“นี่ท่านกักขังข้าเช่นนั้นหรือ แล้วหากข้าขัดคำสั่งของท่าน”
“คนของเจ้าทั้งหมดจะต้องกลายเป็นอาหารของจระเข้ในบึงใต้ตำหนักร้อยไหมทันที หรือหากเจ้าอยากลองดีกับข้า จะลองดูสักหนก็ได้พระธิดาจางลี่!”
“ท่านร้ายกาจนักองค์ชายหลี่เจี๋ย...อื๊อ!”
เสียงของนางหายเข้าไปในปากหยักได้รูปขององค์ชายอีกหน หลี่เจี๋ยกดท้ายทอยจางลี่บังคับให้นางรับจุมพิตก้าวร้าวคุกคามโดยไม่สนใจว่านางจะรู้สึกอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขาคือผู้ถือไพ่เหนือกว่า พระธิดาจางลี่เป็นแค่หมากตัวเล็กในเกมแก้แค้นของอ๋องแคว้นหลู่เท่านั้น หลี่เจี๋ยบดริมฝีปากร้อนรุ่มบนกลีบปากของนางรุนแรงพอจะทำให้เรียวปากอิ่มบวมเจ่อก่อนปล่อยร่างบอบบางให้เป็นอิสระ จางลี่เซไปข้างหลัง นางแทบจะทรุดลงนอนกับพื้นแต่ยังทรงกายให้นั่งและยกมือขึ้นป้องปากบวมเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับน้ำตาถั่งไหล
“องค์ชาย...”
“หึ!...คิดหรือว่าข้าจะยินดีรับเจ้าเป็นองค์ชายา ข้ารู้ว่าพระปิตุลากำลังคิดการใด ส่งเจ้ามาเพื่อมิให้เกิดการพิภาทระหว่างแคว้น ต้องการรกะชับความสัมพันธ์และคิดจะควบคุมข้าให้อยู่ในอำนาจของเขาเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้นพระองค์ควรปฏิเสธเสด็จพ่อแต่แรก ข้าเองก็มิได้อยากทำตามประสงค์ของเสด็จพ่อแม้แต่น้อย”
“แต่เจ้าก็ขัดปรสงค์ของฉีหวนกงมิได้และเมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะชายาของข้าก็ต้องรับฟังบัญชาของพระสวามีโดยมิมีข้อแม้ และอย่า...แม้แต่จะคิดหนีไปจากตำหนักร้อยไหม เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”
“แล้วคนของหม่อมฉัน”
จางลี่ร้องถามเมื่อร่างสูงลุกขึ้นยืนและกำลังจะก้าวออกไป หลี่เจี๋ยยืนมือไพล่หลังและเพียงเอ่ยโดยมิยอมหันกลับมามองใบหน้าสวยซึ้งอาบคราบน้ำตา
“ทุกคนจะอยู่รอดปลอดภัยก็ด้วยชีวิตของเจ้าเป็นเดิมพัน ขัดคำสั่งข้าเมื่อใดข้าจะลงมือกับคนของเจ้าเมื่อนั้น อย่าบังอาจลองดีกับข้า นี่หาใช่คำขู่แต่คนอย่างข้าพูดจริงทำจริง!”
สิ้นเสียงกร้าวร่างสูงจึงก้าวออกไป เมื่อบานประตูปิดลงหลี่เจี๋ยก็เห็นว่าหลินเจินนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ห่างจากบานประตูห้อง นายทหารคนสนิทวิ่งเข้ามาและคุกเข่าลงเบื้องหน้าอ๋องแคว้นหลู่
“องค์ชาย...ข้าได้จัดเตรียมที่พักให้เหล่าทหารแคว้นฉีและข้าราชบริภารขององค์ชายาเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ”
“ดีมาก โม่โฉว...จงดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีอย่าให้บกพร่อง ข้าจะกลับตำหนักและจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีกสามราตรี”
“ขอรับ”
โม่โฉว นายทหารคนสนิทพยักหน้ารับทราบก่อนเดินตามองค์ชายออกไป และเมื่อทุกคนไปแล้วหลินเจินก็รีบกลับเข้าไปในห้อง นางรู้สึกตระหนกเมื่อเห็นพระธิดาจางลี่นั่งบนตั่งด้วยสีหน้าซีดเซียวทั้งยังน้ำตาอาบแก้ม นางกำนัลคนสนิทเข้าไปคุกเข่าและดึงมือเรียวบางมากุมไว้
“ท่านหญิง...มีอะไรหรือเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าได้ยินองค์ชายหลี่เจี๋ยบอกแก่นายทหารว่าจะกลับมาที่ตำหนักนี้ในอีกสามราตรี ข้านึกว่าองค์ชายจะประทับที่นี่ในราตรีนี้เสียอีก”
“องค์ชายมิได้อยากอยู่ที่นี่ดอกหลินเจิน”
“ด้วยเหตุผลใดเล่าเจ้าคะ แล้วเหตุใดท่านหญิงจึงร้องไห้”
จางลี่ส่ายหน้า “ข้าคิดผิดเสียแล้วที่ตัดสินใจเดินทางมายังแคว้นหลู่ รู้เช่นนี้ยอมเป็นอนุของพระเชษฐามิดีกว่าหรือ”
“เหตุใดท่านกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อท่านหญิงต้องการออกจากวังก็เพื่อหนีจากคนเหล่านั้นมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ข้ามาอยู่ที่นี่ก็มิได้ต่างกันเลย...เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์ชายหลี่เจี๋ยนั้นชิงชังข้า มิได้ต้องการข้าเป็นองค์ชายาของแคว้นหลู่โดยแท้จริง องค์ชายยังผูกใจเจ็บเรื่องที่เสด็จพ่อสั่งประหารพระบิดาของพระองค์ และการที่รับข้าไว้ก็เพื่อเป็นการแก้แค้น”
“ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ เราอาจมีหนทางแก้ไข”
“ข้าเกรงว่าจะสายไป เรามิรู้เลยว่าแท้จริงองค์ชายหลี่เจี๋ยเป็นคนเช่นไร เขาไม่ยอมให้ข้าออกจากตำหนักแห่งนี้ ไม่ยอมให้ข้าขัดคำสั่ง ข้าหวั่นเหลือเกินว่าหากวันใดข้าทำพลาดผิดหรือมิถูกพระทัยองค์ชายอาจจะสั่งฆ่านายทหารและเหล่าผู้ติดตามจนสิ้น”
พอได้ยินดังนั้นหลินเจินถึงกับเข่าทรุด นางนั่งพับเพียบกับพื้นแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือพระธิดาพร้อมรำพึงออกมาว่า
“น่ากลัวถึงเพียงนั้นเทียวหรือเจ้าคะ”
“เราจะทำอย่างไรดีหลินเจิน ลำพังข้าแม้หากต้องตายก็มิคิดเสียดายชีวิต แต่มิควรต้องให้คนของข้าเอาชีวิตพวกเขามาทิ้งที่แคว้นหลู่แม้เพียงชีวิตเดียว”
“ท่านหญิงคิดอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าอยากพบราชองครักษ์เจ้า บางทีเขาอาจะช่วยเหลือเราได้ แต่...ข้าจะได้พบเขาด้วยวิธีการใด”
“เอาอย่างนี้ไหมเจ้าคะ ข้า...จะหาทางออกไปพบองครักษ์และคนของเราก่อนองค์ชายจะเสด็จในอีกสามราตรีข้างหน้า”
“หลินเจิน”
