที่อยู่บนรถม้าได้เหาะเหินออกไป ถีบชายร่างใหญ่ล้มคว่ำลงกับพื้นด้วยขาข้างเดียว“โอ๊ย!” ชายร่างใหญ่ร้องออกมา ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็ถูกฉู่เฟิงเหยียบลงบนร่างกายอย่างโหดร้าย“ขอเตือนเจ้าว่า อย่าพูดอะไรที่ไม่สมควรพูด มิฉะนั้นจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้า”ฉู่เฟิงจะไม่อ่อนโยนกับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่ที่เขาเฝ้าดูอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้ต้องการปลุกปั่นผู้คนเมื่อเห็นฉู่เฟิง ห
“เหตุใดถึงมีคราบเลือดเช่นนั้น?”“ยังคงเป็นของโจวเซ่อผู้นั้น” กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนในวันนี้ให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ท่านไม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ฟูมฟายของโจวเซ่อ ตอนนั้นเขาดูไม่เหมือนกับบุรุษเลยสักนิด แล้วพี่หญิงซ่งก็ดันหลงกลเขาเสียด้วย หากเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าเหวี่ยงหมัดชกเขาลอยละลิ่วออกไปแล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กำหมัดแน่น ครั้งนี้ซูจิ่งสิงไม่กล่าวแทนเขาอีก“อยู่ ๆ ก็กรีดข้อมือของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหวเอาเสียจริง ๆ ?”“นั่นนะสิ”กู้หว่านเยว่มองไปทางรูปปั้นหินสิงโต แล้วตะโกนเรียกทหารเฝ้าประตูไปตักน้ำมาทำความสะอากรูปปั้นหินสิงโตทันทีมิเช่นนั้นนางคงรู้สึกสะอิดสะเอียดยามได้เห็นคราบเลือดของโจวเซ่อผู้นั้นตลอดเวลาแน่ทหารเฝ้าประตูรับคำสั่ง ไม่เพียงแต่ตักน้ำเข้ามา ยังถือผลของสบู่ก้อนติดมือมาด้วยหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดรูปปั้นหินสิงโต ขัด ๆ ถู ๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งสะอาด“ด้านหน้าเป็นหน้าบ้านของซุนมู่เจี้ยง”รถม้าถูกจอดไว้ในตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง ซูจิ่งสิงชี้ไปยังบ้านที่อยู่สุดซอยหลังหนึ่ง“ฝีมือของมู่เจี้ยงไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยค่อนข้างประหลาด”“นิสัย
“เฮ้อ ขอให้พี่หญิงซ่งอย่าได้หลงกลเขาเชียวนะ รีบ ๆ ตาสว่างเสียทีเถอะ”ซูจื่อชิงส่ายหน้า ในตอนนั้นเองเขาบังเอิญเจอกับเมี่ยชิงหว่านพอดี ครั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองดูแย่ลง จึงอดแปลกใจไม่ได้“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดูไม่จืดเช่นนั้น?”“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่องเคร่งเครียดนิดหน่อย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”ซูจื่อชิงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของซ่งเสวี่ย เห็นด้วยตาตัวเองก็แล้วไป พูดลับหลังไปดูไม่ดีนักโชคดีที่เมี่ยชิงหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบถามจุกจิก ไม่ถามมาก แค่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ในร้านดอกท้อ ขายของออกไปก็ไม่น้อย ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”ตัวตลกสองคนนี้พูดคุยอย่างสนุกสนานแล้วก็จากไปทางด้านนี้ ครั้นโจวเซ่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจื่อชิงจากไปแล้ว จึงกล่าวกับซ่งเสวี่ยว่า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวมาก เจ้าช่วยไปหาของกินในครัวมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยกล่าวด้วยความลำบากใจ “ไม่ดีหรอกกระมั้งเจ้าคะ แม้ว่าข้าและหว่านเยว่จะสนิทกัน แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนของนาง ไหนเลยจะกล้าถือวิสาสะเข้าไปหยิบของ
ซ่งเสวี่ยทอดถอนใจหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็ดี”นางอดหันไปมองโจวเซ่อไม่ได้ “ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีก มีอะไรก็คุยกันดี ๆ เล่นของมีคมเช่นนี้ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะมาเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”ซ่งเสวี่ยมักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดหลังจากแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวแล้ว นางและสามีให้ความเคารพซึ่งกันและ ไม่เคยแม้แต่จะทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับการเล่นของมีคม? การกระทำในวันนี้ของโจวเซ่อทำให้นางหวาดกลัวบางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้?“ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”โจวเซ่อขอโทษทั้งน้ำตา “ข้าแค่กลัวว่าจะเสียเจ้าไป แค่ข้าคิดว่าข้าจะต้องเสียเจ้าไป ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่มองหน้าข้าอีก ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ารักเจ้ามากจริง ๆ รักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ข้าอยากดูแลเจ้าและลูกของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าชอบนานนาน ข้าเห็นนางเปรียบเสมือนบุตรสาวของข้าคนหนึ่ง”“ท่าน....”“เจ้าดูสินี่คืออะไร?”โจวโซ่อล้วงหยิบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจไม้แกะสลักชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกับสามีที่เสียไปแล้วของซ่งเสวี่ย “คราวที่แล้วนานนานเห็นภาพวาดของสามีที่เสียไป
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง