“ในเมื่อพวกเขาติดเชื้อกาฬโรคแล้ว พวกเราก็ไม่รอดหรอก”ชายร่างใหญ่พูดด้วยความตื่นตระหนก“ศูนย์พักพิงแห่งนี้อันตรายเกินไปจริง ๆ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว กาฬโรคน่ากลัวมาก พวกเรารีบไปกันเถอะ”“ใจเย็น ทุกคนอยู่ในความสงบ!”นายทหารที่เป็นหัวหน้าตะโกนดังลั่น “พวกเขาจะเป็นกาฬโรคหรือไม่ยังไม่รู้ ต้องรอให้หมอตรวจดูก่อนถึงจะได้คำอธิบาย”“รอให้หมอตรวจเสร็จ พวกเราทุกคนไม่ติดเชื้อกันหมดแล้วหรือ?”ชายร่างใหญ่หาโอกาสสร้างความโกลาหลอยู่เสมอ “ชีวิตของผู้ถูกเนรเทศก็คือชีวิตเหมือนกัน!”เขาหันไปมองทุกคน “พวกเราหนีกันเถอะ!”เดิมทีผู้ถูกเนรเทศกลุ่มนี้ก็ต้องทรมานทนหิวทนหนาวอยู่แล้ว ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ ถึงได้มาที่นี่ไม่นึกว่าที่นี่จะมีเชื้อกาฬโรค เวลานี้ใครยังกล้าอยู่ที่นี่อีก ต้องการหลบหนีออกไปไว ๆ ใจจะขาดในศูนย์พักพิงแห่งนี้มีผู้คนอยู่สองสามร้อยคนเป็นอย่างน้อย เมื่อเกิดความวุ่นวายใด ๆ ก็ไม่ควรประมาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรื่องนี้แพร่กระจายไปยังศูนย์พักพิงอื่น ๆ แล้วใครยังกล้าที่จะอยู่อย่างสงบสุขภายในศูนย์พักพิงอีก?กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น มองไปที่ชายร่างใหญ่“ชายร่างใหญ่ผู้นี้ไ
“เช่นนั้นข้าก็เคยเห็นคนตายมาก่อน ข้าจะพูดโดยไม่รู้สาเหตุว่าเจ้าตายไปแล้วได้งั้นหรือ?”หลี่ชิวเตี๋ยเท้าเอวยิ้มเยาะ มองชายร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเย็นชา มองไปมองมา“ในเมื่อเจ้าไม่ใช่หมอ แต่มาพูดลอย ๆ ใส่ร้ายคนอื่นว่าติดเชื้อกาฬโรค ซ้ำยังก่อความวุ่นวายที่นี่อีก เจ้ามีเจตนาอะไร?”“ข้าน้อยเปล่า...” เห็นชัดเจนว่าชายร่างใหญ่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนที่พูดจาเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรในเวลานี้แววตาของเขาวิบวับ จ้องมองไปที่ทางเดินว่างเปล่าข้าง ๆ อย่างฉับพลัน อยากจะหันหลังหนีจากไป“จับเขาไว้”กู้หว่านเยว่ที่คอยดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน เพลานี้จึงเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด ฉู่เฟิงที่อยู่บนรถม้าได้เหาะเหินออกไป ถีบชายร่างใหญ่ล้มคว่ำลงกับพื้นด้วยขาข้างเดียว“โอ๊ย!” ชายร่างใหญ่ร้องออกมา ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็ถูกฉู่เฟิงเหยียบลงบนร่างกายอย่างโหดร้าย“ขอเตือนเจ้าว่า อย่าพูดอะไรที่ไม่สมควรพูด มิฉะนั้นจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้า”ฉู่เฟิงจะไม่อ่อนโยนกับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่ที่เขาเฝ้าดูอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้ต้องการปลุกปั่นผู้คนเมื่อเห็นฉู่เฟิง ห
“ฮูหยิน ลูกสาวของข้ายังเล็กนัก” หญิงผู้เป็นแม่อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน พูดอย่างอ่อนแรง “ต่อให้ต้องเผาให้ตาย ก็ปล่อยลูกสาวของข้าไปเถอะ”“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่อยากให้พวกท่านตาย...” เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตานองหน้าครอบครัวสามคนก็นึกไม่ถึง อุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็นแท้ ๆ เหตุใดถึงหนีมาเจอทางตันได้“เจ้าชื่ออะไร?”กู้หว่านเยว่จ้องมองเด็กหญิงคนนั้น รู้สึกว่านางดูคุ้นตานัก“ข้าชื่อเฉียวโต้ว” เด็กหญิงตัวน้อยมองกู้หว่านเยว่อย่างขลาดกลัวน่าจะเป็นเพราะมีครรภ์แล้ว กู้หว่านเยว่จึงไม่อาจต้านทานเด็กที่ว่านอนสอนง่าย น้ำเสียงอ่อนลงทันที“เฉียวโต้วอย่าร้องไห้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง”“นายท่านซู ซูฮูหยิน!” นายทหารจำทั้งสองได้ รีบเข้ามาทำความเคารพกู้หว่านเยว่โบกมือ “ก่อนอื่นให้คนนำเชือกป่านและเสาหินเข้ามา ล้อมรอบที่นี่ให้เป็นวงล้อม”นางนำเครื่องขยายเสียงออกมาง่าย ๆ เพียงพลิกฝ่ามือ “ประชาชนทุกท่าน ตอนนี้ยังมั่นใจไม่ได้ว่าครอบครัวนี้ติดเชื้อกาฬโรคหรือไม่ พวกข้าจะหาหมอที่เก่งที่สุดในเมืองมาตรวจ ทุกท่านโปรดสงบสติอารมณ์ก่อน”นางเร่งเสียงขึ้น “ถ้าครอบครัวสามคนนี้ติดเชื้อกาฬโรคจริง ๆ ก็ส่งพวกเขาไปกัก
คนผู้นี้จงใจก่อกวนศูนย์พักพิง แน่นอนว่าไม่ใช่ความคิดของเขาคนเดียวแน่ อาจมีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยฉู่เฟิงรีบจับกุมเขาไว้“เจ้าชื่ออะไร?” กู้หว่านเยว่มองไปทางนายทหารผู้นั้น“ข้าน้อยชื่อหนิวลี่” นายทหารเห็นฮูหยินที่เป็นดั่งเทพธิดาพูดคุยกับเขาก็หน้าแดง“ลำบากเจ้าแล้ว เดี๋ยวไปรับเงินรางวัลที่จวนกู้นะ”คนทำผิดต้องถูกลงโทษ คนทำดีก็ต้องได้รางวัลเช่นกันกู้หว่านเยว่เห็นว่าถึงแม้ครอบครัวนี้จะไม่ได้ติดเชื้อกาฬโรค แต่ก็ถูกทรมานจนเกือบตายเช่นกัน“พาพวกเขากลับไป รักษาให้เต็มที่ แล้วก็จ่ายค่าตรวจรักษาให้หมอทั้งสามด้วย”หมอทั้งสามได้ยินว่ามีเชื้อกาฬโรค ก็กลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในเมืองอวี้เวลานี้เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงความสับสนไปเอง ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หมอโจวยังใจดีเขียนใบสั่งยาให้กับครอบครัวนั้นโดยไม่คิดค่าตรวจรักษา“ข้าขอตัวก่อน” พูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับหมอหนุ่มสองคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประทับใจหมอจากเมืองอวี้ในทันที เมื่อเห็นฝูงชนรอบตัวแยกย้ายกันไปมากแล้ว นางจึงหันไปพูดกับผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้น“ในเมื่อเจดีย์หนิงกู่ได้สร้างศูนย์พักพิงแล้ว ก็ต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกท่านอย่างเต็
แม้ว่ากู้หว่านเยว่จะคาดเดาผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินด้วยหูตัวเองก็ยังรู้สึกโกรธอยู่“เกิดอะไรขึ้น? เล่ามาโดยละเอียด”ฉู่เฟิงรีบรายงานข้อกล่าวหาที่ชายร่างใหญ่พูดขึ้นมาเองที่แท้ชายร่างใหญ่ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ถูกเนรเทศ แต่เป็นนักเลงโดยอาชีพครึ่งเดือนก่อน เขามาที่นี่ตามคำสั่งของสตรีนางหนึ่ง ปล่อยเชื้อกาฬโรคใส่ศูนย์พักพิง“น่าเสียดาย ชายร่างใหญ่ผู้นี้ใจเสาะเหมือนหนูหญิงผู้นั้นให้หนูขาวตัวเล็กที่ติดเชื้อกาฬโรคแก่เขาหลายตัว เขากลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อไปด้วย จึงแอบทิ้งหนูเหล่านั้นไว้ระหว่างทาง”“เมื่อมาถึงศูนย์พักพิง ก็เห็นครอบครัวสามคนนั้นเป็นไข้หวัด จึงให้ยาระบายจำนวนหนึ่งแก่พวกเขา เพื่อใส่ร้ายว่าพวกเขาติดเชื้อกาฬโรค”กู้หว่านเยว่ฟังจบกลับรู้สึกดีใจมากเสียอีก“โชคดีที่ชายร่างใหญ่คนนั้นขี้ขลาดตาขาว ถ้าเกิดเขาปล่อยหนูที่มีเชื้อกาฬโรคออกมาจริง ๆ ประชาชนในศูนย์พักพิงต้องประสบหายนะกันทั้งหมด”แม้ว่ากู้หว่านเยว่จะมีความมั่นใจว่า ต่อให้มีเชื้อกาฬโรคเกิดขึ้นก็ยังมีวิธีกำจัดเชื้อกาฬโรคได้แต่สมรรถภาพทางร่างกายของทุกคนแตกต่างกัน ในศูนย์พักพิงมีทั้งผู้สูงวัย อ่อนแอ ป่วย และพิการอยู่ครบถ้
“ทุกคนใจเย็น ๆ ก่อน อย่าใจร้อน เข้าแถวดี ๆ ถ้าพวกท่านจะคืนสินค้า ทางร้านจะรับคืนแน่นอน”หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นผู้นำพูดขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว “คุณภาพของชาดของร้านพวกท่านแย่เกินไปจริง ๆ ข้าทาบนใบหน้า ไม่นานก็เป็นคราบแล้ว”“ก็ใช่น่ะสิ? เมื่อวานเป็นวันสำคัญที่ข้ากับชายอันเป็นที่รักของข้ามีนัดกัน แต่ผลคือชาดนี้เป็นคราบ ทำร้ายข้าเป็นที่น่าอับอายมาก”“คืนสินค้า ต้องคืนสินค้า”“รีบคืนเงินให้พวกข้าด้วย”เสียงของบรรดาหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกัน มีอานุภาพที่ไม่ธรรมดาเลยผู้จัดการร้านที่เฝ้าประตูอยู่หน้าซีดทันทีด้วยเสียงเรียกร้อง รีบสั่งให้เด็กรับใช้ที่ประตูขวางพวกเขาไว้ ส่วนตัวเองวิ่งลนลานเข้าไป“คุณหนูท่านว่าจะทำยังไงดี หรือว่าต้องคืนสินค้าทั้งหมด? ถ้าคืนสินค้าทั้งหมด ร้านของเราจะเสียหายหนักมากนะเจ้าคะ”หลี่ชิวเตี๋ยนั่งอยู่ด้านใน สีหน้ากลัดกลุ้มเช่นกัน“เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไปไหว้วานคนผิด นางให้ชาดคุณภาพต่ำเช่นนี้แก่ข้ามาชุดหนึ่ง”ร้านนี้ของนางเพิ่งเปิดกิจการ เดิมทีไม่มีแหล่งผลิตสินค้า แต่เมื่อไม่นานนี้ได้รู้จักกับสตรีนางหนึ่ง บอกว่ามีชาดอยู่ในมือเป็นจำนวนมากในตอนนั้นได้ให้นางมาทดลองใช้หนึ
“รู้อย่างนี้ ไม่ควรเสียเงินไปกับผู้ชายเลย”หลี่ชิวเตี๋ยรู้สึกกลัดกลุ้มนึกถึงสมัยนั้นที่นางพอมีเงินเก็บอยู่บ้างในห้องส่วนตัว แต่เพื่อช่วยเหลือทังต๋า จึงนำเงินทั้งหมดไปถมใส่ในจวนของเขาเครื่องเรือนในจวนทัง มีชิ้นไหนที่ไม่ใช่นางซื้อมาบ้าง?“แม่ของข้าพูดถูก การใช้เงินไปกับผู้ชายเป็นเรื่องโชคร้ายโดยแท้จริง”หากนางยังมีเงินเก็บเหมือนสมัยนั้น จะกลัวการขาดทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไปทำไม“คุณหนู ไม่เช่นนั้น ร้านค้าแห่งนี้...”สาวใช้ต้องการเสนอให้ปิดร้านนี้ ในขณะที่ยังขาดทุนไม่มากนักหลี่ชิวเตี๋ยเห็นกู้หว่านเยว่เดินเข้ามา“นี่คือร้านแป้งน้ำและชาดที่คุณหนูหลี่บริหารจัดการใช่ไหม?”กู้หว่านเยว่มองไปรอบ ๆ ร้านค้าตกแต่งได้ดีมาก“รีบชงชาให้ซูฮูหยินเร็วเข้า” หลี่ชิวเตี๋ยรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยนางพูดอย่างไม่สบายใจ “ร้านค้าเพิ่งได้เปิด ก็กำลังจะปิดเสียแล้ว”“เล่าให้ฟังหน่อยซิ”กู้หว่านเยว่นั่งลงอย่างคล้อยตาม ความจริงแล้วนางมีความคิดมาโดยตลอดว่าจะเปิดร้านชาดในสมัยโบราณ วางแผนที่จะนำเครื่องสำอางสมัยใหม่เข้ามาเพียงแต่ยังไม่ทันได้ทำให้เป็นจริง ซึ่งการเข้าร่วมหุ้นก็เป็นวิธีที่ไม่เลวเลย“ผิดที่ข้
กู้หว่านเยว่จิบชาหนึ่งอึกหลี่ชิวเตี๋ยแปลกใจเล็กน้อย “ฮูหยินมั่นใจขนาดนี้เลยหรือว่าข้าจะเปิดสาขาที่สอง? ถ้าหากสาขาแรกข้ายังจัดการไม่ดี...”“ถ้าคุณหนูหลี่ยังจัดการสาขาแรกไม่ดี เช่นนั้นก็ถือซะว่าการลงทุนของข้าล้มเหลว”กู้หว่านเยว่ใจเย็นมีเหตุผลมากกับเรื่องนี้เรื่องการลงทุน ย่อมมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว แต่นางเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของตนเองหลี่ชิวเตี๋ยจะไม่ทำให้นางผิดหวังแน่“ข้า...”สีหน้าของหลี่ชิวเตี๋ยเผยความลังเลออกมา กู้หว่านเยว่ก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน“เรื่องนี้ไม่ต้องใจร้อน คุณหนูหลี่ค่อย ๆ คิดก็ได้ ตัดสินใจแล้วค่อยบอกข้า เจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร”พูดจบ กู้หว่านเยว่ก็กำลังจะขอตัวกลับก่อน ไม่นึกว่าหลี่ชิวเตี๋ยดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว“ข้าเห็นด้วย”หลี่ชิวเตี๋ยรีบบอกว่า “ฮูหยิน ข้าเห็นด้วยกับการจัดการของเจ้า”เมื่อเห็นนางตอบตกลง กู้หว่านเยว่ก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจ“เช่นนั้นเจ้าก็จัดระเบียบร้านค้าให้ดีก่อน ชื่อของร้านนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแล้ว เรียกว่าร้านดอกท้อก็ดี”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้นกล่าวว่า “หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว จะให้คนนำเงิน หนังสือสัญญา รวมถึ
“เหตุใดถึงมีคราบเลือดเช่นนั้น?”“ยังคงเป็นของโจวเซ่อผู้นั้น” กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนในวันนี้ให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ท่านไม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ฟูมฟายของโจวเซ่อ ตอนนั้นเขาดูไม่เหมือนกับบุรุษเลยสักนิด แล้วพี่หญิงซ่งก็ดันหลงกลเขาเสียด้วย หากเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าเหวี่ยงหมัดชกเขาลอยละลิ่วออกไปแล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กำหมัดแน่น ครั้งนี้ซูจิ่งสิงไม่กล่าวแทนเขาอีก“อยู่ ๆ ก็กรีดข้อมือของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหวเอาเสียจริง ๆ ?”“นั่นนะสิ”กู้หว่านเยว่มองไปทางรูปปั้นหินสิงโต แล้วตะโกนเรียกทหารเฝ้าประตูไปตักน้ำมาทำความสะอากรูปปั้นหินสิงโตทันทีมิเช่นนั้นนางคงรู้สึกสะอิดสะเอียดยามได้เห็นคราบเลือดของโจวเซ่อผู้นั้นตลอดเวลาแน่ทหารเฝ้าประตูรับคำสั่ง ไม่เพียงแต่ตักน้ำเข้ามา ยังถือผลของสบู่ก้อนติดมือมาด้วยหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดรูปปั้นหินสิงโต ขัด ๆ ถู ๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งสะอาด“ด้านหน้าเป็นหน้าบ้านของซุนมู่เจี้ยง”รถม้าถูกจอดไว้ในตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง ซูจิ่งสิงชี้ไปยังบ้านที่อยู่สุดซอยหลังหนึ่ง“ฝีมือของมู่เจี้ยงไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยค่อนข้างประหลาด”“นิสัย
