“เจ้ายังเยาว์นัก มิเป็นไรดอกน้องสาวของพี่...พี่จะสอนเจ้าเอง”“นางในของอ๋องนั้นมากมายนับมิถ้วน ท่านพี่คงเคยทำแบบนี้กับนางสนมมานักต่อนัก ”“นานมาแล้ว พี่ไม่ได้ทำเช่นนี้กับนางในทุกคนดังเช่นเจ้าคิด”“เป็นไปได้หรือเพคะ?”หลี่เจี๋ยพลิกร่างให้จางลี่อยู่เหนือตัวเขาเพื่อได้จ้องนัยน์ตางามอย่างเต็มสายตา เขาลูบไล้บนไหล่กลมกลึง ดวงตากลมงามและใสสว่างดังจันทร์เต็มดวงยังเต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบแคลงทั้งที่ลึกลงไปปรารถนาได้อยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของหลู่อ๋องมิปรารถนาไปไหน“เช่นนั้นบอกหม่อมฉันซีเพคะว่าท่านพี่เคยทำเช่นนี้กับใครมาบ้าง...หนึ่งในนั้นอาจเป็นธิดาของพระอาจารย์วั่งซู”“พี่เติบโตมากับฮุยอิน นางอยู่ใกล้ชิดพี่มาแต่เล็ก พี่คิดต่อนางเกินน้องสาวมิได้...อืม...เนื้อตัวเจ้านุ่มนิ่มน่ากอดยิ่งนัก”หลี่เจี๋ยเฉไฉ จางลี่อยากถามนักว่าแล้วที่ส่งสายตาหวานฉ่ำกันเมื่อครู่นั้นคืออะไร แต่ยังมิทันได้ดับความสงสัยก็ถูกเขากดท้ายทอยให้ใบหน้าของนางลดต่ำลงไปใกล้ชิดหน้าคมคร้าม เขาจุมพิตนางอย่างดูดดื่มอีกครั้ง มือหนาใหญ่ทั้งสองเลื่อนจากไหล่ลงไปบนแผ่นหลังบอบบาง เลื่อนไล้ไปมาบนเอวคอดและโอบประคองบั้นท้ายหนั่นแน่นของนาง คลึงขยำด้วย
“ท่านหญิง...หลู่อ๋องทรงหายดีแล้วหรือเพคะ?”หลินเจินตั้งคำถามต่อจางลี่หลังจากได้เข้าเฝ้าถวายการรับใช้ภายในตำหนักร้อยไหมเป็นครั้งแรกด้วยก่อนหน้านั้นไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในห้องชั้นในของตำหนักอันโอ่โถงนับแต่หลู่อ๋องบาดเจ็บหนักนอกจากหวางเฟยของพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น วันนี้หลู่อ๋องออกว่าราชการเป็นครั้งแรกเช่นกันหลังจากพักรักษาตัวอยู่นานนับเดือน“พระองค์ออกว่าราชการได้แล้ว เจ้าว่าหายดีหรือยังเล่าหลินเจิน”“หลินเจินถามเพื่อให้แน่ใจ และดีใจเหลือเกินที่ได้เข้าเฝ้าท่านหญิง นี่หากหลู่อ๋องยังมิทรงออกว่าราชการได้ก็คงยังมิมีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้ามายังชั้นในของตำหนักดอกนะเจ้าคะ”“และข้าก็ยังคงต้องอยู่ในตำหนักมิได้ออกไปไหนเลยเช่นกัน”“ถึงท่านหญิงอยู่แต่ในตำหนัก หากก็ยังดูสดชื่น งดงามยิ่งกว่าเดิมหรือไม่เล่าเจ้าคะ”พอนางสนมถามพลางกระเซ้าก็ทำให้จางลี่ถึงกับหน้าแดงซ่าน นับแต่หลู่อ๋องให้นางอยู่ถวายการดูแลก็ไม่ได้ออกมาจากห้องนั้นเลยนานนับเดือน แม้แต่นางสนมที่คอยรับใช้ก็ต้องรับพระบัญชาจากหน้าประตูห้องเท่านั้น หลินเจินเห็นอาการของจางลี่ก็ยิ้มกริ่ม“ว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ หลินเจินคงเห็นดังที่
