“ทุกคนในสกุลโจวล้วนเป็นขุนนางซื่อสัตย์ พวกเขาไม่มีวันยอมจำนน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จับเป็นเขาเถอะ จำไว้ให้ดีอย่าทำร้ายแม่ทัพน้อยโจว”ขุนนางซื่อสัตย์เช่นนี้ นางไม่อยากเด็ดขาดเกินไปนัก“บ่าวเข้าใจแล้ว”ชิงเหลียนพูดหนึ่งประโยค ตอนนี้กองทัพเจดีย์หนิงกู่ทางฝั่งนี้ล้วนเคลื่อนไหวทั้งหมดแล้ว ภายในมือพวกเขาถือธนูและหน้าไม้ผู้อยู่ใต้อาณัติโจวเสี้ยนไม่ใช่คู่ต่อสู้ตั้งแต่แรก ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็พ่ายแพ้ราบคาบมู่หรงถิงกวาดตามองรอบด้าน หาโอกาสหนีอยู่ตลอดกู้หว่านเยว่ย่อมไม่เปิดโอกาสให้เขาหนีไปได้ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายใกล้ปะทะกันเต็มที นางเหินบินขึ้นไป“ฝ่าบาทระวัง”โจวเสี้ยนตะโกนดังลั่น ลองยับยั้งกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่ยกเท้าขึ้นเตะโจวเสี้ยนออกไป ขณะเดียวกันองครักษ์จันทราทางด้านหลังก็ไล่ตามมาจับโจวเสี้ยนไว้“บังอาจ!”มู่หรงถิงฝืนรักษาศักดิ์ศรี ตะเบ็งเสียงใส่กู้หว่านเยว่“เราเป็นโอรสสวรรค์ เป็นฮ่องเต้ต้าฉี เจ้าถึงขั้นขวัญกล้าไล่ต้อนเราถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่หัวเราะดูเบา“บัดนี้ท่านเป็นฮ่องเต้ต้าฉีจริง แต่ฮ่องเต้ท่านคนนี้หมดวาระแล้ว ภายภาคหน้าให้คนอื่นมาเป็นแทนเถอะ”นางลงพื้นอย่างไร้เ
“ไป”ใบหน้าซูจิ่งสิงประดับยิ้ม นำกองทัพไปรวมตัวกับกู้หว่านเยว่“ซูจิ่งสิง เจ้ากบฏ เจ้าขวัญกล้าจับเรา คนรุ่นหลังจะวิจารณ์เจ้าเยี่ยงไร!”มู่หรงถิงสบถด่าตลอดทางไม่หยุด“เราได้รับสืบทอดบัลลังก์จากอดีตฮ่องเต้อย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม”“เจ้ายกทัพก่อกบฏ เจ้าทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง!”เขาด่าว่ายกใหญ่ ด่าได้หยาบคายเพียงใดก็ด่าเพียงนั้นกู้หว่านเยว่แคะหู มอบให้เขาหนึ่งหมัด “หุบปากสุนัขของท่านเสีย ยังกล้าพูดอีก ข้าจะตัดลิ้นท่าน!”มู่หรงถิงถูกต่อยจนฟันหลุดหนึ่งซี่ คนงุนงงไปสุดท้ายก็เป็นความน่ากลัวของกู้หว่านเยว่ใช้ได้ผล เขาไม่กล้าพูดอีกตามคาด“ฉวยโอกาสตอนได้รับชัยชนะ บุกโจมตีด่านหานกู่!”ภายในด่านหานกู่ หนานหลีม่านเพิ่งตื่น นางที่ได้รู้ว่ากำลังตั้งครรภ์คล้ายถูกอัสนียบาตร“เก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้”หนานหลีม่านยื่นมือออกไปหมายจะทุบครรภ์ของตนนางกำนัลเสี่ยวเหอตกใจรีบห้ามนางไว้“คุณหนู ท่านจะทำร้ายตนเองไม่ได้นะเจ้าคะ”เดิมทีสุขภาพของคุณหนูก็ไม่ดีอยู่แล้ว ฝืนทำให้แท้งเช่นนี้จะต้องส่งผลเสียต่อร่างกายแน่“เจ้าอย่าห้ามข้า!”หนานหลี่ม่านตอบสนองอย่างรุนแรง“ต่อให้ตาย ข้าก็ไม่ต้องการเด็กคน
“โจวเหล่า ท่านรีบนั่งเถอะ”ประคองโจวเหล่าไปนั่งดีแล้ว เขาถึงเอ่ยถาม “ท่านไม่อยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ เหตุใดมาที่นี่เล่า?”“ท่านอ๋อง”โจวเหล่าจับแขนของซูจิ่งสิงเพื่อให้เขานั่งลงข้างกัน เปล่งเสียงชรา“ท่านอ๋อง วันที่ฮ่องเต้ต้องการยกทัพด้วยตนเอง ข้าก็เดินทางมาจากเจดีย์หนิงกู่ในวันนั้นข้าเดาว่าท่านจะต้องสามารถจับฮ่องเต้ได้แน่ท่านยังจำได้หรือไม่ ข้าเคยกำชับท่าน อย่าฆ่าฮ่องเต้เป็นอันขาดจะต้อง จะต้องทำเรื่องบางอย่างให้ชัดเจน”ซูจิ่งสิงหยั่งเดาบางอย่างได้“สาเหตุการตายของอดีตรัชทายาทและพระชายารัชทายาท จะต้องให้ฮ่องเต้ยืนยันเรื่องนี้”พูดตามสัตย์จริงมู่หรงถิงคนพรรค์นั้น เขาเป็นฮ่องเต้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตฮ่องเต้อย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม เว้นเสียแต่สืบหาสาเหตุการตายของอดีตรัชทายาทให้กระจ่าง ซูจิ่งสิงถึงจะสืบทอดบัลลังก์ได้อย่างไร้มลทิน“ท่านข้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ การตายของท่านพ่อท่านแม่หนีไม่พ้นฮ่องเต้ชั่ว”ซูจิ่งสิงหรี่ตาทั้งสองข้างลง“แต่จะให้เขาเอ่ยปากยอมรับ น่ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้”ตราบใดที่มู่หรงถิงไม่ได้เสียสติ เขาก็ไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้โจวเหล่าพูดเสียงเครียด “ไม่เพ
ดวงตากู้หว่านเยว่ทอประกายระยับ จู่ๆ ก็เอ่ยปากออกมา“วิธีใด?”ซูจิ่งสิงเอ่ยถามเสียงเครียด เขาเห็นว่ามู่หรงถิงเป็นคนดื้อรั้น“ตอนนี้ยังไม่รีบ ต้องรอคนผู้หนึ่งกลับมาเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หันมองฉู่เฟิง“เจ้าเฝ้าฮ่องเต้ดีๆ อย่าให้เขาหนีไปได้ อีกทั้งอย่าให้เขาฆ่าตัวตายเป็นอันขาด”ทว่า อิงตามความเข้าใจของกู้หว่านเยว่ที่มีต่อฮ่องเต้ชั่ว เขาเป็นคนรักชีวิตคนหนึ่ง ไม่มีวันทำเรื่องฆ่าตัวตายทำนองนี้“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”ฉู่เฟิงรีบเข้าไปในห้อง เฝ้ามู่หรงถิงอย่างใกล้ชิด“พวกเราไปกินข้าวก่อนเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่พาซูจิ่งสิงกลับห้อง ทั้งคู่เหนื่อยมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ได้นอนหลับพักผ่อน อีกทั้งยังไม่ได้กินข้าวแม้แต่มื้อเดียวนางสั่งให้ห้องครัวยกโจ๊กข้าวฟ่างเข้ามาสองถ้วยซูจิ่งสิงไม่อยากอาหารกินสองคำก็วางถ้วยลงแล้ว“น้องหญิงเจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ งานที่เหลือมอบให้ข้าจัดการก็พอ”“ไม่ได้ ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนท่าน”เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอดีตรัชทายาท นางกังวลซูจิ่งสิงจะวู่วามนางกินโจ๊กข้าวฟ่างทีละคำๆ ตอนวางถ้วยลง เกาเจี้ยนก็กลับมาจากภายนอกแล้ว“กลับมาเร็วถึงเพียงนี้ จ
เขาทำลายทุกอย่างของข้า ยังบังคับให้ข้าเข้าวัง บังคับขืนใจข้า”หนานหลีม่านเอ่ยถึงเรื่องในอดีต ใบหน้างดงามเปี่ยมความแค้นเคือง“ข้าไม่มีวันลืมทั้งหมดที่เขาทำกับสกุลหนานหลี”จู่ๆ นางก็หันมองทางซูจิ่งสิง“เจิ้นเป่ยอ๋อง ท่านทุกข์ใจมากใช่หรือไม่?เมื่อแรกท่านถูกยึดทรัพย์เนรเทศ จะต้องทุกข์ใจมากแน่ ใช่หรือไม่?”นางพูดพึมพำ“แต่ข้าทุกข์ใจยิ่งกว่าท่าน ข้าไม่ได้ทำอันใด ก็แค่เกิดมามีรูปโฉมเช่นนี้จวนหนานหลีอ๋องของข้า ทั้งหมดหลายร้อยชีวิตสกุลหนานหลีของข้า ถูกทำลายทั้งตระกูล เหลือเพียงข้าผู้เดียว”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง ปีนั้นฮ่องเต้ชั่วทำเรื่องนี้แล้วก็เริ่มหาทางปิดปากทุกคนวันนี้ได้ยินหนานหลีม่านพูดออกมา ทั้งคู่ยังรู้สึกตกใจเพื่อสตรีคนหนึ่งก็สามารถทำเรื่องฆ่าล้างตระกูลได้ฮ่องเต้ชั่วช่างโหดเหี้ยมอำมหิตโดยแท้กู้หว่านเยว่ลอบสอดเรื่องชาวบ้านหนานหลีม่านคนนี้งดงามจริง รูปโฉมงดงามเป็นอันดับหนึ่งทว่า เพราะวาสนาได้พบหน้ากันเพียงครั้งเดียว มู่หรงถิงก็สามารถทำเรื่องบ้าคลั่งเช่นนี้ออกมาได้หรือ?“เจ้าและมู่หรงถิงมีวาสนาได้พบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นหรือ?”“ย่อมเป็นเ
กู้หว่านเยว่พยักหน้า “หนานหลีอ๋องไม่ได้ชอบนาง”หนานหลีม่านหัวเราะ “เทียนอวี๋ นางเป็นสตรีที่ชอบคาดเดาจิตใจผู้อื่น หลังจากนางเข้ามาในจวนอ๋อง แสร้งทำเป็นสหายรักกับข้า ต่อมา นางปลอมตัวเป็นข้า แล้วเข้าไปในห้องของพี่ชาย หลังจากที่เขาดื่มเหล้าจนเมา”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลงเทียนอวี๋เป็นคนที่ฉลาดมากจริงๆ หากนางแสร้งตีสนิทกับหนานหลีม่าน แล้วสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของหนานหลีม่านกับหนานหลีอ๋อง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ “มิน่าผู้เฒ่าหวงถึงได้กล่าวเช่นนั้น”เป็นเวรกรรมจริงๆนางคาดเดาความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้แล้ว“ต่อจากนั้น เทียนอวี๋ข่มขู่ให้หนานหลีอ๋องจำเป็นต้องแต่งกับนาง แล้วหลอกล่อมู่หรงถิงมา จากนั้นอาศัยอำนาจของมู่หรงถิง แยกพวกเจ้าออกจากกันเพื่อให้ได้ตัวเจ้ามาครอง มู่หรงถิงจึงทำลายล้างตระกูลหนานหลี”นี่เรียกได้ว่า ราชาชิงรักขุนนางอย่างแท้จริง!“ถูกต้อง”ดวงตาหนานหลีม่านสั่นไหว“พระชายา ท่านคาดเดาได้ถูกต้องทั้งหมด”“นางหลอกเอาภาพวาดของข้า แล้วมอบให้มู่หรงถิง”เรื่องราวต่อจากนั้น เป็นที่รู้กันไปทั่วแผ่นดินเมื่อมู่หรงถิงเห็นภาพวาดหนานหลีม่าน ตกหลุมรักนางทันที จึงไปขอกับหนานหลี
“หนานหลีม่าน?”กู้หว่านเยว่เบิกตาโต รีบพุ่งเข้ามาตรงประตู แล้วถีบประตูออก เมื่อนางเห็นสภาพด้านใน ดวงตานางเพ่งมอง จากนั้นหันไปตะโกนบอกซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ท่านอย่าเข้ามา!”ซูจิ่งสิงหดขากลับไป ฟังคำสั่งของกู้หว่านเยว่ ไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อแต่เขาได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งออกมาจากในห้องแล้วเขาคาดเดาถึงบางอย่าง เดินวนไปมาในลานบ้านด้วยสีหน้าหนักหน่วง“หนานหลีม่าน เจ้า เจ้าทำเช่นนี้ทำไม?”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ดึงตัวหนานหลีม่านที่จมอยู่ในกองเลือดขึ้นมาช่วงล่างของนางเต็มไปด้วยเลือดนางถึงกับทำคลอดให้ตัวเอง!“ข้า หน้าที่ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว”หนานหลีม่านหายใจอย่างอิดโรย ดวงตาจ้องมองหลังคา“นี่ นี่เป็นมารหัวขนของมู่หรงถิง ข้าเก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด”กู้หว่านเยว่เงียบงัน“พระชายา เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าทำได้แล้ว มู่หรงถิงรักข้ามาก เจ้า เจ้านำเด็กในอ่างเลือดไปมอบให้เขา เขาจะรับปากเจ้าแน่นอนและขอร้องเจ้า ให้รับปากข้าเรื่องหนึ่ง”กู้หว่านเยว่ไม่อาจปฏิเสธนางได้ “เจ้าว่ามา”“เสี่ยวเหอ เป็นนางกำนัลที่ข้ารับมาเลี้ยงดู นาง นางเป็นผู้บริสุทธิ์”“คุณหนู” เสี่ยวเหอคุกเข่าบนพื้น
“ซูจิ่งสิงเอ๋ยซูจิ่งสิง เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นแบบอย่างของคนมีคุณธรรมไม่ใช่หรือ ลงมือกับสตรีเป็นวีรบุรุษประสาอะไร?”เขาพยายามอดกลั้นความห่วงใยที่มีต่อหนานหลีม่าน ไม่อยากถูกทั้งสองควบคุม“ท่านลองดูสิว่านี่คือสิ่งใด?”กู้หว่านเยว่โบกมือ สั่งให้ชิงเหลียนยกอ่างเลือดใบนั้นเข้ามา“นี่มัน”มู่หรงถิงนึกถึงบางอย่าง สองมือสั่นเทาขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาแดงก่ำมองไปที่สองสามีภรรยา“เราจะฆ่าพวกเจ้า!”“เราจะฆ่าพวกเจ้า!”“น้องหญิงระวัง” ซูจิ่งสิงรีบโอบเอวของกู้หว่านเยว่ แล้วพานางเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างมู่หรงถิงโผเข้าหาความว่างเปล่า ล้มลงบนพื้นอย่างแรงสายตากินเลือดกินเนื้อของเขาจ้องมองทั้งสอง“พวกเจ้าสองคนมันสารเลว มีความโกรธแค้นชิงชังใด ให้มาลงที่ข้า เหตุใดจึงลงมือกับนาง จิตใจช่างอำมหิตยิ่งนัก!”เขารู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในอ่างเลือดใบนั้นคือสิ่งใดเขาเกลียดชังสุดขีดไม่เคยเกลียดซูจิ่สิงเท่าวินาทีนี้มาก่อน“เจ้าเป็นคนดีวีรุบุรุษประสาอะไร ถึงได้ลงมือกับสตรี?”ซูจิ่งสิงมองเขาคลุ้มคลั่งอย่างเย็นชา“ตอนนั้นที่เจ้าลงมือกับมารดาของข้า เคยคิดบ้างหรือไม่ว่านางคือหญิงท้อง และในท้องน
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคิดจะสั่งอาหารตามรายการเมนู ปรากฏว่าครู่ต่อมา เจียงหรงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”นางทำความเคารพทั้งสองคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจ “พวกเราสองคนแต่งกายปลอมตัวมา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะมา?”นางประคองเจียงหรงให้รีบลุกขึ้น เจียงหรงยิ้มอย่างขัดเขิน “เสี่ยวเอ้อร์ที่รับรองพวกท่านเข้ามารายงาน บอกว่ามีแขกสองท่านที่ท่าทางไม่ธรรมดามาถึงเพคะ หม่อมฉันจึงลองซักถามไปสองสามคำ ก็เดาได้ว่าเป็นฝ่าบาทและฮองเฮาเสด็จมาเพคะ”“ฉลาดจริง ๆ ”กู้หว่านเยว่กล่าวชื่นชมสมแล้วที่เป็นยอดภรรยาผู้มากความสามารถของท่านราชเลขาธิการ“ข้าและฝ่าบาทแต่งกายปลอมตัวออกมา ได้ยินว่าเจ้าเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง จึงตั้งใจมาลองชิมดูว่ารสชาติอาหารเสฉวนของที่นี่เป็นต้นตำรับหรือไม่ ทำตัวตามสบายเถอะ อย่าให้ฐานะของพวกเรารั่วไหลออกไป ปฏิบัติต่อเราเหมือนแขกธรรมดาทั่วไปก็พอแล้ว”เจียงหรงพยักหน้า “นายท่าน ฮูหยิน วางใจเถิดเพคะ”นางสังเกตสีหน้าของทั้งสองคน “หากนายท่านและฮูหยินต้องการจะลองอาหารเสฉวน ลองชิมสักสองสามอย่างนี้ดูเพคะ ต้มเลือดเป็ดผ้าขี้ริ้ว ไก่ทอดผัดพริกเสฉวน
ตอนนั้นเถ้าแก่ให้นางพักอยู่ในคอกม้า ลูกของนางยังตัวร้อนเป็นไข้สูงกู้หว่านเยว่จำได้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางดูไม่เหมือนชาวต้าฉีหญิงสาวผู้นี้เป็นใครกันแน่?“หงเจา” หากเป็นพวกต้มตุ๋นหากินทั่วไป กู้หว่านเยว่ไม่เพียงแต่จะไม่ให้เงิน แต่ยังจะสั่งสอนบทเรียนให้ชุดใหญ่ แต่เวลานี้นางเปลี่ยนใจแล้ว โบกมือเรียกหงเจาให้เข้ามา“ฮูหยิน อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้”หงเจาถึงกับถกแขนเสื้อขึ้นแล้ว ตั้งใจจะไปโต้เถียงกับหญิงสาวผู้นั้นกู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “หยิบเศษเงินมาสักก้อน แล้วยื่นให้หญิงสาวผู้นั้น”“ฮูหยินเจ้าคะ?”“เร็วเข้า ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”กู้หว่านเยว่ปล่อยม่านรถม้าลง ไม่ให้หญิงสาวผู้นั้นได้เห็นหน้าตาของนางแต่หญิงสาวผู้นั้นคงจะรู้สึกผิดอยู่ในใจ จึงยังคงหลับตาแน่น และไม่กล้ามองสอดส่ายไปยังบนรถม้า“เฮ้อ ฮูหยินช่างใจบุญเสียจริง”หงเจาถอนหายใจ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงทำเช่นนี้ แต่คำสั่งของฮูหยิน นางย่อมต้องฟัง ดังนั้นจึงหยุดโต้เถียงในทันที รีบล้วงหยิบเศษเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ แล้วโยนให้หญิงสาวผู้นั้น“เร็วเข้า ๆ ๆ เงินนี่ให้เจ้าแล้ว เอ
อวิ๋นมู่รับยาน้ำมาด้วยสองมือเขาร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด ร่างกายจึงเปราะบางอ่อนแอกว่าคนทั่วไป เคยมีหมอวินิจฉัยว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบห้าปีภายใต้การดูแลรักษาของกู้หว่านเยว่ สุขภาพของเขาก็ดีวันดีคืนอย่างเห็นได้ชัด“ฮองเฮา ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”สายตาของอวิ๋นมู่ฉายแววซาบซึ้งกู้หว่านเยว่มิใช่เป็นเพียงคนที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนเทพธิดาที่เขาเทิดทูนบูชาอยู่ในใจเขาคือสาวกผู้ภักดีของนาง“เรื่องดินปืน เจ้าจงฟังคำสั่งจากเกาเจี้ยน แม่ทัพใหญ่ในการโจมตีหนานเจียงครั้งนี้คือเขา”“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”อวิ๋นมู่พยักหน้า เขากับเกาเจี้ยนสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นการสื่อสารย่อมไม่มีอุปสรรคหลังจากปรึกษาหารือเรื่องดินปืนเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ออกจากสกุลอวิ๋น ขึ้นรถม้าไปยังร้านอาหารที่เจียงหรงเปิดเพื่อรับประทานอาหาร“ปึง!”ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแทกดังมาจากด้านหน้ารถม้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็พากันสะดุ้งตกใจกับเสียงนี้“นายท่าน ชนคนเข้าแล้วเจ้าค่ะ”น้ำเสียงตื่นตระหนกของหงเจาดังเข้ามา ทำให้ทั้งสองคนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเปิด
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ใหญ่ ขอบพระทัยพี่สะใภ้ใหญ่ กระหม่อมจะรีบนำข่าวดีไปบอกชิงหว่านเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ซูจื่อชิงดีใจยิ่งนัก รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะไปยังทั้งสองคนเสียงดังตุบ ๆ จากนั้นก็ทำราวกับเด็กหนุ่มใจร้อนคนหนึ่ง วิ่งออกจากวังไปอย่างรวดเร็ว“ไม่ได้เรื่อง”ซูจิ่งสิงทนมองไม่ได้กู้หว่านเยว่กล่าวหยอกล้อ “ดูเหมือนว่าบางคนจะไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าน้องชายของตนเองเสียอีก”“นั่นไม่ได้เรียกว่าไม่ได้เรื่อง นั่นเรียกว่าต่อหน้าน้องหญิง ต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา”ซูจิ่งสิงท่าทางดูจริงจังทั้งสองคนปรึกษาหารือเรื่องของซูจื่อชิงเสร็จแล้ว ก็หันมาปรึกษาหารือเรื่องการยกทัพไปปราบปรามหนานเจียงต่อ ในที่สุดสามีภรรยาทั้งสองคนก็ตัดสินใจตรงกันว่า การปราบปรามหนานเจียงนั้นต้องรวดเร็วและตัดสินผลแพ้ชนะให้เด็ดขาด“ส่งสาส์นประกาศศึกก่อน จากนั้นค่อยใช้ปืนใหญ่ ยิงถล่มหนานเจียงโดยตรง”ซูจิ่งสิงยกนิ้วโป้งขึ้นอย่างเงียบ ๆ “น้องหญิง วิธีการของเจ้าช่างหยาบและง่ายดายจริง ๆ ”“ก็ต้องรวดเร็วและเด็ดขาดสิ ข้าไม่อยากจะไปพัวพันกับชาวหนานเจียงนานเกินไป”กู้หว่านเยว่หันไปใส่ใจอีกเรื่องหนึ่ง“จริงสิ ทางด้านเฟิ่งอู๋ชีมีท่าทีอย่างไ
บัดนี้เขาตายแล้ว ไม่มีผู้ใดเห็นใจหรือสงสารเขาเลยแม้แต่คนเดียว ตรงกันข้าม ทุกคนต่างพากันปรบมือโห่ร้องยินดี พวกเขาชาวต้าฉีก็มีเลือดนักสู้เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดสงครามก็ตามแต่ชาวหนานเจียงข่มเหงเหยียบย่ำจนแทบจะขี้รดหัวอยู่แล้ว หากยังทนต่อไปอีก มิเท่ากับว่าเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวหรอกหรือ?การสังหารองค์ชายหนานเจียง เป็นการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เหล่าราษฎรผู้บริสุทธิ์ที่ล้มตายไป และยังเป็นการปลอบประโลมจิตใจของพวกเขาด้วยต่อให้ต้องทำสงคราม พวกเขาก็เข้าใจได้“เสด็จพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านตัดสินใจจะทำสงครามกับหนานเจียงจริง ๆ หรือ?”ซูจื่อชิงรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจดีว่าสงครามครั้งนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้หนานเจียงรังแกกันเกินไปจริง ๆ แต่เวลานี้ท้องพระคลังว่างเปล่า เกรงว่าจะไม่มีกำลังพอที่จะสนับสนุนการทำสงครามอีกครั้ง“เรื่องท้องพระคลังไม่ต้องกังวล”กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างใจเย็น “เมื่อถึงเวลา จะนำเงินจากคลังส่วนตัวของพวกเราไปสมทบเอง”อืม คลังส่วนตัวของนางนั้น มีเงินมากกว่าในท้องพระคลังทั้งหมดหลายสิบเท่าไม่จำเป็นต้องกลัวเลยสักนิด“พี่สะใภ้ใหญ่”ซูจื่อชิงถึ
ณ มุมหนึ่ง สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าโจวและนายท่านโจวเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนความแค้นที่พวกเขามีต่อเฟิ่งหวู่โจวนั้นท่วมท้นทว่าแม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่กล้าคิดที่จะลงมือสังหารเฟิ่งหวู่โจว“เหลียงถงอวี้ผู้นี้...” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวนึกถึงเมื่อวานที่นางไปหยามเกียรติเหลียงถงอวี้ถึงที่ บนใบหน้าชราก็ปรากฏความละอายใจแวบหนึ่งนายท่านโจวก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน“สตรีหอคณิกา กลับมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้”“เป็นพวกเราเองที่มองคนแค่เพียงภายนอก”คราวนี้ทั้งสองคนไม่ลังเล รีบวิ่งออกมาแล้วคุกเข่าลงข้างกายเหลียงถงอวี้“ฝ่าบาท ฮองเฮา ถงอวี้นางถูกความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีครอบงำทำให้ขาดสติ จึงได้สังหารองค์ชายสามแห่งหนานเจียงฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทรงเมตตา เห็นแก่หน้าบุตรชายของกระหม่อมที่ตายไปก่อนวัยอันควร ได้โปรดไว้ชีวิตเหลียงถงอวี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหลียงถงอวี้มองพวกเขาด้วยสายตาซับซ้อนกู้หว่านเยว่ยิ้มหากนางคิดจะลงโทษเหลียงถงอวี้จริง ๆ เมื่อครู่นางคงไม่ยืนดูอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้เฟิ่งหวู่โจวตายด้วยน้ำมือของนางไปต่อหน้าต่อตา“พวกท่านไม่โทษเหลียงถงอวี้แล้วหรือ?”สองผู้เฒ่าสกุลโจวสั่นสะท้านขึ้นมา ที
“คือเขา”แม่ทัพแห่งต้าฉีผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่นเฟิ่งหวู่โจวเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดตา จึงหาโอกาสให้แมงป่องยักษ์ต่อยเขาด้วยพิษ จากนั้นก็ตัดศีรษะของเขาออกมา“เขาข่มขืนอนุภรรยาสุดที่รักของข้า ต่อให้ตายก็ยังน้อยไป!” แววตาของเฟิ่งหวู่โจววูบไหวเล็กน้อย ยืนกรานในข้ออ้างนี้อย่างหนักแน่น“เจ้าพูดจาเหลวไหล!”ร่างกายอันอ่อนแอบอบบางของเหลียงถงอวี้ พลันระเบิดพลังสายหนึ่งออกมา“สามีของข้าเป็นผู้มีคุณธรรม ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เป็นอันขาด เจ้าชาวหนานเจียงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ฆ่าสามีของข้าแล้ว ยังไม่กล้าเอ่ยความจริงออกมา ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”เฟิ่งหวู่โจวกระทืบเท้า “จะ เจ้า พูดจาเหลวไหล!”“บอกมา สามีข้าตายด้วยเหตุใดกันแน่ เขาไปล่วงเกินอะไรเจ้าตรงไหน เจ้าไม่เพียงแต่จะฆ่าเขา ยังต้องใส่ร้ายป้ายสีชื่อเสียงอันดีงามของเขาอีก?”เหลียงถงอวี้ก้าวเข้าไปหาเฟิ่งหวู่โจวทีละก้าว เห็นได้ชัดว่าใบหน้าดูอ่อนโยนบอบบาง แต่เวลานี้ ทั่วร่างกายกลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน“หรือว่าท่านเทพธิดาไหมแห่งหนานเจียงของพวกเจ้า ก็เป็นเหมือนองค์ชายหนานเจียงผู้นี้ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ ปากก็มีแต่คำโป้ปดเช่นนั้นหรือ?”“บังอาจ บัง
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว”“นี่เป็นแมงป่องพิษที่หนานเจียงของเราใช้ความพยายามอย่างมากในการเพาะเลี้ยงออกมา พวกเจ้ากลับเผามันทั้งเช่นนี้ ต้องการเป็นศัตรูกับหนานเจียงของเราหรือ?”ในใจเฟิ่งหวู่โจวกำลังมีเลือดไหลแล้ว กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง“เจ้าพูดถูกแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้าฉีขอประกาศสงครามกับหนานเจียงอย่างเป็นทางการ”“อะไรนะ?”เฟิ่งหวู่โจวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขั้นนี้ คราวนี้ไปกันใหญ่แล้ว ต้าฉีโดนพวกเขายั่วจนโมโห จะเปิดศึกกับพวกเขา“พวกเจ้าเพิ่งจบสงครามไม่ใช่หรือ แคว้นของพวกเจ้าเกิดความอดอยากมากมายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ควรพักฟื้นหรือ? พวกเจ้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับพวกเรา รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?”เฟิ่งหวู่โจวร้อนใจจนแสดงออกทางสีหน้าสามารถมองออกได้ว่าเขากำลังตื่นตระหนกจากสีหน้า“ผลที่ตามมาอะไร หนานเจียงของเจ้ากล้าฆ่าแม่ทัพต้าฉีของเรา ต้าฉีของเรายังต้องอดกลั้นอีกหรืออย่างไร?”กู้หว่านเยว่มองแมงป่องพิษที่อยู่ใจกลางท้องพระโรงแวบหนึ่ง ภายใต้การถูกไฟย่าง แมงป่องพิษตัวนั้นถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองและกรอบแล้ว“ไปจูงสุนัขมา