เมื่ออีกราตรีมาถึงพระธิดาจางลี่ก็เริ่มหัวใจไม่เป็นสุข หลังอาหารมื้อเย็นที่เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ของปาอ๋องแคว้นหลี่นำมาถวายจางลี่ทำตัวตามปกติแม้เห็นว่านางกำนัลคนสนิทมีท่าทีลุกลี้ลุกลนนางจึงเอ่ยถามเมื่ออยู่กันสองต่อสอง
“หลินเจิน...เจ้าบอกข้าว่าคืนนี้จะออกไปหาราชองครักษ์เจ้า แล้วเจ้าจะออกไปจากตำหนักนี้ได้อย่างไรในเมื่อเหล่าทหารขององค์ชายเฝ้าเวรยามเต็มไปหมดเช่นนี้”
“ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะท่านหญิง”
หลินเจินขยับเข้ามาใกล้พระธิดา นางชะเง้อมองซ้ายขวาแล้วหันมากระซิบว่า
“ทหารของหลู่อ๋องเฝ้าอยู่มากมายก็จริง นั่นเพราะทหารเหล่านี้ต้องทำการเฝ้ายามมิให้พวกเราคลาดสายตาหรือออกจากตำหนักแห่งนี้ได้ แต่หากเราทำให้ทหารเหล่านั้นกลับไปสนใจอย่างอื่นก็มีหนทางที่ข้าจะออกไปพบกับราชองครักษ์เจ้าได้นะเจ้าคะท่านหญิง”
“สนใจอย่างอื่นกระนั้นหรือ...เจ้าจะทำอย่างไร”
“ฟังหลินเจินนะเจ้าคะ ข้ามีวิธีการที่จะทำให้ทหารเหล่านั้นเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น แต่สัญญากับข้าก่อนว่าหากเกิดอะไรขึ้นท่านหญิงต้องไม่ตกใจและต้องร่วมมือกับข้าด้วย”
“เจ้าจะทำอะไร”
“ตามมาทางนี้เจ้าค่ะ”
หลินเจินดึงมือพระธิดาให้เดินตามนางไปในห้องนอน ไปหยุดข้างเตียงชั่วครู่ จางลี่ย่นคิ้วแล้วถามว่า
“พาข้ามาในห้องนี้ทำไม เจ้าจะทำอะไรหรือหลินเจิน”
“ห้องนี้เหมาะแล้วที่เราจะวางแผนเพื่อได้ออกจากตำหนักร้อยไหม ท่านหญิงต้องเข้มแข็งนะเจ้าคะ เพราะวิธีการของข้าอาจรุนแรงและก่อความวุ่นวายมากสักหน่อย”
“หลินเจิน”
จางลี่มองตามนางสนมที่เดินไปหยิบเชิงเทียนซึ่งมีเทียนสว่างวามด้วยเปลวไฟก่อนนางกำนังคนสนิทจะโยนมันลงตรงกลางฟูกหนาบนเตียง เท่านั้นยังไม่พอ หลินเจินดึงผ้าม่านบนเสาทั้งสี่ด้านแล้วโยนมันลงไปบนเชิงเทียน ใช้เวลาเพียงอึดใจเปลวไฟก็ลามไหม้ยังความตกใจแก่พระธิดา
“หลินเจิน...นี่เจ้า...”
“ท่านหญิง...ออกไปจากห้องนี้ก่อนเจ้าค่ะ”
นางสนมคนสนิทดึงมือพระธิดาวิ่งออกจากห้องนอนที่ไฟเริ่มลามไหม้จนควันลอยโขมงออกมา จางลี่หน้าตื่นด้วยคาวมตระหนก
“เพลิงไหม้มากแล้วหลินเจิน แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป”
“ทำอย่างนี้เจ้าค่ะ”
ว่าแล้วหลินเจินก็ปรี่ไปเปิดประตูห้องแล้วตะโกนออกไปว่า
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! เพลิงไหม้ในห้องของพระธิดา...เหล่าทหารรีบมาช่วยที”
เสียงของนางก้องสะท้อนและทำให้นายทหารที่ยืนเวรยามตกตื่นและรีบวิ่งเข้ามาในทันใด หนึ่งในนั้นคือโม่โฉว นายทหารเอกของปาอ๋องแคว้นหลู่
“เกิดอะไรขึ้น! เพลิงไหม้ที่ใด”
“ในห้องของพระธิดา พวกท่านรีบเข้าไปดูและช่วยดับไฟให้ที”
โม่โฉวชะเง้อข้ามไหล่หลินเจ้าเข้าไปในห้องก็เห็นควันไฟลอยคลุ้งออกมา กลิ่นไหม้ตลบอบอวลจนเขาต้องหันไปตะโกนว่า
“ทหาร!...รีบเข้ามาดับเพลิงในห้องพระธิดา ตักน้ำใต้ตำหนักขึ้นมา ไม่อย่างนั้นตำหนักนี้วอดแน่!”
คำสั่งของโม่โฉวทำให้ทหารเกือบยี่สิบนายที่ยืนเวรยามหน้าตำหนักกรูกันเข้ามา ส่วนหนึ่งเข้าไปในห้องขององค์ชายาช่วยกันใช้ผ้าดับเปลวเพลิงและอีกส่วนหนึ่งวิ่งลงไปตักน้ำใต้ตำหนักขึ้นมาสาดลงในกองเพลิงที่ลามไหม้ จางลี่วิ่งออกไปยืนดูความโกลาหลนั้นหน้าห้องขณะโม่วโฉวรีบเข้าไปคุกเข่าและถามว่า
“องค์ชายา...กระหม่อมโม่โฉว เป็นราชองครักษ์ของหลู่อ๋อง พระองค์ทรงบาดเจ็บหรือมีบาดแผลบ้างหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“มะ...ไม่...ท่านโม่โฉว ข้ามิเป็นอะไร ข้าผิดเองที่มิระวังทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อนเช่นนี้”
“หามิได้พระองค์...ได้โปรดทรงรออยู่ตรงนี้ ข้าจะรีบจัดการดับไฟให้เร็วที่สุด”
โม่โฉวรีบลุกขึ้น แต่เมื่อเขาเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องกลับฉุกใจนึกอะไรบางอย่าง ด้วยปฏิภาณของนักรบทำให้เขาเหลียวกลับไปยังองค์ชายาและเห็นว่าจางลี่กำลังให้ความสนใจกับอะไรบางอย่าง เขามองออกไปที่สะพานทอดข้ามจากตำหนักร้อยไหมก็เห็นใครคนหนึ่งสวมผ้าคลุมวิ่งสวนกลับออกไปท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายของเหล่าทหาร โม่โฉวนึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เขาเพียงหันกลับไปออกคำสั่งกับนายทหารนับสิบที่วุ่นวายกับการดับเพลิงในห้องที่อบอวนด้วยควัน
“รีบดับไฟให้เร็วที่สุด ให้การอารักขาพระธิดา ข้า...จะไปช่วยพวกทหารที่ตักน้ำใต้ตำหนัก!”
ตลอดทั้งคืนที่เหล่าทหารช่วยกันดับเพลิงในห้องบรรทมของพระธิดาจางลี่และกว่าจะจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยก็ใช้เวลาจนถึงรุ่งสางของอีกทิวา นางต้องย้ายไปอยู่ที่ห้องอีกด้านหนึ่งของพระตำหนักซึ่งได้ชื่อว่างดงามยิ่งนัก และใช่แต่เหล่าทหารที่ต้องช่วยกันคุมเพลิงมิให้ไหม้ลามตลอดทั้งคืน
จางลี่เองก็หาได้พักผ่อนไม่ นางเป็นกังวลต่อการหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหมของหลินเจินในห้วงเวลาของความโกลาหล เฝ้าคอยมองว่านางกำนัลคนสนิทจะกลับเข้ามาเมื่อใดหลังทุกอย่างสงบลงแล้ว ปริวิตกว่านางจะได้พบราชองครักษ์เจียนเจ้าดังที่หวังหรือไม่เพราะจวบจนแสงโคมทองอาบไปทั่วบึงน้ำใหญ่รอบตำหนักก็ยังไม่เห็นเงาของหลินเจินว่านางจะกลับมา จางลี่นั่งคอยรอจนเกือบผลอยหลับหากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ใกล้นิทรา“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น“องค์ชาย!”ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”“สามราตรี”หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี“สามราตรีนั้นดูจะมากไป ข้าอยากพบพระธิดาจางลี่ของข
จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี
“หม่อมฉันหร้อมรับโทษเพคะ และหากหม่อมฉันตายไปก็ขอพระองค์โยนร่างของหม่อมฉันลงไปที่ใต้ตำหนักร้อยไหมให้จระเข้ของพระองค์ฉีกทึ้ง มิต้องเหลือซากแม้กระดูกกลับคืนแผ่นดินฉี”ควับ!!“ฮึก!”จางลี่สะดุ้ง หลังของนางแอ่นเมื่อหลี่เจี๋ยหวดแส้ลงบนหลังบอบบางหนแรกจนชุดผ้าแพรเป็นรอยแยกบางๆ หากนางกลับมิส่งเสียงร้องออกมาเพียงสักแอะ หลู่อ๋องขบกรมแน่นก่อนลงแส้เป็นครั้งที่สอง คราวนี้เนื้อผ้าบนแผ่นหลังของนางขาดออกจากกันหากจางลี่ก็มิยอมส่งเสียงร้องออกมาดังเดิม4บุปผาเดียวดายยิ่งจางลี่ไม่ส่งเสียงร้องก็เหมือนเป็นการยั่วยุโทสะอ๋องหลี่เจี๋ย เขาตวัดปลายแส้ลงไปอีกสามครั้งแผ่นหลังของนางก็เป็นรอยแผลปริแยก โลหิตซึมออกมาหากนางก็ยังกัดฟันแต่ใบหน้าของนางกดเกร็ง คิ้วขมวดมุ่นควับ!!เสียงปลายแส้สะบัดลงบนแผ่นหลังของนางอีกครั้งคราวนี้โลหิตสาดกระเซ็น แต่ก่อนที่หลี่เจี๋ยจะเงื้อมือเพื่อลงแส้ซ้ำลงไปอีกเขาต้องชะงักเมื่อโม่โฉวปราดเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า“พอก่อนเถิดพระองค์...เกรงว่าหากลงแส้จนครบร้อยครั้งนางอาจทนไม่ไหวและต้องสิ้นใจในคุกหลวงนี้เป็นแน่”ราชองครักษ์เอกกราบทูลด้วยเสียงแน่นหนักทั้งที่เขาไม่เคยขัดต่อพระประสงค์ของหลู่อ๋องมาก่อ
“นางมิเป็นอะไรมากดอก เจ้ามิต้องห่วงกังวล”“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ข้าเป็นกังวลนั้นเป็นเพราะเห็นบาดแผลของนางน่ากลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ข้ารับใช้พระธิดามาก็มิเคยเห็นโลหิตตกจากพระกายาของนางเลยแม้แต่น้อย”“ข้าได้จัดโอสถอย่างดีให้นางกำนัลใส่ในลูกประคบแผลนางแล้ว เครื่องโอสถแคว้นหลู่นั้นถือว่าเป็นเครื่องปรุงทิพย์ นางจักมีพระอาการดีขึ้นในอีกไม่เกินเจ็ดราตรีหลังจากนี้”“นี่แสดงว่าท่านคงทำการรักษาผู้ต้องทัณฑ์ลงแส้มานักต่อนักถึงได้มีความรู้เรื่องยารักษามากเช่นนี้”ได้ยินดังนั้นหมอหลวงกลับส่ายหน้า“เปล่าเลยสนม...ข้าเคยรักษาผู้ต้องอาญาโบยด้วยแส้เพียงไม่กี่คน”“ทำไมเจ้าคะ?”“ส่วนใหญ่หามีผู้ใดรอดจากอาญาร้ายแรงเทียมผูกร่างให้ม้าฉีกออกเป็นชิ้นนั้นอย่างไรเล่า”“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินเจินหน้าตื่น“แต่อาการของพระนางนั้นหาได้ร้ายแรงไม่ จากที่ข้าพินิจดูรอยแผลของนางต้องรอยแส้นับไม่กี่หน”“แต่โลหิตนางก็ไหลมากเหลือเกินนะเจ้าคะ”“นั่นเพราะแผลลึกมาก อืม...ผู้ใดกันที่ลงแส้พระธิดา”หมอหลวงทำท่านึกแต่หลินเจินหาได้หลุดปากออกไปไม่ว่าหลู่อ๋องนั่นอย่างไรเป็นผู้ลงแส้ด้วยพระองค์เอง กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“ช่างมันเถิด ไม่ว
เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องของตำหนักร้อยไหมที่หันไปยังบูรพทิศทำให้จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวบนแผ่นหลัง แต่สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อลืมตาคือหลู่อ๋องหลี่เจี๋ยซึ่งยืนที่หน้าต่างห้องขณะกำลังมองออกไปยังเวิ้งน้ำด้านนอกที่โอบล้อมตำหนักร้อยไหม นางยังนอนคว่ำบนเตียงและขยับตัวไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่าร่างกายที่มีผ้าไหมบาง ๆ ปกปิดอยู่นั้นเจ็บร้าวไปหมด จางลี่มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครแม้แต่หลินเจิน นางต้นห้องคนสนิท ความกลัวแล่นเข้าจับใจอีกครั้งแต่เมื่อกำลังจะหลับตากลับได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขึ้น“เจ้าฟื้นแล้วหรือ น้องพี่?”หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาและหย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ดวงตาดำยาวรีจับจ้องบนดวงหน้าสีกุหลาบโดยปราศจากรอยยิ้ม จางลี่หาได้ยินดีไม่ นางไม่ปรารถนาเห็นหน้าพระญาติผู้พี่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าจะเป็นพระสวามีของนาง อ๋องแคว้นหลู่สมญาพยัคฆ์ขาวรูปงามแท้แล้วจิตใจอำมหิตยิ่งนัก“เมื่อคืนนี้ข้ามิได้หลับเลยรู้ไหม...กายเจ้าร้อนดั่งไฟ และข้าต้อง...ป้อนยาให้เจ้าทั้งคืน”หลู่อ๋องไล้ปลายนิ้วหยาบแกร่งบนปลายคางมน นัยน์ตาคู่นั้นหาได้ฉายแววแห่งความอารีย์ดังคำพูดที่เปล่งออกมาไม่ จางลี่เม้ม
“มิน่าเชื่อว่าธิดาของฉีหวนกงนั้นช่างเข้มแข็ง ข้านึกว่านางจะร้องคร่ำครวญ ร้องขอชีวิตแต่นางกลับอดกลั้นได้ยิ่งกว่าชายอกสามศอก แต่ข้าก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่านางจักเข้มแข็งได้ถึงเพียงนั้น”“แต่โทษครั้งนี้ก็หนักหนาเอาการอยู่ นางคงมิกล้าทำผิดอีกแล้ว”“ข้ามิเคยเชื่อใจผู้ใด คนที่ดีกันเจียนตายยังฆ่ากันได้เมื่อสบโอกาสเหมาะ นางก็คงมิผิดจากพ่อของนาง ข้ามิรู้ว่าคนแคว้นฉีมีแผนอันใดหรือไม่ เราควรต้องระวังตัวตลอดเวลานี่มิใช่หรือ เจ้าคิดเช่นข้าหรือไม่โม่โฉว”“พะย่ะค่ะ...แต่...หม่อมฉันว่าตอนนี้พระองค์ควรคิดเรื่องเตรียมการพิธีสำหรับพระธิดารับตำแหน่งหวางเฟยก่อนเรื่องอื่น”“รอให้แผลของจางลี่หายดีมากกว่านี้ ข้ามิลืมว่าฉีหวนกงส่งนางมาด้วยเหตุผลอันใด...แล้วตอนนี้คนของนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง”“ตอนนี้ผู้ติดตามของพระธิดาอยู่ในพื้นที่ที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้ แต่ท่าทางราชองครักษ์เจียนเจ้าอยากรู้ว่าองค์ชายาเป็นเยี่ยงไร”“ท่าทางราชองรักษ์ผู้นี้มิธรรมดา เจ้าเห็นดังที่ข้าเห็นหรือไม่โม่โฉว”“หม่อมฉันทราบมาว่าแต่ก่อนเจียนเจ้านั้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ กรำศึกให้แคว้นฉีมากมายหลายสนามรบก่อนเข้ามารับใช้เป็นนายทหารคอยติดตามฉีหวนกง ห
ณ ตำหนักร้อยไหม ยามย่ำสนธยา เวลาผ่านไปถึงราตรีที่เจ็ดหลินเจินก็ยังคอยปรนนิบัติและดูแลพระธิดาจางลี่ซึ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บด้วยต้องโทษโบยเป็นรอยแผลลึกร้าวบนแผ่นหลัง จางลี่ลุกขึ้นนั่งและเดินได้ด้วยโอสถของแพทย์หลวงที่จัดไว้ให้นางสนมคอยถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด หลินเจินนำชุดผ้าไหมมาวางบนแท่นบรรทมก่อนเอ่ยว่า“ถึงเวลาไปสระน้ำแล้วเจ้าค่ะท่านหญิง”“นี่ข้าลงอาบน้ำในสระได้แล้วจริง ๆ หรือ?”“เจ้าค่ะ...อาการของท่านหญิงดีขึ้นมาก หมอหลวงบอกว่าสามารถลงสระน้ำได้ หลินเจินได้ยินท่านหญิงบ่นอยากอาบน้ำในสระหลายหน โชคดีเหลือเกินที่ตำหนักร้อยไหมแม้รอบ ๆ จะน่ากลัวแต่ภายในนี้มีสระใหญ่วิจิตรตระการตายิ่งนัก”“องค์ชายหลี่เจี๋ยคงสร้างไว้สำหรับนางห้ามนับร้อยของพระองค์กระมัง”“ท่านหญิงเจ้าคะ...”หลินเจินลดเสียงต่ำและขยับเข้าใกล้นายหญิงที่โน้มใบหน้างดงามของนางลงเพื่อฟังสิ่งที่นางกำนัลกระซิบ“ท่านหญิง...ท่านอาจไม่เชื่อ แต่ข้าได้ลองสอบถามนางกำนัลที่เข้ามาช่วยดูแลอาการของท่านตอนยังลุกขึ้นมิได้ว่าหลู่อ๋องมีสนมนางในและนางห้ามมากมายเพียงใด”“นับร้อยอย่างที่ข้าคิด หรือมากกว่านั้น”“พระองค์...ยังมิทรงรับนางใดเป็นสน
นางร้องลั่นเมื่อหลู่อ๋องโยนร่างน้อยในอ้อมแขนลงในสระน้ำอย่างไม่ปราณี และยืนนิ่งมองร่างเล็กตะเกียกตะกายตัวเองอยู่ในสระน้ำด้วยแววตาข้นคลั่ก“ช่วยด้วย!...ชะ...ช่วยด้วย!”จางลี่พยายามตะกุยมือและเท้าพาตัวเองให้อยู่เหนือน้ำแต่ทำได้ลำบากยิ่งในเมื่อนางว่ายน้ำไม่เป็น ร่างของนางหนักอึ้งและมีแต่จะดิ่งลงเบื้องล่าง หลี่เจี๋ยจ้องมองและขบกรามดังกรอด“อ่อนแอ...จอมมารยา!”ร่างสูงใหญ่หันหลังให้ ในกายนั้นเลือดเดือดพล่านด้วยโทสะ แต่เมื่อจะก้าวขาก็หันกลับไปอีกครั้ง หัวใจของเขาดิ่งวูบเมื่อไม่เห็นร่างของจางลี่ เห็นเพียงฟองอากาศในน้ำ หลู่อ๋องตะโกนเรียก“จางลี่...จางลี่...ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งว่ายน้ำไม่เป็น...จางลี่!”เรียกหากไร้เสียงตอบท่ามกลางน้ำนิ่งในสระ เมื่อเห็นดังนั้นหลี่เจี๋ยจึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออกเหลือฉลองพระองค์ชุดบางและกระโดดลงไปในสระ ดำลงไปเบื้องล่างเพื่อคว้าร่างของจางลี่ที่กำลังดิ่งลงพื้นสระขึ้นมาเหนือน้ำ“เฮือก!”จางลี่สูดลมเข้าปอดก่อนสำลักน้ำออกมาเมื่อลืมตาขึ้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่นั่นทีเดียว นางแทบไม่รู้ตัวเลยว่ากอดร่างหนาใหญ่ไว้แนบแน่นขนาดไหนและกว่าจะรู้ตัวว่าชุดของนางหลุดหายลงไปใต้น้ำก็เมื่อนา