“น้อมรับคำสั่ง น้องหญิง”ซูจิ่งสิงย่อมรู้ว่ากู้หว่านเยว่หมายถึงอะไร จึงเหาะทะยานล่องูเหลือมยักษ์มาถึงตรงหน้าปรมาจารย์แพทย์ปรมาจารย์แพทย์กำลังเฝ้าดูอย่างสนอกสนใจเขารู้มานานแล้วว่ามีงูเหลือมยักษ์อายุร้อยปีอยู่ที่นี่ รอดูงูเหลือมยักษ์ฉีกพวกเขาทั้งสองเป็นสองท่อน แก้แค้นให้กับลั่วยางผู้เป็นศิษย์รักของเขาเห็นกู้หว่านเยว่เดินเข้ามาถึงตรงหน้าในทันใด แถมยังเผยรอยยิ้มที่มีเจตนาร้ายให้เขาอีกด้วยจากนั้น เลือดไก่ถุงหนึ่งก็ราดลงบนตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า“โอ๊ย ๆ ๆ นังหนูสารเลวช่างร้ายกาจนัก บังอาจเทเลือดไก่ใส่ตัวข้า!”ปรมาจารย์แพทย์ตกตะลึง ก่อนจะดีดตัวขึ้นงูเหลือมยักษ์ชอบกลิ่นคาวที่สุด เมื่อได้กลิ่นเลือดไก่ จะไม่คิดว่าเขาเป็นอาหารกลางวันได้อย่างไร?เห็นงูเหลือมยักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งตามคาด จากนั้นก็โยนกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงทิ้งไป สะบัดหางยักษ์พุ่งตรงไปที่ปรมาจารย์แพทย์“โอ๊ย ๆ ๆ ช่วยด้วย!”ปรมาจารย์แพทย์ชูมือทั้งสองขึ้น สาวเท้าวิ่งหนีไป หนวดเคราผมเผ้าหงอกขาวสั่นระริกกลางอากาศ“อ๊ะ ฮ่า ๆ ๆ”กู้หว่านเยว่เห็นสภาพทุลักทุเลของปรมาจารย์แพทย์ ก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้หลังจากหัวเราะได้สักพั
โอ๊ย น่าโมโหชะมัด! พวกเจ้าสองคนกำลังพลอดรักกันต่อหน้าคนแก่อย่างข้า!”ปรมาจารย์แพทย์ที่อยู่ไม่ไกลร้องโอดครวญอย่างไม่สบอารมณ์ สางเคราหงอกขาวของตัวเองเจ็บปวดใจเคราหงอกขาวที่เขาได้ทะนุถนอมมานานแสนนาน สกปรกไปหมดจากการวิ่งหนี!“ปรมาจารย์แพทย์ เรื่องพิษเย็น ข้าจะมาหาหารือกับท่านวันหลัง”กู้หว่านเยว่ชั่งน้ำหนักเน่ยตันภายในมือ วางแผนที่จะกลับไปช่วยเหลือผู้คนที่โรงเตี๊ยมก่อน ค่อยมาคิดบัญชีกับปรมาจารย์แพทย์อีกครั้งปรมาจารย์แพทย์ย่อมไม่ยอมปล่อยให้นางจากไปอยู่แล้วบัญชีแค้นของลั่วยางก็ยังไม่ชำระ เคราที่เขาพากเพียรบำรุงรักษามาก็สกปรกถึงเพียงนี้ มันทำให้เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง“คิดจะไปหรือ ไม่มีทาง”ปรมาจารย์แพทย์รีบเดินมาถึงด้านหลังของทั้งสอง พลางหัวเราะคิกคัก “รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนอยู่ข้างหลังคนอื่นเสมอ?เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น สะดวกมากขึ้นในการวางยาพิษผู้คน”ว่าแล้วเขาก็หายใจใส่กู้หว่านเยว่ในลมหายใจนั้นมีผงแป้งผสมอยู่ด้วย“ผงหอมดูดวิญญาณ!”กู้หว่านเยว่กลั้นหายใจ ผงหอมดูดวิญญาณเป็นยาหลอนประสาท ปรมาจารย์แพทย์ผู้นี้เลวทรามจริง ๆระหว่างทางที่มา นางได้กินยาถอนพิษไว้ล่วงหน
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเขาเด็ก ๆ เข่นฆ่าผู้คนมากมายเกินไป จนทำให้น้องหวงเพื่อนรักของเขาไม่พาเขาไปเที่ยวเล่น เขาจำต้องสาบานว่าจะไม่ฆ่าใครอีก ก็คงจะวางยาพิษกู้หว่านเยว่ตายไปนานแล้ว“โอ๊ย ๆ ๆ ข้าต้องไปล้างหน้าโกนหนวดแล้ว”ปรมาจารย์แพทย์นวยนาดจากไปมู่หรงอวี้มองคนทั้งสองบนพื้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย“เอาพวกเขาลงมา เตรียมอุปกรณ์ทรมาน เดี๋ยวข้าจะมาทรมานพวกเขาด้วยตัวเอง!”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่นอนอยู่บนพื้นหิมะถูกหามขึ้นมาอีกครั้งหลู่ซื่อพาพวกเขาเข้าไปในห้อง จับมัดมือมัดเท้าเดิมทีควรจะตรวจสอบอีกครั้ง แต่หลู่ซื่อเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลงกลอนประตูเสร็จก็ไปแล้วพร้อมกับที่ประตูปิดลง ซูจิ่งสิงก็ลืมตาขึ้น หลังหลุดจากเชือกมัดได้แล้ว ก็มองไปที่กู้หว่านเยว่เป็นอย่างแรก“น้องหญิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”จากนั้นก็ช่วยกู้หว่านเยว่คลายเชือก“ข้าไม่เป็นอะไร”กู้หว่านเยว่ขยับมือและเท้าครู่หนึ่ง นึกถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา รู้สึกจุกอกพูดไม่ออก“เจ้ามู่หรงอวี้สารเลว ข้าว่าแล้วว่าการตายของลั่วยางถูกโยนความผิดมาที่ข้าได้อย่างไร ที่แท้เขาก็อยู่เบื้องหลังนี่เอง”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว เมื่อวิเคราะ
เมื่อมาถึงนอกเรือน เขาก็ผลักประตูเรือนออก เข้าไปด้วยสีหน้าระแวดระวัง ถือโอกาสลงกลอนประตูเสร็จสรรพ“ตามเข้าไปดู”ซูจิ่งสิงโอบเอวของกู้หว่านเยว่ พานางเหาะขึ้นไปบนหลังคายกแผ่นกระเบื้องออกมองลงไปด้านล่าง ผลคือได้เห็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา“หมอหญิงลั่ว ยังไงท่านก็กินสักหน่อยเถอะ กว่าข้าจะช่วยท่านกลับมาได้ไม่ง่ายเลย ถ้าท่านอดข้าวตาย ข้าไม่ช่วยท่านเสียเปล่าหรอกหรือ?”ใช่แล้ว ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเผือดก็คือลั่วยางที่แท้นางยังไม่ตาย และได้รับการช่วยชีวิตโดยหลู่ซื่อทว่า ในเวลานี้ลั่วยางก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้วนางเคยมีรูปร่างบอบบาง คิ้วและดวงตาเผยความหยิ่งทะนง แต่ตอนนี้แก้มตอบลงจากความหิวโหย มองแวบแรกช่างน่าตกใจจริง ๆลั่วยางจ้องมองเขา“ท่านขังข้าไว้ที่นี่ ไม่ยอมปล่อยข้าออกไป ข้ายอมตายดีกว่ากินข้าว”กู้หว่านเยว่ที่แอบดูอยู่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีโซ่ตรวนเส้นหนึ่งที่ขาของลั่วยาง ทำให้การเคลื่อนไหวของนางในห้องถูกจำกัดหลู่ซื่อคิดผู้นี้คิดจะทำอะไร เหตุใดถึงช่วยใครมาแล้วขังเอาไว้หลู่ซื่อเองก็จนปัญญาเช่นกัน“หมอหญิงลั่ว ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ปล่อยท่านไป เพียงแต่
เห็นทีการหยั่งเดาของพวกเขาถูกต้องแล้ว มู่หรงอวี้ต้องการฆ่าลั่วยาง โยนความผิดให้พวกเขา“มู่หรงอวี้คนนี้ช่างโหดเหี้ยมโดยแท้”กู้หว่านเยว่ทอดถอนใจเรียบร้อยแล้ว กลับคิดว่าสมเหตุสมผล แต่ไรมามู่หรงอวี้ล้วนไม่มีความรักต่อหญิงข้างกาย มีเพียงใช้ผลประโยชน์เท่านั้นสำหรับหญิงที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ก็ล้วนฆ่าตายทั้งสิ้น“ในเมื่อลั่วยางยังมีชีวิตอยู่ จะพานางกลับไปพบปรมาจารย์แพทย์ ชี้แจงให้ชัดเจนหรือไม่?”ซูจิ่งสิงเอ่ยปากขอความเห็นกู้หว่านเยว่ส่ายหน้าลั่วยางคนนี้เห็นได้ชัดว่าหลงใหลในความรัก หากอยู่หน้าปรมาจารย์แพทย์ ถูกมู่หรงอวี้ทำให้ลุ่มหลงแว้งกัดพวกเขา เช่นนั้นต่อให้มีสิบปากก็ล้างมลทินไม่ได้“ให้คนจับตามองนางก่อนเถอะ สบโอกาสค่อยลงมือ อย่างไรเสียระยะนี้ปรมาจารย์แพทย์ก็สร้างปัญหาให้พวกเราไม่ได้”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เรียกฉู่เฟิงออกมา ให้เขาจับตามองลั่วยางอย่างใกล้ชิด“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเราเองก็ไม่ก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่จูงซูจิ่งสิงออกไปนอกเรือน มองเห็นสองคนจับมือกัน ความตื่นเต้นก่อตัวขึ้นภายในใจซูจิ่งสิงระลอกหนึ่ง รีบเดินตามไปอย่างว่องไวได้ออกมาภายนอกอย่างยากลำบากเที่ยวหนึ่ง ทั้งส
“กลางวันแสกๆ พวกเจ้าคิดจะทำอันใด?”กู้หว่านเยว่ถามเสียงเย็นอันธพาลกอดขาร้องโอดครวญสองครั้ง หันหน้ามองเห็นใบหน้าโกรธขึ้งของกู้หว่านเยว่“ข้าเป็นผู้มีอำนาจของเมืองชิงหนิว ยังไม่ต้องให้เจ้าเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง คร้านจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่?”พูดจบก็พาสองสามคนทางด้านหลังปรี่ถลาเข้ามา“น้องหญิง ยกให้ข้า”ซูจิ่งสิงขยับขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จับปกคอเสื้อของอันธพาลเอาไว้และเหวี่ยงหมัดใส่พวกเขา จากนั้นเตะจนลอยกระเด็นออกไป“นับว่าเจ้าร้ายกาจ พวกเรารีบไป!”พวกอันธพาลเห็นว่าสู้ซูจิ่งสิงไม่ได้ รีบวิ่งจากไปแล้ว“ขอบคุณพวกท่านมาก” ฟู่ซานมาหยุดตรงหน้ากู้หว่านเยว่ ร้องไห้กล่าวขอบคุณกู้หว่านเยว่มองเขาและฟู่เยียนหรานแวบหนึ่ง ครุ่นคิดและมอบหมั่นโถวให้ฟู่ซานหนึ่งลูก จากนั้นคร้านจะพูดต่อ หมุนตัวเตรียมจากไป“กู้หว่านเยว่ ล้วนเป็นเจ้าทำร้ายข้าจนกลายเป็นเช่นนี้”ฟู่เยียนหรานมองกู้หว่านเยว่อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต เปล่งเสียงออกมากู้หว่านเยว่พูดไม่ออก เมื่อครู่หากมิใช่เพราะเห็นฟู่ซานเด็กคนนี้น่าสงสาร นางก็ไม่มีวันลงมือช่วยเหลือปรากฏว่าช่วยคนไว้แล้ว ยังถูกฟู่เยียนหรานจดจำความแค้นเอาไว้ หญิ
“นางอยู่ที่ใด?”มู่หรงอวี้รีบหันหน้ามาในทันใด คล้ายไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับฟู่เยียนหราน“อยู่ภายในเมืองชิงหนิว ข้าพบนางเพคะ”“ตาม จับนางกลับมา!”มู่หรงอวี้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันออกคำสั่ง คนใกล้เสียสติเต็มทีเหมือนกับครั้งก่อน ของทั้งหมดภายในจวนถูกขนไปจนเกลี้ยง บัดนี้แม้แต่เงินเหมาเดียวเขาก็ไม่มี ทนมากเพียงพอแล้ว!อำมหิตยิ่งกว่าโจร!“ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้เลย” หลู่ซื่อรีบพาคนไล่ตามไปฟู่เยียนหรานประคองมู่หรงอวี้ไว้ เช็ดรอยเลือดที่มุมปากให้เขาอย่างปวดใจ เอ่ยปากเกลี้ยกล่อม“ท่านอ๋องอย่ามีโทสะเพราะกู้หว่านเยว่เลย ท่านมีฐานะสูงศักดิ์ โมโหคนต่ำต้อยพรรค์นี้ร่างกายมิอาจทนไหว”“อืม”มู่หรงอวี้หลับตาทั้งสองข้าง สีหน้านุ่มนวลขึ้นไม่น้อย แต่อารมณ์ยังคุกรุ่นเขาไม่เข้าใจ หลังได้พบกู้หว่านเยว่ เหตุใดเขาดวงซวยเพียงนี้เล่า?“เหตุใดเจ้ารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่?”มู่หรงอวี้หันมองฟู่เยียนหรานอย่างกะทันหัน เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์เขาตัดสินใจเข้าหาบุตรีของหนานหยางอ๋อง เพื่อดึงหนานหยางอ๋องเป็นพรรคพวก เก็บฟู่เยียนหรานไว้ข้างกาย อาจขวางทางได้“ข้าเดินหาท่านตลอดทาง”เอ่ยถึงเรื่องนี้ฟู
“วันนี้เป็นวันตายของเจ้าแล้ว สหาย ตี!”“โอ้ย...”เด็กหนุ่มถูกกดบนพื้น เพียงครู่เดียวก็ถูกตีจนไม่เหลือคราบมนุษย์ กู้หว่านเยว่คิดภายในใจวันนี้เรื่องให้ใช้ความกล้ามีมากโดยแท้“หยุด!”ลงท้าย กู้หว่านเยว่ยังตัดสินใจยื่นมือออกไป ขยับขึ้นไปเตะหนึ่งในนั้นร่วงพื้น“ซี้ด มีคนยุ่งไม่เข้าเรื่องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว สหาย บุก” อันธพาลเห็นกู้หว่านเยว่เป็นเพียงหญิงคนหนึ่ง ไม่กลัวตั้งแต่แรก เพียงสะบัดมือก็คิดว่าทำนางล้มได้ยังไม่ทันเข้าใกล้ตัวกู้หว่านเยว่ ซูจิ่งสิงทางด้านหลังก็ขยับขึ้นมา เพียงขาข้างเดียวก็เตะคนเหล่านั้นจนลอยกระเด็นไปแล้ว“สหายน้อย เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”เห็นอันธพาลถูกจัดการแล้ว กู้หว่านเยว่ดึงผ้าสีดำบนใบหน้าลง“อย่าแตะต้องข้า!”เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บไม่เบา กลับคล้ายไม่รู้สึกเจ็บก็มิปาน มองกู้หว่านเยว่อย่างหวาดระแวงแวบหนึ่งก็หันหน้าหนีเอาชีวิตรอดไปทางถนนใหญ่แล้ว“ช่างไม่มีมารยาทจริงเชียว”มองเงาหลังของเด็กหนุ่ม กู้หว่านเยว่กลับรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง คล้ายเคยอ่านพบคนลักษณะเช่นนี้ในหนังสือ“พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือนที่ฝั่งหนึ่งกู้หว่านเยว่เห็
“ดูเจ้าสิ พูดเรื่องนี้กับหว่านเยว่เพื่ออะไร?”หลินรู่ไห่ดึงนางเก๋อไว้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขารู้ว่าการบอกเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่นั้นไม่มีประโยชน์เมืองเหยาอยู่ไกลจากที่นี่ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับฮ่องเต้ จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาคนที่เมืองเหยา?พวกเขาไม่อยากให้กู้หว่านเยว่ต้องลำบากใจ“ท่านน้า ต้องขอบคุณน้าสะใภ้ที่บอกข้า เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่พูดทันทีที่เข้ามา?”กู้หว่านเยว่ยังจำหลินเพียวเพียวได้ สาวน้อยที่สงบเสงี่ยมมาก เวลาพูดขึ้นมาก็ดูคงแก่เรียนเมื่อคนสกุลหลินไปที่โรงเตี๊ยมเตียงนอนรวมเพื่อส่งเงินให้นาง หลินเพียวเพียวก็มาด้วย แล้วยังปลอบประโลมนางอย่างนุ่มนวล“หว่านเยว่ พวกเราไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้หว่านเยว่จะสามารถช่วยหลินเพียวเพียวกลับมาได้และพวกเขาก็เป็นห่วงว่าซูจิ่งสิงจะรู้สึกว่าสกุลหลินของพวกเขาเป็นปัญหา ถึงตอนนั้นจะทำให้กู้หว่านเยว่เดือดร้อนไปด้วยกู้หว่านเยว่จำพวกเขาได้ จึงขอให้ซูจิ่งสิงส่งคนไปรับพวกเขาที่ฉูโจว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว จะเสนอเงื่อนไขอะไรได้อย่างไร?“พวกท่าน”กู้หว
“ท่านยาย พวกท่านปลอดภัยดีตลอดเส้นทางไหม?”กู้หว่านเยว่สอบถามพวกเขา แม้ว่าซูจิ่งสิงจะส่งคนไปรับพวกเขาเองก็ตามแต่เวลานี้ทั่วแคว้น ความอดอยากแห้งแล้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โจรร่อนเร่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกแห่งการเดินทางมาของสกุลหลินครั้งนี้ ก็คงไม่สงบสุขนัก“ระหว่างทาง ได้พบกับโจรสลัด”เมื่อนายท่านผู้เฒ่าหลินพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ“โจรสลัดเหล่านั้นฆ่าทุกคนที่พบเจอ ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก น่ากลัวจริง ๆ”สกุลหลินเป็นพลเมืองดีที่ทำการค้า การเข่นฆ่าใด ๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตกใจกลัวจนเหลือทน ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่“ท่านยาย พวกท่านลำบากแย่เลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าโจรเร่ร่อนข้างนอกนั้นเหิมเกริมเช่นนี้“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”นายท่านผู้เฒ่าหลินลูบเครา พลางโบกมือ“โชคดีที่แม่ทัพหนุ่มที่ท่านอ๋องส่งไปฉลาดเฉลียว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พาพวกเราหนีไปทางเรือเล็กแต่น่าเสียดายนายท่านผู้เฒ่าหลินเผยแววตาทนไม่ได้ บนเรือใหญ่ยังมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก“พวกเราหนีออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเรือทั้งลำ
“ข้าไม่เป็นอะไร”ลั่วยางชักมือออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติคนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?เหล่าทหารทุกคนกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ทั้งกองทัพรู้แล้วว่าเขาชอบนางนางไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจ มองไปทางซูจิ่งสิง ขณะที่กำลังจะโต้แย้งก็เห็นคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ คว้ามือของกู้หว่านเยว่ไว้โดยไม่ละอาย น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบจะคั้นเป็นน้ำออกมาได้“น้องหญิงเหนื่อยหรือยัง หิวหรือเปล่า ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”เกาเจี้ยนเบิกตากว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”คนผู้นี้มีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก!“ท่านมาที่นี่ทำไม?”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ซูจิ่งสิงแม้ว่าวันนี้จะไม่ร้อนมาก แต่ซูจิ่งสิงก็สวมชุดกราะตลอดเมื่ออยู่ในกองทัพ ถูกแดดตอนเที่ยงวันสาดส่อง จนเหงื่อแตกพลั่ก“เห็นเจ้าไม่กลับมาเสียที ก็เลยเป็นห่วงเจ้า”ซูจิ่งสิงมองเข้าไปในกระโจม กู้หว่านเยว่ก็อธิบายสถานการณ์ของกงซุนฉิงอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะพาคนกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสกุลกงซุน สั่งให้คนแพร่ข่าวออกไปหลี่กวงถิงถูกจับแล้ว กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ก็ไล่ล่าโจมต
ลั่วยางก็ไม่ได้โกรธเช่นกันทักษะทางการแพทย์ของกู้หว่านเยว่นั้นเหนือกว่านางอยู่แล้ว ลู่จิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย ไปเชิญกู้หว่านเยว่มาอีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ“พี่หว่านเยว่”ลั่วยางมีอายุมากกว่ากู้หว่านเยว่ แต่ในด้านทักษะทางการแพทย์ ถือได้ว่ากู้หว่านเยว่อาวุโสกว่านางประโยค “พี่หว่านเยว่” ของลั่วยาง ก็ไม่ได้เรียกผิด“คุณหนูกงซุนไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยจนล้มไปเท่านั้น”ร่างกายของนางเคยถูกทรมานมาก่อน แม้ว่าจะได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บโชคดีที่กงซุนฉิงมีทักษะการต่อสู้ จึงปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทนต่อความยุ่งวุ่นวายในระดับสูงได้“ข้าฝังเข็มให้นางหนึ่งเล่ม แล้วนางก็ตื่นขึ้นมา”ลั่วยางอธิบาย“แต่ว่า นางนอนหลับ กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเสียด้วยซ้ำไป”“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหลับต่ออีกนิดเถอะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน พลางจับชีพจรของกงซุนฉิงครู่หนึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ลั่วยางพูด“ส่วนทางทหารกล้าตายแนวหน้า”กู้หว่านเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ที่กงซุนฉิงเหนื่อยจนล้มไป ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานักรบหมาป่าได้ให้ก
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา