“วันนี้เป็นวันตายของเจ้าแล้ว สหาย ตี!”“โอ้ย...”เด็กหนุ่มถูกกดบนพื้น เพียงครู่เดียวก็ถูกตีจนไม่เหลือคราบมนุษย์ กู้หว่านเยว่คิดภายในใจวันนี้เรื่องให้ใช้ความกล้ามีมากโดยแท้“หยุด!”ลงท้าย กู้หว่านเยว่ยังตัดสินใจยื่นมือออกไป ขยับขึ้นไปเตะหนึ่งในนั้นร่วงพื้น“ซี้ด มีคนยุ่งไม่เข้าเรื่องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว สหาย บุก” อันธพาลเห็นกู้หว่านเยว่เป็นเพียงหญิงคนหนึ่ง ไม่กลัวตั้งแต่แรก เพียงสะบัดมือก็คิดว่าทำนางล้มได้ยังไม่ทันเข้าใกล้ตัวกู้หว่านเยว่ ซูจิ่งสิงทางด้านหลังก็ขยับขึ้นมา เพียงขาข้างเดียวก็เตะคนเหล่านั้นจนลอยกระเด็นไปแล้ว“สหายน้อย เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”เห็นอันธพาลถูกจัดการแล้ว กู้หว่านเยว่ดึงผ้าสีดำบนใบหน้าลง“อย่าแตะต้องข้า!”เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บไม่เบา กลับคล้ายไม่รู้สึกเจ็บก็มิปาน มองกู้หว่านเยว่อย่างหวาดระแวงแวบหนึ่งก็หันหน้าหนีเอาชีวิตรอดไปทางถนนใหญ่แล้ว“ช่างไม่มีมารยาทจริงเชียว”มองเงาหลังของเด็กหนุ่ม กู้หว่านเยว่กลับรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง คล้ายเคยอ่านพบคนลักษณะเช่นนี้ในหนังสือ“พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือนที่ฝั่งหนึ่งกู้หว่านเยว่เห็
“ท่านอ๋องวางใจ คนที่ส่งออกไปพบเบาะแสของคุณหนูใหญ่แล้ว จะต้องหาพบอย่างแน่นอนส่วนคุณหนูรอง นางหายตัวไปสิบกว่าปีแล้ว ท่านอ๋องสมควรปล่อยวางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”นี่คือเรื่องที่หนานหยางอ๋องเสียใจที่สุด เพียงเอ่ยถึงเขาก็ร้องไห้อย่างอดไม่ได้ ทอดถอนใจพลางเอ่ย“จะปล่อยวางได้เยี่ยงไร? ก็ไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่...”ที่แท้หนานหยางอ๋องยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน เมื่อสิบกว่าปีก่อนเพิ่งเกิดออกมา ก็เผชิญหน้ากับปีแห่งความขาดแคลนท่ามกลางความวุ่นวาย แม่นมทำลูกน้อยหายไปแล้วหนานหยางอ๋องพลิกแผ่นดินหา ก็ไม่พบเบาะแสของลูกสาวพระชายาหนานหยางรักลูกสาวมาก เป็นโรคซึมเศร้า หลังลูกหายไปได้หนึ่งปีก็จากไปหลังจากวันนั้นหนานหยางอ๋องก็เกิดโรคทางใจเอ่ยถึงลูกสาวคนรอง แม่ทัพเฒ่าเลือดเหล็กก็ตาแดงแล้ว“หวังเพียงนางจะมีความสุข ได้พบครอบครัวที่ดี ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลก...”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงพรึงเพริด ที่แท้หนานหยางอ๋องก็ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน มิหนำซ้ำลูกสาวคนนั้นยังหายตัวไปภายในหนังสือมิได้เขียนท่อนนี้ไว้เสียงสนทนาภายในหยุดลงแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงผลักประตูเข้าไป“สองวันนี้อากาศหนาว ข้าเดาว่าท่านอ๋องอาจ
หรือว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญเพียงนี้จริง?ขณะกู้หว่านเยว่ต้องการจับเหลาหลี่มาถามสถานการณ์ของคุณหนูรองที่หายไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านบน หวังปี้เปิดหน้าต่างตะโกนเรียกเขา“แม่ทัพหลี่รีบขึ้นมาเร็วเข้า พบเบาะแสของคุณหนูใหญ่แล้ว”“จริงหรือ?”“จริง ก็อยู่ที่เมืองชิงหนิว!”แม่ทัพหลี่ดีใจมาก ไม่สนใจพูดกับกู้หว่านเยว่ต่ออีก ขึ้นไปด้านบนแล้วกู้หว่านเยว่ทำได้เพียงเก็บเรื่องนี้ไว้ หมุนตัวเข้าห้องครัวเก็บเนื้อกวาง“พี่สะใภ้ใหญ่ คืนนี้พวกกินเนื้อกวางย่างหรือ?”ซูจิ่นเอ๋อร์ถูมือไปมาสีหน้าตื่นเต้น เอ่ยขัดความคิดของนางแล้ว“พวกเรากินผัดเนื้อกวาง”กู้หว่านเยว่มองเนื้อกวางนั้นแวบหนึ่ง อย่างต่ำก็หลายสิบกงจิน อย่างน้อยก็สามารถกินได้สองมื้อในเมื่อหนานหยางอ๋องมอบให้ นางก็ไม่แบ่งให้ทุกคนแล้ว เฉือนเนื้อกวางออกครึ่งหนึ่งตากลมให้แห้ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งหั่นเป็นชิ้นผัดกับพริกกู้หว่านเยว่ลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง ทำเนื้อกวางผัดพริกหนึ่งจาน ทำเนื้อกวางตุ๋นหัวไชเท้าอีกหนึ่งจาน สุดท้ายป้องกันมิให้ทุกคนเป็นร้อนใน ยังต้มน้ำเก๊กฮวยอีกหนึ่งกาหลังทำอาหารเรียบร้อยแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เรียกคนในครอบคร
“ไม่เป็นไร แม่ทัพหวังกินเถอะ”ภายในมือของหวังปี้ใส่เลือดกวางไว้เต็มถ้วยล้วนพูดว่าเลือดกวางบำรุงพลังหยาง บำรุงไต เป็นยาดีแต่ร่างกายนี้ของหวังเยี่ยนไม่เหมาะกินเลือดกวาง“แม่ทัพหวัง ร่างกายท่านอ่อนแอ ข้าชี้แนะท่านอย่าดื่มมากเกินไป”หวังเยี่ยนพูดในใจว่ากู้หว่านเยว่ก็เป็นหญิงคนหนึ่ง ไม่รู้ข้อดีของเลือดกวาง“ก็เพราะร่างกายอ่อนแอ ถึงต้องดื่มเลือดกวางบำรุงอย่างไรเล่า”หมอเทวดาคนนั้นพูดแล้ว ต้องบำรุงมากๆ ร่างกายจึงจะแข็งแรงมิหนำซ้ำมีข่าวของคุณหนูใหญ่แล้ว เขาต้องรีบรักษาให้หายดีโดยเร็วถึงจะใช้ได้หวังปี้ถือเลือดกวางคล้ายเป็นสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ออกไปแล้วกู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเดิมทีหวังปี้ก็ฝึกวิชายุทธ์อยู่ในกองทัพมานาน ทำให้ร่างกายเสียหายอิงตามหลักการแล้วสมควรพักรักษาดีๆ เขากลับใช้ยาแรงกับตนรอทนต่อไปไม่ไหวแล้วก็อย่าร้องไห้มาขอยาจากนางแล้วกันทั้งครอบครัวกินเนื้อกวางอิ่มแล้ว เพื่อมิให้เป็นร้อนใน กู้หว่านเยว่สำทับให้พวกเขาดื่มชาเก๊กฮวยหนึ่งชาม นี่ถึงปล่อยทุกคนกลับไปได้กลับเข้าหอนอนรวม ทุกคนพักผ่อนแล้ว บ้านสกุลซูหดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่มีแรงด่าคนอีกกู้หว่านเยว่ไม่
หรือไม่อยากเห็นนางมีชีวิตที่ดีหรือ?นางได้รับความรักจากหวายหนานอ๋อง ท่านพ่อไม่สมควรภาคภูมิใจหรือ?อย่างไรเสียจวนหนานหยางอ๋องก็เป็นเพียงอ๋องต่างแซ่ ไฉนเลยจะสูงศักดิ์เท่าหวายหนานอ๋อง?อย่างไรเสียก็มีชาติกำเนิดจากอนุ ฟู่เยียนหรานไฉนเลยจะรู้ว่าหากอยู่กับมู่หรงอวี้ นั่นก็เท่ากับลากจวนหนานหยางอ๋องลงน้ำ กระนั้นต่อให้นางรู้ก็ไม่ใส่ใจ“หุบปาก บุญคุณช่วยชีวิต พ่อต้องช่วยเจ้าตอบแทนเป็นแน่!”หนานหยางอ๋องตวาดเสียงเฉียบหากพูดว่าเพราะเหตุใดหนานหยางอ๋องจึงเกลียดมู่หรงอวี้เพียงนี้ ก็เพราะมีสาเหตุมู่หรงอวี้เป็นคนเช่นไร ไอ้คนขี้ขลาดพึ่งพาสตรีจึงได้มาซึ่งอำนาจมิหนำซ้ำเขาเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน รู้เรื่องมู่หรงอวี้ต้องการดึงเข้าไปเป็นพรรคพวกอย่างชัดเจนนี่มิใช่กำลังรนหาที่ตายหรือ?ยกลูกสาวให้แต่งกับเขา นั่นเท่ากับว่าต้องตายไปพร้อมกับเขา!“ท่านอ๋องผู้เฒ่า ข้าเลื่อมใสท่านมานานแล้ว มิสู้กินข้าวด้วยกันสักหนึ่งมื้อดีหรือไม่?” มู่หรงอวี้เชี่ยวชาญเรื่องเอาใจคน“ไม่เป็นไร มองอะไร กลับห้องกับพ่อ!”หนานหยางอ๋องลากลูกสาวไม่ได้เรื่องฟู่เยียนหรานเข้าห้องมู่หรงอวี้ที่ถูกประตูปิดใส่หน้าก็หันหน้ามา มองห็นกู้
“ท่านยังไม่รู้กระมัง คุณหนูใหญ่ก็คือคู่หมั้นของแม่ทัพหวัง”“เมื่อวานคุณหนูใหญ่กลับมา กลับพูดว่าไม่ใช่หวายหนานอ๋องก็ไม่แต่ง!”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง คิดไม่ถึงคู่หมั้นที่หวังปี้คะนึงถึง ถึงขั้นเป็นฟู่เยียนหราน?!ไม่รอให้นางใคร่ครวญอย่างละเอียด ทหารร้องไห้พลางพูด “แม่นางกู้ ท่านรีบช่วยท่านแม่ทัพดีหรือไม่ ข้าเห็นเขาใกล้หมดลมหายใจแล้ว”กู้หว่านเยว่ค้อมเอวลงช่วยดูอาการหวังปี้ยังดี แม้ลมหายใจรวยริน แต่ชีพจรยังอยู่คาดว่าแช่แข็งตลอดทั้งคืน คนก็ถูกแช่แข็งไปแล้วรีบบอกทหาร “แบกแม่ทัพของเจ้ากลับไป วางไว้ในห้อง เพิ่มถ่านสองเตาดีที่สุดหาสักคนหนึ่ง เปลื้องผ้า ใช้อุณหภูมิของร่างกายทำให้ตัวเขาอุ่น”“เปลื้องผ้า?”ทหารหน้าดำในทันใด ไม่หรอกกระมัง?“อืม เปลื้องผ้า” กู้หว่านเยว่พยักหน้า สายตาเห็นใจอยู่บ้าง “รอแม่ทัพของเจ้าฟื้นแล้ว เกลี้ยกล่อมเขาดีๆ ความรักเป็นเรื่องก้นสุนัข ร่างกายต่างหากคือเงินทุนของชีวิต”ฟู่เยียนหรานปีนขึ้นหามู่หรงอวี้แล้ว ต้องไม่มีวันปล่อยมือแน่นอนมิหนำซ้ำคนเฉกเช่นนาง ไม่แต่งกับหวังปี้ สำหรับหวังปี้แล้วนับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?“ขอบคุณแม่นางกู้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะแบกท่านแ
“พี่ใหญ่ซุน ท่านดูเถอะว่าเสื้อบุนวมนี้อุ่นกว่าที่พวกท่านกำลังสวมไม่น้อยใช่หรือไม่?”นุ่นยังไม่เป็นที่นิยมในต้าฉี ทุกคนไม่รู้ว่านุ่นสามารถป้องกันความหนาวได้ ทั้งยังไม่มีเครื่องทอผ้า เพราะเหตุนี้บนตัวจึงสวมใส่เพียงผ้าป่านและผ้าฝ้ายภายในสามชั้นภายนอกสามชั้น ย่อมไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บในวันหนาวเช่นนี้ได้ซุนอู่หยิบเสื้อบุนวมไป ทีแรกยังมองไม่เห็นความพิเศษอะไร ของสิ่งนี้บ้านสามสกุลซูล้วนสวมไว้บนร่างกาย ทุกคนจึงมิได้ใส่ใจจนกระทั่งวางลงบนขาครึ่งหนึ่ง พบว่าขาที่กำลังหนาวเหน็บถึงขั้นอุ่นขึ้นมา ไม่รู้สึกถึงลมหนาวที่ภายนอก นี่ถึงรู้ว่าของเล่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้“จริงเสียด้วย เสื้อบุนวมนี้ช่างเป็นของดีโดยแท้!” ดวงตาซุนอู่ทอประกาย “เสื้อบุนวมนี้เป็นนางหยางทำด้วยตนเองกระนั้นรึ?”กู้หว่านเยว่พูดยิ้มๆ “เจ้าค่ะ”“หากพวกเรานำเสื้อบุนวมนี้ไปขาย จะต้องได้ราคาดีเป็นแน่!แต่ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราจะไปนำวัสดุเหล่านี้มาจากที่ใด?”ซุนอู่เป็นคนหยาบคนหนึ่ง ย่อมไม่มีความรู้ในเรื่องเสื้อผ้าเหล่านี้กู้หว่านเยว่คิดหาทางไว้ดีแล้ว พูดเนิบๆ “พี่ใหญ่ซุนยังจำอวิ๋นมู่ที่เดินทางพร้อมพวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือไ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็อยากทำเสื้อฝ้ายเหมือนกัน ท่านให้ข้าเรียนทำเสื้อฝ้ายกับท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”ซูหรานหร่านเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงกู้หว่านเยว่ มือจับนกชายกระโปรงขึ้น เตรียมจะคุกเข่าลงแต่ถูกกู้หว่านเยว่หยุดเอาไว้ก่อน“ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้หรอก”ซูหรานหร่านมีพ่อเช่นนี้ โง่เขลาทั้งยังหน้าบาง รักชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ก็น่าสงสารไม่น้อยหากนางกับตระกูลซูเก่าไม่ใช่น้ำบ่อเหมือนกัน นางอาจพิจารณาช่วยเหลือสักหน่อยได้ท้ายสุด กู้หว่านเยว่ก็ตัดสินใจให้โอกาสนาง นางจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้ว“เจ้าไปหานักการซุน รับอุปกรณ์และแม่แบบมาเถอะ”“จริงหรือ?” ซูหรานหร่านดีใจมาก “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ความเมตตาของท่านข้าจะเก็บไว้ในใจให้ดีเจ้าค่ะ”หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว นางก็หันหลังกลับ วิ่งไปที่ซุนอู่เพื่อรับของ“ซูหรานหร่าน เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”ซูหัวหยางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอำนาจของผู้เป็นบิดาถูกท้าทาย ดึงเดินมาลากนางกลับไป แต่ก็ถูกซุนอู่เฆี่ยนตีเสียก่อน“ทำอะไรน่ะ? สร้างปัญหาต่อหน้าข้า? อยากอู้งานหรือไร?”กู้หว่านเยว่พูดเอาไว้แล้ว เสื้อผ้าทุกชิ้นเหล่านักการก็จะ
“ดูเจ้าสิ พูดเรื่องนี้กับหว่านเยว่เพื่ออะไร?”หลินรู่ไห่ดึงนางเก๋อไว้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขารู้ว่าการบอกเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่นั้นไม่มีประโยชน์เมืองเหยาอยู่ไกลจากที่นี่ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับฮ่องเต้ จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาคนที่เมืองเหยา?พวกเขาไม่อยากให้กู้หว่านเยว่ต้องลำบากใจ“ท่านน้า ต้องขอบคุณน้าสะใภ้ที่บอกข้า เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่พูดทันทีที่เข้ามา?”กู้หว่านเยว่ยังจำหลินเพียวเพียวได้ สาวน้อยที่สงบเสงี่ยมมาก เวลาพูดขึ้นมาก็ดูคงแก่เรียนเมื่อคนสกุลหลินไปที่โรงเตี๊ยมเตียงนอนรวมเพื่อส่งเงินให้นาง หลินเพียวเพียวก็มาด้วย แล้วยังปลอบประโลมนางอย่างนุ่มนวล“หว่านเยว่ พวกเราไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้หว่านเยว่จะสามารถช่วยหลินเพียวเพียวกลับมาได้และพวกเขาก็เป็นห่วงว่าซูจิ่งสิงจะรู้สึกว่าสกุลหลินของพวกเขาเป็นปัญหา ถึงตอนนั้นจะทำให้กู้หว่านเยว่เดือดร้อนไปด้วยกู้หว่านเยว่จำพวกเขาได้ จึงขอให้ซูจิ่งสิงส่งคนไปรับพวกเขาที่ฉูโจว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว จะเสนอเงื่อนไขอะไรได้อย่างไร?“พวกท่าน”กู้หว
“ท่านยาย พวกท่านปลอดภัยดีตลอดเส้นทางไหม?”กู้หว่านเยว่สอบถามพวกเขา แม้ว่าซูจิ่งสิงจะส่งคนไปรับพวกเขาเองก็ตามแต่เวลานี้ทั่วแคว้น ความอดอยากแห้งแล้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โจรร่อนเร่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกแห่งการเดินทางมาของสกุลหลินครั้งนี้ ก็คงไม่สงบสุขนัก“ระหว่างทาง ได้พบกับโจรสลัด”เมื่อนายท่านผู้เฒ่าหลินพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ“โจรสลัดเหล่านั้นฆ่าทุกคนที่พบเจอ ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก น่ากลัวจริง ๆ”สกุลหลินเป็นพลเมืองดีที่ทำการค้า การเข่นฆ่าใด ๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตกใจกลัวจนเหลือทน ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่“ท่านยาย พวกท่านลำบากแย่เลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าโจรเร่ร่อนข้างนอกนั้นเหิมเกริมเช่นนี้“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”นายท่านผู้เฒ่าหลินลูบเครา พลางโบกมือ“โชคดีที่แม่ทัพหนุ่มที่ท่านอ๋องส่งไปฉลาดเฉลียว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พาพวกเราหนีไปทางเรือเล็กแต่น่าเสียดายนายท่านผู้เฒ่าหลินเผยแววตาทนไม่ได้ บนเรือใหญ่ยังมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก“พวกเราหนีออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเรือทั้งลำ
“ข้าไม่เป็นอะไร”ลั่วยางชักมือออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติคนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?เหล่าทหารทุกคนกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ทั้งกองทัพรู้แล้วว่าเขาชอบนางนางไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจ มองไปทางซูจิ่งสิง ขณะที่กำลังจะโต้แย้งก็เห็นคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ คว้ามือของกู้หว่านเยว่ไว้โดยไม่ละอาย น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบจะคั้นเป็นน้ำออกมาได้“น้องหญิงเหนื่อยหรือยัง หิวหรือเปล่า ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”เกาเจี้ยนเบิกตากว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”คนผู้นี้มีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก!“ท่านมาที่นี่ทำไม?”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ซูจิ่งสิงแม้ว่าวันนี้จะไม่ร้อนมาก แต่ซูจิ่งสิงก็สวมชุดกราะตลอดเมื่ออยู่ในกองทัพ ถูกแดดตอนเที่ยงวันสาดส่อง จนเหงื่อแตกพลั่ก“เห็นเจ้าไม่กลับมาเสียที ก็เลยเป็นห่วงเจ้า”ซูจิ่งสิงมองเข้าไปในกระโจม กู้หว่านเยว่ก็อธิบายสถานการณ์ของกงซุนฉิงอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะพาคนกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสกุลกงซุน สั่งให้คนแพร่ข่าวออกไปหลี่กวงถิงถูกจับแล้ว กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ก็ไล่ล่าโจมต
ลั่วยางก็ไม่ได้โกรธเช่นกันทักษะทางการแพทย์ของกู้หว่านเยว่นั้นเหนือกว่านางอยู่แล้ว ลู่จิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย ไปเชิญกู้หว่านเยว่มาอีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ“พี่หว่านเยว่”ลั่วยางมีอายุมากกว่ากู้หว่านเยว่ แต่ในด้านทักษะทางการแพทย์ ถือได้ว่ากู้หว่านเยว่อาวุโสกว่านางประโยค “พี่หว่านเยว่” ของลั่วยาง ก็ไม่ได้เรียกผิด“คุณหนูกงซุนไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยจนล้มไปเท่านั้น”ร่างกายของนางเคยถูกทรมานมาก่อน แม้ว่าจะได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บโชคดีที่กงซุนฉิงมีทักษะการต่อสู้ จึงปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทนต่อความยุ่งวุ่นวายในระดับสูงได้“ข้าฝังเข็มให้นางหนึ่งเล่ม แล้วนางก็ตื่นขึ้นมา”ลั่วยางอธิบาย“แต่ว่า นางนอนหลับ กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเสียด้วยซ้ำไป”“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหลับต่ออีกนิดเถอะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน พลางจับชีพจรของกงซุนฉิงครู่หนึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ลั่วยางพูด“ส่วนทางทหารกล้าตายแนวหน้า”กู้หว่านเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ที่กงซุนฉิงเหนื่อยจนล้มไป ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานักรบหมาป่าได้ให้ก
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา