“ฮุยอิน” จางลี่ส่งเสียงลึกในลำคอเมื่อเห็นว่าฮุยอินยื่นอะไรบางอย่างให้ มันเป็นขวดแก้วขนาดเล็กในฝ่ามือของนางบรรจุน้ำใส นางกระซิบเบาๆ“นี่คือยาพิษสกัดจากสัตว์และดอกไม้พิษ มันกัดกร่อนทุกอย่างให้แหลกเหลวในชั่วพริบตา เก็บไว้ให้ดีนะเพคะ มันอาจมีประโยชน์ต่อพระธิดาเพื่อใช้ป้องกันตัวในเวลามีภัย พระองค์มิมีวันรู้หรอกเพคะว่าหลู่อ๋องจะ...บ้าเลือดขึ้นมาเมื่อไหร่ องค์ชายหาได้มีจิตธรรมดาเช่นคนทั่วไปและอาจทำร้ายพระธิดาเวลาไม่ทรงพอพระทัย หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์นะเพคะ”จางลี่รับมันไว้ นางมีทีท่าลังเลขณะจ้องมองขวดแก้ในมือ“ขอบใจเจ้ามากนะฮุยอิน ข้าจะเก็บมันไว้”“เผื่อต้องใช้นะเพคะ...หม่อมฉันขอตัวก่อน”ฮุยอินก้มหน้าแสดงความเคารพก่อนลุกขึ้น และเมื่อออกจากห้องนั้นนางสวนทางกับโม่โฉว ราชองครักษ์หนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ“ฮุยอิน...เจ้าเข้ามาที่นี่มีธุระอันใด”“ข้ามาเยี่ยมพระธิดาตามคำสั่งของท่านพ่อ”“พระอาจารย์วั่งซูให้เจ้ามาเช่นนั้นรึ”“เข้าใจมิผิดดอก...ท่านอาจจะลืมไปว่าท่านพ่อของข้าคือผู้ให้การต้อนรับและจัดการเรื่องที่ประทับแก่พระธิดาจางลี่และคนจากแคว้นฉี ฉะนั้นข้าจึงมีสิทธิ์เข้าออกในตำหนักนี้ตามคำสั่
จางลี่พยักหน้าและหันกลับมายังคนของนาง องครักษ์เจียนเจ้าสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง เหมือนว่าพระธิดากำลังเป็นกังวลและดูเหมือนว่าทหารหลู่จับจ้องมายังทุกคนในที่นั้น สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรน่าไว้ใจด้วยแคว้นหลู่และแคว้นฉีเคยเกิดเรื่องบาดหมางมาเก่าก่อน หากมิใช่เพราะการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นก็อาจเป็นเกมการเมืองที่มีเงื่อนงำอย่างไม่น่าวางใจ โม่โฉวปล่อยให้จางลี่เข้าไปในจวนอันเป็นที่พักของเหล่าข้าราชบริภาร และนางได้พูดคุยกับทหารรวมทั้งผู้ติดตามเป็นเวลาอันสั้น จางลี่รอจังหวะเมื่อใกล้ถึงเวลาต้องกลับตำหนักและยังไม่ทันที่โม่โฉวเดินเข้ามานางจึงบอกคนในห้องนั้นว่า“ข้าดีใจมากที่เห็นพวกท่านอยู่กันพร้อมหน้า อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีรับตำแหน่งหวางเฟยของหลู่อ๋องทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดนะ”เหล่าทหารและข้าราชบริภารต่างน้อมรับและออกไปจากห้องนั้นจนหมด แต่ก่อนที่องครักษ์เจียนเจ้าจะตามออกไปก็ต้องชะงัก“องครักษ์เจียนเจ้า...ช้าก่อน”เสียงเรียกของจางลี่ทำให้ราชองครักษ์ซึ่งกำลังจะลุกขึ้นนั่งคุกเข่าลงตรงหน้านางอีกครั้ง“ทรงเรียกหม่อมฉันมีอะไรหรือพระธิดา?”“ท่านองครักษ์...ท่านอยู่ที่นี่มีความสุขดีหรือไม่?”“
จางลี่อ้าปากจะเรียกแต่โม่โฉวกลับเดินจ้ำออกไปด้วยท่าทีแข็งขันตามแบบอย่างนายทหารเอกก่อนนางสนมจะปิดประตูห้อง เหลือเพียงนางกับหลินเจิน จางลี่เดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิดก่อนกลับเข้าไปในห้องนอน นางหย่อนตัวลงนั่งบนแท่นบรรทมขณะหลินเจินตามติดเข้าไปนั่งแทบเท้านายหญิง“ท่านหญิง ท่าทางเหมือนท่านมีเรื่องไม่สบายใจ มีอะไรเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?”“ตอนที่ข้าได้พบองครักษ์เจียนเจ้า ข้าแอบส่งหนังสือให้เขาระวังตัว และคิดว่าเขาคงเห็นข้อความของข้า แต่ก็ยังมิทันได้บอกอะไรเขามากกว่านั้น เวลาของเรามีน้อยนิด คนของหลู่อ๋องก็ตามติดไม่ยอมห่าง ข้าอยากพบองครักษ์เจียนเจ้าอีกสักครั้ง”“จริงหรือเจ้าคะ ดูท่านร้อนใจหนัก”“ข้ากลัวว่าจะไม่ได้พบเขาอีก...เป็นหนสอง”“ทำไมเล่าเจ้าคะ ทำไมท่านหญิงกล่าวเช่นนั้น”“เจ้ามิสังเกตหรือหลินเจินว่าตอนนี้องค์ชายหลี่เจี๋ยกำลังจำกัดอาณาเขตของข้ามากขึ้นทุกที ตอนแรกให้ข้ามาอยู่ที่นี่ และวันนี้ให้ข้าได้พบกับคนของข้า แต่หลังจากนี้ข้าจักมิได้ไปไหนอีก ต้องรอจนถึงวันรับตำแหน่งหวางเฟย เขากำลังบีบบังคับพวกเรา เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนฮุยอินมาหาเขาบอกอะไรแก่ข้า”“อะไรหรือเจ้าคะ?”“นางบอกว่าองค์ชายนั้นมีจิตวิป
สำหรับจางลี่แล้วคืนนี้สำคัญนักเพราะหมายถึงการรับตำแหน่งหวางเฟย หากช่างเป็นพิธีกรรมอันวังเวง ปราศจากเสียงแซ่ซ้องจากเหล่าประชา และนางก็ไม่มีโอกาสได้พบเหล่าข้าราชบริภารผู้ติดตามมาจากแคว้นฉี หรือนี่อาจเป็นคืนสุดท้ายของนางแล้วก็เป็นได้ หลู่อ๋องมิมีวันปล่อยให้นางมีชีวิตรอดพ้นจากแคว้นหลู่ เขาเพียงจัดฉากให้ดูเหมือนมีพิธีการ แล้วหลังจากนั้นก็จะฆ่านางและโยนซากศพให้เป็นอาหารโอชะของจระเข้ใต้ตำหนักร้อยไหม“น้องสาวของพี่ คืนนี้มีความสำคัญมากสำหรับเจ้า...เจ้าจะได้เป็นหวางเฟยของหลู่อ๋องอย่างเต็มตัว”หลี่เจี๋ยก้าวมาหยุดตรงหน้าและเชยคางมนให้นางแหงนขึ้นมองเขา จางลี่ผงะไปชั่วขณะลมหายใจ แม้หลู่อ๋องทรงอำนาจหากเขาคือบุรุษรูปงามราวเทพบุตร นัยน์ตาคู่นั้นเข้มคม ริมฝีปากได้รูปหยัดขึ้นเล็กน้อย สติของนางกำลังแตกซ่านเมื่อนึกถึงจุมพิตดูดดื่มที่เขาถืออำนาจล่วงล้ำ แต่จางลี่ต้องรีบเตือนสติตัวเองว่าเขาเป็นคนอันตราย ภายใต้ความหล่อเหลาและงามสง่าฉาบทาหลู่อ๋องคืออสูรร้ายในคราบเทพบุตร นางต้องฝืนยิ้ม“ท่านพี่...ท่านเองก็คงเหนื่อยกับพิธีการวันนี้”“เหนื่อยหรือ?...ข้าเหนื่อยทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา”“ทะ...ท่านพี่ควรได้ดื่มชาสักจ
หลี่เจี๋ยลั่นเสียงและบีบไหล่ของนางทั้งสองข้างเขย่าไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเข้มคลั่กราวอาบด้วยโลหิต จางลี่สะอื้นไห้แต่ไม่ยอมแพ้“พระองค์มิได้อยากไว้ชีวิตหม่อมฉันแต่แรก หากฆ่าได้ก็คงฆ่าหม่อมฉันให้ตายนับแต่ย่างเท้าเหยียบหน้าประตูเมืองนั่นแล้ว”“ใช่! คิดหรือว่าข้าจะยินดี ข้าอยากฉีกร่างของเจ้าให้ป่นเป็นหมื่นชิ้นนับแต่ฉีอ๋องส่งสาส์นมานั่นแล้ว!”เสียงคำรามของหลี่เจี๋ยหาได้เจ็บปวดเท่าคำพูดบาดคมยิ่งกว่ามีดหมื่นเล่มทิ่มแทงลงในหัวใจของจางลี่ นางเม้มปากสนิทแน่นและตัดสินใจดึงปิ่นดอกไม้จากมาลามงกุฎปักทะลุเสื้อคลุมลงบนไหล่กว้าง โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมา จางลี่ถึงกับตระหนกแต่หลู่อ๋องกลับยืนนิ่งราวหลักศิลาในหุบมืด“หลู่อ๋อง...”นางอุทานเบา ๆ ปากสั่นระริก มือที่กำปิ่นปักผมคลายออกพร้อมกับร่างบอบบางผละห่างจากร่างสูงใหญ่ หลี่เจี๋ยดึงปิ่นที่ปักคาอยู่บนไหล่ออกอย่างเยือกเย็นก่อนหักมันทิ้งลงพื้น จางลี่ถอยห่างและส่ายหน้าไปมา“หลู่อ๋อง พระองค์หาใช่เพียงจิตวิปริต แต่ยังเลือดเย็นมิรู้สึกรู้สาถึงความเจ็บปวด”“หาได้ต่างจากเจ้าไม่ จางลี่...เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้ โทษของเจ้าครั้งต่อไปต้องหนักยิ่งกว
หลี่เจี๋ยเงียบไปชั่วขณะหากนัยน์ตาดำยาวรีจ้องลึกลงไปในดวงตาสุกสว่างของนางอย่างมีความหมายก่อนหยัดมุมปากขึ้นเล็กน้อย“ขนาดเจ้าเป็นหญิงยังมิกลัวตาย แล้วข้าเป็นชายอกสามศอกจะกลัวอันใดเล่า”“แต่ท่านคือหลู่อ๋อง เป็นอ๋องแห่งแคว้นหลู่ ชีวิตของท่านมีความหมายมากกว่าหม่อมฉันนัก หม่อมฉันเป็นเพียงธิดาของพระสนม”“ความตายหาได้เลือกว่าเจ้าเป็นใคร”จางลี่ส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตาหยดไหล “แต่เราเลือกทางตายได้นี่มิใช่หรือเพคะ...หากพระองค์มิทรงกระโดดลงมาในน้ำกับหม่อมฉันก็จะมิทรงเป็นอะไร”“เมื่อครู่เจ้ายังคิดจะวางยาพิษให้พี่ตายนี่มิใช่หรือ หึ...แล้วเหตุใดจึงมาเป็นห่วงเป็นใย ถึงพี่คือหลู่อ๋องแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการใช้ชีวิตของผู้เป็นใหญ่นั้นมิใช่เรื่องง่าย ต้องอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่ง อิจฉาริษยาและคดโกงหักหลัง และมีคนอีกมากมายอยากให้พี่ตายเช่นที่เจ้าหวัง”“หม่อมฉันมิได้...”เสียงของจางลี่ขาดหายไปพร้อมอาการกระตุกด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวเหนือผิวน้ำ หลี่เจี๋ยกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกระชับร่างน้อยในอ้อมแขน เขากระซิบว่า“เรามีเวลาน้อยนัก อยู่นิ่งๆ อย่าขยับตัว”จางลี่กลืนน้ำลาย “ท่านพี่...พวกมัน...