“เฮ้อ ขอให้พี่หญิงซ่งอย่าได้หลงกลเขาเชียวนะ รีบ ๆ ตาสว่างเสียทีเถอะ”ซูจื่อชิงส่ายหน้า ในตอนนั้นเองเขาบังเอิญเจอกับเมี่ยชิงหว่านพอดี ครั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองดูแย่ลง จึงอดแปลกใจไม่ได้“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดูไม่จืดเช่นนั้น?”“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่องเคร่งเครียดนิดหน่อย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”ซูจื่อชิงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของซ่งเสวี่ย เห็นด้วยตาตัวเองก็แล้วไป พูดลับหลังไปดูไม่ดีนักโชคดีที่เมี่ยชิงหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบถามจุกจิก ไม่ถามมาก แค่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ในร้านดอกท้อ ขายของออกไปก็ไม่น้อย ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”ตัวตลกสองคนนี้พูดคุยอย่างสนุกสนานแล้วก็จากไปทางด้านนี้ ครั้นโจวเซ่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจื่อชิงจากไปแล้ว จึงกล่าวกับซ่งเสวี่ยว่า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวมาก เจ้าช่วยไปหาของกินในครัวมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยกล่าวด้วยความลำบากใจ “ไม่ดีหรอกกระมั้งเจ้าคะ แม้ว่าข้าและหว่านเยว่จะสนิทกัน แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนของนาง ไหนเลยจะกล้าถือวิสาสะเข้าไปหยิบของ
ซ่งเสวี่ยทอดถอนใจหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็ดี”นางอดหันไปมองโจวเซ่อไม่ได้ “ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีก มีอะไรก็คุยกันดี ๆ เล่นของมีคมเช่นนี้ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะมาเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”ซ่งเสวี่ยมักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดหลังจากแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวแล้ว นางและสามีให้ความเคารพซึ่งกันและ ไม่เคยแม้แต่จะทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับการเล่นของมีคม? การกระทำในวันนี้ของโจวเซ่อทำให้นางหวาดกลัวบางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้?“ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”โจวเซ่อขอโทษทั้งน้ำตา “ข้าแค่กลัวว่าจะเสียเจ้าไป แค่ข้าคิดว่าข้าจะต้องเสียเจ้าไป ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่มองหน้าข้าอีก ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ารักเจ้ามากจริง ๆ รักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ข้าอยากดูแลเจ้าและลูกของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าชอบนานนาน ข้าเห็นนางเปรียบเสมือนบุตรสาวของข้าคนหนึ่ง”“ท่าน....”“เจ้าดูสินี่คืออะไร?”โจวโซ่อล้วงหยิบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจไม้แกะสลักชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกับสามีที่เสียไปแล้วของซ่งเสวี่ย “คราวที่แล้วนานนานเห็นภาพวาดของสามีที่เสียไป
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง