หรือไม่อยากเห็นนางมีชีวิตที่ดีหรือ?นางได้รับความรักจากหวายหนานอ๋อง ท่านพ่อไม่สมควรภาคภูมิใจหรือ?อย่างไรเสียจวนหนานหยางอ๋องก็เป็นเพียงอ๋องต่างแซ่ ไฉนเลยจะสูงศักดิ์เท่าหวายหนานอ๋อง?อย่างไรเสียก็มีชาติกำเนิดจากอนุ ฟู่เยียนหรานไฉนเลยจะรู้ว่าหากอยู่กับมู่หรงอวี้ นั่นก็เท่ากับลากจวนหนานหยางอ๋องลงน้ำ กระนั้นต่อให้นางรู้ก็ไม่ใส่ใจ“หุบปาก บุญคุณช่วยชีวิต พ่อต้องช่วยเจ้าตอบแทนเป็นแน่!”หนานหยางอ๋องตวาดเสียงเฉียบหากพูดว่าเพราะเหตุใดหนานหยางอ๋องจึงเกลียดมู่หรงอวี้เพียงนี้ ก็เพราะมีสาเหตุมู่หรงอวี้เป็นคนเช่นไร ไอ้คนขี้ขลาดพึ่งพาสตรีจึงได้มาซึ่งอำนาจมิหนำซ้ำเขาเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน รู้เรื่องมู่หรงอวี้ต้องการดึงเข้าไปเป็นพรรคพวกอย่างชัดเจนนี่มิใช่กำลังรนหาที่ตายหรือ?ยกลูกสาวให้แต่งกับเขา นั่นเท่ากับว่าต้องตายไปพร้อมกับเขา!“ท่านอ๋องผู้เฒ่า ข้าเลื่อมใสท่านมานานแล้ว มิสู้กินข้าวด้วยกันสักหนึ่งมื้อดีหรือไม่?” มู่หรงอวี้เชี่ยวชาญเรื่องเอาใจคน“ไม่เป็นไร มองอะไร กลับห้องกับพ่อ!”หนานหยางอ๋องลากลูกสาวไม่ได้เรื่องฟู่เยียนหรานเข้าห้องมู่หรงอวี้ที่ถูกประตูปิดใส่หน้าก็หันหน้ามา มองห็นกู้
“ท่านยังไม่รู้กระมัง คุณหนูใหญ่ก็คือคู่หมั้นของแม่ทัพหวัง”“เมื่อวานคุณหนูใหญ่กลับมา กลับพูดว่าไม่ใช่หวายหนานอ๋องก็ไม่แต่ง!”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง คิดไม่ถึงคู่หมั้นที่หวังปี้คะนึงถึง ถึงขั้นเป็นฟู่เยียนหราน?!ไม่รอให้นางใคร่ครวญอย่างละเอียด ทหารร้องไห้พลางพูด “แม่นางกู้ ท่านรีบช่วยท่านแม่ทัพดีหรือไม่ ข้าเห็นเขาใกล้หมดลมหายใจแล้ว”กู้หว่านเยว่ค้อมเอวลงช่วยดูอาการหวังปี้ยังดี แม้ลมหายใจรวยริน แต่ชีพจรยังอยู่คาดว่าแช่แข็งตลอดทั้งคืน คนก็ถูกแช่แข็งไปแล้วรีบบอกทหาร “แบกแม่ทัพของเจ้ากลับไป วางไว้ในห้อง เพิ่มถ่านสองเตาดีที่สุดหาสักคนหนึ่ง เปลื้องผ้า ใช้อุณหภูมิของร่างกายทำให้ตัวเขาอุ่น”“เปลื้องผ้า?”ทหารหน้าดำในทันใด ไม่หรอกกระมัง?“อืม เปลื้องผ้า” กู้หว่านเยว่พยักหน้า สายตาเห็นใจอยู่บ้าง “รอแม่ทัพของเจ้าฟื้นแล้ว เกลี้ยกล่อมเขาดีๆ ความรักเป็นเรื่องก้นสุนัข ร่างกายต่างหากคือเงินทุนของชีวิต”ฟู่เยียนหรานปีนขึ้นหามู่หรงอวี้แล้ว ต้องไม่มีวันปล่อยมือแน่นอนมิหนำซ้ำคนเฉกเช่นนาง ไม่แต่งกับหวังปี้ สำหรับหวังปี้แล้วนับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?“ขอบคุณแม่นางกู้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะแบกท่านแ
“พี่ใหญ่ซุน ท่านดูเถอะว่าเสื้อบุนวมนี้อุ่นกว่าที่พวกท่านกำลังสวมไม่น้อยใช่หรือไม่?”นุ่นยังไม่เป็นที่นิยมในต้าฉี ทุกคนไม่รู้ว่านุ่นสามารถป้องกันความหนาวได้ ทั้งยังไม่มีเครื่องทอผ้า เพราะเหตุนี้บนตัวจึงสวมใส่เพียงผ้าป่านและผ้าฝ้ายภายในสามชั้นภายนอกสามชั้น ย่อมไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บในวันหนาวเช่นนี้ได้ซุนอู่หยิบเสื้อบุนวมไป ทีแรกยังมองไม่เห็นความพิเศษอะไร ของสิ่งนี้บ้านสามสกุลซูล้วนสวมไว้บนร่างกาย ทุกคนจึงมิได้ใส่ใจจนกระทั่งวางลงบนขาครึ่งหนึ่ง พบว่าขาที่กำลังหนาวเหน็บถึงขั้นอุ่นขึ้นมา ไม่รู้สึกถึงลมหนาวที่ภายนอก นี่ถึงรู้ว่าของเล่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้“จริงเสียด้วย เสื้อบุนวมนี้ช่างเป็นของดีโดยแท้!” ดวงตาซุนอู่ทอประกาย “เสื้อบุนวมนี้เป็นนางหยางทำด้วยตนเองกระนั้นรึ?”กู้หว่านเยว่พูดยิ้มๆ “เจ้าค่ะ”“หากพวกเรานำเสื้อบุนวมนี้ไปขาย จะต้องได้ราคาดีเป็นแน่!แต่ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราจะไปนำวัสดุเหล่านี้มาจากที่ใด?”ซุนอู่เป็นคนหยาบคนหนึ่ง ย่อมไม่มีความรู้ในเรื่องเสื้อผ้าเหล่านี้กู้หว่านเยว่คิดหาทางไว้ดีแล้ว พูดเนิบๆ “พี่ใหญ่ซุนยังจำอวิ๋นมู่ที่เดินทางพร้อมพวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือไ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็อยากทำเสื้อฝ้ายเหมือนกัน ท่านให้ข้าเรียนทำเสื้อฝ้ายกับท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”ซูหรานหร่านเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงกู้หว่านเยว่ มือจับนกชายกระโปรงขึ้น เตรียมจะคุกเข่าลงแต่ถูกกู้หว่านเยว่หยุดเอาไว้ก่อน“ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้หรอก”ซูหรานหร่านมีพ่อเช่นนี้ โง่เขลาทั้งยังหน้าบาง รักชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ก็น่าสงสารไม่น้อยหากนางกับตระกูลซูเก่าไม่ใช่น้ำบ่อเหมือนกัน นางอาจพิจารณาช่วยเหลือสักหน่อยได้ท้ายสุด กู้หว่านเยว่ก็ตัดสินใจให้โอกาสนาง นางจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้ว“เจ้าไปหานักการซุน รับอุปกรณ์และแม่แบบมาเถอะ”“จริงหรือ?” ซูหรานหร่านดีใจมาก “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ความเมตตาของท่านข้าจะเก็บไว้ในใจให้ดีเจ้าค่ะ”หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว นางก็หันหลังกลับ วิ่งไปที่ซุนอู่เพื่อรับของ“ซูหรานหร่าน เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”ซูหัวหยางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอำนาจของผู้เป็นบิดาถูกท้าทาย ดึงเดินมาลากนางกลับไป แต่ก็ถูกซุนอู่เฆี่ยนตีเสียก่อน“ทำอะไรน่ะ? สร้างปัญหาต่อหน้าข้า? อยากอู้งานหรือไร?”กู้หว่านเยว่พูดเอาไว้แล้ว เสื้อผ้าทุกชิ้นเหล่านักการก็จะ
เงินหนึ่งตำลึงเพียงพอสำหรับครอบครัวธรรมดาให้อยู่ได้ครึ่งเดือนอย่าเห็นว่าซาลาเปาที่นักการมักขายให้กับนักโทษจะมีราคาสูง แต่เมื่อเทียบกับราคาข้างนอกแล้วก็ยังต่ำกว่าอยู่มากไม่คิดว่า เสื้อหนึ่งตัวจะสามารถขายได้หนึ่งตำลึง ดังนั้นจางเอ้อร์จึงพยักหน้ายอมรับทันทีแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนหัวอ่อนว่ากันว่าของหายากมีค่า ในเมืองชิงหนิวแห่งนี้หรือแม้แต่เมืองใกล้เคียงอีกหลายแห่ง นางเป็นเจ้าเดียวที่ขายเสื้อผ้าฝ้าย หากขายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ เสื้อชิ้นหนึ่งอาจมีราคาได้มากกว่ายี่สิบตำลึงเงินหนึ่งตำลึง น้อยเกินไปแล้ว“เจ้าของร้าน ขอเพิ่มราคาอีกหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”“ก็ได้ ห้าตำลึงเล่า? ข้าซื้อเสื้อเจ้าห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งตัว”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว“เสื้อผ้าฝ้ายนี้เป็นของใหม่ ในเมืองชิงหนิวไม่อาจหาซื้อได้ หากถูกผู้สูงศักดิ์ชอบเข้า ยี่สิบตำลึงเงินก็ยังขายออกได้หากเจ้าของร้านอยากได้จริงๆ ละก็ ให้ข้าจำนวนเท่านี้”พูดจบ นางก็ทำสัญลักษณ์เลยย “แปด” เมื่อเห็นว่าเขายังลังเลอยู่ นางก็ยกเท้าขึ้น เตรียมเดินจากไปโดยไม่ลังเลใจ“เดี๋ยวก่อน แม่นางน้อย เดี๋ยวก่อน!” เจ้าของร้านพยายามกดราคาไว้ แต่เมื่อเห็นกู
ระบบแนะนำอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือความสามารถเฉพาะของระบบสภาพอากาศในมิติ สามารถทำให้พืชผลสุกงอมเร็วขึ้น อีกทั้งรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการก็ไม่ด้อยไปกว่าด้านนอก”กู้หว่านเยว่หยิบพวงองุ่นมาแล้วโยนเข้าปาก ดวงตาเป็นประกายทันที“จริงด้วย องุ่นพวกนี้ หวานกว่าองุ่นธรรมดาเสียอีก!”นางรีบเก็บผลผิงกั่ว[footnoteRef:1]และหลี่จือ[footnoteRef:2]แล้วมอบให้คนในครอบครัว รวมถึงเหล่านักการ [1: แอปเปิล] [2: ลูกแพร์] “พี่สะใภ้ใหญ่ ผลไม้พวกนี้หวานมากเลย ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสผลไม้ที่หวานขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ!”ซู่จิ่นเอ๋อร์ได้กัดเพียงครั้งเดียวก็รู้สึกราวกับตกหลุมรักซุนอู่เองก็ยังรู้สึกว่า หลังจากกินผลไม้นี้ ตนเองมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้น“แม่นางน้อยกู้ ผลไม้พวกนี้ท่านซื้อมาจากที่ไหนหรือ? ข้าจะให้พี่น้องไปซื้อมาเพิ่ม”กู้หว่านเยว่อธิบายแบบสบายๆ ว่า “ซื้อมาจากพ่อค้าหน้าโรงเตี๊ยมน่ะ เห็นบอกว่าเก็บมาจากริมบ่อน้ำพุร้อน มันจึงหวานอร่อยกว่าผลไม้ทั่วไปตอนที่ข้าไปถึงก็เหลืออยู่ไม่กี่จิน[footnoteRef:3]แล้ว พ่อค้าก็คงจะกลับไปแล้ว พี่ใหญ่ซุนอย่าออกไปให้เสียเวลาเลยเจ้าค่ะ” [3: ห้าร้อยกรัม] ซุนอู่ทำได้เพ
ในใจลึกๆ รู้ดีว่าฟู่เยียนหรานไม่รู้ความ ดังนั้นจึงไม่สนใจมากนัก เดินตรงไปดังฟู่เยียนหรานกลับมา“ลุงหลี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ? ปล่อยข้าไป ข้าไม่ยอมให้นางแตะต้องพ่อข้า”“มานี่ พาคุณหนูออกไปก่อน”แม่ทัพหลี่ไม่สนใจนาง ก่อนจะเทน้ำให้กู้หว่านเยว่ กล่าวขอโทษนางไปอีกประโยค“แม่นางกู้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ท่านเป็นผู้มีเมตตาไม่เอาความผู้น้อย ดูอาการท่านอ๋องผู้เฒ่าก่อนเถอะขอรับ”“เจ้าค่ะ” กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางย่อมไม่ใช่เพราะฟู่เยียนหรานและไม่ชอบใจท่านอ๋องผู้เฒ่าหยิบน้ำมาแล้วป้อนยาสงบจิตแก่ท่านอ๋องผู้เฒ่า แล้วฉีดยาให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าอีกเข็มหลังจากนั้นไม่นาน หนานหยางอ๋องก็ตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง“ข้า ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”“ท่านอ๋อง ท่านมีโทสะมากเกินไป จึงอาเจียนเป็นเลือดแล้วสลบไปเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาปักระบายความตึงเครียด อธิบายเสียงเรียบรื่น“ปล่อยข้านะ!”ฟู่เยียนหรานรีบผลักคนที่อยู่รอบตัวนางออกไปอย่างเร็ว เดินมาที่เตียง “ท่านพ่อ ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?ท่านอย่ามีโทสะเลยเจ้าค่ะ ข้ากับมู่หรงรักกันจริงๆ นะเจ้าคะ ขอร้องท่านพ่อสนับสนุนพวกเราด้วย”หนานหยางอ๋องโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผ
กู้หว่านเยว่นิ่งไปครู่หนึ่ง คาดคิดว่าฟู่เยียนหรานอาจได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันด้านในทำตัวลับๆ ล่อๆ ดูไม่เหมือนบุตรีแห่งของราชวงศ์แม้แต่น้อยกระนั้น กู้หว่านเยว่พลางคิดว่าในหนังสือต้นฉบับ ฟู่เยียนหรานเกือบจะวางยาพิษหนานหยางอ๋องตาย เป็นเพราะได้ยินว่าหนานหยางอ๋องคิดจะตามหาลูกสาวแท้ๆ กลับมา?“สามี สองสามวันนี้ท่านช่วยส่งคนมาจับตาดูฟู่เยียนหรานหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?หากนางมีอะไรผิดปกติ ให้รีบบอกข้าทันที”กู้หว่านเยว่ไม่ได้บอกเหตุผลซูจิ่งสิงไปตรงๆ เพราะนางเองก็ไม่อาจเรียกได้ว่ารู้อนาคตล่วงหน้า“ได้”โชคดีที่ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนช่างสงสัย เขาเรียกฉู่เฟิงเข้ามา และสั่งการด้วยเสียงทุ้มต่ำด้านนอกยังคงมีหิมะโปรยปราย ถนนหนทางปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน กองพะเนินสูงเท่ากับเข่ายามเดินผ่านกู้หว่านเยว่เดินเข้าครัวไปต้มน้ำแกงมาสามชาม เดินกลับมาก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูและซูหัวหยางวิ่งวุ่นไปมาหลังจากที่เห็นนาง ก็ถ่มน้ำลาย “ถุย เสนียด!”“หาเรื่องหรือไร? กล้าดีอย่างไรไม่เคารพแม่นางน้อยกู้เช่นนั้น?!” หวังปี้กำหมัดแน่นอยู่ข้างหลังเขา “อย่าหนีสิ มีปัญญารังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ไม่มีปัญญาสู้ตัวต่อตัวกับข
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง