จางลี่เองก็หาได้พักผ่อนไม่ นางเป็นกังวลต่อการหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหมของหลินเจินในห้วงเวลาของความโกลาหล เฝ้าคอยมองว่านางกำนัลคนสนิทจะกลับเข้ามาเมื่อใดหลังทุกอย่างสงบลงแล้ว ปริวิตกว่านางจะได้พบราชองครักษ์เจียนเจ้าดังที่หวังหรือไม่เพราะจวบจนแสงโคมทองอาบไปทั่วบึงน้ำใหญ่รอบตำหนักก็ยังไม่เห็นเงาของหลินเจินว่านางจะกลับมา จางลี่นั่งคอยรอจนเกือบผลอยหลับหากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ใกล้นิทรา
“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”
จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น
“องค์ชาย!”
ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้
“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”
“สามราตรี”
หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี
“สามราตรีนั้นดูจะมากไป ข้าอยากพบพระธิดาจางลี่ของข้าหัวใจแทบขาด แล้วเจ้าเล่า...จางลี่...เจ้านึกถึงข้าเช่นกันใช่หรือไม่”
“เพคะ...”
“เมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้ในตำหนักร้อยไหม ข้าเป็นห่วงเจ้ามากรู้หรือไม่”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ถ้าอยากให้ข้ารีบมาหาเจ้าก็ไม่เห็นต้องวางแผน ใช้ให้นางกำนัลของเจ้าวางเพลิงให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้เลยองค์ชายาของข้า!”
“องค์ชาย...อ๊ะ!...หลินเจิน!”
จางลี่ตาเบิกค้างเมื่อนางสนมต้นห้องก้าวเข้ามาพร้อมทั้งคุกเข่าลงโดยมีทหารสองนายขนาบข้าง หลินเจนใบหน้าซีดเซียวและร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
“ท่านหญิง...หลินเจิน...หลินเจินขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“องค์ชาย...ท่านทำอะไรคนของหม่อมฉัน”
จางลี่หันไปถามร่างสูงใหญ่ที่เหยียดมุมปากออกและจ้องมองพระธิดาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม
“ถามตัวเจ้าก่อนดีไหม พระธิดาจางลี่ ว่าเจ้าใช้คนของเจ้าให้ล่วงละเมิดคำสั่งของข้าออกไปจากตำหนักร้อยไหมด้วยเหตุอันใด”
“อ่า...เอ้อ...หม่อมฉัน...”
“ที่ตอบข้าไม่ได้เพราะทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนวางแผนการณ์ไว้ พระธิดาจางลี่...
“ข้าขอรับผิดต่อเรื่องทั้งหมดนี้เจ้าค่ะ”
หลินเจินหมอบกรานลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นยังความตระหนกแก่จางลี่อย่างยิ่ง นางไม่กล้าแม้แต่จะสบนัยน์ตาเหี้ยมของอ๋องแคว้นหลู่ ใบหน้าขององค์ชายตอนนี้เคียดขึ้งและจ้องมองนางราวกับว่าอยากแยกร่างบอบบางออกเป็นหมื่นชิ้น หลี่เจี๋ยเหยียดปากออกอย่างเยียบเย็น
“โม่โฉว นายทหารเอกของข้าเป็นคนไปพบนางกำนัลของเจ้ากำลังจะหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหม นางคงจะออกไปหาเหล่าทหารผู้ติดตามตามคำสั่งของพระธิดาและยังได้สารภาพกับข้าว่านางคือคนวางเพลิงตำหนักร้อยไหมจนเกือบวอด…หึ! เจ้าควรรู้ว่าการขัดคำสั่งของเจ้าผู้ครองแคว้นสุดท้ายแล้วโทษจะเป็นเยี่ยงไร แม้เจ้ามารับตำแหน่งองค์ชายาของข้าแต่หากคนของเจ้ากระทำการละเมิดก็จะต้องได้รับโทษสถานหนักเท่านั้น!”
“อย่าเพคะ!”
จางลี่ถลาเข้าไปขวางหน้าหลินเจินเมื่อหลี่เจี๋ยชักดาบเล่มใหญ่ออกจากฝักที่ติดบั้นเอวของราชองครักษ์โม่โฉวซึ่งยืนนิ่งราวกับศิลากหลักก่อนจ่อลงไปจนปลายดาบคมทิ่มทะลุลงไปบนบ่าของจางลี่ หลินเจินเห็นธารโลหิตแดงเถือกบนบ่านายหญิงก็ร้องลั่น
“ท่านหญิง! ท่านหญิงเจ้าคะ!”
“มิเป็นไรดอก” จางลี่กัดฟันแม้เจ็บปวด “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น...ใช่เพคะองค์ชาย หม่อมฉันเองที่เป็นคนวางแผนให้นางกำนังเผาตำหนักเพื่อจะได้ออกไปพบคนของหม่อมฉันในวังของพระองค์ หลินเจินมิมีความผิด หากจะลงทัณฑ์หม่อมฉันก็ขอรับผิดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว”
“ได้! หากเจ้าต้องการเช่นนั้น...ทหาร! จับพระธิดาลงไปขังรับโทษโบยร้อยครั้งในคุกหลวงชั้นในสุด!”
อ๋องหลี่เจี๋ยดึงดาบเล่มใหญ่กลับและส่งให้โม่โฉวก่อนทหารอีกสองนายเข้าไปหยุดตรงหน้าจางลี่และคุกเข่าลง หนึ่งในนั้นกล่าวว่า
“ขอเชิญพระธิดาจางลี่...พะย่ะค่ะ”
จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี
“หม่อมฉันหร้อมรับโทษเพคะ และหากหม่อมฉันตายไปก็ขอพระองค์โยนร่างของหม่อมฉันลงไปที่ใต้ตำหนักร้อยไหมให้จระเข้ของพระองค์ฉีกทึ้ง มิต้องเหลือซากแม้กระดูกกลับคืนแผ่นดินฉี”ควับ!!“ฮึก!”จางลี่สะดุ้ง หลังของนางแอ่นเมื่อหลี่เจี๋ยหวดแส้ลงบนหลังบอบบางหนแรกจนชุดผ้าแพรเป็นรอยแยกบางๆ หากนางกลับมิส่งเสียงร้องออกมาเพียงสักแอะ หลู่อ๋องขบกรมแน่นก่อนลงแส้เป็นครั้งที่สอง คราวนี้เนื้อผ้าบนแผ่นหลังของนางขาดออกจากกันหากจางลี่ก็มิยอมส่งเสียงร้องออกมาดังเดิม4บุปผาเดียวดายยิ่งจางลี่ไม่ส่งเสียงร้องก็เหมือนเป็นการยั่วยุโทสะอ๋องหลี่เจี๋ย เขาตวัดปลายแส้ลงไปอีกสามครั้งแผ่นหลังของนางก็เป็นรอยแผลปริแยก โลหิตซึมออกมาหากนางก็ยังกัดฟันแต่ใบหน้าของนางกดเกร็ง คิ้วขมวดมุ่นควับ!!เสียงปลายแส้สะบัดลงบนแผ่นหลังของนางอีกครั้งคราวนี้โลหิตสาดกระเซ็น แต่ก่อนที่หลี่เจี๋ยจะเงื้อมือเพื่อลงแส้ซ้ำลงไปอีกเขาต้องชะงักเมื่อโม่โฉวปราดเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า“พอก่อนเถิดพระองค์...เกรงว่าหากลงแส้จนครบร้อยครั้งนางอาจทนไม่ไหวและต้องสิ้นใจในคุกหลวงนี้เป็นแน่”ราชองครักษ์เอกกราบทูลด้วยเสียงแน่นหนักทั้งที่เขาไม่เคยขัดต่อพระประสงค์ของหลู่อ๋องมาก่อ
“นางมิเป็นอะไรมากดอก เจ้ามิต้องห่วงกังวล”“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ข้าเป็นกังวลนั้นเป็นเพราะเห็นบาดแผลของนางน่ากลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ข้ารับใช้พระธิดามาก็มิเคยเห็นโลหิตตกจากพระกายาของนางเลยแม้แต่น้อย”“ข้าได้จัดโอสถอย่างดีให้นางกำนัลใส่ในลูกประคบแผลนางแล้ว เครื่องโอสถแคว้นหลู่นั้นถือว่าเป็นเครื่องปรุงทิพย์ นางจักมีพระอาการดีขึ้นในอีกไม่เกินเจ็ดราตรีหลังจากนี้”“นี่แสดงว่าท่านคงทำการรักษาผู้ต้องทัณฑ์ลงแส้มานักต่อนักถึงได้มีความรู้เรื่องยารักษามากเช่นนี้”ได้ยินดังนั้นหมอหลวงกลับส่ายหน้า“เปล่าเลยสนม...ข้าเคยรักษาผู้ต้องอาญาโบยด้วยแส้เพียงไม่กี่คน”“ทำไมเจ้าคะ?”“ส่วนใหญ่หามีผู้ใดรอดจากอาญาร้ายแรงเทียมผูกร่างให้ม้าฉีกออกเป็นชิ้นนั้นอย่างไรเล่า”“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินเจินหน้าตื่น“แต่อาการของพระนางนั้นหาได้ร้ายแรงไม่ จากที่ข้าพินิจดูรอยแผลของนางต้องรอยแส้นับไม่กี่หน”“แต่โลหิตนางก็ไหลมากเหลือเกินนะเจ้าคะ”“นั่นเพราะแผลลึกมาก อืม...ผู้ใดกันที่ลงแส้พระธิดา”หมอหลวงทำท่านึกแต่หลินเจินหาได้หลุดปากออกไปไม่ว่าหลู่อ๋องนั่นอย่างไรเป็นผู้ลงแส้ด้วยพระองค์เอง กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“ช่างมันเถิด ไม่ว
เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องของตำหนักร้อยไหมที่หันไปยังบูรพทิศทำให้จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวบนแผ่นหลัง แต่สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อลืมตาคือหลู่อ๋องหลี่เจี๋ยซึ่งยืนที่หน้าต่างห้องขณะกำลังมองออกไปยังเวิ้งน้ำด้านนอกที่โอบล้อมตำหนักร้อยไหม นางยังนอนคว่ำบนเตียงและขยับตัวไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่าร่างกายที่มีผ้าไหมบาง ๆ ปกปิดอยู่นั้นเจ็บร้าวไปหมด จางลี่มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครแม้แต่หลินเจิน นางต้นห้องคนสนิท ความกลัวแล่นเข้าจับใจอีกครั้งแต่เมื่อกำลังจะหลับตากลับได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขึ้น“เจ้าฟื้นแล้วหรือ น้องพี่?”หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาและหย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ดวงตาดำยาวรีจับจ้องบนดวงหน้าสีกุหลาบโดยปราศจากรอยยิ้ม จางลี่หาได้ยินดีไม่ นางไม่ปรารถนาเห็นหน้าพระญาติผู้พี่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าจะเป็นพระสวามีของนาง อ๋องแคว้นหลู่สมญาพยัคฆ์ขาวรูปงามแท้แล้วจิตใจอำมหิตยิ่งนัก“เมื่อคืนนี้ข้ามิได้หลับเลยรู้ไหม...กายเจ้าร้อนดั่งไฟ และข้าต้อง...ป้อนยาให้เจ้าทั้งคืน”หลู่อ๋องไล้ปลายนิ้วหยาบแกร่งบนปลายคางมน นัยน์ตาคู่นั้นหาได้ฉายแววแห่งความอารีย์ดังคำพูดที่เปล่งออกมาไม่ จางลี่เม้ม
“มิน่าเชื่อว่าธิดาของฉีหวนกงนั้นช่างเข้มแข็ง ข้านึกว่านางจะร้องคร่ำครวญ ร้องขอชีวิตแต่นางกลับอดกลั้นได้ยิ่งกว่าชายอกสามศอก แต่ข้าก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่านางจักเข้มแข็งได้ถึงเพียงนั้น”“แต่โทษครั้งนี้ก็หนักหนาเอาการอยู่ นางคงมิกล้าทำผิดอีกแล้ว”“ข้ามิเคยเชื่อใจผู้ใด คนที่ดีกันเจียนตายยังฆ่ากันได้เมื่อสบโอกาสเหมาะ นางก็คงมิผิดจากพ่อของนาง ข้ามิรู้ว่าคนแคว้นฉีมีแผนอันใดหรือไม่ เราควรต้องระวังตัวตลอดเวลานี่มิใช่หรือ เจ้าคิดเช่นข้าหรือไม่โม่โฉว”“พะย่ะค่ะ...แต่...หม่อมฉันว่าตอนนี้พระองค์ควรคิดเรื่องเตรียมการพิธีสำหรับพระธิดารับตำแหน่งหวางเฟยก่อนเรื่องอื่น”“รอให้แผลของจางลี่หายดีมากกว่านี้ ข้ามิลืมว่าฉีหวนกงส่งนางมาด้วยเหตุผลอันใด...แล้วตอนนี้คนของนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง”“ตอนนี้ผู้ติดตามของพระธิดาอยู่ในพื้นที่ที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้ แต่ท่าทางราชองครักษ์เจียนเจ้าอยากรู้ว่าองค์ชายาเป็นเยี่ยงไร”“ท่าทางราชองรักษ์ผู้นี้มิธรรมดา เจ้าเห็นดังที่ข้าเห็นหรือไม่โม่โฉว”“หม่อมฉันทราบมาว่าแต่ก่อนเจียนเจ้านั้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ กรำศึกให้แคว้นฉีมากมายหลายสนามรบก่อนเข้ามารับใช้เป็นนายทหารคอยติดตามฉีหวนกง ห
ณ ตำหนักร้อยไหม ยามย่ำสนธยา เวลาผ่านไปถึงราตรีที่เจ็ดหลินเจินก็ยังคอยปรนนิบัติและดูแลพระธิดาจางลี่ซึ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บด้วยต้องโทษโบยเป็นรอยแผลลึกร้าวบนแผ่นหลัง จางลี่ลุกขึ้นนั่งและเดินได้ด้วยโอสถของแพทย์หลวงที่จัดไว้ให้นางสนมคอยถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด หลินเจินนำชุดผ้าไหมมาวางบนแท่นบรรทมก่อนเอ่ยว่า“ถึงเวลาไปสระน้ำแล้วเจ้าค่ะท่านหญิง”“นี่ข้าลงอาบน้ำในสระได้แล้วจริง ๆ หรือ?”“เจ้าค่ะ...อาการของท่านหญิงดีขึ้นมาก หมอหลวงบอกว่าสามารถลงสระน้ำได้ หลินเจินได้ยินท่านหญิงบ่นอยากอาบน้ำในสระหลายหน โชคดีเหลือเกินที่ตำหนักร้อยไหมแม้รอบ ๆ จะน่ากลัวแต่ภายในนี้มีสระใหญ่วิจิตรตระการตายิ่งนัก”“องค์ชายหลี่เจี๋ยคงสร้างไว้สำหรับนางห้ามนับร้อยของพระองค์กระมัง”“ท่านหญิงเจ้าคะ...”หลินเจินลดเสียงต่ำและขยับเข้าใกล้นายหญิงที่โน้มใบหน้างดงามของนางลงเพื่อฟังสิ่งที่นางกำนัลกระซิบ“ท่านหญิง...ท่านอาจไม่เชื่อ แต่ข้าได้ลองสอบถามนางกำนัลที่เข้ามาช่วยดูแลอาการของท่านตอนยังลุกขึ้นมิได้ว่าหลู่อ๋องมีสนมนางในและนางห้ามมากมายเพียงใด”“นับร้อยอย่างที่ข้าคิด หรือมากกว่านั้น”“พระองค์...ยังมิทรงรับนางใดเป็นสน
นางร้องลั่นเมื่อหลู่อ๋องโยนร่างน้อยในอ้อมแขนลงในสระน้ำอย่างไม่ปราณี และยืนนิ่งมองร่างเล็กตะเกียกตะกายตัวเองอยู่ในสระน้ำด้วยแววตาข้นคลั่ก“ช่วยด้วย!...ชะ...ช่วยด้วย!”จางลี่พยายามตะกุยมือและเท้าพาตัวเองให้อยู่เหนือน้ำแต่ทำได้ลำบากยิ่งในเมื่อนางว่ายน้ำไม่เป็น ร่างของนางหนักอึ้งและมีแต่จะดิ่งลงเบื้องล่าง หลี่เจี๋ยจ้องมองและขบกรามดังกรอด“อ่อนแอ...จอมมารยา!”ร่างสูงใหญ่หันหลังให้ ในกายนั้นเลือดเดือดพล่านด้วยโทสะ แต่เมื่อจะก้าวขาก็หันกลับไปอีกครั้ง หัวใจของเขาดิ่งวูบเมื่อไม่เห็นร่างของจางลี่ เห็นเพียงฟองอากาศในน้ำ หลู่อ๋องตะโกนเรียก“จางลี่...จางลี่...ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งว่ายน้ำไม่เป็น...จางลี่!”เรียกหากไร้เสียงตอบท่ามกลางน้ำนิ่งในสระ เมื่อเห็นดังนั้นหลี่เจี๋ยจึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออกเหลือฉลองพระองค์ชุดบางและกระโดดลงไปในสระ ดำลงไปเบื้องล่างเพื่อคว้าร่างของจางลี่ที่กำลังดิ่งลงพื้นสระขึ้นมาเหนือน้ำ“เฮือก!”จางลี่สูดลมเข้าปอดก่อนสำลักน้ำออกมาเมื่อลืมตาขึ้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่นั่นทีเดียว นางแทบไม่รู้ตัวเลยว่ากอดร่างหนาใหญ่ไว้แนบแน่นขนาดไหนและกว่าจะรู้ตัวว่าชุดของนางหลุดหายลงไปใต้น้ำก็เมื่อนา
“มานี่สิ...พี่จะสอนเจ้าว่ายน้ำ”จางลี่ส่ายหน้า“หม่อมฉันมิอาจทำได้”“ฉีหวนกงสอนเจ้าทุกเรื่องยกเว้น...ความกล้าหาญ”“และหากหม่อมฉันจมน้ำตายท่านพี่ก็จะได้พ้นคำครหาว่าเป็นผู้ลงมือปลิดชีพองค์ชายา”“จับเจ้ากดน้ำยังง่ายกว่าทำวิธีอื่นกระมัง”หลี่เจี๋ยดึงร่างน้อยลงไปในน้ำอีกครั้งทั้งที่นางยังไม่ทันสวมอาภรณ์ เขากอดเกี่ยวจางลี่และพานางว่ายไปหยุดตรงกลางสระ นางยังมีความตระหนกแต่หลู่อ๋องกลับไม่ประวิงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเพียงกอดนางไว้ในอ้อมแขนและจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตสุกใสงดงาม แววตาของจางลี่แม้เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงหากก็ใสบริสุทธิ์อย่างเหลือเกิน นางยังเยาว์นักแม้เรือนร่างนั้นอิ่มเนียนสะพรั่งตามวัยสาว ปากนางสั่นระริก“ท่านพี่ได้โปรด...พาหม่อมฉันกลับไปเถิด หม่อมฉันหนาวแล้วเพคะ”“อยู่แบบนี้มิรู้สึกอุ่นหรืออย่างไร...อืม...แผลของเจ้าดีขึ้นมากแล้วจริงหรือ?”หลี่เจี๋ยเลื่อนมือข้างหนึ่งลูบไล้บนแผ่นหลังของนาง สัมผัสรอยสะเก็ดแผลระคายปลายนิ้ว จางลี่ถึงกับสั่นเทิ้ม นางขยับเข้าใกล้ อกอิ่มแนบชิดอกกว้าง แขนของนางกระหวัดเกี่ยวรอบคอหลู่อ๋อง ใบหน้าสวยหมดจดอยู่ห่างจากใบหน้าคมเข้มไม่ถึงคืบ ทุกสัดส่วนเบียดแนบกับตั