“มิเป็นไรดอกท่านหญิง ข้ามิอยากให้ท่านเป็นกังวล มาถึงขนาดนี้ข้าก็คงอยู่เฉยมิได้”
“แล้วเจ้า...จะออกไปหาองครักษ์เจ้าและคนของเราเมื่อใด”
“ไม่เกินอีกราตรีนี้เจ้าค่ะ”
เมื่ออีกราตรีมาถึงพระธิดาจางลี่ก็เริ่มหัวใจไม่เป็นสุข หลังอาหารมื้อเย็นที่เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ของปาอ๋องแคว้นหลี่นำมาถวายจางลี่ทำตัวตามปกติแม้เห็นว่านางกำนัลคนสนิทมีท่าทีลุกลี้ลุกลนนางจึงเอ่ยถามเมื่ออยู่กันสองต่อสอง“หลินเจิน...เจ้าบอกข้าว่าคืนนี้จะออกไปหาราชองครักษ์เจ้า แล้วเจ้าจะออกไปจากตำหนักนี้ได้อย่างไรในเมื่อเหล่าทหารขององค์ชายเฝ้าเวรยามเต็มไปหมดเช่นนี้”“ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะท่านหญิง”หลินเจินขยับเข้ามาใกล้พระธิดา นางชะเง้อมองซ้ายขวาแล้วหันมากระซิบว่า“ทหารของหลู่อ๋องเฝ้าอยู่มากมายก็จริง นั่นเพราะทหารเหล่านี้ต้องทำการเฝ้ายามมิให้พวกเราคลาดสายตาหรือออกจากตำหนักแห่งนี้ได้ แต่หากเราทำให้ทหารเหล่านั้นกลับไปสนใจอย่างอื่นก็มีหนทางที่ข้าจะออกไปพบกับราชองครักษ์เจ้าได้นะเจ้าคะท่านหญิง”“สนใจอย่างอื่นกระนั้นหรือ...เจ้าจะทำอย่างไร”“ฟังหลินเจินนะเจ้าคะ ข้ามีวิธีการที่จะทำให้ทหารเหล่านั้นเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น แต่สัญญากับข้าก่อนว่าหากเกิดอะไรขึ้นท่านหญิงต้องไม่ตกใจและต้องร่วมมือกับข้าด้วย”“เจ้าจะทำอะไร”“ตามมาทางนี้เจ้าค่ะ”หลินเจินดึงมือพระธิดาให้เดินตามนางไปในห้องนอน ไปหยุดข้าง
จางลี่เองก็หาได้พักผ่อนไม่ นางเป็นกังวลต่อการหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหมของหลินเจินในห้วงเวลาของความโกลาหล เฝ้าคอยมองว่านางกำนัลคนสนิทจะกลับเข้ามาเมื่อใดหลังทุกอย่างสงบลงแล้ว ปริวิตกว่านางจะได้พบราชองครักษ์เจียนเจ้าดังที่หวังหรือไม่เพราะจวบจนแสงโคมทองอาบไปทั่วบึงน้ำใหญ่รอบตำหนักก็ยังไม่เห็นเงาของหลินเจินว่านางจะกลับมา จางลี่นั่งคอยรอจนเกือบผลอยหลับหากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ใกล้นิทรา“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น“องค์ชาย!”ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”“สามราตรี”หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี“สามราตรีนั้นดูจะมากไป ข้าอยากพบพระธิดาจางลี่ของข
จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี
“หม่อมฉันหร้อมรับโทษเพคะ และหากหม่อมฉันตายไปก็ขอพระองค์โยนร่างของหม่อมฉันลงไปที่ใต้ตำหนักร้อยไหมให้จระเข้ของพระองค์ฉีกทึ้ง มิต้องเหลือซากแม้กระดูกกลับคืนแผ่นดินฉี”ควับ!!“ฮึก!”จางลี่สะดุ้ง หลังของนางแอ่นเมื่อหลี่เจี๋ยหวดแส้ลงบนหลังบอบบางหนแรกจนชุดผ้าแพรเป็นรอยแยกบางๆ หากนางกลับมิส่งเสียงร้องออกมาเพียงสักแอะ หลู่อ๋องขบกรมแน่นก่อนลงแส้เป็นครั้งที่สอง คราวนี้เนื้อผ้าบนแผ่นหลังของนางขาดออกจากกันหากจางลี่ก็มิยอมส่งเสียงร้องออกมาดังเดิม4บุปผาเดียวดายยิ่งจางลี่ไม่ส่งเสียงร้องก็เหมือนเป็นการยั่วยุโทสะอ๋องหลี่เจี๋ย เขาตวัดปลายแส้ลงไปอีกสามครั้งแผ่นหลังของนางก็เป็นรอยแผลปริแยก โลหิตซึมออกมาหากนางก็ยังกัดฟันแต่ใบหน้าของนางกดเกร็ง คิ้วขมวดมุ่นควับ!!เสียงปลายแส้สะบัดลงบนแผ่นหลังของนางอีกครั้งคราวนี้โลหิตสาดกระเซ็น แต่ก่อนที่หลี่เจี๋ยจะเงื้อมือเพื่อลงแส้ซ้ำลงไปอีกเขาต้องชะงักเมื่อโม่โฉวปราดเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า“พอก่อนเถิดพระองค์...เกรงว่าหากลงแส้จนครบร้อยครั้งนางอาจทนไม่ไหวและต้องสิ้นใจในคุกหลวงนี้เป็นแน่”ราชองครักษ์เอกกราบทูลด้วยเสียงแน่นหนักทั้งที่เขาไม่เคยขัดต่อพระประสงค์ของหลู่อ๋องมาก่อ
“นางมิเป็นอะไรมากดอก เจ้ามิต้องห่วงกังวล”“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ข้าเป็นกังวลนั้นเป็นเพราะเห็นบาดแผลของนางน่ากลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ข้ารับใช้พระธิดามาก็มิเคยเห็นโลหิตตกจากพระกายาของนางเลยแม้แต่น้อย”“ข้าได้จัดโอสถอย่างดีให้นางกำนัลใส่ในลูกประคบแผลนางแล้ว เครื่องโอสถแคว้นหลู่นั้นถือว่าเป็นเครื่องปรุงทิพย์ นางจักมีพระอาการดีขึ้นในอีกไม่เกินเจ็ดราตรีหลังจากนี้”“นี่แสดงว่าท่านคงทำการรักษาผู้ต้องทัณฑ์ลงแส้มานักต่อนักถึงได้มีความรู้เรื่องยารักษามากเช่นนี้”ได้ยินดังนั้นหมอหลวงกลับส่ายหน้า“เปล่าเลยสนม...ข้าเคยรักษาผู้ต้องอาญาโบยด้วยแส้เพียงไม่กี่คน”“ทำไมเจ้าคะ?”“ส่วนใหญ่หามีผู้ใดรอดจากอาญาร้ายแรงเทียมผูกร่างให้ม้าฉีกออกเป็นชิ้นนั้นอย่างไรเล่า”“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินเจินหน้าตื่น“แต่อาการของพระนางนั้นหาได้ร้ายแรงไม่ จากที่ข้าพินิจดูรอยแผลของนางต้องรอยแส้นับไม่กี่หน”“แต่โลหิตนางก็ไหลมากเหลือเกินนะเจ้าคะ”“นั่นเพราะแผลลึกมาก อืม...ผู้ใดกันที่ลงแส้พระธิดา”หมอหลวงทำท่านึกแต่หลินเจินหาได้หลุดปากออกไปไม่ว่าหลู่อ๋องนั่นอย่างไรเป็นผู้ลงแส้ด้วยพระองค์เอง กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“ช่างมันเถิด ไม่ว
เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องของตำหนักร้อยไหมที่หันไปยังบูรพทิศทำให้จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวบนแผ่นหลัง แต่สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อลืมตาคือหลู่อ๋องหลี่เจี๋ยซึ่งยืนที่หน้าต่างห้องขณะกำลังมองออกไปยังเวิ้งน้ำด้านนอกที่โอบล้อมตำหนักร้อยไหม นางยังนอนคว่ำบนเตียงและขยับตัวไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่าร่างกายที่มีผ้าไหมบาง ๆ ปกปิดอยู่นั้นเจ็บร้าวไปหมด จางลี่มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครแม้แต่หลินเจิน นางต้นห้องคนสนิท ความกลัวแล่นเข้าจับใจอีกครั้งแต่เมื่อกำลังจะหลับตากลับได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขึ้น“เจ้าฟื้นแล้วหรือ น้องพี่?”หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาและหย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ดวงตาดำยาวรีจับจ้องบนดวงหน้าสีกุหลาบโดยปราศจากรอยยิ้ม จางลี่หาได้ยินดีไม่ นางไม่ปรารถนาเห็นหน้าพระญาติผู้พี่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าจะเป็นพระสวามีของนาง อ๋องแคว้นหลู่สมญาพยัคฆ์ขาวรูปงามแท้แล้วจิตใจอำมหิตยิ่งนัก“เมื่อคืนนี้ข้ามิได้หลับเลยรู้ไหม...กายเจ้าร้อนดั่งไฟ และข้าต้อง...ป้อนยาให้เจ้าทั้งคืน”หลู่อ๋องไล้ปลายนิ้วหยาบแกร่งบนปลายคางมน นัยน์ตาคู่นั้นหาได้ฉายแววแห่งความอารีย์ดังคำพูดที่เปล่งออกมาไม่ จางลี่เม้ม
“มิน่าเชื่อว่าธิดาของฉีหวนกงนั้นช่างเข้มแข็ง ข้านึกว่านางจะร้องคร่ำครวญ ร้องขอชีวิตแต่นางกลับอดกลั้นได้ยิ่งกว่าชายอกสามศอก แต่ข้าก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่านางจักเข้มแข็งได้ถึงเพียงนั้น”“แต่โทษครั้งนี้ก็หนักหนาเอาการอยู่ นางคงมิกล้าทำผิดอีกแล้ว”“ข้ามิเคยเชื่อใจผู้ใด คนที่ดีกันเจียนตายยังฆ่ากันได้เมื่อสบโอกาสเหมาะ นางก็คงมิผิดจากพ่อของนาง ข้ามิรู้ว่าคนแคว้นฉีมีแผนอันใดหรือไม่ เราควรต้องระวังตัวตลอดเวลานี่มิใช่หรือ เจ้าคิดเช่นข้าหรือไม่โม่โฉว”“พะย่ะค่ะ...แต่...หม่อมฉันว่าตอนนี้พระองค์ควรคิดเรื่องเตรียมการพิธีสำหรับพระธิดารับตำแหน่งหวางเฟยก่อนเรื่องอื่น”“รอให้แผลของจางลี่หายดีมากกว่านี้ ข้ามิลืมว่าฉีหวนกงส่งนางมาด้วยเหตุผลอันใด...แล้วตอนนี้คนของนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง”“ตอนนี้ผู้ติดตามของพระธิดาอยู่ในพื้นที่ที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้ แต่ท่าทางราชองครักษ์เจียนเจ้าอยากรู้ว่าองค์ชายาเป็นเยี่ยงไร”“ท่าทางราชองรักษ์ผู้นี้มิธรรมดา เจ้าเห็นดังที่ข้าเห็นหรือไม่โม่โฉว”“หม่อมฉันทราบมาว่าแต่ก่อนเจียนเจ้านั้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ กรำศึกให้แคว้นฉีมากมายหลายสนามรบก่อนเข้ามารับใช้เป็นนายทหารคอยติดตามฉีหวนกง ห
ณ ตำหนักร้อยไหม ยามย่ำสนธยา เวลาผ่านไปถึงราตรีที่เจ็ดหลินเจินก็ยังคอยปรนนิบัติและดูแลพระธิดาจางลี่ซึ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บด้วยต้องโทษโบยเป็นรอยแผลลึกร้าวบนแผ่นหลัง จางลี่ลุกขึ้นนั่งและเดินได้ด้วยโอสถของแพทย์หลวงที่จัดไว้ให้นางสนมคอยถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด หลินเจินนำชุดผ้าไหมมาวางบนแท่นบรรทมก่อนเอ่ยว่า“ถึงเวลาไปสระน้ำแล้วเจ้าค่ะท่านหญิง”“นี่ข้าลงอาบน้ำในสระได้แล้วจริง ๆ หรือ?”“เจ้าค่ะ...อาการของท่านหญิงดีขึ้นมาก หมอหลวงบอกว่าสามารถลงสระน้ำได้ หลินเจินได้ยินท่านหญิงบ่นอยากอาบน้ำในสระหลายหน โชคดีเหลือเกินที่ตำหนักร้อยไหมแม้รอบ ๆ จะน่ากลัวแต่ภายในนี้มีสระใหญ่วิจิตรตระการตายิ่งนัก”“องค์ชายหลี่เจี๋ยคงสร้างไว้สำหรับนางห้ามนับร้อยของพระองค์กระมัง”“ท่านหญิงเจ้าคะ...”หลินเจินลดเสียงต่ำและขยับเข้าใกล้นายหญิงที่โน้มใบหน้างดงามของนางลงเพื่อฟังสิ่งที่นางกำนัลกระซิบ“ท่านหญิง...ท่านอาจไม่เชื่อ แต่ข้าได้ลองสอบถามนางกำนัลที่เข้ามาช่วยดูแลอาการของท่านตอนยังลุกขึ้นมิได้ว่าหลู่อ๋องมีสนมนางในและนางห้ามมากมายเพียงใด”“นับร้อยอย่างที่ข้าคิด หรือมากกว่านั้น”“พระองค์...ยังมิทรงรับนางใดเป็นสน