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมาช่วยแล้วพะย่ะค่ะ!”เสียงโม่โฉวดังขึ้นพร้อมทั้งปรี่เข้าไปใช้สามง่ามแทงเสยที่ปากจระเข้ตัวใหญ่จนมันปล่อยขาของหลี่เจี๋ยเป็นอิสระ สักครู่ก็มีทหารนับสิบถือคบเพลิงกรูกันมาพร้อมอาวุธทั้งหอก ดาบและสามง่าม ส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยกันลากร่างของหลู่อ๋องขึ้นฝั่ง และอีกสี่ห้าคนเข้าไปช่วยกันจ้วงแทงจระเข้ตัวนั้นจนมันแน่นิ่งคาคมหอกและสามง่าม“ท่านพี่!”จางลี่ตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกเมื่อเหล่าทหารช่วยกันพยุงร่างของหลู่อ๋องขึ้นมาทำให้เห็นรอยแผลเหวอะหวะบนขาข้างหนึ่งแต่เขากลับไม่ร้องโอดโอยนอกจากสั่งว่า“ไปตามหมอหลวงมา”“ท่านอ๋อง...หม่อมฉันว่าควรให้พวกเรานำพระองค์กลับไปยังตำหนักของพระองค์จะดีกว่า”“ให้หมอหลวงมาที่นี่ นี่เป็นคำสั่งของข้า!”หลี่เจี๋ยคำรามทำให้เหล่าทหารต้องทำตามบัญชาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง จางลี่แม้ตกใจตัวสั่นแต่ก็แข็งใจเข้าไปช่วยประคองร่างของหลู่อ๋องไว้ นางแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว นี่เขาเจ็บเจียนตายก็เพราะนางเป็นต้นเหตุ แผลนั้นฉกรรจ์นัก เขาอาจเสียเลือดจนตายในราตรีนี้ก็เป็นได้ สักครู่นายทหารร่างใหญ่สองคนก็เข้ามาช่วยกันพาร่างขององค์ชายหลี่เจี๋ยกลับไปยังตำหนักร้อยไหม จางลี่มองตาม นางไ
“องค์ชายาเพคะ หมอหลวงสั่งให้หม่อมฉันมาทูลต่อพระองค์”“เรื่องอะไรหรือ แล้วอาการของหลู่อ๋องเล่า”“หมอหลวงขอเชิญองค์ชายาเสด็จไปที่ห้องรักษาท่านอ๋องบัดเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น เจ้ายังมิได้รานงานอาการของหลู่อ๋องให้ข้ารู้เลยนะ”“ตอนนี้หลู่อ๋องพระวรกายร้อนจัดเพคะ ไข้ยังไม่สงบลงง่ายๆ”“ข้าจะไปดูอาการของพระองค์เดี๋ยวนี้”จางลี่รีบตามนางกำนัลไปยังห้องด้านทิศตะวันออกของตำหนัก เมื่อเข้าไปในห้องนั้นก็พบหมอหลวงกำลังจัดเตรียมเครื่องยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางรีบเข้าไปถามว่า“หมอหลวง...หลู่อ๋องเป็นเช่นไรบ้าง?”หมอหลวงรีบคุกเข่าลงและรายงาน “ทูลองค์ชายา บัดนี้หลู่อ๋องเริ่มรู้สึกกระองค์หลังจากมีไข้และหลับไปมิทันถึงชั่วยาม พระวรกายร้อนดั่งไฟเพราะบาดแผลนั้นฉกรรจ์นัก หม่อมฉันได้ถวายโอสถและให้นางกำนัลคอยถวายการดูแลเช็ดพระวรกายให้พระองค์ตลอดเวลา ไข้นั้นทุเลาลงแล้วแต่กลับร้อนรุ่มขึ้นมาอีก”“ท่านให้นางกำนัลไปตามข้ามา นี่แสดงว่าอาการของหลู่อ๋องแย่ลงใช่หรือไม่”“หามิได้...อาการของพระองค์ยังทรงตัว แต่ที่ให้นางกำนัลไปทูลเชิญพระองค์มาก็เพราะเมื่อหลู่อ๋องรู้สึกพระองค์ก็เพ้อหาองค์ชายาและมิยอมให้นางกำนัลเช็ดพระ