“เพคะ...หากถึงเวลานั้นแล้วหม่อมฉันอยากทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ หากวันใดวันหนึ่งพระองค์รับนางผู้ใดก็ตามเป็นรองจากหวางเฟยก็ขอให้หม่อมฉันได้ไปอยู่ในที่ที่จะมิรับรู้หรือมองเห็นว่าท่านพี่อยู่กับนางสนมคนไหน”“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”หลี่เจี๋ยจูบซับรอยเหงื่อบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาอย่างอ่อนโยน ถึงเวลานี้เขายังบอกตัวเองไม่ได้ว่าหลงลืมความเจ็บแค้นในอดีตไปหมดสิ้นหรือไม่ รู้เพียงหัวใจของเขาเป็นสุขยามได้กกกอดจางลี่ไว้ในอ้อมแขน สักครู่ได้ยินเสียงนางกระซิบแผ่ว“สัญญานะเพคะว่าจะให้หม่อมฉันไปอยู่ในที่ห่างไกลจาก...หญิงเหล่านั้น”“ใยจึงกังวลในเรื่องที่ยังมามิถึง พี่อยากฟังเรื่องที่มิใช่เรื่องของผู้อื่น”“ถ้าเช่นนั้น...ก็เป็นเรื่องของหม่อมฉัน หม่อมฉันอยากพบ...คนของหม่อมฉันเพคะ”คำร้องขอนั้นทำให้หลี่เจี๋ยเลียบไป จางลี่ยิ่งกระวนกระวายเมื่อเห็นสีหน้าเขาแปลกเปลี่ยน แต่แล้วเขาก็เอ่ยขึ้น“เจ้าอยู่แต่ในตำหนักร้อยไหมแห่งนี้คงเบื่อซีนะ พี่อนุญาตให้เจ้าได้พบคนของเจ้า และ...จะให้เจ้าได้มีอิสระออกไปข้างนอก พี่จะย้ายเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักแดง”“ตำหนักแดงหรือเพคะ?”“เป็นตำหนักของเสด็จแม่ สร้างขึ้นเพื่อให้ท่านทรงประทับในฤดูหนาว
“หามิได้กระหม่อม...พระธิดาของกระหม่อมงดงามเพียงนี้หลู่อ๋องย่อมมิปรารถนาให้พระองค์อยู่ไกลตา อันความรักนั้นอยู่เหนือสิ่งใด บางครั้งไร้เหตุผลจนไม่สามารถอธิบายได้”“ท่านพูดเหมือนว่า...ท่านเคยมีความรัก ทั้งที่...ท่านยังมิเคยมีครอบครัว”เจียนเจ้าเงียบไปสักครู่ ราชองครักษ์ซึ่งยังแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญการศึกทั้งที่อยู่ในวัยเพียงสี่สิบต้นๆ ปรายยิ้มออกมา“ความรักและความงามอยู่ในหัวใจของบุรุษทุกผู้ทุกนาม เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจะแสดงออกมาหรือไม่”“หากมันมาจากความจริงใจ ข้ากลัวเหลือเกินว่านี่อาจเป็นแผนหรือกับดักที่แคว้นหลู่วางไว้ ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานการเมือง”เสียงเศร้า ๆ ของจางลี่ทำให้สีหน้าของเจียนเจ้าวูบไปชั่วขณะก่อนเขาจะพูดต่อไปว่า“พระธิดา ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะ...ทูลต่อพระองค์ว่า มีราชโองการจากฉีอ๋องให้หม่อมฉันและนายทหารผู้ติดตามทั้งหมดกลับไปยังแคว้นฉี”“ว่าอย่างไรนะ...ท่านจะกลับแคว้นฉีเช่นนั้นรึ”จางลี่ลุกขึ้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นคาวมวิตกกังวล“เหตุใดเสด็จพ่อจึงต้องให้พวกท่านกลับไป แล้วเหล่าข้าราชบริภารคนอื่นเล่า”“อย่าเพิ่งทรงตกใจไปก่อน เสด็จพ่อของพระองค์
จางลี่เก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงนั่นคือตื่นเต้นและวิตกกังวลต่อเรื่องของราชองครักษ์เจียนเจ้าไว้ภายใน นางไม่อยากบอกเรื่องนี้แก่ใครแม้แต่นางต้นห้องเพราะมันอาจเป็นเรื่องสำคัญมาก คงเป็นเรื่องที่เจียนเจ้าไม่อยากให้ใครรับรู้นอกจากเขาและนางเพียงเท่านั้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะหย่อนกายลงนั่งนางกลับเซเกือบล้มจนนางต้นห้องรีบเข้ามาประคองร่างไว้และร้องด้วยความตกใจ“ท่านหญิง...ท่านหญิงเป็นอะไรเพคะ”“ข้าไม่รู้”จางลี่นั่งลงโดยการประคองของนางต้นห้องอย่างใกล้ชิดก่อนค่อย ๆ เอนหลังลงนอนบนแท่นบรรทม ตอนแรกนางคิดว่าวิงเวียนเล็กน้อยแต่ดูเหมือนอาการนั้นเป็นหนักกว่าตอนก่อนกลับเข้ามาในตำหนัก“ท่านหญิง ท่านหญิงหน้าซีดมากเลยนะเพคะ หลินเจินจะไปตามหมอหลวงมาตรวจดูพระอาการนะเพคะ”“อย่าเลย”จางลี่รีบดึงมือหลินเจินไว้แต่พอจะขยับตัวกลับลุกไม่ไหวจนต้องนอนลงอีกครั้ง หลินเจินกุมมือของนายหญิงไว้แน่น“แบบนี้ไม่ดีแน่เพคะ ท่าทางท่านหญิงจะไม่สบายจริงๆ หลินเจินจะไปตามหมอหลวงมาดูอาการเดี๋ยวนี้เลยนะเพคะ”หลินเจินกระวีกระวาดวิ่งออกจากห้องปล่อยให้จางลี่นอนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความมึนงง นางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หลายวันที่ผ่านมามีอากา
นับแต่รู้ว่าตั้งครรภ์รัชทายาทของอ๋องแคว้นหลู่ จางลี่ยังไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครได้รู้แม้แต่อ๋องหลี่เจี๋ย มีเพียงหมอหลวงเท่านั้นถวายโอสถเพื่อให้นางและทารกในครรภ์แข็งแรง หากนางก็ตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะต้องบอกเรื่องสำคัญให้พระสวามีได้รับรู้หลังจากที่เขามีความคลางแคลงสงสัยต่ออาการที่หวางเฟยเป็นอยู่“จางลี่...หมู่นี้เจ้าเป็นอะไร เวลาพี่เข้าใกล้เจ้ามักทำเหมือนกับว่าหมดเรี่ยวหมดแรงไปเสียอย่างนั้น”“หม่อมฉันไม่ค่อยสบายเพคะ ต้องขออภัยที่มิอาจถวายการดูแลพระองค์ได้”“ไม่สบายเช่นนั้นรึ พี่จะให้หมอหลวงมาดูอาการของเจ้า”“หม่อมฉันให้หลินเจินไปตามหมอหลวงมาดูอาการแล้วเพคะ”“เป็นเช่นไร?”“หม่อมฉันไม่สบายตามประสาผู้หญิง...แค่นั้นเพคะ”หลี่เจี๋ยเพียงแสดงสีหน้าประหลาดใจหากจางลี่ก็รู้ว่าคนฉลาดเยี่ยงหลู่อ๋องนั้นคงไม่ไหว้วางใจอะไรง่าย ๆ นางเลื่อนมือลงไปลูบวนหน้าท้องเบา ๆ กับรอยยิ้มจาง ๆ พลางรำพึงกับตัวเองว่า“ท่านพี่...วันนี้หม่อมฉันจะบอกกับท่านพี่ว่าพระองค์กำลังจะมีข่าวดี ท่านพี่คงดีพระทัยมากเป็นแน่”“พระธิดา...”เสียงที่ดังขึ้นขัดภวังค์คิดทำให้จางลี่หันกลับไปและเห็นราชองครักษ์เจียนเจ้ายืนอยู่ห่างออกไปเพียงสามสี
“ลองเอามาประกบกับของหม่อมฉันดูเถิดพะย่ะค่ะ”ราชองครักษ์ยื่นจี้หยกในฝ่ามือออกไป จางลี่จ้องมองสักครู่วางจี้หยกแดงครึ่งซึกประกบกับจี้อีกครึ่งซีกในมือของนายทหารเอกและรอยต่อนั้นต่อเข้ากันได้พอดียังความประหลาดใจและตกใจแก่นางยิ่งนักกระทั่งได้ยินเสียงราชองครักษ์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง“พระธิดาจางลี่...จี้หยกแดงครึ่งซีกทั้งสองมีรอยเชื่อมต่อกันพอดี เพราะมันคือหยกชิ้นเดียวกันแต่ถูกแบ่งออกเป็นสองนับแต่วันที่พระธิดาถือกำเนิดพะย่ะค่ะ”“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านเจียนเจ้า...ข้าไม่เข้าใจ ข้างงไปหมดแล้ว”“พระองค์มิทรงเข้าพระทัยดอกพะย่ะค่ะ เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ เป็นความลับที่ถูกเก็บงำมานานถึงสิบเจ็ดปี จี้หยกชิ้นนี้เป็นของกระหม่อมที่แยกมันออกจากกันและมอบครึ่งหนึ่งไว้ให้ลูกสาวที่หม่อมฉันรักมากที่สุด”จางลี่ผุดลุกขึ้น นางสั่นไปทั้งตัวและเกือบเซล้มแต่เจียนเจ้ารีบเข้าไปประคองไว้ นางยิ่งตระหนกเมื่อเห็นหยดน้ำถั่งจากดวงตาของบุรุษผู้กล้าแกร่งซึ่งบัดนี้จับแขนกลมกลึงของนางไว้แน่น จางลี่นิ่วหน้า“ท่านเจียนเจ้า...บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน จี้หยกแดงครึ่งซีก...ลูกสาวของท่าน...”“นี่อย่างไรเล่าคือเรื่อง
เจียนเจ้าพูดซ้ำ ๆ และร้องไห้ออกมายิ่งทำให้จางลี่นึกสะท้อนใจ นางกำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่างหากต้องต้องชะงักค้างเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา“ถึงขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวต่อข้าอีกหรือไม่!”เสียงคำรามลั่นทำให้จางลี่และเจียนเจ้าหันไปพร้อมกัน ทั้งสองผงะนิ่งเมื่อเห็นหลี่เจี๋ยยืนอยู่ในชุดเสื้อคลุมน่าเกรงขาม ฮุยอินยืนอยู่ข้างๆ และด้านหลังคือองครักษ์โม่โฉว“ท่านพี่...”จางลี่ส่งเสียงแหบเบาโดยลืมไปว่าขณะนั้นองครักษ์เจียนเจ้ากำลังประคองร่างของนางอยู่ หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาใบหน้าถมึงทึง“เจ้าเห็นข้าแล้วยังกล้ากอดรัดกันอยู่เช่นนี้อีกรึ!”“หลู่อ๋อง...ขอประทานอภัย”เจียนเจ้ารีบผละห่างออกจากจางลี่ไปนั่งคุกเข่าก้มหน้าราวสำนึกผิด“ท่านพี่...”“หึ!...เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกรึ...หวางเฟยชั่วช้าที่บังอาจลักลอบคบชู้กับราชองครักษ์ในวังของข้า!”“พระองค์ตรัสสิ่งใดกัน ผู้ใดคบชู้กันเล่าเพคะ”“ก็เห็นอยู่ตำตาแล้วนี่มิใช่รึ”ฮุยอินก้าวเข้ามาและจ้องมองจางลี่กับราชองครักษ์เจียนเจ้าด้วยสายตาเยาะหยัน“เจ้านัดพบกับองครักษ์คนสนิทในวันหลังราตรีเดือนเพ็ญก่อนชู้รักเดินทางกลับแคว้นฉีนั่นอย่างไร”“เจ้าพูดอะไรกันฮุยอิน ใครเป