พูดถึงหลู่ซื่อ นับตั้งแต่เขาลอบช่วยลั่วยาง ก็เริ่มไม่ใส่ใจทำงานให้มู่หรงอวี้แล้วซูจิ่งสิงรู้ภาพรวมว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว “ได้ยินว่าลั่วยางสูญเสียความทรงจำ”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงพรึงเพริด แต่คิดได้อย่างว่องไว ลั่วยางคนคลั่งรักนี้สมองน่าจะถูกกระตุ้นหนักเกินไปจนสูญเสียความทรงจำ“เพราะเหตุนี้จึงปล่อยให้คนขโมยระเบิดได้ ลั่วยางสูญเสียความทรงจำ หลู่ซื่อมองเห็นความหวังแล้ว ย่อมมอบกายใจเข้าไปอยู่ข้างกายนาง ไม่สนใจการงานอีก”ด้านซุบซิบนินทาของภรรยาตัวน้อยนี้ร้ายกาจยิ่งนัก ซูจิ่งสิงถูกนางชักนำให้พูดเหน็บแนมไปด้วยกัน“หลู่ซื่อใช้เงินทั้งหมดที่มีเช่าเรือนเล็กหนึ่งหลัง ไม่เพียงให้คนพักอาศัยอยู่ภายใน ยังซื้อสาวใช้สองคนเพื่อดูแลปรนนิบัตินางกินดื่ม กระนั้นก็ยังมิได้รับสีหน้าที่ดีจากลั่วยางแม้แต่น้อย”“หา? หลู่ซื่อคนนี้เป็นพวกประจบเอาใจกระนั้นรึ?”“อืม ก็คือพวกคุกเข่าเลียแข้งเลียขาได้อย่างไร้ศักดิ์ศรี”“เช่นนั้นเขาก็เป็นพวกประจบเอาใจคนหนึ่งจริง”สองสามีภรรยาซุบซิบนินทาต่อหน้านักการหวง กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่ามู่หรงอวี้สมเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย เหมืองน้ำมันก๊าดถูกนางเก็บไว
“เถาเอ๋อร์?”มองเห็นใบหน้าตกตะลึงพรึงเพริดนั้น ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วทีหนึ่งกู้หว่านเยว่เองก็รู้จักอีกฝ่าย ทันใดนั้นแปลกใจอยู่บ้างแววตาเถาเอ๋อร์มืดมน กัดกลีบปาก คิดไม่ถึงศัตรูทั้งสองวาสนาดีเพียงนี้ ถึงขั้นยังไม่ถูกระเบิดตายดูท่าแล้ว การแก้แค้นให้ ‘บิดามารดา’ ไม่สำเร็จอีกแล้วทางฝั่งนั้นจางเอ้อร์ร้องตะโกน“นักการหวงถูกพวกเราจับไว้แล้ว พวกเจ้าทุกคนห้ามขยับเขยื้อน หากใครขวัญกล้าหนีหรือต่อต้าน อย่าโทษข้าไม่มีเมตตาเลย!”เพียงได้ยินว่านักการหวงถูกจับ พวกนักโทษถูกเนรเทศเหล่านั้นล้วนเผยสีหน้าตกตะลึง ถูกมัดมือมัดเท้าไว้แล้วจางเอ้อร์วิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้ากู้หว่านเยว่ “นับจำนวนคนแล้ว ไม่ขาดใครไป”“ดี พวกเรากลับเถอะ”กู้หว่านเยว่ตรวจสอบรอบกายอีกหนึ่งรอบ หลังมั่นใจว่าไม่มีระเบิดหลงเหลืออยู่แล้ว นี่ถึงเตรียมตัวกลับไปหญิงอ้วนคนเมื่อครู่ยักย้ายส่ายก้นไล่ตามมา เข้าไปจับซูจิ่งสิงไว้อย่างหลงใหล“คุณชาย ท่านหล่อเหลาเหลือเกิน”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเบี่ยงตัวหลบไปที่ฝั่งหนึ่ง บุรุษชุดขาวภายใต้แสงจันทร์หล่อเหลายิ่งกว่าเซียนถูกไล่ลงจากสวรรค์“ไสหัวไป”อาจเพราะหญิงอ้วนไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร ยังยิ
กู้หว่านเยว่มองเชือกที่กระจัดกระจายบนพื้นอย่างปวดหัว ย้อนคิดถึงท่าทางอ่อนแอบอบบางของเถาเอ๋อร์ มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่านางยังมีความสามารถนี้อยู่ยิ่งไปกว่านั้นซุนอู่ให้พวกเขาดื่มหร่วนจินซ่านไปแล้ว นางยังสามารถหนีออกไปได้!เถาเอ๋อร์คนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ...“แม่นางกู้ เถาเอ๋อร์คนนั้นยังทิ้งกระดาษไว้หนึ่งแผ่น แต่ข้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ”ซุนอู่พูดออกมาอย่างสงสัย กู้หว่านเยว่รีบรับกระดาษมา อ่านจบกลับเลิกคิ้วขึ้นมองเห็นบนกระดาษแผ่นนั้น ถึงขั้นเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษ ‘SB’ซุนอู่ไม่รู้ว่านี่มีความหมายว่ากระไร กู้หว่านเยว่กลับรู้ว่านี่คือภาษาอังกฤษหมายความว่าโง่Xเถาเอ๋อร์คนนี้ถึงขั้นเป็นผู้ข้ามภพคนหนึ่ง นางข้ามพบมาตั้งแต่ยามใดเล่า? รู้เรื่องที่บิดามารดาทำ ยังด่าพวกเขาโง่X?กู้หว่านเยว่รู้สึกไม่ชมชอบเถาเอ๋อร์คนนี้ที่ภายในก้นบึ้งของหัวใจ กระนั้นนี่ก็อธิบายไม่ยากแล้ว เหตุใดเถาเอ๋อร์สามารถหนีไปได้ข้ามภพนี่นา ย่อมมีทักษะอยู่ในมือ“จะให้ข้าเหล่าซุนไปจับนางกลับมาหรือไม่?”“ไม่ต้อง”รอยเท้าบนพื้นหิมะหายไปแล้วหุบเขาใหญ่เพียงนี้ ไล่ตามไปตอนนี้ก็คือแมลงวันไร้หัว เสียเวลาเดินทางกอปรกับกู้หว่านเยว
เมี่ยชิงหว่านพูดอย่างขบขัน “นางอยากให้เจ้าเป็นสามีรองนะ”“ข้าไม่เอา” ซูจื่อชิงโมโหเมี่ยชิงหว่านเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าจะเป็นสามีให้ใครกันเล่า?”“ข้า” ซูจื่อชิงลอบมองเมี่ยชิงหว่านแวบหนึ่ง พูดงึมงำ “อย่างไรเสียข้าก็ไม่ชอบนาง ข้าชอบหญิงอ่อนโยน”“อ้อ” อ่อนโยนหรือ คล้ายไม่ใกล้เคียงกับตนเองดูท่าแล้ว ครั้งก่อนซูจิ่นเอ๋อร์พูดว่าเจ้าทึ่มคนนี้ชอบตนเอง เป็นนางพูดส่งเดชดังคาดเมี่ยชิงหว่านสะบัดมือจากไปแล้ว“นี่ พวกท่านสองคนเป็นอะไรไปอีก...” ซูจิ่นเอ๋อร์เอือมระอา ระหว่างการเดินทางไม่รู้ได้เห็นพี่รองทำให้พี่หญิงชิงหว่านโมโหกี่ครั้งแล้วหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พี่สะใภ้รองของนางต้องหายไปเป็นแน่!ก็ไม่รู้ว่ากำลังระบายความแค้นของสวีหลานลงบนตัวนางหรือไม่ ระหว่างเดินทางหลี่เฉินอันโยนงานเบ็ดเตล็ดหลากหลายอย่างให้หลี่อวิ๋นอวิ๋นทำ ยังสั่งให้หลี่อวิ๋นอวิ๋นไปขุดหิมะเก็บเห็ดอีกด้วยหลี่อวิ๋นอวิ๋นย่อมไม่ทำ โยนตะกร้าลงพื้นโดยตรง“แม่ข้าล้วนไม่ให้ข้าทำงาน เจ้านับเป็นตัวอะไร?”“ข้านับเป็นตัวอะไร ฮึๆ?” มองพี่หญิงโง่งมคนนี้ เพลิงโทสะก่อตัวขึ้นภายในใจหลี่เฉินอัน พูดประชดประชันหนึ่งประโยค “เจ้าเป็นคุณหนูสูงศ
นักการหวงแทบกระอักโลหิตตาย “ไม่ใช่ๆ ข้าพูดผิดไปแล้ว ข้าไม่เกี่ยวอันใดกับเจียงเต๋อจื้อ...”“ข้าเชื่อเจ้ากับผีสิ เจ้าพูดว่าเกี่ยวก็เกี่ยว เจ้าพูดว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวกระนั้นรึ? ตีก่อนค่อยว่ากัน!”ซูจื่อชิงระบายโทสะใส่เขาพักหนึ่ง ตีเขาจนหน้ากลายเป็นหัวหมูซุนอู่เองก็ไม่ห้าม ชนิดที่ว่าลอบมอบแผ่นรองเท้าให้อีกด้วย“จื่อชิง” ซูจิ่งสิงอยากให้เขาเลิกทำเช่นนี้ กลับถูกกู้หว่านเยว่ห้ามไว้แล้ว “ปล่อยเขาไปเถอะ เด็กคนนี้ลำบากมาตลอดทาง ให้เขาระบายอารมณ์สักหน่อยก็ดี”“...ได้” ต้องฟังคำพูดของภรรยา“ท่านมาดูว่านี่คืออะไร”จู่ๆ กู้หว่านเยว่ก็หยิบรายงานหนึ่งแผ่นออกมา ซูจิ่งสิงรับไปพบว่าไม่ต่างจากหนังสือรับรองพิสูจน์สายเลือดครั้งก่อนมากนักเพียงแต่ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนกัน“ยืนยันว่าหนานหยางอ๋องเป็นบิดาทางชีววิทยาของเมี่ยชิงหว่าน”“ก็หมายความว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกัน!”กู้หว่านเยว่อธิบายยิ้มๆ แม้รู้เรื่องส่วนใหญ่ของพวกเขาสองพ่อลูกตั้งแต่แรก แต่มีรายงานอันเป็น ‘หลักฐานเหล็กดุจขุนเขา’ ที่แท้จริงนี้แล้ว“เจ้าวางแผนช่วยเมี่ยชิงหว่านและหนานหยางอ๋องนับญาติกัน?”ภรรยาตัวน้อยมิใช่คนเข้าไปยุ่งให้มากเรื่อง นี
ที่แท้หลังกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจากไป หวังปี้ก็เห็นฟู่ชิงคนนั้นแล้วขัดตา มักคิดว่านางไม่คล้ายคุณหนูสายตรงของจวนหนานหยางอ๋องทั้งยังเพราะหนานหยางอ๋องให้ความสำคัญต่อนางมาก ได้รับกลับมาหลังสูญเสียไปจึงเอ็นดูฝังถึงกระดูก หวังปี้กลัวความรักของท่านอ๋องตนสูญเปล่า เพราะเหตุนี้จึงตรวจสอบฟู่ชิง“ฟู่ชิงคนนั้นอาจสังเกตเห็นว่าข้าสงสัยในตัวนาง วันก่อนถึงขั้นนัดพบข้าภายในห้อง พูดว่าต้องการสารภาพกับข้าต้องโทษข้าโง่งม เชื่อนางไปเสียได้ปรากฏว่าเข้าไปดื่มสุราหนึ่งจอกก็หมดสติไป ฟื้นขึ้นมาก็มองเห็นนางกำลังปรักปรำข้าเมาสุราต้องการข่มเหงนาง...”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง เรื่องต่อจากนี้นางสามารถหยั่งเดาได้แล้วฟู่ชิงร้องไห้ หวังปี้แก้ต่าง หนานหยางอ๋องโมโหจึงไล่เขาออกมาหวังปี้พูดอย่างโศกเศร้า “ข้าไม่โทษท่านอ๋อง ท่านอ๋องเองก็รักลูกสาวอย่างลึกซึ้ง นี่ถึงถูกหลอกได้ข้าโทษเพียงหญิงชั่วคนนั้น นางไม่เลือกวิธีการ อยู่ข้างกายท่านอ๋องก็ไม่รู้จะก่อเรื่องอะไร”พูดถึงตรงนี้ หวังปี้คุกเข่าต่อหน้ากู้หว่านเยว่อย่างกะทันหัน“ข้ารู้พวกท่านสองสามีภรรยามีความสามารถ พวกท่านเองก็สงสัยฟู่ชิงมิใช่ลูกสาวแ
“ท่านกินอะไรเข้าไปกัน? เหตุใดสมองถึงได้ดีเช่นนี้เจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ดูปั้นปึ้งทว่าไร้เดียงสา ซูจิ่งสิงจึงแตะหัวของนางเบาๆ ด้วยสีหน้ามีเสน่ห์“แน่นอนว่าต้องกินอาหารที่เจ้าทำให้ ตั้งแต่ที่กินอาหารของภรรยา สมองของข้าก็ปราดเปรื่องมากยิ่งขึ้น”“โอ้ ปากหวานนัก! อย่ามาแตะหัวข้านะ!”เมื่อได้ยินคำเตือนจากซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกแล้วจริงๆ ว่านางควรคิดหาวิธีเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของฟู่ฉิงให้เร็วที่สุด“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนไป หนานหยางอ๋องจะมาหาเจ้าเอง”ทั้งกลุ่มทานอาหารเสร็จก็ออกเดินทางต่อหวังปี้อยากเห็นฟู่ฉิงถูกเปิดโปง จึงติดตามกู้หว่านเยว่และคนอื่นๆ ต่อไปเดินทางกันจนฟ้ามืด หลายคนก็เห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกล จึงวางแผนจะเข้าไปพักผ่อนซุนอู่ขึ้นไปเคาะประตู หลังจากเคาะอยู่สองครั้ง ประตูด้านในก็เปิดออกทว่าไม่คิดว่าจะได้เจอหนานหยางอ๋องที่นี่ อีกฝ่ายมาถึงที่นี่หลายวันแล้ว พักค้างคืนอยู่ที่นี่มาตลอด“หนานหยางอ๋องขี่ม้า ย่อมเร็วกว่าพวกเราที่ใช้เท้าเดิน” ซูจิ่งสงอธิบายอยู่ข้างๆ กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดินเข้าไปทักทายคนของหนานหยางอ๋องไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่
เมื่อตัวตนของฟู่ฉิงถูกเปิดเผย อีกฝ่ายย่อมปรากฏตัวออกมาแน่นอน“ช่างเขาไปเถอะ ไปกินข้าวเย็นแล้วพักผ่อนกัน”กู้หว่านเยว่บอกให้ซูจิ่นเอ๋อร์จุดไฟ วางแผนจะทำอาหารเอง ทว่าในขณะที่พวกนางเริ่มทำอาหาร ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทันทีเป็นหญิงชราที่นำถังน้ำมา “พวกเราในหมู่บ้านล้วนแต่ดื่มน้ำสะอาดจากบ่อ กลัวว่ากลางคืนพวกเจ้าจะหากันไม่เจอ จึงนำถังมาให้ท่าน” หญิงชรากล่าว“ว้าว! ขอบคุณเจ้าค่ะ!” ซูจิ่นเอ๋อร์รับมันมาอย่างไม่ระแวงสิ่งใดหญิงชราดูท่าจะชอบพฤติกรรมของซูจิ่นเอ๋อร์มาก เมื่อหันหลังกลับก็จากไปพร้อมรอยยิ้ม“ไม่คิดว่าเหล่าชาวบ้านจะกระตือรือร้นขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ให้ที่อยู่อาศัย แต่ยังส่งน้ำให้พวกเราด้วย ช่างมีน้ำใจจริงๆ”ขณะที่ชื่นชม ซูจิ่นเอ๋อร์ก็ยกถังน้ำเข้ามา กำลังจะเทลงในหม้อกู้หว่านเยว่ตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน”“มีอะไรหรือเจ้าคะ? พี่สะใภ้ใหญ่”นางเดินออกไป ยื่นนิ้ไวไปจุ่มน้ำเล็กน้อย แล้วเอามาวางไว้ใต้จมูก ดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า“น้ำนี้มียา ดื่มไม่ได้”ดูเหมือนว่านางและซูจิ่งสิงจะเดาถูก“มียา ยาอะไรหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่นเอ๋อร์ถามอย่างประหม่า รีบวางถังน้ำลงทันที ราวกับว่าถือเผือก
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง