เขาคือผู้มีพระคุณต่อหลู่ซื่อ ซึ่งหลู่ซื่อเองก็ติดตามเขามานานนับสิบปีทว่าเมื่อได้รับการกล่าวเตือนจากเถาเอ๋อร์ มู่หรงอวี้ที่กำลังป่วยหนักก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้หลู่ซื่อประมาทอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังทำดินปืนหนึ่งเดียวของเขาหายไป นัยน์ตาของมู่หรงอวี้ก็ฉายแววเคร่งขรึมที่ยากจะคาดเดา และสั่งให้คนสะกดรอยตามหลู่ซื่อทันทีหลู่ซื่อรู้สึกแย่เกินกว่าที่จะรับได้ มู่หรงอวี้ไม่เชื่อใจเขา ทั้งยังอยากทำร้ายเขาแผ่นไม้ที่ถูกฟาดลงมาจำนวนสี่สิบครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ์ แต่ก็ทำให้เขาต้องนอนติดเตียงอย่างน้อยครึ่งเดือนนั้นหมายความว่าครึ่งเดือนนี้เขาจะไม่สามารถไปเยี่ยมลั่วยางได้เลยหลู่ซื่อเกิดความกังวลอยู่ในใจ จึงตัดสินใจว่าจะไปซื้ออาหารในตลาดนัดก่อน ตั้งใจว่าจะนำอาหารไปส่งให้ลั่วยางที่หมู่บ้านสือหาน แล้วค่อยกลับมารับไม้กระดานเหล่านั้นคนที่มู่หรงอวี้ส่งออกมาคอยติดตามอยู่รอบตัวของหลู่ซื่ออย่างเงียบ ๆ จนมาถึงหมู่บ้านสือหาน เมื่อเห็นลั่วยางที่ยังมีชีวิตอยู่จากกำแพงที่อยู่ถัดไป ก็พลันตื่นตกใจและนำเรื่องนี้กลับไปรายงานมู่หรงอวี้เถาเอ๋อร์ยิ้มเยาะด้วยน้ำ
“ท่านอ๋อง ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอท่านเสียที!”ทันทีที่เหล่าพลทหารสกุลซูหลายสิบคนเจอกับซูจิ่งสิงก็ทยอยกันคุกเข่าลงไปบนพื้น และคำนับศีรษะโขกพื้นดินต่อหน้าซูจิ่งสิงด้วยน้ำตาคลอเบ้าคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะได้เจอกับท่านอ๋องในช่วงชีวิตของเขา“ทุกคนลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ใช่ท่านอ๋อง ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าเช่นนี้อีก”ซูจิ่งสิงมองคนที่อยู่ใต้อาณัติอย่างจงรักภักดีเหล่านี้อย่างซาบซึ้งอยู่ในใจพลทหารสกุลซูที่อยู่หน้าสุดรีบกล่าว “เช่นนั้นพวกเราเรียกท่านว่าคุณชายนะขอรับ ท่านอ๋องที่ฮ่องเต้ชั่วผู้นั้นแต่งตั้ง หากไม่อยากได้ก็ช่างเถิด!”ซูจิ่งสิงพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวแนะนำกู้หว่านเยว่ให้พลทหารเหล่านั้นรู้จัก “นี่คือภรรยาของข้า พวกเจ้าจงเรียกนางว่าฮูหยิน”ทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่ซูจิ่งสิงมีชีวิตรอดมาถึงเจดีย์หนิงกู่ได้ ต้องขอบคุณการช่วยเหลือของกู้หว่านเยว่ยามอยู่ต่อหน้ากู้หว่านเยว่ จึงค่อนข้างสุภาพเป็นพิเศษ กระทั่งรีบทำความเคารพนาง“ข้าน้อยขอคารวะฮูหยิน”“รีบลุกขึ้นเถิด”เมื่อเห็นพลทหารสกุลซูที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดีเหล่านี้ กู้หว่านเยว่ก็ทนเห็นพวกเขาคุกเข่าอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่เย็นเยียบไม่ได
ทั้งสองคนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หมายความว่ามู่หรงอวี้รู้แล้วว่าลั่วยางยังมีชีวิตอยู่ จึงส่งนักฆ่ามาฆ่าลั่วยางทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหลู่ซื่ออยู่ที่ไหน เมื่อเห็นนักฆ่าเหล่านั้นกำลังจะทำร้ายลั่วยาง กู้หว่านเยว่ก็รีบกระโดดลงมาจากหลังคา หยิบธนูขึ้นมาง้างและยิงปลิดชีพนักฆ่าหนึ่งในนั้นทันทีสองคนที่เหลือรีบหันกลับมา เมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้มาเยือนคือกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ทยอยกันพุ่งเข้ามาฆ่าพวกเขา“น้องหญิง ถอยไป”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็ชักดาบออกมาเผชิญหน้ากับนักฆ่าเหล่านั้น ไม่นานบุรุษชุดดำสองคนนั้นก็ถูกปลิดชีพ“ขอบคุณพวกเจ้าที่ช่วยชีวิตข้า” เมื่อเห็นว่านักฆ่าทั้งสามคนทยอยล้มลงไปบนพื้น ลั่วยางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากได้สติกลับมาก็รีบกล่าวขอบคุณทั้งสองคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้จักพวกข้าหรือ?”“ข้ารู้จักพวกเจ้าด้วยหรือ?” ครานี้ถึงตาลั่วยางงุนงงบ้างซูจิ่งสิงกล่าวถาม “เจ้าชื่ออะไร?”ต่อหน้าคนทั้งสองที่ช่วยชีวิตตน ลั่วยางไม่มีอะไรต้องปิดบัง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าชื่อยางเหมียว”ในตอนนี้เองกู้หว่านเยว่และซูจิ
นางหยางและซูจิ้งกำลังช่วยดูแลคนของหนานหยางอ๋อง เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับมา ทั้งสองก็รีบเข้ามาต้อนรับ“หว่านเยว่ จิ่งสิง ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”กู้หว่านเยว่หมุนตัวหนึ่งรอบพร้อมกับรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไม่ได้บาดเจ็บ”จากนั้นก็เล่าสถานการณ์ของเมืองตะวันไม่ตกดินให้ทั้งสองคนฟัง“จิ่นเอ๋อร์เจ้าเด็กน้อยนั่นอยากจะอยู่ที่เมืองตะวันไม่ตกดิน พวกเราจึงปล่อยให้นางอยู่ที่นั่น”หลังจากฟังจบ นางหยางกลับไม่รู้สึกกังวล “จิ่นเอ๋อร์มีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ถ้ามีใต้เท้าฟู่อยู่ ต้องควบคุมนางได้แน่”ไม่แปลกใจเลยที่เขากล่าวกันว่าแม่ยายรักลูกเขยเหมือนกับที่รักลูกสาวของตนเองนางหยางคิดจะจับคู่ซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงมานานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน นางย่อมรู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดาซูจิ่งสิงนึกถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าและหว่านเยว่ต้องไปที่เมืองอวี้ จะต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้แล้ว”จวนหลี่โหวอยู่ที่เมืองอวี้ หากต้องการช่วยหลี่เฉินอันแย่งชิงตำแหน่งโหว ต้องไปเมืองอวี้ให้เร็วที่สุดเท่าที
กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับสีหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว การแสดงอารมณ์มากเกินไปต่อหน้าผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องดี“พระชายาทรงเป็นสตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันหรือ?”“สตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตัน สตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันคืออะไร?” ในต้าฉีมีหมอหญิงไม่กี่คน และยิ่งมีน้อยคนที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคสตรีพระชายาหนานหยางส่ายหัว “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องสตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันอะไร แต่ตั้งแต่เด็ก ท่านแม่ก็บอกข้าว่า ข้าแตกต่างจากคนอื่น พูดไปก็ไม่กลัวเจ้าหัวเราะหรอก ด้วยสภาพแบบนี้ของข้า แม้แต่จะแต่งงานก็ยังยาก ถ้าข้ายังไม่ได้แต่งงานออกไป คงจะทำให้พี่น้องในครอบครัวพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะพี่สาวท่านอ๋องจึงเห็นใจข้า และให้ที่พักพิงแก่ข้า” กู้หว่านเยว่รู้เรื่องนี้ พี่สาวของพระชายาหนานหยางคือพระชายาองค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวล ให้ข้าลองคิดดูก่อน” กู้หว่านเยว่พูดปลอบใจนางสตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันแต่กำเนิดก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรักษาได้เลยทีเดียว หากเป็นเพียงปัญหาในการเจริญเติบโตของปากช่องคลอด แต่ภายในและมดลูกยังสมบูรณ์ ก็สามารถทำการผ่าตัดได้หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว ไม่เพียงแต่
ชายคนนั้นพยักหน้า “ใช่แล้ว ตั้งแต่ท่านหลี่โหวเป็นอัมพาต ฮูหยินท่านโหวก็ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด แล้วยังไปตามพระมาสวดมนต์ขอพรให้ท่านหลี่โหวอีก ช่างเป็นภรรยาที่ดีจริง ๆ ”“เหอะ ๆ... ”หลี่เฉินอันหัวเราะอย่างประชดประชันชายคนนั้นโมโห “นี่เจ้าหัวเราะอะไร? คำพูดของข้ามันตลกมากหรือไร?”เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว กู้หว่านเยว่ก็รีบดึงหลี่เฉินอันออกไป“อาจารย์หญิง ท่านพ่อของข้าเป็นอัมพาต ต้องเป็นฝีมือของสวีหลานแน่ ๆ ”นี่มันบังเอิญเกินไปหน่อย กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากัน ทั้งสองคนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เดิมทีตั้งใจจะพาหลี่เฉินอันกลับจวนโหวโดยตรง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจวนโหวคงตกอยู่ในมือของสวีหลานทั้งหมดแล้วถ้าพวกเขากลับไปทั้งแบบนี้ ก็เหมือนเอาตัวเองไปให้สวีหลานจัดการง่าย ๆ “ท่านหลี่โหวเป็นอัมพาตแล้ว สกุลหลี่ก็ต้องมีผู้อาวุโส มีผู้อาวุโสคนไหนที่เจ้าไว้ใจได้บ้างหรือไม่?”“มี ท่านผู้อาวุโสลำดับสอง เขารักและเอ็นดูข้ามาตลอด”หลี่เฉินอันรีบตอบ“เช่นนั้นผู้อาวุโสท่านนั้นอยู่ที่ไหน?”“อยู่ที่จวนหลี่ในตรอกอวี่ฮวา”สกุลหลี่อยู่ในเมืองอวี้อย่างน้อยก็ร้อยปีแล้ว คนในสกุลมีมากมายนับ
แต่ที่จริงแล้ว นางใช้โอกาสกลับไปบ้านเกิดเพื่อใส่ชื่อในบันทึกลำดับเครือญาติ แล้วกำจัดนางเกิ่งให้สิ้นซากต้องรู้ว่าหากนางเกิ่งเสียชีวิต หลี่เฉินอันก็จะไม่มีแม่แท้ ๆ เหลือเพียงสวีหลานผู้เป็นแม่เลี้ยง และสวีหลานก็ไม่เพียงแต่กำจัดอนุภรรยาเกิ่งได้เท่านั้น ยังได้ลูกชายมาคนหนึ่งมาฟรี ๆ อีกด้วย“เดิมทีสวีหลานไม่ได้อยากจะฆ่าข้า แต่ข้าไปเห็นความผิดของนางเข้า นางจึงอยากปิดปากข้า เลยลงมือกับข้า”สายตาของหลี่เฉินอันฉายแววหวาดกลัว โชคดีที่วันนั้นเขาไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นเหตุการณ์ไม่เช่นนั้น เกรงว่าจะยอมรับศัตรูเป็นแม่ และถือว่าสวีหลานเป็นผู้มีพระคุณ!ผู้อาวุโสลำดับสองครุ่นคิด สวีหลานเป็นคนที่สร้างภาพลักษณ์ได้ดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่เฉินอันพูดเอง ทุกคนคงไม่สงสัยเลยแต่เมื่อหลี่เฉินอันพูดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะมีจุดน่าสงสัยอยู่เหมือนกันสุดท้าย ผู้อาวุโสลำดับสองก็ตัดสินใจเข้าข้างหลี่เฉินอัน ถึงอย่างไรหลี่เฉินอันก็เป็นคนสกุลหลี่ ส่วนสวีหลานเป็นเพียงคนนอกตระกูล และยังไม่มีลูกด้วยหลังจากตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสลำดับสองก็จัดที่พักให้กับหลี่เฉินอันทันที“จริง ๆ แล้ว เจ้ากลับมาได้จังหวะพอดี ท่านโหวเป็นอั
คนชุดดำหลายคนพุ่งตัวเข้ามาจากข้างนอก ล้อมกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงทั้งสามคนไว้“ใครกันบังอาจบุกรุกจวนโหว?” คนชุดดำตะโกนถามด้วยความไม่พอใจทั้งสามคนปลอมตัวมา คนชุดดำจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร รู้สึกแค่ว่าพวกเขากล้ามาก“ท่านพี่ รีบจัดการให้เร็วที่สุด”กู้หว่านเยว่ขยิบตาให้ซูจิ่งสิง การหาหลักฐานเป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่อยากเสียเวลากับพวกเขานางยื่นมือโปรยผงพิษออกไป ร่างกายของคนชุดดำหลายคนก็อ่อนยวบในทันที ซูจิ่งสิงกลั้นหายใจแล้วพุ่งตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นปาดคอทั้งห้าคนจัดการคนได้รวดเร็ว และไม่ทำให้คนข้างนอกตกใจทั้งสามคนยังคงค้นหาหลักฐานต่อไปจากบทเรียนเมื่อครู่ ตอนนี้หลี่เฉินอันไม่กล้าพลิกอะไรมั่ว ๆ แล้ว“ข้ามีความรู้เรื่องกลไก ข้าจัดการเอง”ซูจิ่งสิงสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพบว่าเมื่อครู่หลี่เฉินอันไปโดนแท่นหมึกบนโต๊ะหนังสือ ทำให้กลไกทำงานและดูจากการจัดวางโดยรวมของห้อง พบว่าโต๊ะหนังสือ หัวเตียง และตามจุดต่าง ๆ ล้วนมีกลไกซ่อนอยู่เขาหลีกเลี่ยงจุดเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นค้นหาหลักฐาน ในที่สุดก็พบจดหมายลับที่สวีหลานจ้างวานฆ่าคนอยู่ใต้โต๊ะ รวมถึงจดหมายที่ให้ผู้ว่าการอำเภอ
เดิมทีหญิงสาวนึกว่าตัวเองจะได้รับการช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่ากลับเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน“เจ้า”สวีซื่อฉวนอยากก้าวไปข้างหน้า แต่ถูกคนของถูเอ้อร์ขวางไว้“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”คนข้างหลังเขาก็ร้อนใจเช่นกัน เมื่อเห็นว่ากำลังจะตีกับถูเอ้อร์ จู่ๆ สวีซื่อฉวนเอ่ยขึ้น “ถอยให้หมด พวกเราไป”“หัวหน้ารอง...” หลายคนไม่พอใจ“ไป”สวีซื่อฉวนหันมองใบหน้าคนชั่วได้ใจของถูเอ้อร์แวบหนึ่ง แล้วกำหมัดแน่น พาคนของตัวเองจากไปอย่างเงียบเชียบ“ถุย คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้ารองจริงๆ หรือ”ถูเอ้อร์ถุยน้ำลายใส่แผ่นหลังเขาที่จากไป แล้วลากหญิงสาวที่เหลือออกไปหลังจากพวกเขาไปหมดแล้ว บนหลังคามีคนกระโดดลงมาสองคนซึ่งก็คือกู้หว่านเยว่กับหวังปี้ที่ดูอยู่เมื่อครู่“ดูท่าภายในของโจรพวกนี้ ก็ไม่ได้สามัคคีกันมากนัก”หวังปี้กล่าวพร้อมถอนหายใจ“ก่อนหน้านี้ทุกคนอยู่บนเขา เรียกท่านพี่ใหญ่ เรียกข้าพี่รอง เรียกขานกันดุจพี่น้องตอนนี้ยึดเมืองเหยาได้แล้ว จึงคิดอยากเป็นใหญ่ จะยอมแบ่งอำนาจได้หรือ”หวังปี้บ่นพร้อมส่ายหน้า กู้หว่านเยว่เพียงเม้มปากยิ้ม“นี่ก็พอดีเลยไม่ใช่หรือ จะได้ยุยงให้พวกเขาแตกคอกัน”นางดึงหวังปี้ “ไป พวกเ
ก่อนจากมา กู้หว่านเยว่ยัดเงินใส่มือของจางเอ้อร์“ตอนนี้อยู่ข้างนอก อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บ มีเงินอยู่กับตัวดีกว่าไม่ดี รับไว้เถอะ”“แม่นางกู้ บรรพบุรุษของข้าจางเอ้อร์ทำบุญด้วยอะไร ถึงได้มารู้จักกับท่าน”จางเอ้อร์ชั่งน้ำหนักเงินที่อยู่ในมือซึ่งน้ำหนักค่อนข้างมาก น้ำเสียงสะอื้น แล้วมองทั้งสองจากไป“พระชายา เหลือเวลาไม่มากแล้ว พวกเรารีบไปเมืองเหยากันเถอะ”หวังปี้เอ่ยเตือน ในไม่ช้าทั้งสองคนมาถึงนอกเมืองเหยาขณะนี้ภายในเมืองเหยาเงียบสงัดบนถนนเต็มไปด้วยศพที่นอนเกลื่อนกลาด ในอากาศกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เลือดไหลมาบรรจบกันดุจแม่น้ำสายเล็กแล้วไหลลงสู่คูเมือง จนทำให้แม่น้ำกลายเป็นสีแดงฉานร้านรวงสองข้างทางถูกปล้นจนว่างเปล่า ถูกทำลายบ้าง ถูกเผาบ้างภายในจวนเจ้าเมือง มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง กอดกันร้องไห้ส่วนมากพวกนางเป็นหญิงชาวบ้านในเมืองถูกโจรจับมาไว้ในจวน เพื่อให้พวกมันย่ำยี“ข้าอยากกลับบ้าน...”“ท่านพ่อท่านแม่ตายแล้ว พี่น้องก็ตายหมดแล้ว”“พวกเรายังมีบ้านหรือ?”“ไม่มี ไม่มีบ้านแล้ว ไม่มีบ้านอีกต่อไปแล้ว...”จากนั้นเสียงร้องไห้ดังขึ้นระงมขณะนี้ นอกประตูมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามากะทันหันแ
แต่นึกไม่ถึงว่าทำดีไม่ได้ดี ความเมตตานี้กลับถูกคนชั่วหลอกใช้หลังจากเอ้อร์คำนับเสร็จ ก็ยันตัวลุกขึ้นยืนกู้หว่านเยว่ตรวจดูอาการของเขาสักครู่“ข้ากับแม่ทัพหวังยังมีธุระต่อ เกรงว่าคงอยู่ดูแลเจ้าที่นี่ไม่ได้ ที่นี่มีเงินถึงหนึ่ง เจ้ารับไป แล้วหาที่รักษาตัวเถอะ”กู้หว่านเยว่นำก้อนเงินเล็กถุงหนึ่งยื่นให้จางเอ้อร์จางเอ้อร์เห็นถุงก้อนเงินเล็กขอบตาแดงไปหมด มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาตื้นตันในยามนั้นการทำดีตอนเนรเทศ วันนี้ถือว่ามีส่วนช่วยเขาอย่างใหญ่หลวง“แม่นางกู้”แต่ว่าเขาไม่ได้ยื่นมือไปรับถุงก้อนเงินเล็กมา“พวกท่านจะไปเมืองเหยาหรือ?”กู้หว่านเยว่สบตากับหวังปี้แวบหนึ่ง เนื่องจากจางเอ้อร์ไม่ใช่คนเลว ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ปิดบัง แต่ว่าทัพใหญ่ของหนางหยางอ๋องตั้งค่ายอยู่ในภูเขาเหยา ทั้งสองไม่ได้เปิดเผยให้รู้“ถูกต้อง พวกเราสองคนต้องไปทำธุระในเมืองเหยา”“พาข้าไปด้วยได้หรือไม่?” จางเอ้อร์ถามหยั่งเชิงคราวนี้กู้หว่านเยว่ไม่ลังเล ส่ายหน้าทันที“ท่านคงยังไม่รู้สถานการณ์ในเมืองเหยา เมืองเหยาถูกพวกโจรโจมตีแล้ว ตอนนี้พวกโจรกำลังฆ่าคนไปทั่วเมือง คนทั่วไปเมื่อเข้าไปก็จะไม่ได้ออกมาอีกอีกอย่าง
ไม่ว่าเขาจะเรียกร้องอย่างไร หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหวังก็เหมือนคนนอนหลับ ไม่มีการตอบสนองสักนิด“จางเอ้อร์ หักห้ามใจเถอะ”หวังปี้ถอนหายใจ พร้อมเอ่ยเตือนเขาเข้าใจอาการคลุ้มคลั่งในยามนี้ของจางเอ้อร์ดี เพียงแต่ คนตายไม่อาจฟื้นคืน“ข้าผิดคำพูดแล้ว”ในใจจางเอ้อร์เสียใจอย่างที่สุดเขาเคยรับปากหัวหน้าสำนักคุ้มภัยหวังว่าจะช่วยเขา“ข้าจะทำแผลให้ท่านก่อน”กู้หว่านเยว่นำขวดยาและผ้าพันแผลที่ติดตัวมา ทำแผลให้จางเอ้อร์“ขอบคุณแม่นางกู้”จางเอ้อร์น้ำตาร่วงต่อให้ในใจจะเสียใจเพียงใด เขาก็รู้ว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงบาดแผลบนตัวจางเอ้อร์ค่อนข้างลึก กู้หว่านเยว่ทำแผลได้เพียงเบื้องต้น เพื่อไม่ให้บาดแผลอักเสบ“ท่านลุกขึ้นยืนได้หรือไม่?”หลังทำแผลเสร็จ กู้หว่านเยว่สอบถามนางและหวังปี้ต้องเข้าไปสืบข่าวในเมืองเหยา จึงดูแลจางเอ้อร์เป็นเวลานานไม่ได้“ข้า ข้าพอยืนได้”หลังกินยาของกู้หว่านเยว่เข้าไป เรี่ยวแรงของจางเอ้อร์ฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง“ยืนได้ก็ดีแล้ว ใช่สิ สำนักคุ้มภัยของพวกท่านพบเจอเรื่องใดหรือ ถึงได้ล้มตายกันหมดเช่นนี้?”กู้หว่านเยว่สอบถาม เมื่อครู่ระหว่างทำแผลให้จางเอ้อร์ นางมองสำรวจโดยรอบพ
เขาโกรธจนกำหมัดแน่นเพื่อให้ทหารระบายความแค้น ก่อนและหลังโจมตีเมือง บางกองทัพจะฆ่าล้างบางชาวบ้านหนึ่งเพื่อข่มขวัญผู้คนที่อยู่ในเมืองสองเพื่อให้เหล่าทหารผ่อนคลายเพียงแต่หนางหยางอ๋องและซูจิ่งสิงปกครองอย่างเข้มงวด ไม่เคยปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น“พวกเราไปก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงเก็บสายตากลับมาเงียบๆตั้งแต่โบราณผู้ที่ทุกข์ร้อนในศึกสงครามก็คือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ขณะที่ทั้งสองเตรียมจากไป จู่ๆ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแผ่วเบามาจากถนนสายเล็กด้านข้าง“ทางนั้นเหมือนจะมีคน”หวังปี้รีบหันมองทันที“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย” กู้หว่านเยว่ลากหวังปี้เข้าไปตรวจดูด้วยกัน ปรากฏว่าเห็นคนสองคนล้มอยู่ในพงหญ้าบนตัวทั้งสองคนเต็มไปด้วยเลือด บนตัวมีบาดแผลจากดาบไม่น้อย“น้องเล็ก ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาน่าจะเป็นคนของสำนักคุ้มภัย”หวังปี้เปลี่ยนสรรพนามอย่างระวัง กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดินไปหาคนที่ขอความช่วยเหลือนางรู้สึกว่าเสียงของคนผู้นี้คุ้นหูอยู่บ้างพอดีกับที่ชายผู้นั้นเห็นว่ามีคนเข้ามา จึงรีบมองไปทางพวกกู้หว่านเยว่เมื่อทั้งสองสบตากัน ต่างชะงักไปทันใด กู้หว่าน
“พี่น้องสกุลฮั่ว เจ้าไม่เป็นไรนะ?” กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าฮั่วจี๋ แต่อีกฝ่ายยังอยู่บนหลังของหวังปี้ ไม่มีแรงลงมา“คารวะพระชายา”ฮั่วจี๋ใช้หางตาเหลือบมองกู้หว่านเยว่แวบหนึ่งท้องฟ้ามืดสลัว เขาเองก็มองไม่ชัดว่าหน้าตากู้หว่านเยว่เป็นอย่างไรแต่ว่าเขาเพิ่งเคยเห็นหญิงสาวลอบโจมตีสนามรบพร้อมกองทัพยามวิกาลเป็นครั้งแรก ในใจจึงรู้สึกนับถือมาก คำพูดที่พูดกับกู้หว่านเยว่จึงเคารพมาก“พระชายาโปรดอภัย ข้าน้อยไม่อาจลงไปคารวะด้วยตัวเอง”“แค่พิธีเท่านั้น รักษาตัวสำคัญกว่า”กู้หว่านเยว่เป็นคนในยุคปัจจุบัน จึงไม่ใส่ใจพิธีรีตองมากนักอีกอย่างพวกนางกำลังเร่งเดินทาง ไม่จำเป็นต้องให้ฮั่วจี๋ลงจากหลังหวังปี้ เพียงเพื่อทำความเคารพเท่านั้นฮั่วจี๋คุยกับกู้หว่านเยว่เพียงไม่กี่คำ พลันหลับตาลงอย่างอึดอัดบิดาและพี่ชายเพิ่งเสียชีวิต ประชาชนชาวเมืองเหยาตกอยู่ในอันตราย เขาเป็นแม่ทัพน้อยแห่งเมืองเหยา จึงไม่มีแก่ใจพูดคุยกับใครเมื่อนึกถึงกลุ่มโจรเหล่านั้นในเมืองเหยา ที่เข้ามาปล้นชิงฉุดคร่าทำให้หมัดของฮั่วจี๋ กำแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมเขาโกรธมาก!สกุลฮั่วเฝ้ารักษาเมืองเหยามาตลอดชีวิตราษฎรเมืองเหยาคือครอบ
ฮั่วจี๋รู้สึกแค้นเคืองภายในใจเพียงเขาหลับตาลงหนึ่งข้าง เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพศีรษะของบิดาและพี่ชายถูกห้อยอยู่หน้าประตูเมืองหากมิใช่เพราะฮ่องเต้ชั่วตัดสินใจผิดพลาด ไฉนเลยสกุลฮั่วของเขาจะตกลำบากมาถึงขั้นนี้ได้?“ก่อนกองโจรโจมตียึดครองเมืองสองสามวัน ท่านพ่อและพี่ชายได้รับข่าวมาแล้ว ตั้งใจเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ ขอความเมตตาจากฝ่าบาทเคลื่อนย้ายกำลังพลจากคูเมืองละแวกใกล้เคียงมาเพียงน่าเสียดาย ฝ่าบาทไม่สนใจพวกเราเลยแม้แต่น้อย”ฮั่วจี๋ย้อนนึกถึงความทรงจำทีละน้อย ภายในสายตาเปี่ยมไอแค้น“บิดาและพี่ชายไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงย้ายข้าออกมาก่อนเป็นอันดับแรก”ที่แท้ฮั่วจี๋ไปเลือกกำลังพลในวันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่สกุลฮั่วสังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่แรก ตั้งใจส่งเขาออกไป“ข้าไม่เต็มใจจากไป ท่านพ่อและท่านพี่สั่งให้คนตีข้าจนหมดสติตอนข้าฟื้นขึ้นมา ทั้งหมดก็สายไปแล้ว”อาจเพราะคนของสกุลฮั่วรู้ว่าไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้อีก ดังนั้นจึงต้องการเก็บสายเลือดสุดท้ายไว้ นี่ถึงส่งฮั่วจี๋ออกไป“หลานชาย”หนานหยางอ๋องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่รู้สมควรปลอบเยี่ยงไรนึกถึงตอนแรก เขาและเหล่าฮั่วสองคนต่อสู้เ
“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณเจ้าที่ยอมเล่าให้พวกเราฟัง”กู้หว่านเยว่มองเจียงม่านมากอีกทีหนึ่ง กลับไม่ดูเบาเพียงเพราะนางเป็นสตรีในโลกีย์“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เล่าความจริงให้พวกท่านฟัง นั่นเพราะข้าไม่สามารถแยกออกว่าพวกท่านเป็นมิตรหรือศัตรูกังวลพูดฐานะของคุณชายฮั่วออกไป จะนำมาซึ่งหายนะ”เจียงม่านคำนับกู้หว่านเยว่“ล่วงเกินไปที่ใด หวังว่าแม่นางจะให้อภัย”บัดนี้ได้เห็นกู้หว่านเยว่ออกมือช่วยเหลือฮั่วจี๋ด้วยตนเอง นางก็คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตฮั่วจี๋ปัดเศษดูแล้ว ภายภาคหน้าก็เป็นผู้มีบุญคุณของเจียงม่านนางเฉกเดียวกัน“ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่ยื่นอาหารแห้งให้นาง“ยังไม่ได้กินข้าวกระมัง รองท้องก่อนเถอะ”เจียงม่านเลียริมฝีปาก นับตั้งแต่หนีออกจากเมืองเหยา เพื่อป้องกันถูกคนพบเห็น นางเองก็ไม่กล้าพาฮั่วจี๋ไปยังที่ที่มีคนมากนางไม่กล้าไปแม้แต่โรงน้ำชาเพื่อจิบชา กลัวถูกคนรู้ฐานะนางไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว ได้เห็นอาหารแห้งตาก็ลุกวาว รีบรับอาหารแห้งไปด้วยสองมือ ขอบคุณกู้หว่านเยว่นับพันนับหมื่นครั้งทุกคนเดินไปราวระยะหนึ่ง ฮั่วจี๋ก็ฟื้นขึ้นมาหลังเขาฟื้นแล้ว หนานหยางอ๋องก็แสดงตัว พูดคุย
นางอยากเปิดบาดแผลของฮั่วจี๋ให้พวกเขาดู แต่มือสองข้างถูกมัดไว้“คุณชายถูกยิงที่อก ลูกธนูยังอยู่ข้างในเจ้าค่ะ!”หนานหยางอ๋องเลื่อนคบเพลิงเข้าใกล้อกของฮั่วจี๋ได้เห็นลูกธนูที่บาดแผลบนอกของเขาไม่ผิดไปดังคาด ถูกเกราะบังไว้ เห็นได้ไม่ชัดนัก“พระชายา ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”หนานหยางอ๋องมองทางกู้หว่านเยว่ ครั้งนี้พวกเขาออกมาเป็นหน่วยจู่โจมสายฟ้าแลบ ข้างกายมิได้พาหมอทหารมาด้วย“ไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่พกกระเป๋ายาติดมาด้วย ก็เพื่อรับมือในยามจำเป็นแผลถูกธนูยิงนี้สำหรับนางกลับเป็นเรื่องเล็ก“วางคนนอนราบก่อน ข้าจะดูอาการของเขา”หวังปี้รีบขยับขึ้นไป “ข้าเอง”เขามือเท้าคล่องแคล่วว่องไว แก้มัดเชือกบนตัวฮั่วจี๋ออก จากนั้นจับคนนอนราบ“เอาคบเพลิงมาอีกสองอัน ส่องสว่างให้ข้า”เพื่อป้องกันมิให้มีแสงไฟ ทำให้คนสังเกตเห็นเบาะแสดังนั้นภายในหน่วยจึงจุดคบเพลิงเพียงหนึ่งถึงสองอันหนานหยางอ๋องนำคบเพลิงสองอันมา สั่งให้คนย่อตัวถือคบเพลิงข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่องแสงให้นางขั้นตอนการดึงธนูออกมีเลือดเล็กน้อยกู้หว่านเยว่สวมถุงมือ การกระทำเป็นขั้นเป็นตอน คีบลูกธนูที่หักออกมาก่อน ล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ โรยผงยาแก