“ท่านอ๋องวางใจ คนที่ส่งออกไปพบเบาะแสของคุณหนูใหญ่แล้ว จะต้องหาพบอย่างแน่นอนส่วนคุณหนูรอง นางหายตัวไปสิบกว่าปีแล้ว ท่านอ๋องสมควรปล่อยวางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”นี่คือเรื่องที่หนานหยางอ๋องเสียใจที่สุด เพียงเอ่ยถึงเขาก็ร้องไห้อย่างอดไม่ได้ ทอดถอนใจพลางเอ่ย“จะปล่อยวางได้เยี่ยงไร? ก็ไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่...”ที่แท้หนานหยางอ๋องยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน เมื่อสิบกว่าปีก่อนเพิ่งเกิดออกมา ก็เผชิญหน้ากับปีแห่งความขาดแคลนท่ามกลางความวุ่นวาย แม่นมทำลูกน้อยหายไปแล้วหนานหยางอ๋องพลิกแผ่นดินหา ก็ไม่พบเบาะแสของลูกสาวพระชายาหนานหยางรักลูกสาวมาก เป็นโรคซึมเศร้า หลังลูกหายไปได้หนึ่งปีก็จากไปหลังจากวันนั้นหนานหยางอ๋องก็เกิดโรคทางใจเอ่ยถึงลูกสาวคนรอง แม่ทัพเฒ่าเลือดเหล็กก็ตาแดงแล้ว“หวังเพียงนางจะมีความสุข ได้พบครอบครัวที่ดี ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลก...”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงพรึงเพริด ที่แท้หนานหยางอ๋องก็ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน มิหนำซ้ำลูกสาวคนนั้นยังหายตัวไปภายในหนังสือมิได้เขียนท่อนนี้ไว้เสียงสนทนาภายในหยุดลงแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงผลักประตูเข้าไป“สองวันนี้อากาศหนาว ข้าเดาว่าท่านอ๋องอาจ
หรือว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญเพียงนี้จริง?ขณะกู้หว่านเยว่ต้องการจับเหลาหลี่มาถามสถานการณ์ของคุณหนูรองที่หายไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านบน หวังปี้เปิดหน้าต่างตะโกนเรียกเขา“แม่ทัพหลี่รีบขึ้นมาเร็วเข้า พบเบาะแสของคุณหนูใหญ่แล้ว”“จริงหรือ?”“จริง ก็อยู่ที่เมืองชิงหนิว!”แม่ทัพหลี่ดีใจมาก ไม่สนใจพูดกับกู้หว่านเยว่ต่ออีก ขึ้นไปด้านบนแล้วกู้หว่านเยว่ทำได้เพียงเก็บเรื่องนี้ไว้ หมุนตัวเข้าห้องครัวเก็บเนื้อกวาง“พี่สะใภ้ใหญ่ คืนนี้พวกกินเนื้อกวางย่างหรือ?”ซูจิ่นเอ๋อร์ถูมือไปมาสีหน้าตื่นเต้น เอ่ยขัดความคิดของนางแล้ว“พวกเรากินผัดเนื้อกวาง”กู้หว่านเยว่มองเนื้อกวางนั้นแวบหนึ่ง อย่างต่ำก็หลายสิบกงจิน อย่างน้อยก็สามารถกินได้สองมื้อในเมื่อหนานหยางอ๋องมอบให้ นางก็ไม่แบ่งให้ทุกคนแล้ว เฉือนเนื้อกวางออกครึ่งหนึ่งตากลมให้แห้ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งหั่นเป็นชิ้นผัดกับพริกกู้หว่านเยว่ลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง ทำเนื้อกวางผัดพริกหนึ่งจาน ทำเนื้อกวางตุ๋นหัวไชเท้าอีกหนึ่งจาน สุดท้ายป้องกันมิให้ทุกคนเป็นร้อนใน ยังต้มน้ำเก๊กฮวยอีกหนึ่งกาหลังทำอาหารเรียบร้อยแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เรียกคนในครอบคร
“ไม่เป็นไร แม่ทัพหวังกินเถอะ”ภายในมือของหวังปี้ใส่เลือดกวางไว้เต็มถ้วยล้วนพูดว่าเลือดกวางบำรุงพลังหยาง บำรุงไต เป็นยาดีแต่ร่างกายนี้ของหวังเยี่ยนไม่เหมาะกินเลือดกวาง“แม่ทัพหวัง ร่างกายท่านอ่อนแอ ข้าชี้แนะท่านอย่าดื่มมากเกินไป”หวังเยี่ยนพูดในใจว่ากู้หว่านเยว่ก็เป็นหญิงคนหนึ่ง ไม่รู้ข้อดีของเลือดกวาง“ก็เพราะร่างกายอ่อนแอ ถึงต้องดื่มเลือดกวางบำรุงอย่างไรเล่า”หมอเทวดาคนนั้นพูดแล้ว ต้องบำรุงมากๆ ร่างกายจึงจะแข็งแรงมิหนำซ้ำมีข่าวของคุณหนูใหญ่แล้ว เขาต้องรีบรักษาให้หายดีโดยเร็วถึงจะใช้ได้หวังปี้ถือเลือดกวางคล้ายเป็นสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ออกไปแล้วกู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเดิมทีหวังปี้ก็ฝึกวิชายุทธ์อยู่ในกองทัพมานาน ทำให้ร่างกายเสียหายอิงตามหลักการแล้วสมควรพักรักษาดีๆ เขากลับใช้ยาแรงกับตนรอทนต่อไปไม่ไหวแล้วก็อย่าร้องไห้มาขอยาจากนางแล้วกันทั้งครอบครัวกินเนื้อกวางอิ่มแล้ว เพื่อมิให้เป็นร้อนใน กู้หว่านเยว่สำทับให้พวกเขาดื่มชาเก๊กฮวยหนึ่งชาม นี่ถึงปล่อยทุกคนกลับไปได้กลับเข้าหอนอนรวม ทุกคนพักผ่อนแล้ว บ้านสกุลซูหดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่มีแรงด่าคนอีกกู้หว่านเยว่ไม่
หรือไม่อยากเห็นนางมีชีวิตที่ดีหรือ?นางได้รับความรักจากหวายหนานอ๋อง ท่านพ่อไม่สมควรภาคภูมิใจหรือ?อย่างไรเสียจวนหนานหยางอ๋องก็เป็นเพียงอ๋องต่างแซ่ ไฉนเลยจะสูงศักดิ์เท่าหวายหนานอ๋อง?อย่างไรเสียก็มีชาติกำเนิดจากอนุ ฟู่เยียนหรานไฉนเลยจะรู้ว่าหากอยู่กับมู่หรงอวี้ นั่นก็เท่ากับลากจวนหนานหยางอ๋องลงน้ำ กระนั้นต่อให้นางรู้ก็ไม่ใส่ใจ“หุบปาก บุญคุณช่วยชีวิต พ่อต้องช่วยเจ้าตอบแทนเป็นแน่!”หนานหยางอ๋องตวาดเสียงเฉียบหากพูดว่าเพราะเหตุใดหนานหยางอ๋องจึงเกลียดมู่หรงอวี้เพียงนี้ ก็เพราะมีสาเหตุมู่หรงอวี้เป็นคนเช่นไร ไอ้คนขี้ขลาดพึ่งพาสตรีจึงได้มาซึ่งอำนาจมิหนำซ้ำเขาเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน รู้เรื่องมู่หรงอวี้ต้องการดึงเข้าไปเป็นพรรคพวกอย่างชัดเจนนี่มิใช่กำลังรนหาที่ตายหรือ?ยกลูกสาวให้แต่งกับเขา นั่นเท่ากับว่าต้องตายไปพร้อมกับเขา!“ท่านอ๋องผู้เฒ่า ข้าเลื่อมใสท่านมานานแล้ว มิสู้กินข้าวด้วยกันสักหนึ่งมื้อดีหรือไม่?” มู่หรงอวี้เชี่ยวชาญเรื่องเอาใจคน“ไม่เป็นไร มองอะไร กลับห้องกับพ่อ!”หนานหยางอ๋องลากลูกสาวไม่ได้เรื่องฟู่เยียนหรานเข้าห้องมู่หรงอวี้ที่ถูกประตูปิดใส่หน้าก็หันหน้ามา มองห็นกู้
“ท่านยังไม่รู้กระมัง คุณหนูใหญ่ก็คือคู่หมั้นของแม่ทัพหวัง”“เมื่อวานคุณหนูใหญ่กลับมา กลับพูดว่าไม่ใช่หวายหนานอ๋องก็ไม่แต่ง!”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง คิดไม่ถึงคู่หมั้นที่หวังปี้คะนึงถึง ถึงขั้นเป็นฟู่เยียนหราน?!ไม่รอให้นางใคร่ครวญอย่างละเอียด ทหารร้องไห้พลางพูด “แม่นางกู้ ท่านรีบช่วยท่านแม่ทัพดีหรือไม่ ข้าเห็นเขาใกล้หมดลมหายใจแล้ว”กู้หว่านเยว่ค้อมเอวลงช่วยดูอาการหวังปี้ยังดี แม้ลมหายใจรวยริน แต่ชีพจรยังอยู่คาดว่าแช่แข็งตลอดทั้งคืน คนก็ถูกแช่แข็งไปแล้วรีบบอกทหาร “แบกแม่ทัพของเจ้ากลับไป วางไว้ในห้อง เพิ่มถ่านสองเตาดีที่สุดหาสักคนหนึ่ง เปลื้องผ้า ใช้อุณหภูมิของร่างกายทำให้ตัวเขาอุ่น”“เปลื้องผ้า?”ทหารหน้าดำในทันใด ไม่หรอกกระมัง?“อืม เปลื้องผ้า” กู้หว่านเยว่พยักหน้า สายตาเห็นใจอยู่บ้าง “รอแม่ทัพของเจ้าฟื้นแล้ว เกลี้ยกล่อมเขาดีๆ ความรักเป็นเรื่องก้นสุนัข ร่างกายต่างหากคือเงินทุนของชีวิต”ฟู่เยียนหรานปีนขึ้นหามู่หรงอวี้แล้ว ต้องไม่มีวันปล่อยมือแน่นอนมิหนำซ้ำคนเฉกเช่นนาง ไม่แต่งกับหวังปี้ สำหรับหวังปี้แล้วนับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?“ขอบคุณแม่นางกู้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะแบกท่านแ
“พี่ใหญ่ซุน ท่านดูเถอะว่าเสื้อบุนวมนี้อุ่นกว่าที่พวกท่านกำลังสวมไม่น้อยใช่หรือไม่?”นุ่นยังไม่เป็นที่นิยมในต้าฉี ทุกคนไม่รู้ว่านุ่นสามารถป้องกันความหนาวได้ ทั้งยังไม่มีเครื่องทอผ้า เพราะเหตุนี้บนตัวจึงสวมใส่เพียงผ้าป่านและผ้าฝ้ายภายในสามชั้นภายนอกสามชั้น ย่อมไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บในวันหนาวเช่นนี้ได้ซุนอู่หยิบเสื้อบุนวมไป ทีแรกยังมองไม่เห็นความพิเศษอะไร ของสิ่งนี้บ้านสามสกุลซูล้วนสวมไว้บนร่างกาย ทุกคนจึงมิได้ใส่ใจจนกระทั่งวางลงบนขาครึ่งหนึ่ง พบว่าขาที่กำลังหนาวเหน็บถึงขั้นอุ่นขึ้นมา ไม่รู้สึกถึงลมหนาวที่ภายนอก นี่ถึงรู้ว่าของเล่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้“จริงเสียด้วย เสื้อบุนวมนี้ช่างเป็นของดีโดยแท้!” ดวงตาซุนอู่ทอประกาย “เสื้อบุนวมนี้เป็นนางหยางทำด้วยตนเองกระนั้นรึ?”กู้หว่านเยว่พูดยิ้มๆ “เจ้าค่ะ”“หากพวกเรานำเสื้อบุนวมนี้ไปขาย จะต้องได้ราคาดีเป็นแน่!แต่ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราจะไปนำวัสดุเหล่านี้มาจากที่ใด?”ซุนอู่เป็นคนหยาบคนหนึ่ง ย่อมไม่มีความรู้ในเรื่องเสื้อผ้าเหล่านี้กู้หว่านเยว่คิดหาทางไว้ดีแล้ว พูดเนิบๆ “พี่ใหญ่ซุนยังจำอวิ๋นมู่ที่เดินทางพร้อมพวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือไ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็อยากทำเสื้อฝ้ายเหมือนกัน ท่านให้ข้าเรียนทำเสื้อฝ้ายกับท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”ซูหรานหร่านเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงกู้หว่านเยว่ มือจับนกชายกระโปรงขึ้น เตรียมจะคุกเข่าลงแต่ถูกกู้หว่านเยว่หยุดเอาไว้ก่อน“ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้หรอก”ซูหรานหร่านมีพ่อเช่นนี้ โง่เขลาทั้งยังหน้าบาง รักชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ก็น่าสงสารไม่น้อยหากนางกับตระกูลซูเก่าไม่ใช่น้ำบ่อเหมือนกัน นางอาจพิจารณาช่วยเหลือสักหน่อยได้ท้ายสุด กู้หว่านเยว่ก็ตัดสินใจให้โอกาสนาง นางจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้ว“เจ้าไปหานักการซุน รับอุปกรณ์และแม่แบบมาเถอะ”“จริงหรือ?” ซูหรานหร่านดีใจมาก “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ความเมตตาของท่านข้าจะเก็บไว้ในใจให้ดีเจ้าค่ะ”หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว นางก็หันหลังกลับ วิ่งไปที่ซุนอู่เพื่อรับของ“ซูหรานหร่าน เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”ซูหัวหยางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอำนาจของผู้เป็นบิดาถูกท้าทาย ดึงเดินมาลากนางกลับไป แต่ก็ถูกซุนอู่เฆี่ยนตีเสียก่อน“ทำอะไรน่ะ? สร้างปัญหาต่อหน้าข้า? อยากอู้งานหรือไร?”กู้หว่านเยว่พูดเอาไว้แล้ว เสื้อผ้าทุกชิ้นเหล่านักการก็จะ
เงินหนึ่งตำลึงเพียงพอสำหรับครอบครัวธรรมดาให้อยู่ได้ครึ่งเดือนอย่าเห็นว่าซาลาเปาที่นักการมักขายให้กับนักโทษจะมีราคาสูง แต่เมื่อเทียบกับราคาข้างนอกแล้วก็ยังต่ำกว่าอยู่มากไม่คิดว่า เสื้อหนึ่งตัวจะสามารถขายได้หนึ่งตำลึง ดังนั้นจางเอ้อร์จึงพยักหน้ายอมรับทันทีแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนหัวอ่อนว่ากันว่าของหายากมีค่า ในเมืองชิงหนิวแห่งนี้หรือแม้แต่เมืองใกล้เคียงอีกหลายแห่ง นางเป็นเจ้าเดียวที่ขายเสื้อผ้าฝ้าย หากขายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ เสื้อชิ้นหนึ่งอาจมีราคาได้มากกว่ายี่สิบตำลึงเงินหนึ่งตำลึง น้อยเกินไปแล้ว“เจ้าของร้าน ขอเพิ่มราคาอีกหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”“ก็ได้ ห้าตำลึงเล่า? ข้าซื้อเสื้อเจ้าห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งตัว”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว“เสื้อผ้าฝ้ายนี้เป็นของใหม่ ในเมืองชิงหนิวไม่อาจหาซื้อได้ หากถูกผู้สูงศักดิ์ชอบเข้า ยี่สิบตำลึงเงินก็ยังขายออกได้หากเจ้าของร้านอยากได้จริงๆ ละก็ ให้ข้าจำนวนเท่านี้”พูดจบ นางก็ทำสัญลักษณ์เลยย “แปด” เมื่อเห็นว่าเขายังลังเลอยู่ นางก็ยกเท้าขึ้น เตรียมเดินจากไปโดยไม่ลังเลใจ“เดี๋ยวก่อน แม่นางน้อย เดี๋ยวก่อน!” เจ้าของร้านพยายามกดราคาไว้ แต่เมื่อเห็นกู
แม่ม่ายหลี่กอดเด็กสองคนไว้ในอ้อมแขน รู้สึกตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหลอาบแก้มนอกจากพวกเขาแล้ว ชาวประมงคนอื่น ๆ ก็สวมกอดกับครอบครัวของพวกเขาเช่นกัน“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านกลับมาแล้ว อาเฉ่าคิดถึงท่านมาก”“ลูกชายของข้าล่ะ ลูกชายของข้าทำไมไม่กลับมา?”ชายวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเรืออย่างร้อนรน ก็เห็นศพสองศพบนดาดฟ้าเรือแม้ว่าศพทั้งสองจะถูกทับจนเละเทะไปหมด แต่ลุงเนี่ยก็ยังจำเสื้อผ้าบนศพทั้งสองได้ในทันที เพราะเป็นเสื้อผ้าที่เขาตัดเย็บเองกับมือ“ต้าหู่ เสียวหู่ พวกเจ้าเป็นอะไรไป?”ลุงเนี่ยร้องไห้โฮแล้ววิ่งเข้าไป ซูจิ่งสิงเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมา แล้วบอกสาเหตุการตายของทั้งสองคนให้เขาฟัง“ตอนที่พวกเราไปถึง ทั้งสองคนนี้ก็เละเทะไปหมดแล้ว ขาดใจตายไปนานแล้ว”“ต้าหู่ เสียวหู่ พวกเจ้าลืมตาขึ้นมามองพ่อสิ พ่อจะเสียพวกเจ้าไปไม่ได้!”ลุงเนี่ยร้องไห้เสียงดังลั่น หัวหน้าหมู่บ้านรีบเข้าไปอธิบายให้เขาฟังคงเป็นเพราะรับไม่ได้ที่ลูกชายทั้งสองจากไป เขาจึงเป็นลมล้มพับไป“ใครก็ได้ เร็วเข้า พาเนี่ยต้าเหลียงกลับบ้านทีแล้วก็ศพของต้าหู่และเสียวหู่ พวกเจ้าไปหาแผ่นไม้มา แล้วนำศพกลับไปที่บ้านสกุลเนี่ย”“พวกเราจ
มองเห็นร่างของพวกเขาค่อย ๆ กลายเป็นจุดดำเล็ก ๆ จนหายไปในที่สุดกู้หว่านเยว่จึงนำชาวประมงสิบคน หนานหยางอ๋อง และศพอีกสองศพออกมาจากมิติศพทั้งสองนั้นถูกก้อนหินทับจนเละเทะไปหมด มองดูแล้วน่าสยดสยองจริง ๆ กู้หว่านเยว่จึงไปเด็ดใบไม้ใหญ่ ๆ ริมแม่น้ำ มาคลุมศพเอาไว้“ท่านพี่ ข้าจะเข้าไปดูงูหลามยักษ์ตัวนั้นในมิติก่อน”ระหว่างรอ กู้หว่านเยว่ก็บอกกับซูจิ่งสิง หลัก ๆ แล้วนางกังวลว่างูหลามยักษ์จะคลุ้มคลั่งอยู่ในมิติ“ได้ เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะคอยดูต้นทางให้เจ้าข้างนอกนี่เอง”ซูจิ่งสิงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน กู้หว่านเยว่จึงรีบเข้าไปในมิติแต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ หลังจากเข้าไปแล้ว กลับไม่พบฉากนองเลือดอย่างที่คิดไว้งูหลามยักษ์สีขาวกำลังนอนขดอยู่กับนกหงส์เพลิงนกตัวหนึ่ง งูตัวหนึ่ง คุยกันเจื้อยแจ้ว ราวกับกำลังรำลึกความหลังกู้หว่านเยว่ ? นกกับงูเป็นเพื่อนกันได้ด้วยหรือ?“จูเชวี่ย พวกเจ้าสองตัวเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา นกหงส์เพลิงก็รีบกางขาเล็กๆ สองข้าง กระพือปีกบินมาหากู้หว่านเยว่ จากนั้นเอาหัวถูไถนางอย่างสนิทสนมส่วนงูหลามยักษ์สีขาวก็เอียงหัว กะพริบตา จ
“ข้า...ข้าแอบตามหลังพวกท่านมา ก็เลยติดตามมาด้วย”ซูจื่อชิงก็ก้มหน้าเช่นกัน ทั้งสองคนเหมือนเด็กน้อยสองคนที่ทำความผิดมองดูเด็กตัวป่วนสองคนที่เพิ่งรอดตาย กู้หว่านเยว่ก็ดุพวกเขาไม่ลง“ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก มันอันตรายมาก”ซูจิ่งสิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อเห็นการกระทำที่ซูจื่อชิงปกป้องเมี่ยชิงหว่านเมื่อครู่นี้ เขาในฐานะพี่ชายก็รู้สึกโล่งใจน้องรองโตขึ้นแล้ว“รีบเอามือเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”เมี่ยชิงหว่านนึกอะไรขึ้นได้ รีบคว้ามือทั้งสองข้างของซูจื่อชิง เมื่อเห็นฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง“เหตุใดเจ้าถึงโง่เช่นนี้ เมื่อครู่ เจ้าสามารถทิ้งข้าแล้วหนีเอาตัวรอดไปได้แท้ ๆ ”ซูจื่อชิงไม่พูดอะไร ถ้าเขาคิดจะหนีเอาตัวรอด คงไม่ช่วยเมี่ยชิงหว่านตั้งแต่แรกแล้ว“พี่หว่านเยว่ พี่รีบดูแผลที่ฝ่ามือของเขาเร็ว”เมี่ยชิงหว่านร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาบางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตกใจมากเกินไป ซูจื่อชิงจึงไม่รู้สึกเหนื่อย คิดแต่ว่าจะพายให้เร็วขึ้นอีกหน่อยตอนนี้พ้นจากอันตรายแล้ว เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือทันที แขนทั้งสองข้างก็ปวดเมื่อยจนชาไปหมดแม้แต่เรี่ยวแรงที่
“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ”กู้หว่านเยว่เห็นว่าในมิติล้วนเต็มไปด้วยทองคำ จึงยิ้มอย่างมีความสุขมากเป็นพิเศษ มีเงินนี่ดีจริง ๆ มีเงินก็สามารถทำการใหญ่ได้“ไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ ทำความสะอาดเครื่องเรือนที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างใส่ใจ ทั้งสองมองย้อนกลับไปดูทางส่วนลึกของถ้ำในสุสานใต้ดินเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจูงมือกันเดินกลับทางเดิมขณะที่ผ่านทางเดิน เห็นชาวประมงสองคนที่ถูกทับตายอย่างน่าสงสาร คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจนำศพของพวกเขากลับไปด้วยเวลานี้หนานหยางอ๋องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว และป้อนน้ำเชื่อมที่กู้หว่านเยว่ทิ้งไว้ให้เหล่าชาวประมงตามจำนวนเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นทั้งสองคนพุ่งตัวออกมาจากข้างใน จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับเช็ดเหงื่อ“ท่านอ๋อง พระชายา ในที่สุดพวกท่านก็ออกมาแล้ว ข้ายังกังวลว่าพวกท่านจะพบกับอันตราย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”หนานหยางอ๋องรีบหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา “ชาวบ้านจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กหายไปทั้งหมดสิบสองคน ตายไปสองคน ที่เหลืออยู่ที่นี่แล้ว”ที่แท้หัวหน้าหมู่บ้านก็ให้สมุดเล่มเล็กกับเขาเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการตามหาชาวประมงที
นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบดาบยาวขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่าดาบเล่มนี้เข้ากับซูจิ่งสิงมากทีเดียว“ท่านพี่ ดาบเล่มนี้เหมาะกับท่านมาก”“ข้าขอลองหน่อย” ซูจิ่งสิงรับดาบยาวมา ทันทีที่จับดาบไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้หยิบดาบยาวขึ้นมา ฟันไปที่โซ่เหล็กข้างหนึ่งผลปรากฏว่าโซ่เหล็กนั่นขาดทันที“คมกริบ ดาบเล่มนี้เป็นของดีจริง ๆ !”กู้หว่านเยว่ร้องอุทาน เมื่อเห็นว่าซูจิ่งสิงชอบดาบเล่มนี้มาก จึงเสนอว่า“ท่านพี่ ถ้าท่านชอบดาบเล่มนี้ ก็เก็บไว้ข้างกายเถิด”“ตกลง” ซูจิ่งสิงนาน ๆ ทีจะชอบของสักอย่างมากขนาดนี้ตอนที่ทั้งสองคนเพิ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสุสานของใครสักคน แต่หลังจากเดินวนไปรอบ ๆ สุสานใต้ดินแล้ว กู้หว่านเยว่ก็พบว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเคยอาศัยอยู่ดูสิ ที่ส่วนลึกของสุสานใต้ดิน ยังสามารถมองเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง บนโต๊ะมีกระจกทองแดง ด้านหน้ายังมีกล่องใส่เครื่องประทินโฉมอีกด้วยด้านหลังยังมีเตียงหินอีกหนึ่งเตียง แม้ว่าที่นี่จะเก่าแก่มาก ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น แต่ก็มองเห็นเลือนรางว่าเป็นที่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่“ท่านพี่
“ต้าหนิว เจ้าทำอะไร?” เอ้อร์โก่วล้มลงกับพื้น โกรธจนหน้าแดงก่ำ“พวกเขาสองคนถูกหินทับตาย มันเกี่ยวอะไรกับข้า?”ต้าหนิวกำหมัดแน่น เอ่ยถามด้วยความโมโห “หากมิใช่เพราะเจ้าหวาดกลัวเกินไปจนผลักพวกเขาสองคนล้มลง พวกเขาจะถูกหินทับตายหรือไม่ สรุปแล้วก็เป็นเพราะเจ้า”หลังจากที่พวกเขาถูกวังน้ำวนขนาดใหญ่พัดพาเข้ามาในสุสานใต้ดินแห่งนี้ โชคดีที่พวกเขามีเสบียงติดตัวมาบ้าง จึงสามารถประทังชีวิตอยู่ในสุสานใต้ดินได้ระยะหนึ่งแต่เมื่อสองวันก่อน เสบียงของพวกเขาหมดแล้วดังนั้น จึงตัดสินใจส่งคนห้าคนลงไปยังส่วนลึกของสุสานใต้ดินเพื่อหาอาหารถ้าหาอาหารเจอ หรือหาทางออกเจอก็ได้แต่หลังจากพวกเขาเข้าไปในส่วนลึกของอุโมงค์ กลับพบงูหลามยักษ์สีขาวตัวนั้นตอนที่เอ้อร์โก่วหนีเอาตัวรอด เป็นเพราะหวาดกลัวเกินไป เขาจึงผลักเพื่อนสองคนออกไป แล้วรีบวิ่งไปหลบหลังผนังหินก่อน ส่วนเพื่อนสองคนที่ถูกเขาผลักนั้นล้มลงกับพื้น และบังเอิญถูกก้อนหินที่ร่วงลงมาจากด้านบนทับพอดี จึงถูกทับตายคาที่หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว กู้หว่านเยว่ก็มองไปยังเอ้อร์โก่วด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอ้อร์โก่วหน้าแดงก่ำพลางกล่าวขึ้น “ข้าไม่ควรหนีเอาช
กู้หว่านเยว่กะพริบตา นางก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหนเหมือนกัน แต่พอเห็นดวงตาของงูตัวนั้นแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกซูจิ่งสิงก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ เขายังรู้สึกสนิทสนมกับงูหลามยักษ์ตัวนี้อย่างน่าประหลาด เมื่อเห็นว่างูหลามยักษ์สงบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว และไม่ทำร้ายใครอีก กู้หว่านเยว่จึงเก็บขลุ่ยเข้าไปในมิติอีกครั้งจากนั้นก็กระโดดลงมาจากผนังหิน มาถึงข้าง ๆ งูหลามยักษ์ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็โบกมือเก็บงูหลามยักษ์เข้าไปในมิติ“เก็บมันเข้าไปในมิติก่อน รอออกไปข้างนอกแล้วเราค่อย ๆ ศึกษา”“ก็ดี”“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีใครช่วยพวกเราได้บ้าง...”ทันใดนั้นก็มีเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากมุมหนึ่ง ทั้งสองคนตามเสียงไป พบว่าที่มุมนั้นมีก้อนหินขนาดใหญ่วางขวางอยู่ข้างหน้า เสียงนั้นดังมาจากข้างหลังก้อนหินกู้หว่านเยว่โบกมือ เก็บก้อนหินนั้นเข้าไปในมิติโดยตรง จากนั้น คนที่ซ่อนอยู่หลังก้อนหินก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนเหล่านี้หิวจนผอมโซ แทบจะจำหน้าตาไม่ได้แล้ว พอเห็นทั้งสองคนก็หวาดกลัว จากนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยพวกเรา ขอบคุณ ขอบคุณมาก”กู้หว่านเย
