สิ่งที่เขาคิดในใจก็คือ ในเมื่อกู้หว่านเยว่เป็นผู้มีพระคุณของน้องสาวเขา เขาก็ต้องดูแลอย่างดี เพียงแต่น่าเสียดายที่กู้หว่านเยว่อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน มิเช่นนั้นเขาคงเชิญอีกฝ่ายกลับจวนในฐานะแขกพิเศษด้วยตัวเองไปแล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของเขาก่อน ถึงตอนนั้นโรงเตี๊ยมคงจะดูแลกู้หว่านเยว่เป็นอย่างดี จะได้ไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินผู้มีพระคุณด้วยกู้หว่านเยว่คิดไม่ถึงว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะเป็นกิจการของในจวนของเขา มิน่าล่ะเมื่อครู่เนี่ยชิงหลานถึงได้เดินเข้านอกออกในราวกับบ้านตัวเอง เจ้าของร้านและเด็กในร้านต่างก็รู้จักนางนางพยักหน้าอย่างเข้าใจ และยังรู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายว่าอยากตอบแทนพระคุณของกู้หว่านเยว่ นางจะได้ไม่ต้องโวยวายให้เปลืองแรง“ขอบคุณท่านอ๋องมาก ข้าและสามีมาถึงที่แห่งนี้ ย่อมไม่คุ้นชินผู้คนและสถานที่ จริง ๆ แล้วข้ายังหาที่พักไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าสองคนคงต้องพักอ้างแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว”เนี่ยเติ้งมีความประทับใจต่อกู้หว่านเยว่ที่เพิ่งเจอกันผู้นี้ เพียงแต่เมื่อชำเลืองเห็นอีกฝ่าย ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้วบัดนี้เมื่อได้ยินนางเอ่ย
“พี่ใหญ่และพี่หว่านเยว่พูดมากแล้ว คราวนี้ถึงตาข้าบ้าง”เนี่ยชิงหลานฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ บัดนี้ได้สบโอกาสควงแขนของกู้หว่านเยว่ และกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า“พี่หว่านเยว่ ท่านบอกว่าท่านมาจากเมืองจิน จริง ๆ แล้วข้าอยากไปที่นั่นมาก ที่นั่นสนุกหรือไม่? มีอะไรน่ากินบ้าง ได้ยินว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองมาก รุ่งเรืองกว่าที่นี่เป็นสองเท่า ข้าพยายามหาโอกาสไปเที่ยวที่นั่นมาโดยตลอด”คำกล่าวนี้กลับไม่ได้ดูโกหกแต่อย่างใด ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้สถานที่ที่นางไปได้ไกลที่สุดก็คือเหอตง แม้ว่าพี่ใหญ่จะอนุญาตให้นางออกไปช่วยเหลือผู้อื่นและท่องยุทธภพ แต่โดยส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้ขอบเขตการดูแลของพี่ใหญ่เรื่องนี้คงโทษเนี่ยเติ้งที่เข้มงวดเช่นนี้ไม่ได้ จริง ๆ แล้วเนี่ยชิงหลานก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา หากเจอกับอันตรายข้างนอก เกรงว่าคงจะเสียหายไม่น้อยแม้ว่าเขาจะให้เนี่ยชิงหลานออกมาช่วยเหลือผู้อื่น แต่เหอตงก็ยังอยู่ในขอบเขตการดูแลของพวกเขา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ยังง่ายต่อการช่วยเหลือเหมือนวันนี้ ผู้ว่าการอำเภอมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยเนี่ยชิงหลานออกมาได้ทันท่วงทีหากอยู่นอกเมือง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็กล่าวลา ส่วนกู้หว่านเยว่ก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวตกกลางคืน กู้หว่านเยว่กำลังแช่เท้าพลางกล่าวว่า“อ๋องจินคนนี้เป็นคนฉลาดมาก”ซูจิ่งสิงพยักหน้า “เปรียบเทียบระหว่างเนี่ยเติ้งและอ๋องจินแล้ว เนี่ยเติ้งกล้าหาญและระมัดระวังตัวมากกว่า”เขานึกเรื่องหนึ่งได้ “ชาวบ้านลือกันว่าอ๋องจินเป็นโรคเรื้อรัง อายุสามสิบแล้วยังไม่แต่งงาน”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก “วันนี้ข้ากลับมองไม่ออก”สองสามีภรรยากำลังนินทากันสนุกปาก ไม่นานก็เปลี่ยนหัวข้อ“น้องหญิง เรามาปรึกษาเรื่องเส้นทางที่กำลังจะเดินทางกันเถิด”ซูจิ่งสิงเช็ดเท้าให้กู้หว่านเยว่ ทั้งสองคนนั่งบนเตียงด้วยกันหลังจากเหตุการณ์ในเหอตงสิ้นสุดลง สองสามีภรรยาก็ตัดสินใจว่าจะพักที่นี่หนึ่งคืน เช้าวันที่สองค่อยเดินทางกลับเจดีย์หนิงกู่“พวกเจ้าจะไปแล้วหรือ?”เนี่ยชิงหลานยังอาลัยอาวรณ์ นัยน์ตาคู่นั้นมองกู้หว่านเยว่ด้วยความคาดหวังกว่านางจะเจอคนที่ถูกใจไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันเกินสองวันเลย ใครบ้างจะไม่อาลัยอาวรณ์?“พี่หว่านเยว่ ท่านทิ้งที่อยู่ของท่านให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะไปหาท่านเอง?”กู้หว่านเยว่ไม่
“ใช้คนเท่าไหร่ถึงสร้างถนนเสร็จเร็วเช่นนี้?” พวกเขาจากที่นี่ไปแค่หนึ่งเดือนเอง“วันนี้ใต้เท้าจี้ไปเหมืองแร่แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านเฉินชี้เข้าไปยังห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก“หลังจากที่พวกท่านจากไปได้ไม่นาน ก็มีผู้ลี้ภัยหลายกลุ่มหลั่งไหลกันมาที่นี่ ทันทีที่สองกลุ่มแรกมาถึงหมู่บ้านสือหานของเรา พวกเขาก็อาสาเข้ามาช่วยซ่อมถนนจนเสร็จ”มีพละกำลังเหล่านี้ ความเร็วในการซ่อมถนนก็ทวีคูณเป็นไม่รู้กี่เท่าตัวกู้หว่านเยว่เพิ่งเคยเห็นบ้านชั้นเดียวที่สร้างด้วยอิฐหลังนั้น ก่อนออกเดินทางนางได้กำชับกับฟู่หลานเหิงและผู้ว่าการอำเภอหลายท่านแล้วหากมีผู้ลี้ภัยเดินทางมายังเจดีย์หนิงกู่ ห้ามขวางเด็ดขาด สร้างที่พักอาศัยให้กับผู้ลี้ภัยในทุกหมู่บ้าน ให้พวกเขาซ่อมถนน ขุดเหมืองไม่ก็ทำฟาร์มดูท่าทางคนเหล่านี้จะทำตามคำสั่งของนาง กู้หว่านเยว่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ผู้ใหญ่บ้าน พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยเรียกจี้ฮั่นโม่เข้ามารายงานพร้อมกันก็ได้”เพราะถนนปูนซีเมนต์เหล่านี้ยังแห้งไม่สนิท ซูจิ่งสิงจึงต้องอ้อมกลับบ้านอีกทางใครจะรู้ว่าหลังจากที่มาถึงปากทาง จะมีคนพุ่งออกมา“แม่นางกู้!”หลังจากมองอย่างละเอี
“ต่อให้ตรวจได้ก็ไม่ให้เจ้าตรวจเขาหรอก ใครใช้ให้เขาไม่เชื่อเจ้าล่ะ”ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนตระหนี่ เพียงแต่เขาไม่ชอบให้ใครมาสงสัยในตัวกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รู้ว่าซูจิ่งสิงออกหน้าเพื่อตน จึงอดขบขันไม่ได้ กระทั่งปล่อยเขาเลยตามเลย“ขุนพลหวัง เช่นนั้นก็รอทานมื้อค่ำเสร็จก่อน เจ้าค่อยมาเถิด”“...อื้อ ก็ได้”หวังปี้หลบหลีกไปด้านข้างอย่างน้อยเนื้อต่ำใจรถม้าได้เคลื่อนตัวกลับมาถึงบ้านคนแรกที่วิ่งออกมาก็คือนางหยางเมื่อเห็นซูจิ่งสิงบังคับม้าอยู่ด้านหน้า นางก็รีบตะโกนด้วยความดีใจ“กลับมาแล้ว จิ่งสิงและหว่านเยว่กลับมาแล้ว พวกเขากลับมาแล้ว!”สิ้นสุดเสียงนี้ ซูจิ้งและซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในก็พากันวิ่งออกมา“อาป๊า อาป๊า!” ซูจิ้งร้องเรียกด้วยสีหน้าดีใจ“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าคิดถึงพวกท่านจะตายอยู่แล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์รีบวิ่งมาด้านหน้าของรถม้า จากนั้นก็โผเข้ากอดกู้หว่านเยว่ทันทีส่วนคนอื่นก็ทยอยกันล้อมสองคนนั้นไว้นางหยางปาดน้ำตา “กลับมาก็ดีแล้ว เช้าวันนี้ข้ายังคุยกับพ่อเจ้าอยู่เลย พวกเจ้าจากบ้านไปหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ได้รับข่าวคราว วิงวอนขอให้พวกเจ้าอย่าเจออุปสรรคอะไรเลย”ซูจิ่งสิงโบกมือไปมา
ซูจิ่นเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยสีหน้างุ่นง่านกู้หว่านเยว่งุนงงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจินโหย่วเฉียนเลย จำได้แค่ว่าเขาไม่มีทางเปิดธุรกิจได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอเงื่อนไขนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อซูจิ่นเอ๋อร์ ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้แสดงสีหน้างุ่นง่านเช่นนี้?“ไอหยา ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เอาเป็นว่า...ข้าค่อยบอกรายละเอียดกับพวกเจ้าหลังจากนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะวิ่งตึกตักเข้าไปในห้องครัว เด็กคนนี้มีเรื่องให้หนักอกหนักใจจริง ๆ นางหยางที่ยืนอยู่ข้างกายและซูจิ้งได้สบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่เก็บข้าวของเสร็จ และออกมาทานมื้อค่ำ นางพบว่าจินโหย่วเฉียนมาถึงแล้วอีกทั้งยังเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับมาที่นี่ครั้งแรกด้วย เขาคุ้นเคยกับในบ้านของนางเป็นอย่างดี หลังจากที่เข้ามาก็ช่วยนางหยางยกอาหารออกมาวาง“ทันทีที่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ข้านำเหล้ากลับมาจากเมืองหลวงพอดี เหล้าหมักผลไม้ของข้าไม่มีฤทธิ์สุรา คนท้องดื่มได้”จินโหย่วเฉียนแกว่งเหล้าหมักผลไม้ในมือไปมา ท่าทางเชิญชวนมาก“จิ่นเอ๋อร์ก
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จินโหย่วเฉียนก็ถือโอกาสพักอยู่ที่บ้านสกุลซูกู้หว่านเยว่ตรวจอาการให้กับหวังปี้ และเขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นอนลงบนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ตรวจนับสิ่งของที่กวาดมาจากคลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา“มิติยังอัปเกรดไม่เสร็จอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองแถบแสดงความคืบหน้าการอัปเกรดที่กำลังโหลดอย่างช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยหากนางจำไม่ผิด แถบแสดงความคืบหน้านี้มันค้างมาหลายวันแล้วอัปเกรดช้าขนาดนี้ สุดท้ายแล้วจะอัปเกรดออกมาเป็นฟังก์ชันสุดยอดแบบไหนกันนะ?“นายหญิง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ระบบตอบอย่างแผ่วเบา ต่อไปมิติจะกลายเป็นแบบไหน ตัวมันเองก็อยากรู้มากเช่นกัน“นายหญิง ครั้งนี้เก็บกวาดคลังสมบัติส่วนตัวมาได้ตั้งห้าแห่ง แถมยังมีเหมืองทองคำด้วย” น้ำเสียงของระบบตื่นเต้น“การอัปเกรดมิติ คาดว่าจะทำให้นายหญิงตกตะลึงอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่เห็นว่าแถบแสดงความคืบหน้านั้นขึ้นมาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงไม่รีบร้อนออกจากมิติ และรออยู่ข้างในนั้นเอนกายพิงเก้าอี้ยาวพลางกินองุ่นไปด้วย และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น กู
กู้หว่านเยว่เป็นหญิงมีครรภ์ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ ไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า“มีท่านพี่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องข้า ท่านแม่ยังกังวลอะไรอีกเจ้าคะ?”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลน้องหญิงเป็นอย่างดี” ซูจิ่งสิงพูดเสริมนางหยางเห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ต้องระมัดระวังหน่อย พอเจอจิ่นเอ๋อร์แล้วก็รีบกลับมา ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจับปลาไม่ได้แล้ว”หากตากฝนในฤดูใบไม้ผลิ จะทำให้เป็นหวัดได้ง่ายที่สุดนางหยางพูดสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยาตัวน้อยออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงไปยังห้องครัวทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่มองสายฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขเช่นนี้ น้ำฝนนี้มีอะไรพิเศษหรือ?”เมื่อออกจากประตูบ้าน ซูจิ่งสิงเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ จึงถือโอกาสถามข้อสงสัยในใจออกมาในเมื่อทั้งสองคนได้ฝากชีวิตไว้ซึ่งกันและกันแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เคยพาซูจิ่งสิงเข้าไปในมิติของตนเองด้วยเวลานี้ เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเขา นางก็ไม่คิดจะปิดบัง“ที่วันนี้ฝนตก ก็เป็นเพราะข้า”กู้หว่านเยว่ก
สี่ตระกูลนี้ นอกจากตระกูลกู่ลี่ที่โดนเนรเทศแล้ว อีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่ว่าจะตระกูลไหนใครก็ล่วงเกินไม่ได้สามตระกูลนี้ล้วนแต่มีองค์ชายที่อยากจะสนับสนุน ดังนั้นเขาไม่มีทางที่ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างแน่นอนเสี่ยวถ่านเดินมาถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่ พลางวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ของสองสามีภรรยานางเริ่มกังวลหลังจากที่กู้หว่านเยว่ฟังจบ นางกลับคลี่ยิ้มและขยี้ปลายจมูก “ใครบอกว่าทั้งสามตระกูลนี้ เจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตระกูลไหนได้เลย?”“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านยังไม่ได้สติกลับมาแต่ซูจิ่งสิงกลับเข้าใจความหมายของภรรยา จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูสมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา และเป็นโจรได้สมบทบาท ชอบปล้นคลังสินค้าของผู้อื่นก็เรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งกองกำลังของผู้อื่นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีนางก็ปล้นชิงไม่มีเหลือ“หากข้าเดาไม่ผิด น้องหญิง เจ้าน่าจะอยากช่วงชิงกองกำลังในมือของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมาด้วยสินะ?”ซูจิ่งสิงมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน“ตอบถูก แต่ไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน อีกอย่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยก็อ
ในเมื่อกู้หว่านเยว่เสนอเงื่อนไขนี้ นั้นก็หมายความว่านางตอบตกลงแล้วเสี่ยวถ่านแสดงสีหน้าดีใจ จากนั้นก็รีบคำนับโขกดินให้กู้หว่านเยว่สามครั้ง “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด”“ได้ ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงตัวของเสี่ยวถ่านขึ้นมา ในเมื่อเสี่ยวถ่านคือลูกศิษย์ของนางแล้ว เช่นนั้นอาจารย์อย่างนางก็ต้องช่วยลูกศิษย์สักหน่อย คงไม่เป็นไร“เจ้ายังมีศิษย์พี่อีกคน นั้นคือลูกศิษย์ของสามีข้า ตอนนี้อยู่ในเจดีย์หนิงกู่ ไว้มีโอกาส ข้าจะพาเขามาพบเจ้า”ครั้นเอ่ยถึงหลี่เฉินอัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เจดีย์หนิงกู่เป็นอย่างไรบ้าง นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ฉายแววคะนึงหา เสี่ยวถ่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่อย่างเป็นกังวล “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรกันดี?”หากต้องขึ้นครองบัลลังก์ คงไม่ใช่กล่าวเพียงปากเปล่าแล้วจะทำได้“ไม่รีบ”กู้หว่านเยว่มองไปทางอื่น ก่อนที่สายตาจะมาตกอยู่ที่กษัตริย์ทูเจวี๋ย มุมปากยกยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยบางอย่าง“ท่านพี่ ท่านคลายจุดให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยหนีไปไ
“ข้า....” เสี่ยวถ่านหวนนึกถึงคืนที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้น เพื่อปกป้องนาง ราชินีทิ้งโอกาสรอดชีวิตของตัวเองในทันที“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อเจ้าค่ะ”เสี่ยวถ่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เพื่อเสด็จแม่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ”“ได้”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบนี้ของเสี่ยวถ่าน จากการเฝ้าสังเกตการณ์ในสองวันที่ผ่านมานี้ นางได้พบว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่นางมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมากเพียงแต่เพราะอายุยังน้อยนัก ความสามารถในการจัดการเรื่องราวจึงยังอ่อนต่อโลกนัก ตราบใดที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง“เสี่ยวถ่าน เจ้าจงฟังข้า เมื่อครู่เจ้าเองก็เห็นท่าทีที่เสด็จพ่อเจ้ามีต่อเจ้า หากบัดนี้เจ้าปล่อยเสด็จพ่อของเจ้าไป ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในทูเจวี๋ย เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่” กู้หว่านเยว่มองเข้าไปในดวงตาของนาง พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากเจ้าอยากมีชีวิตเป็นของเจ้าเอง เพื่อแก้แค้นให้เสด็จแม่ ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมทำหรือไม่”“วิธีอะไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านกล่าวถามด้วยจิตใต้สำนึก“เจ้าตามข้ามา”กู้หว่านเยว่
“ไฟกองนั้น ท่านตั้งใจปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือเป็นคนบงการเองกันแน่?” เสี่ยวถ่านจ้องเขม็งไปทางกษัตริย์ทูเจวี๋ย นางอยากได้ยินคำสารภาพจากเสด็จพ่อด้วยตัวเองกษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง ครั้นเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่ถามของเสี่ยวถ่าน นัยน์ตาก็ฉายแววประหม่า“ตระกูลกู่ลี่ยกตระกูลของแม่เจ้ามาข่มขู่ข้าในราชสำนักหลายครั้ง ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อความสงบสุขของทูเจวี๋ย”เขารู้สึกละอายใจ “ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ก็ยิ่งต้องเข้าใจความยากลำบากของเสด็จพ่อของเจ้า”เขาเอื้อมมือไปทางเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน มานี่ เจ้าคือสายเลือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยของข้า ก็ควรมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”ครั้นเสี่ยวถ่านเห็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยเดินมาหาตน นางที่ยังจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดจากการเห็นเสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อปลิดชีพ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกในตอนนี้เองได้เกิดแสงเย็นสว่างวาบขึ้นภายใต้ฝ่ามือของกษัตริย์ทูเจวี๋ย กริชด้ามหนึ่งได้พุ่งเข้ามาแทงเสี่ยวถ่านโดยไม่ทันตั้งตัว “เสด็จพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด?”รูม่านตาของเสี่ยวถ่ายหดลงอย่างฉับพลัน นางยังรับความจริงเรื่องที่เสด็จพ่อฆ่าเสด็จแม่ไม่ได้ เพียงพ
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก
สองคนกลับมาหาเสี่ยวถ่านแล้ว พร้อมกับ แจ้งข่าวการตายของเหยลวี่เจิงให้กับทุกคน “เหยลวี่เจิงตายแล้ว?!” เยียนสือซานตกตะลึงไม่สิ้นสุด เขาไม่คิดเลยว่า ระยะเวลาเพียงไม่นาน สองคนสามีภรรยาก็สามารถลงมือสังหารเหยลวี่เจิงได้จริง ๆ “หากเหยลวี่เจิงตายไปแล้ว เกรงว่าทูเจวี๋ยจะต้องเกิดเหตุจลาจลใหญ่หลวงขึ้นแน่?” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ “พวกข้ามาคราวนี้ ก็ด้วยเรื่องของทูเจวี๋ย” สายตาของนางทิ้งมองบนตัวเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน เจ้าเคยบอกว่าเจ้าอยากจะกลับเข้าวังไปหาเสด็จพ่อของเจ้า และทวงความยุติธรรมกลับมามิใช่หรือ? บัดนี้ข้าจะพาเจ้ากลับเข้าวัง” เสี่ยวถ่านยืนอยู่ด้านข้าง ครั้นได้ยินข่าวการตายของเหยลวี่เจิง ก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งตอนที่กู้หว่านเยว่ทิ้งสายตามองบนตัวนาง และบอกกับนางว่าจะพานางกลับเข้าไปในวังหลวง นางก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว “พี่หญิงกู้ ท่านพูดจริงหรือ ท่านมีหนทางจะพาข้ากลับเข้าวังจริงหรือ?” “แน่นอน” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ บอกให้ซูจิ่งสิงแบกเสี่ยวถ่านขึ้นหลัง และสองคนก็จากไปอีกครั้ง ต่างจากตอนที่พวกเขาออกไป กระทั่งพวกเขาย่างเท้าเข้าไปในเมืองอูถ่
ความจริงจะกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขากับซูจิ่งสิงต่อสู้โรมรันกันในสนามรบเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเช่นนี้ ครั้งนั้นที่เจดีย์หนิงกู่ เขาใส่ผงพิษเพื่อลอบทำร้ายเอาไว้ก่อน ถึงทำให้ซูจิ่งสิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าหนนี้กลับมีกู้หว่านเยว่จับตามองอยู่ด้านข้าง แม้ว่าเขาจะอยากลอบใช้อาวุธลับผงพิษอะไร ก็ทำไม่ได้ “ซูจิ่งสิง ข้าจะสังหารเจ้า!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยม สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดในเมืองอูถ่าน ถูกซูจิ่งสิงกระทืบต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมากเช่นนี้ เขารับไม่ไหวแล้วจริง ๆ พยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แต่ผลสุดท้ายซูจิ่งสิงก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เจ้าอยากสังหารข้านักหรือ?” ซูจิ่งสิงประชิดเข้าไปข้างใบหูของเขา ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นออกมา “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่มีวันมอบโอกาสนี้ให้กับเจ้าอีกแล้ว” กู้หว่านเยว่พุ่งมาข้างตัวซูจิ่งสิง “ท่านพี่พลทหารใกล้จะมาถึงแล้ว รีบสังหารเขาเถิด” ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก กู้หว่านเยว่เห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง จึงเตือนสติซูจิ่งสิงอย่ามัวแต่พล่ามอาร
เขานึกเหิมเกริมในใจ คิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองอูถ่าน สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายเขาได้แน่ ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ไว้ ปลายเท้าย่องบนหลังคาไปตลอดทาง ไม่นานนักก็พากู้หว่านเยว่หนีออกไปไกลจากจวนแม่ทัพแล้ว เหยลวี่เจิงไล่ตามหลังพวกเขามาอย่างไม่ลดละ วิชาตัวเบาของเขาก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เพียงครู่เดียว สามคนก็ทิ้งห่างพลทหารด้านหลังแล้ว ผ่านไปไม่นานทั้งสามคน ก็มาอยู่เหนือหอสุราที่คึกคักที่สุดในเมืองอูถ่านแล้ว ตอนนั้นเอง ชาวบ้านที่อยู่ใต้หอสุราก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงเอะอะด้านนอก และพากันชะโงกหน้ายื่นศีรษะออกมาดูเหตุการณ์ เหยลวี่เจิงเห็นซูจิ่งสิงหยุดชะงัก ก็คิดว่าเขาหมดหนทางหนีแล้ว หัวเราะเสียงดังสนั่นพลางกระโจนเข้ามา “ซูจิ่งสิงเอยซูจิ่งสิง ต่อให้น้องสาวเจ้าจะไม่อยู่ในมือข้า บัดนี้ข้าก็ล่อเจ้ามาที่เมืองอูถ่านสำเร็จแล้ว ข้าอยากรู้นัก ว่าคนอย่างเจ้าจะหนีไปที่ใดพ้น” ซูจิ่งสิงปล่อยกู้หว่านเยว่ลง ก่อนจะดึงกระบี่อาทิตย์คำรามออกมาจากเอว พลางจ้องมองเหยลวี่เจิงอย่างเยือกเย็น “เหตุใดข้าจะต้องหนีด้วย หนี้แค้นในอดีตของข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวต้องสะสางให้จบสิ้นแล้ว” “โอหังนัก!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงด
แม้จะแต่งกายไม่คล้ายสตรี ทว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ “ข้าน่ะหรือ ก็คือกู้หว่านเยว่พระชายาอ๋องเจิ้นเป่ย” กู้หว่านเยว่เปิดเผยตัวตนออกมาโดยไม่ขลาดกลัว ถึงอย่างไร วันนี้ นางจะทำให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนได้เห็นประจักษ์ว่า เหยลวี่เจิงจะต้องถูกนางสังหารโหดอย่างไร “กู้หว่านเยว่?” เหยลวี่เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาจำได้ว่าคนสอดแนมที่ถูกส่งตัวเข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่เคยกลับมารายงานว่า ซูจิ่งสิงมีภรรยาที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งอยู่หนึ่งคน ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ แต่ยังมีความคิดล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าซูจิ่งสิงแม้แต่เสี้ยวเดียว เห็นความยุ่งเหยิงอลหม่านของจวนแม่ทัพแล้ว เขาเดือดดาลจนเส้นผมแทบจะตั้งตรงขึ้นมา “พวกเจ้าเผาจวนแม่ทัพของข้าหรือ?” “ไม่ผิด เป็นฝีมือพวกข้าเอง ความจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วมิใช่หรือ เหตุใดท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงถึงยังต้องถามซ้ำอีก?” กู้หว่านเยว่แบมือท่าทางไม่แยแส ต่อให้โกรธจนตายก็ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ปนเอ็นดู เหยลวี่เจิงหน้าเ