“หม่อมฉันหร้อมรับโทษเพคะ และหากหม่อมฉันตายไปก็ขอพระองค์โยนร่างของหม่อมฉันลงไปที่ใต้ตำหนักร้อยไหมให้จระเข้ของพระองค์ฉีกทึ้ง มิต้องเหลือซากแม้กระดูกกลับคืนแผ่นดินฉี”
ควับ!!
“ฮึก!”
จางลี่สะดุ้ง หลังของนางแอ่นเมื่อหลี่เจี๋ยหวดแส้ลงบนหลังบอบบางหนแรกจนชุดผ้าแพรเป็นรอยแยกบางๆ หากนางกลับมิส่งเสียงร้องออกมาเพียงสักแอะ หลู่อ๋องขบกรมแน่นก่อนลงแส้เป็นครั้งที่สอง คราวนี้เนื้อผ้าบนแผ่นหลังของนางขาดออกจากกันหากจางลี่ก็มิยอมส่งเสียงร้องออกมาดังเดิม
4
บุปผาเดียวดาย
ยิ่งจางลี่ไม่ส่งเสียงร้องก็เหมือนเป็นการยั่วยุโทสะอ๋องหลี่เจี๋ย เขาตวัดปลายแส้ลงไปอีกสามครั้งแผ่นหลังของนางก็เป็นรอยแผลปริแยก โลหิตซึมออกมาหากนางก็ยังกัดฟันแต่ใบหน้าของนางกดเกร็ง คิ้วขมวดมุ่น
ควับ!!
เสียงปลายแส้สะบัดลงบนแผ่นหลังของนางอีกครั้งคราวนี้โลหิตสาดกระเซ็น แต่ก่อนที่หลี่เจี๋ยจะเงื้อมือเพื่อลงแส้ซ้ำลงไปอีกเขาต้องชะงักเมื่อโม่โฉวปราดเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า
“พอก่อนเถิดพระองค์...เกรงว่าหากลงแส้จนครบร้อยครั้งนางอาจทนไม่ไหวและต้องสิ้นใจในคุกหลวงนี้เป็นแน่”
ราชองครักษ์เอกกราบทูลด้วยเสียงแน่นหนักทั้งที่เขาไม่เคยขัดต่อพระประสงค์ของหลู่อ๋องมาก่อน หลี่เจี๋ยลดมือที่กำแส้ลง เขานิ่วหน้าและขบกรามเหมือนรู้สึกเจ็บปวดขณะปรายดวงตาคมไปยังร่างของจางลี่ซึ่งบัดนี้นางซบหน้าแน่นิ่งไปแล้ว ร่างสูงใหญ่หอบหายใจ สีหน้าโกรธขึ้นราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้หากก็ยังเสียงแข็งกร้าวไม่แปลงเปลี่ยน
“เจ้าอยากจะร้องขอให้ข้าละเว้นโทษต่อพระธิดาฉีอ๋องเช่นนั้นหรือ?”
“หามิได้...กระหม่อมรู้ว่านี่คือการลงทัณฑ์ที่มิอาจเลี่ยง หากแต่พระธิดานั้นเป็นเพียงหญิงตัวเล็ก แม้แต่นักโทษชายยังทานทนมิไหว บ้างก็ตายตั้งแต่ยังลงแส้มิถึงกึ่งหนึ่งของโทษที่ได้รับ และที่สำคัญมากไปกว่านั้น หม่อมฉันอยากให้พระองค์ทรงตรองให้หนักว่าพระธิดาเพิ่งเดินทางมาถึงแคว้นหลู่เพียงมิกี่ราตรี หากนางต้องมีอันเป็นไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตบานปลายไปกว่านี้ อย่าลืมว่ายังมีทหารและคนของแคว้นฉีที่ติดตามนางมาด้วยนะพะย่ะค่ะ”
คำกล่าวที่ไม่เกินความจริงขององครักษ์ราวกับว่าได้ฉุดอารมณ์ของหลู่อ๋องให้ดิ่งลง หลี่เจี๋ยก้มลงมองแส้ในมือก่อนโยนมันลงตรงหน้าโม่โฉว
“คราวหน้าหากนางทำผิดอีก ข้าจักให้เจ้าเป็นคนลงทัณฑ์ และคราวนี้จักมิมีการผ่อนโทษแม้แต่คราเดียว!”
ร่างสูงสง่าของผู้ครองแคว้นก้าวฉับ ๆ ออกไป โม่โฉวถอนหายใจโล่ง แต่เมื่อเขาลุกขึ้นผู้คุมคุกหลวงร่างใหญ่อย่างยักษ์ปักหลั่นก็เข้ามาและเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านโม่โฉว...ท่านกล้าเหลือเกินที่ยับยั้งการลงทัณฑ์ของหลู่อ๋องในครานี้ แต่...ข้ามิเคยเห็นพระองค์ทรงลดหย่อนโทษให้ผู้ใดเลย ทุกคนต่างรู้ว่าหลู่อ๋องนั้นเหี้ยมหาญและเด็ดขาดนัก”
“หากข้ามิมีเหตุผลเพียงพอก็คงต้องถูกบั่นหัวโทษฐานขัดพระประสงค์ของพระองค์เป็นแน่”
ผู้คุมได้ฟังดังนั้นก็หันกลับไปมองร่างของจางลี่ที่แผ่นหลังของนางชุ่มด้วยโลหิตและแน่นิ่งไปแล้ว เขาส่ายหน้าไปมา
“องค์ชายาช่างงดงามนัก นางบอบบางราวกับบุปผาในสรวงสวรรค์”
“หากนางก็เป็นเช่นบุปผาเดียวดาย ที่นี่หาใช่สรวงสรรค์สำหรับนางไม่”
“ข้ายอมใจพระธิดา ตอนหลู่อ๋องลงแส้นางใจเด็ดนัก ไม่ยอมร้องออกมาเลย...แล้วนี่ข้าต้องทำอย่างไรต่อไปท่านโม่โฉว”
“เรียกทหารและนางกำนัลอีกเพียงสองสามนางมาพาพระธิดากลับไปที่ตำหนักร้อยไหม เก็บเรื่องนี้ไว้อย่าได้แพร่งพรายออกไปเพราะหากทหารแคว้นฉีที่ติดตามนางมารู้เข้าอาจเกิดเรื่องใหญ่”
“ขอรับท่านโม่โฉว”
ผู้คุมรับคำก่อนหันไปออกคำสั่งทหารยามที่ยืนเฝ้าประตู โม่โฉวนึกถึงคำพูดของผู้คุมอีกครั้ง ชายอกสามศอกเยี่ยงเขาก็ยังนึกไปไม่ถึงว่าพระธิดาของฉีหวนกงจะใจเด็ดได้ถึงขนาดนี้ นางไม่ร้องขอและอดกลั้นต่อการลงทัณฑ์ร้ายแรงได้อย่างน่าประหลาดใจแท้
ณ ตำหนักร้อยไหม
“หมอหลวงเจ้าคะ อาการของพระธิดาเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ?”
หลินเจินเอ่ยถามแพทย์ประจำวังหลวงที่เข้ามาดูแลอาการของพระธิดาจางลี่หลังถูกส่งตัวกลับมายังตำหนักในสภาพหมดสติและเบื้องหลังของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการลงแส้ มีนางกำนัลฝ่ายในเพียงสองสามนางที่เข้ามาช่วยเช็ดรอยโลหิตและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้องค์ชายาขณะที่นางกำนังคนสนิทยืนมองด้วยใจระย่อ น้ำตาคลอหน่วยตลอดเวลา กระทั่งแพทย์หลวงซึ่งเป็นชายสูงวัยแต่ใบหน้านั้นเอื้ออารีมาถึงและทำการตรวจดูพร้อมทั้งจัดยา สั่งการให้นางกำนัลทำแผลให้องค์ชายาอย่างดีทำให้หลินเจินเบาใจลงไปมาก หากนางก็ยังคงเป็นกังวลจึงต้องตามมาถามหมอหลวงอีกครั้งก่อนที่เจะกลับออกไปจากตำหนัก
“นางมิเป็นอะไรมากดอก เจ้ามิต้องห่วงกังวล”“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ข้าเป็นกังวลนั้นเป็นเพราะเห็นบาดแผลของนางน่ากลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ข้ารับใช้พระธิดามาก็มิเคยเห็นโลหิตตกจากพระกายาของนางเลยแม้แต่น้อย”“ข้าได้จัดโอสถอย่างดีให้นางกำนัลใส่ในลูกประคบแผลนางแล้ว เครื่องโอสถแคว้นหลู่นั้นถือว่าเป็นเครื่องปรุงทิพย์ นางจักมีพระอาการดีขึ้นในอีกไม่เกินเจ็ดราตรีหลังจากนี้”“นี่แสดงว่าท่านคงทำการรักษาผู้ต้องทัณฑ์ลงแส้มานักต่อนักถึงได้มีความรู้เรื่องยารักษามากเช่นนี้”ได้ยินดังนั้นหมอหลวงกลับส่ายหน้า“เปล่าเลยสนม...ข้าเคยรักษาผู้ต้องอาญาโบยด้วยแส้เพียงไม่กี่คน”“ทำไมเจ้าคะ?”“ส่วนใหญ่หามีผู้ใดรอดจากอาญาร้ายแรงเทียมผูกร่างให้ม้าฉีกออกเป็นชิ้นนั้นอย่างไรเล่า”“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินเจินหน้าตื่น“แต่อาการของพระนางนั้นหาได้ร้ายแรงไม่ จากที่ข้าพินิจดูรอยแผลของนางต้องรอยแส้นับไม่กี่หน”“แต่โลหิตนางก็ไหลมากเหลือเกินนะเจ้าคะ”“นั่นเพราะแผลลึกมาก อืม...ผู้ใดกันที่ลงแส้พระธิดา”หมอหลวงทำท่านึกแต่หลินเจินหาได้หลุดปากออกไปไม่ว่าหลู่อ๋องนั่นอย่างไรเป็นผู้ลงแส้ด้วยพระองค์เอง กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“ช่างมันเถิด ไม่ว
เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องของตำหนักร้อยไหมที่หันไปยังบูรพทิศทำให้จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวบนแผ่นหลัง แต่สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อลืมตาคือหลู่อ๋องหลี่เจี๋ยซึ่งยืนที่หน้าต่างห้องขณะกำลังมองออกไปยังเวิ้งน้ำด้านนอกที่โอบล้อมตำหนักร้อยไหม นางยังนอนคว่ำบนเตียงและขยับตัวไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่าร่างกายที่มีผ้าไหมบาง ๆ ปกปิดอยู่นั้นเจ็บร้าวไปหมด จางลี่มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครแม้แต่หลินเจิน นางต้นห้องคนสนิท ความกลัวแล่นเข้าจับใจอีกครั้งแต่เมื่อกำลังจะหลับตากลับได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขึ้น“เจ้าฟื้นแล้วหรือ น้องพี่?”หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาและหย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ดวงตาดำยาวรีจับจ้องบนดวงหน้าสีกุหลาบโดยปราศจากรอยยิ้ม จางลี่หาได้ยินดีไม่ นางไม่ปรารถนาเห็นหน้าพระญาติผู้พี่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าจะเป็นพระสวามีของนาง อ๋องแคว้นหลู่สมญาพยัคฆ์ขาวรูปงามแท้แล้วจิตใจอำมหิตยิ่งนัก“เมื่อคืนนี้ข้ามิได้หลับเลยรู้ไหม...กายเจ้าร้อนดั่งไฟ และข้าต้อง...ป้อนยาให้เจ้าทั้งคืน”หลู่อ๋องไล้ปลายนิ้วหยาบแกร่งบนปลายคางมน นัยน์ตาคู่นั้นหาได้ฉายแววแห่งความอารีย์ดังคำพูดที่เปล่งออกมาไม่ จางลี่เม้ม
“มิน่าเชื่อว่าธิดาของฉีหวนกงนั้นช่างเข้มแข็ง ข้านึกว่านางจะร้องคร่ำครวญ ร้องขอชีวิตแต่นางกลับอดกลั้นได้ยิ่งกว่าชายอกสามศอก แต่ข้าก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่านางจักเข้มแข็งได้ถึงเพียงนั้น”“แต่โทษครั้งนี้ก็หนักหนาเอาการอยู่ นางคงมิกล้าทำผิดอีกแล้ว”“ข้ามิเคยเชื่อใจผู้ใด คนที่ดีกันเจียนตายยังฆ่ากันได้เมื่อสบโอกาสเหมาะ นางก็คงมิผิดจากพ่อของนาง ข้ามิรู้ว่าคนแคว้นฉีมีแผนอันใดหรือไม่ เราควรต้องระวังตัวตลอดเวลานี่มิใช่หรือ เจ้าคิดเช่นข้าหรือไม่โม่โฉว”“พะย่ะค่ะ...แต่...หม่อมฉันว่าตอนนี้พระองค์ควรคิดเรื่องเตรียมการพิธีสำหรับพระธิดารับตำแหน่งหวางเฟยก่อนเรื่องอื่น”“รอให้แผลของจางลี่หายดีมากกว่านี้ ข้ามิลืมว่าฉีหวนกงส่งนางมาด้วยเหตุผลอันใด...แล้วตอนนี้คนของนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง”“ตอนนี้ผู้ติดตามของพระธิดาอยู่ในพื้นที่ที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้ แต่ท่าทางราชองครักษ์เจียนเจ้าอยากรู้ว่าองค์ชายาเป็นเยี่ยงไร”“ท่าทางราชองรักษ์ผู้นี้มิธรรมดา เจ้าเห็นดังที่ข้าเห็นหรือไม่โม่โฉว”“หม่อมฉันทราบมาว่าแต่ก่อนเจียนเจ้านั้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ กรำศึกให้แคว้นฉีมากมายหลายสนามรบก่อนเข้ามารับใช้เป็นนายทหารคอยติดตามฉีหวนกง ห
ณ ตำหนักร้อยไหม ยามย่ำสนธยา เวลาผ่านไปถึงราตรีที่เจ็ดหลินเจินก็ยังคอยปรนนิบัติและดูแลพระธิดาจางลี่ซึ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บด้วยต้องโทษโบยเป็นรอยแผลลึกร้าวบนแผ่นหลัง จางลี่ลุกขึ้นนั่งและเดินได้ด้วยโอสถของแพทย์หลวงที่จัดไว้ให้นางสนมคอยถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด หลินเจินนำชุดผ้าไหมมาวางบนแท่นบรรทมก่อนเอ่ยว่า“ถึงเวลาไปสระน้ำแล้วเจ้าค่ะท่านหญิง”“นี่ข้าลงอาบน้ำในสระได้แล้วจริง ๆ หรือ?”“เจ้าค่ะ...อาการของท่านหญิงดีขึ้นมาก หมอหลวงบอกว่าสามารถลงสระน้ำได้ หลินเจินได้ยินท่านหญิงบ่นอยากอาบน้ำในสระหลายหน โชคดีเหลือเกินที่ตำหนักร้อยไหมแม้รอบ ๆ จะน่ากลัวแต่ภายในนี้มีสระใหญ่วิจิตรตระการตายิ่งนัก”“องค์ชายหลี่เจี๋ยคงสร้างไว้สำหรับนางห้ามนับร้อยของพระองค์กระมัง”“ท่านหญิงเจ้าคะ...”หลินเจินลดเสียงต่ำและขยับเข้าใกล้นายหญิงที่โน้มใบหน้างดงามของนางลงเพื่อฟังสิ่งที่นางกำนัลกระซิบ“ท่านหญิง...ท่านอาจไม่เชื่อ แต่ข้าได้ลองสอบถามนางกำนัลที่เข้ามาช่วยดูแลอาการของท่านตอนยังลุกขึ้นมิได้ว่าหลู่อ๋องมีสนมนางในและนางห้ามมากมายเพียงใด”“นับร้อยอย่างที่ข้าคิด หรือมากกว่านั้น”“พระองค์...ยังมิทรงรับนางใดเป็นสน
นางร้องลั่นเมื่อหลู่อ๋องโยนร่างน้อยในอ้อมแขนลงในสระน้ำอย่างไม่ปราณี และยืนนิ่งมองร่างเล็กตะเกียกตะกายตัวเองอยู่ในสระน้ำด้วยแววตาข้นคลั่ก“ช่วยด้วย!...ชะ...ช่วยด้วย!”จางลี่พยายามตะกุยมือและเท้าพาตัวเองให้อยู่เหนือน้ำแต่ทำได้ลำบากยิ่งในเมื่อนางว่ายน้ำไม่เป็น ร่างของนางหนักอึ้งและมีแต่จะดิ่งลงเบื้องล่าง หลี่เจี๋ยจ้องมองและขบกรามดังกรอด“อ่อนแอ...จอมมารยา!”ร่างสูงใหญ่หันหลังให้ ในกายนั้นเลือดเดือดพล่านด้วยโทสะ แต่เมื่อจะก้าวขาก็หันกลับไปอีกครั้ง หัวใจของเขาดิ่งวูบเมื่อไม่เห็นร่างของจางลี่ เห็นเพียงฟองอากาศในน้ำ หลู่อ๋องตะโกนเรียก“จางลี่...จางลี่...ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งว่ายน้ำไม่เป็น...จางลี่!”เรียกหากไร้เสียงตอบท่ามกลางน้ำนิ่งในสระ เมื่อเห็นดังนั้นหลี่เจี๋ยจึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออกเหลือฉลองพระองค์ชุดบางและกระโดดลงไปในสระ ดำลงไปเบื้องล่างเพื่อคว้าร่างของจางลี่ที่กำลังดิ่งลงพื้นสระขึ้นมาเหนือน้ำ“เฮือก!”จางลี่สูดลมเข้าปอดก่อนสำลักน้ำออกมาเมื่อลืมตาขึ้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่นั่นทีเดียว นางแทบไม่รู้ตัวเลยว่ากอดร่างหนาใหญ่ไว้แนบแน่นขนาดไหนและกว่าจะรู้ตัวว่าชุดของนางหลุดหายลงไปใต้น้ำก็เมื่อนา
“มานี่สิ...พี่จะสอนเจ้าว่ายน้ำ”จางลี่ส่ายหน้า“หม่อมฉันมิอาจทำได้”“ฉีหวนกงสอนเจ้าทุกเรื่องยกเว้น...ความกล้าหาญ”“และหากหม่อมฉันจมน้ำตายท่านพี่ก็จะได้พ้นคำครหาว่าเป็นผู้ลงมือปลิดชีพองค์ชายา”“จับเจ้ากดน้ำยังง่ายกว่าทำวิธีอื่นกระมัง”หลี่เจี๋ยดึงร่างน้อยลงไปในน้ำอีกครั้งทั้งที่นางยังไม่ทันสวมอาภรณ์ เขากอดเกี่ยวจางลี่และพานางว่ายไปหยุดตรงกลางสระ นางยังมีความตระหนกแต่หลู่อ๋องกลับไม่ประวิงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเพียงกอดนางไว้ในอ้อมแขนและจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตสุกใสงดงาม แววตาของจางลี่แม้เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงหากก็ใสบริสุทธิ์อย่างเหลือเกิน นางยังเยาว์นักแม้เรือนร่างนั้นอิ่มเนียนสะพรั่งตามวัยสาว ปากนางสั่นระริก“ท่านพี่ได้โปรด...พาหม่อมฉันกลับไปเถิด หม่อมฉันหนาวแล้วเพคะ”“อยู่แบบนี้มิรู้สึกอุ่นหรืออย่างไร...อืม...แผลของเจ้าดีขึ้นมากแล้วจริงหรือ?”หลี่เจี๋ยเลื่อนมือข้างหนึ่งลูบไล้บนแผ่นหลังของนาง สัมผัสรอยสะเก็ดแผลระคายปลายนิ้ว จางลี่ถึงกับสั่นเทิ้ม นางขยับเข้าใกล้ อกอิ่มแนบชิดอกกว้าง แขนของนางกระหวัดเกี่ยวรอบคอหลู่อ๋อง ใบหน้าสวยหมดจดอยู่ห่างจากใบหน้าคมเข้มไม่ถึงคืบ ทุกสัดส่วนเบียดแนบกับตั
ฮุยอินปรายตาไปทางหลินเจินอีกครั้งทำให้นางกำนัลคนสนิทรู้ในทันทีว่านางจำต้องออกจากห้องนั้นแม้ว่าอยากอยู่ฟังการสนทนาของทั้งสองก็ตาม ฮุยอินซ่อนยิ้มในหน้าเมื่อเห็นว่าหลินเจินถอยออกไป นางจึงหันกลับมายังจางลี่อีกครั้ง“พระธิดา...ดูท่าทางเหมือนท่านไม่ค่อยสบาย”“ข้าสบายดี เจ้ามีอะไรอย่างนั้นหรือถึงมาหาข้าวันนี้”สิ้นคำถามของจางลี่ฮุยอินจึงขยับเข้ามาใกล้ นางลดน้ำเสียงต่ำลงให้เบาจนเกือบเป็นกระซิบ“พระธิดา...หม่อมฉันผิดเองที่มิอาจเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ได้ แต่หม่อมฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและรู้สึกเป็นห่วงพระธิดาทั้งที่ก็หนักใจอย่างเหลือเกินที่ต้องบอกให้ท่านรู้ และเมื่อท่านรู้แล้วก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่หม่อมฉันด้วย"“เรื่องอะไรหรือฮุยอิน มันเป็นเรื่องหนักหนามากเช่นนั้นหรือ”นางพยักหน้า “เพคะ...พระธิดาจางลี่ ท่านเพิ่งมาถึงที่นี่อาจมิรู้ความเป็นไป ท่านคงทราบดีแล้วว่าท่านพ่อของข้าเป็นพระอาจารย์ของหลู่อ๋อง คอยสั่งสอนอบรมวิชาการให้องค์ชายมาแต่พระองค์ยังทรงวัยเยาว์ และองค์ชายหลี่เจี๋ยมีความผูกพันกับครอบครัวของหม่อมฉันมาก หละหม่อมฉันรู้ดีว่าองค์ช่ายนั้นเป็นคนเช่นไร พระองค์ทรงเด็ดเดี่ยว เด็ดขาดและ
“ฮุยอิน” จางลี่ส่งเสียงลึกในลำคอเมื่อเห็นว่าฮุยอินยื่นอะไรบางอย่างให้ มันเป็นขวดแก้วขนาดเล็กในฝ่ามือของนางบรรจุน้ำใส นางกระซิบเบาๆ“นี่คือยาพิษสกัดจากสัตว์และดอกไม้พิษ มันกัดกร่อนทุกอย่างให้แหลกเหลวในชั่วพริบตา เก็บไว้ให้ดีนะเพคะ มันอาจมีประโยชน์ต่อพระธิดาเพื่อใช้ป้องกันตัวในเวลามีภัย พระองค์มิมีวันรู้หรอกเพคะว่าหลู่อ๋องจะ...บ้าเลือดขึ้นมาเมื่อไหร่ องค์ชายหาได้มีจิตธรรมดาเช่นคนทั่วไปและอาจทำร้ายพระธิดาเวลาไม่ทรงพอพระทัย หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์นะเพคะ”จางลี่รับมันไว้ นางมีทีท่าลังเลขณะจ้องมองขวดแก้ในมือ“ขอบใจเจ้ามากนะฮุยอิน ข้าจะเก็บมันไว้”“เผื่อต้องใช้นะเพคะ...หม่อมฉันขอตัวก่อน”ฮุยอินก้มหน้าแสดงความเคารพก่อนลุกขึ้น และเมื่อออกจากห้องนั้นนางสวนทางกับโม่โฉว ราชองครักษ์หนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ“ฮุยอิน...เจ้าเข้ามาที่นี่มีธุระอันใด”“ข้ามาเยี่ยมพระธิดาตามคำสั่งของท่านพ่อ”“พระอาจารย์วั่งซูให้เจ้ามาเช่นนั้นรึ”“เข้าใจมิผิดดอก...ท่านอาจจะลืมไปว่าท่านพ่อของข้าคือผู้ให้การต้อนรับและจัดการเรื่องที่ประทับแก่พระธิดาจางลี่และคนจากแคว้นฉี ฉะนั้นข้าจึงมีสิทธิ์เข้าออกในตำหนักนี้ตามคำสั่