โดยทั่วไปแล้ว สถานที่ที่มีสัตว์ประหลาดคอยเฝ้าอยู่ มักจะมีสมบัติและดูจากแผนที่แล้ว ที่นี่เป็นเพียงทางเข้าสุสานใต้ดินเท่านั้น ยังไปไม่ถึงส่วนลึกของสุสานใต้ดินเลยด้วยซ้ำในเมื่อได้แผนที่มาแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่มีทางกลับไปมือเปล่าแน่นอน ด้วยนิสัยของนางแล้ว จะต้องกวาดล้างสมบัติในสุสานใต้ดินแห่งนี้ให้หมดเกลี้ยงถึงจะพอใจ“ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงไม่ได้ปฏิเสธเพราะเขารู้สึกได้ว่า นับตั้งแต่เข้ามาในสุสานใต้ดิน ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังเรียกหาเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีเมื่อเดินไปถึงส่วนลึกของสุสานใต้ดิน เขาอาจจะไขปริศนานี้ได้หนานหยางอ๋องไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ตนพูดไปมากมายขนาดนั้น สองสามีภรรยาคู่นี้ยังจะคิดเข้าไปตายอีก ทำเอาเกือบจะกระอักเลือดออกมา“ท่านอ๋อง พระชายา ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าข้างในนั้นมีสัตว์ประหลาด พวกท่านเข้าไป จะพบกับอันตราย”กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน ข้าก็ไม่กลัวหรอก และต่อหน้าข้า พวกมันก็เทียบข้าไม่ติด”ล้อเล่นน่า สัตว์ประหลาดอะไรจะน่ากลัวเท่านางกันล่ะ?ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดพวกนั้น เมื่อเห็นน
กู้หว่านเยว่หยิบน้ำเชื่อมออกมาขวดหนึ่งแล้วยื่นให้เขา พร้อมกับอธิบาย“ข้าและท่านพี่ได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”หนานหยางอ๋องได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ประสานมือคารวะทั้งสองคน“ขอบคุณท่านอ๋องและพระชายาที่ยังเป็นห่วงข้า”กู้หว่านเยว่เห็นเขามีสีหน้าอ่อนเพลีย จึงรีบเอ่ยขึ้น “รีบดื่มน้ำเชื่อมนี่เถิด จะช่วยให้ท่านฟื้นฟูกำลังได้”“ตกลง”หนานหยางอ๋องเปิดขวดน้ำเชื่อมอย่างเชื่อฟัง แล้วดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่น้อยเลยจริง ๆ จึงรีบดื่มน้ำเชื่อมที่เหลือจนหมดขวดในขณะที่หนานหยางอ๋องดื่มน้ำเชื่อมอยู่นั้น กู้หว่านเยว่ก็ไปดูชาวประมงคนอื่น ๆ พบว่าชาวประมงเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นลมเพราะความหิวชุนจวี๋รีบวิ่งเข้ามาดู แต่หลังจากที่ตามหาหนึ่งรอบแล้ว ก็ไม่พบสามีของนาง“พี่ต้าหนิว เหตุใดจึงไม่เห็นพี่ต้าหนิวเลยล่ะ?”ต้าหนิวเป็นคนกลุ่มแรกที่ตกลงไปในวังน้ำวน ตามหลักแล้ว เขาก็น่าจะอยู่ที่นี่ แต่เหตุใดจึงไม่พบเขาเลย?ชุนจวี๋ร้อนใจจนแทบบ้าเมื่อเห็นชาวประมงเหล่านี้ นางก็รู้สึกดีใจอย่างมาก คิดว่าในที่สุดก็ได้พบกับสามีของนางแล้ว แ