และนั่นเองทำให้นางรับรู้รสหวานปะแล่มที่โคนลิ้น ยาหมอหลวงทั้งขมทั้งเขื่อนขนาดนี้เองเล่าหลู่อ๋องจึงพ่นมันออกมาจนหมด แต่เมื่อหันกลับไปอีกครั้งก็เห็นว่าอาการของเขาเริ่มสงบลง หลี่เจี๋ยค่อยคลายความทุรนทุรายแต่ยังกระสับกระส่าย จางลี่จึงต้องนำผ้าในอ่างทองเช็ดบนร่างของเขาตั้งแต่ใบหน้าลงมาตามแขน ขา ข้อพับ และทุกซอกทุกมุม นางตั้งใจทำโดยมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งที่เขาตัวใหญ่โตขนาดนั้น มันทำให้นางคิดถึงเมื่อครั้งอยู่แคว้นฉี เคยเช็ดตัวให้พระสนมซิ่วอิง มารดาของนางทั้งที่ยังเยาว์วัย น้ำตาของจางลี่ถั่งไหลเมื่อรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาอีกครั้ง“จางลี่...จางลี่...เจ้าอยู่ไหน”“หม่อมฉันอยู่ตรงนี้เพคะ”นางขยับเข้าใกล้ โน้มตัวลงไปหาขณะมือข้างหนึ่งยังกำผ้าเอาไว้และวับลงบนผิวสากระคายที่ค่อยคลายความร้อนรุ่มลง หลี่เจี๋ยลืมตาขึ้น“จางลี่...พี่หนาว”“หม่อมฉันจะห่มผ้าให้นะเพคะ...อุ๊ย!”นางอุทานเบาๆ เมื่อหลี่เจี๋ยตวัดแขนแกร่งรวบเอวอ้อนแอ้นจนนางแนบชิดบนตัวเขา ใบหน้างามนั้นห่างจากใบหน้าคมคายไม่ถึงคืบ ปากของหลี่เจี๋ยแดงก่ำและสั่นระริก ลมหายใจของเขาผะผ่าวราดรดปลายริมฝีปากของจางลี่ ได้ยินเสียงเขากระซิบถาม“น้องสาวของพี
“ขอบคุณท่านพ่อที่ให้กำลังใจ... ข้าไปก่อน” เมื่อฮุยอินออกไปแล้ววั่งซูก็ยืนมองตามร่างของธิดาจนนางลับตาก่อนได้ยินเสียงดังขึ้นเบื้องหลัง“ข้านึกว่าเราจะได้รับข่าวดีในคืนที่พระธิดาจางลี่รับตำแหน่งหวางเฟยแล้วซะอีก”วั่งซูหันกลับไปก็พบกับบุรุษวัยกลางคนในชุดข้าราชการระดับสูง เขาแสดงการคำนับ“ท่านอำมาตย์อู๋อี้ฝาน...กลับมาจากแคว้นซ่งเมื่อใดกัน ข้ามิเห็นรู้”“ข้ากลับมาทันรู้ข่าวที่หลู่อ๋องถูกจระเข้กัดบาดเจ็บหนักแต่กลับมิตายสมใจข้า”“อย่าเพิ่งรีบร้อนวู่วาม เราต้องใช้เวลาซ่องสุมคนอีกสักระยะ ก่อนลงมือ”วั่งซูกล่าวพร้อมทั้งรินน้ำชาลงจอกและยื่นให้อีกฝ่ายอย่างใจเย็น อำมาตย์อู๋อี้ฝานคือผู้ถวายงานรับใช้อ๋องแคว้นหลู่มานับแต่สมัยองค์ชายจิว แต่โดยนิสัยคือผู้มักใหญ่ใฝ่สูงหากเก็บงำความต้องการขึ้นเป็นอ๋องไว้ลึกล้ำโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาคิดการใหญ่ร่วมมือกับพระอาจารย์วั่งซูโค่นล้มบัลลังค์ อู๋อี้ฝานดื่มชาหมดจอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“หากองค์ชายหลี่เจี๋ยตายไปเสียแต่คืนนั้นเราก็คงมิต้องใช้คนของเราให้เสียแรงท่านคิดเช่นข้าหรือไม่วั่งซู”“ข้ามิคิดเช่นนั้น อย่าลืมว่าตอนนี้แคว้นหลู่กลายเป็นพันธมิตรกับแคว้น
“เอ้อ...ถวายบังคมหวางเฟย หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าท่านอ๋องตามคำสั่งของท่านพ่อเลยถือโอกาสนำโอสถบำรุงร่างกายมาถวายพระองค์เพคะ”ฮุยอินกล่าวก่อนค่อย ๆ ดึงมือจากมือของหลี่เจี๋ยอย่างอ้อยอิ่ง นางสังเกตเห็นสีหน้าของหวางเฟยตกไปเล็กน้อยแม้มีรอยยิ้มไม่ใคร่เต็มที่นัก จางลี่เห็นหลู่อ๋องจ้องมองธิดาพระอาจารย์วั่งซูไม่ละสายตาก็ให้ยิ่งกระอักกระอ่วน วันนี้เขาดูแข็งแรงและมีกำลังวังชามากกว่าวันก่อนๆ ใบหน้าแช่มชื่นไม่รู้ด้วยโอสถบำรุงร่างกายหรือเป็นเพราะได้กำลังใจจากผู้มาเยี่ยมกันแน่ จางลี่รู้สึกใจหาย นางไม่เคยลืมตัวว่าเป็นใครแม้อยู่ในตำแหน่งที่หลายคนยำเกรงเพราะแท้จริงหลู่อ๋องยังคงฝังใจกับอดีตอันเจ็บปวด และนางเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานเกมการเมือง ที่สำคัญไม่ว่าอ๋องแคว้นไหนล้วนมีนางในมากกว่าหนึ่งเสมอ ฮุยอินเห็นว่าบรรยากาศสะดุดไปเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...ในเมื่อหวางเฟยมาแล้วหม่อมฉันก็คงต้อง...ขอตัวก่อนนะเพคะ”“ขอบใจเจ้ามากนะที่เป็นห่วงข้า” หลี่เจี๋ยกล่าว “ข้าจะดื่มโอสถบำรุงที่เจ้าอุตส่าห์นำมาให้จนหมด”“ขอบพระทัยเพคะ เห็นพระองค์ดีขึ้น พระพักต์แจ่มใสหม่อมฉันก็ดีใจนักแล้ว”“ฝากบอกพระอาจารย์ด้วยว่าข้าดีขึ้นมาก
“มะ...หม่อมฉันเข้าพิธีอย่างถูกต้องแล้ว...นะ...เพคะ”“พิธีการมิได้มีความสำคัญเท่ากับ...หน้าที่”“พระองค์...”“ในเมื่อเจ้าก็เป็นชายาของพี่แล้ว...จางลี่...เจ้ามิปรารถนาให้เป็นเช่นนี้ดอกหรือ”หลี่เจี๋ยคลายปมเส้นไหมรัดเสื้อคลุมปักลายดอกไม้วิจิตหลุดจากกันและสะกิดเสื้อคลุมออกจากไหล่บางอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากหยัดขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งอำนาจหากจางลี่กลับรู้สึกว่านางเริ่มหลงใหลในรอยแย้มสรวลของหลู่อ๋องและยินยอมให้เขาปลดเปลื้องชุดผ้าไหมเนื้อบางกระทั่งถึงชั้นสุดท้ายให้หลุดออกไปจากเรือนร่างงามราวนางหงส์ แม้สายเลือดนั้นใกล้ชิดหากลมหายใจของหลี่เจี๋ยหลอมละลายทุกอย่างที่กั้นขวางความรู้สึกของนางที่มีต่อเขาจนสิ้น จางลี่ไม่อาจขัดขืนต่อแรงขับจากส่วนลึกเมื่อความเป็นสาวสะพรั่งนั้นกำลังเรียกร้องโหยหา หลี่เจี๋ยไล้ปลายนิ้วบนปากอิ่มที่เผยออ้า เขากดปากตัวเองลงไป จุมพิตองค์ชายาอย่างดูดดื่มก่อนถอนออกเบาๆ กระซิบเสียงพร่า“โอสถของฮุยอินยังมิหวาน...เท่าลิ้นของเจ้า”11รู้ซึ้งถึงการได้รัก“และวันหนึ่งมันอาจแปรเปลี่ยนเป็นยาขมก็ได้เพคะ”“เจ้าก็ช่างประชดประชัน”หลี่เจี๋ยยิ้มอ่อนหวาน ช่างแตกต่างจากครั้งแรกที่พบกัน หลู่อ๋องทั้
“เจ้ายังเยาว์นัก มิเป็นไรดอกน้องสาวของพี่...พี่จะสอนเจ้าเอง”“นางในของอ๋องนั้นมากมายนับมิถ้วน ท่านพี่คงเคยทำแบบนี้กับนางสนมมานักต่อนัก ”“นานมาแล้ว พี่ไม่ได้ทำเช่นนี้กับนางในทุกคนดังเช่นเจ้าคิด”“เป็นไปได้หรือเพคะ?”หลี่เจี๋ยพลิกร่างให้จางลี่อยู่เหนือตัวเขาเพื่อได้จ้องนัยน์ตางามอย่างเต็มสายตา เขาลูบไล้บนไหล่กลมกลึง ดวงตากลมงามและใสสว่างดังจันทร์เต็มดวงยังเต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบแคลงทั้งที่ลึกลงไปปรารถนาได้อยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของหลู่อ๋องมิปรารถนาไปไหน“เช่นนั้นบอกหม่อมฉันซีเพคะว่าท่านพี่เคยทำเช่นนี้กับใครมาบ้าง...หนึ่งในนั้นอาจเป็นธิดาของพระอาจารย์วั่งซู”“พี่เติบโตมากับฮุยอิน นางอยู่ใกล้ชิดพี่มาแต่เล็ก พี่คิดต่อนางเกินน้องสาวมิได้...อืม...เนื้อตัวเจ้านุ่มนิ่มน่ากอดยิ่งนัก”หลี่เจี๋ยเฉไฉ จางลี่อยากถามนักว่าแล้วที่ส่งสายตาหวานฉ่ำกันเมื่อครู่นั้นคืออะไร แต่ยังมิทันได้ดับความสงสัยก็ถูกเขากดท้ายทอยให้ใบหน้าของนางลดต่ำลงไปใกล้ชิดหน้าคมคร้าม เขาจุมพิตนางอย่างดูดดื่มอีกครั้ง มือหนาใหญ่ทั้งสองเลื่อนจากไหล่ลงไปบนแผ่นหลังบอบบาง เลื่อนไล้ไปมาบนเอวคอดและโอบประคองบั้นท้ายหนั่นแน่นของนาง คลึงขยำด้วย
“ท่านหญิง...หลู่อ๋องทรงหายดีแล้วหรือเพคะ?”หลินเจินตั้งคำถามต่อจางลี่หลังจากได้เข้าเฝ้าถวายการรับใช้ภายในตำหนักร้อยไหมเป็นครั้งแรกด้วยก่อนหน้านั้นไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในห้องชั้นในของตำหนักอันโอ่โถงนับแต่หลู่อ๋องบาดเจ็บหนักนอกจากหวางเฟยของพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น วันนี้หลู่อ๋องออกว่าราชการเป็นครั้งแรกเช่นกันหลังจากพักรักษาตัวอยู่นานนับเดือน“พระองค์ออกว่าราชการได้แล้ว เจ้าว่าหายดีหรือยังเล่าหลินเจิน”“หลินเจินถามเพื่อให้แน่ใจ และดีใจเหลือเกินที่ได้เข้าเฝ้าท่านหญิง นี่หากหลู่อ๋องยังมิทรงออกว่าราชการได้ก็คงยังมิมีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้ามายังชั้นในของตำหนักดอกนะเจ้าคะ”“และข้าก็ยังคงต้องอยู่ในตำหนักมิได้ออกไปไหนเลยเช่นกัน”“ถึงท่านหญิงอยู่แต่ในตำหนัก หากก็ยังดูสดชื่น งดงามยิ่งกว่าเดิมหรือไม่เล่าเจ้าคะ”พอนางสนมถามพลางกระเซ้าก็ทำให้จางลี่ถึงกับหน้าแดงซ่าน นับแต่หลู่อ๋องให้นางอยู่ถวายการดูแลก็ไม่ได้ออกมาจากห้องนั้นเลยนานนับเดือน แม้แต่นางสนมที่คอยรับใช้ก็ต้องรับพระบัญชาจากหน้าประตูห้องเท่านั้น หลินเจินเห็นอาการของจางลี่ก็ยิ้มกริ่ม“ว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ หลินเจินคงเห็นดังที่
“เพคะ...หากถึงเวลานั้นแล้วหม่อมฉันอยากทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ หากวันใดวันหนึ่งพระองค์รับนางผู้ใดก็ตามเป็นรองจากหวางเฟยก็ขอให้หม่อมฉันได้ไปอยู่ในที่ที่จะมิรับรู้หรือมองเห็นว่าท่านพี่อยู่กับนางสนมคนไหน”“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”หลี่เจี๋ยจูบซับรอยเหงื่อบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาอย่างอ่อนโยน ถึงเวลานี้เขายังบอกตัวเองไม่ได้ว่าหลงลืมความเจ็บแค้นในอดีตไปหมดสิ้นหรือไม่ รู้เพียงหัวใจของเขาเป็นสุขยามได้กกกอดจางลี่ไว้ในอ้อมแขน สักครู่ได้ยินเสียงนางกระซิบแผ่ว“สัญญานะเพคะว่าจะให้หม่อมฉันไปอยู่ในที่ห่างไกลจาก...หญิงเหล่านั้น”“ใยจึงกังวลในเรื่องที่ยังมามิถึง พี่อยากฟังเรื่องที่มิใช่เรื่องของผู้อื่น”“ถ้าเช่นนั้น...ก็เป็นเรื่องของหม่อมฉัน หม่อมฉันอยากพบ...คนของหม่อมฉันเพคะ”คำร้องขอนั้นทำให้หลี่เจี๋ยเลียบไป จางลี่ยิ่งกระวนกระวายเมื่อเห็นสีหน้าเขาแปลกเปลี่ยน แต่แล้วเขาก็เอ่ยขึ้น“เจ้าอยู่แต่ในตำหนักร้อยไหมแห่งนี้คงเบื่อซีนะ พี่อนุญาตให้เจ้าได้พบคนของเจ้า และ...จะให้เจ้าได้มีอิสระออกไปข้างนอก พี่จะย้ายเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักแดง”“ตำหนักแดงหรือเพคะ?”“เป็นตำหนักของเสด็จแม่ สร้างขึ้นเพื่อให้ท่านทรงประทับในฤดูหนาว
“หามิได้กระหม่อม...พระธิดาของกระหม่อมงดงามเพียงนี้หลู่อ๋องย่อมมิปรารถนาให้พระองค์อยู่ไกลตา อันความรักนั้นอยู่เหนือสิ่งใด บางครั้งไร้เหตุผลจนไม่สามารถอธิบายได้”“ท่านพูดเหมือนว่า...ท่านเคยมีความรัก ทั้งที่...ท่านยังมิเคยมีครอบครัว”เจียนเจ้าเงียบไปสักครู่ ราชองครักษ์ซึ่งยังแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญการศึกทั้งที่อยู่ในวัยเพียงสี่สิบต้นๆ ปรายยิ้มออกมา“ความรักและความงามอยู่ในหัวใจของบุรุษทุกผู้ทุกนาม เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจะแสดงออกมาหรือไม่”“หากมันมาจากความจริงใจ ข้ากลัวเหลือเกินว่านี่อาจเป็นแผนหรือกับดักที่แคว้นหลู่วางไว้ ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานการเมือง”เสียงเศร้า ๆ ของจางลี่ทำให้สีหน้าของเจียนเจ้าวูบไปชั่วขณะก่อนเขาจะพูดต่อไปว่า“พระธิดา ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะ...ทูลต่อพระองค์ว่า มีราชโองการจากฉีอ๋องให้หม่อมฉันและนายทหารผู้ติดตามทั้งหมดกลับไปยังแคว้นฉี”“ว่าอย่างไรนะ...ท่านจะกลับแคว้นฉีเช่นนั้นรึ”จางลี่ลุกขึ้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นคาวมวิตกกังวล“เหตุใดเสด็จพ่อจึงต้องให้พวกท่านกลับไป แล้วเหล่าข้าราชบริภารคนอื่นเล่า”“อย่าเพิ่งทรงตกใจไปก่อน เสด็จพ่อของพระองค์