เจียนเจ้าพูดซ้ำ ๆ และร้องไห้ออกมายิ่งทำให้จางลี่นึกสะท้อนใจ นางกำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่างหากต้องต้องชะงักค้างเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา“ถึงขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวต่อข้าอีกหรือไม่!”เสียงคำรามลั่นทำให้จางลี่และเจียนเจ้าหันไปพร้อมกัน ทั้งสองผงะนิ่งเมื่อเห็นหลี่เจี๋ยยืนอยู่ในชุดเสื้อคลุมน่าเกรงขาม ฮุยอินยืนอยู่ข้างๆ และด้านหลังคือองครักษ์โม่โฉว“ท่านพี่...”จางลี่ส่งเสียงแหบเบาโดยลืมไปว่าขณะนั้นองครักษ์เจียนเจ้ากำลังประคองร่างของนางอยู่ หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาใบหน้าถมึงทึง“เจ้าเห็นข้าแล้วยังกล้ากอดรัดกันอยู่เช่นนี้อีกรึ!”“หลู่อ๋อง...ขอประทานอภัย”เจียนเจ้ารีบผละห่างออกจากจางลี่ไปนั่งคุกเข่าก้มหน้าราวสำนึกผิด“ท่านพี่...”“หึ!...เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกรึ...หวางเฟยชั่วช้าที่บังอาจลักลอบคบชู้กับราชองครักษ์ในวังของข้า!”“พระองค์ตรัสสิ่งใดกัน ผู้ใดคบชู้กันเล่าเพคะ”“ก็เห็นอยู่ตำตาแล้วนี่มิใช่รึ”ฮุยอินก้าวเข้ามาและจ้องมองจางลี่กับราชองครักษ์เจียนเจ้าด้วยสายตาเยาะหยัน“เจ้านัดพบกับองครักษ์คนสนิทในวันหลังราตรีเดือนเพ็ญก่อนชู้รักเดินทางกลับแคว้นฉีนั่นอย่างไร”“เจ้าพูดอะไรกันฮุยอิน ใครเป
“เช่นนั้นพระธิดาบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงต้องแสดงความสนิทสนมกับราชองครักษ์เจียนเจ้าถึงขนาดนั้น”ฮุยอินตั้งคำถามและทำให้จางลี่เงียบไปด้วยนางมิอาจอธิบายถึงสถานะและความสัมพันธ์อันแท้จริงระหว่างตนและราชองครักษ์หลวงเจียนเจ้าได้ เมื่อเห็นจางลี่เงียบฮุยอินจึงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆๆ...ว่าแล้วเช่นไร พระธิดาจางลี่...ท่านบอกข้ามิได้ เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นจริงดังที่ข้าได้ทูลเรื่องชั่วช้านี้ต่อท่านอ๋อง เพราะหากหลู่อ๋องมิรู้เรื่องอัปยศนี้แต่ต้นมือหาไม่แล้วพวกเจ้าอาจรวมหัวกันโค่นบัลลังค์ผู้ครองแคว้นเราก็เป็นได้...จงลุกขึ้นเดี๋ยวนี้แล้วตามข้ากลับเข้าไปในตำหนักแดง ที่จริงแล้วเจ้าควรได้รับโทษหนัก มิใช่เพียงถูกกักขังไว้เช่นนี้!”น้ำเสียงตอนท้ายของฮุยอินเกรี้ยวกราดก่อนจางลี่จะลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปในตำหนักอย่างไร้เรี่ยวแรง ฮุยอินนึกเจ็บแค้นที่หลู่อ๋องไม่ลงดาบหวางเฟยให้ด่าวดิ้นไปตรงหน้า คราแรกที่นางเป็นผู้นำความกราบทูลนั้นเห็นได้ชัดว่าหลู่อ๋องทรงพิโรธหนัก คิดว่าจะฆ่าให้ตายทั้งชายหญิง หากการกลับกลายเป็นว่าแค่คุมขังนางไว้ แต่ก็ช่างเถิด...บัดนี้จางลี่มิได้เป็นหวางเฟยอีกต่อไปด้วยถูกถอดยศและไร้ซ
“หามิได้” นางแหงนใบหน้าอาบน้ำตาขึ้น “ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นพระองค์จะทรงคิดเช่นไร หากพระองค์คิดว่าเป็นความผิดของหม่อมฉันก็ขอให้ลงโทษหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเพราะผู้อื่นนั้นบริสุทธิ์มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”“เจ้าอยากตายแทนคนของเจ้าเช่นนั้นรึ!”หลี่เจี๋ยชักดาบออกจากบั้นเอวแล้วจ่องลงไปที่ลำคอของจางลี่ นัยน์ตาดำยาวรีเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หัวใจของบุรุษมิอาจทานทนเมื่อถูกคนรักหักหลัง ใช่...เขาหลงรักนางเข้าไปแล้วอย่างเต็มหัวใจ องค์ชายาผู้ซึ่งเขาเคยตั้งปณิธานว่าจะฆ่านางให้หายแค้น หากบัดนี้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปจนสิ้น คนที่ทุกข์ทรมานเจียนตายกลับเป็นเขามิใช่จางลี่ เจ็บปวดจากความรักที่ถูกทรยศ“ว่าอย่างไร!” หลี่เจี๋ยคำราม “หากเจ้ากล้าหักหลังข้าก็คงกล้ายอมตายเพื่อคนของเจ้า”“เพคะ” นางเชิดหน้าขึ้นและขยับเข้าใกล้ทำให้ลำคอถูกปลายดาบกดลงไปจนโลหิตหยาดไหลออกมา หากทว่าดวงตาของนางนั้นกล้าแข็ง“หม่อมฉันรู้ดีเพคะว่าวันหนึ่งต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งที่รู้ดีไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ก็มิเคยไว้วางพระทัยคนแคว้นหลู่แต่หม่อมฉันก็ยังหวังว่าสักวันพระองค์จะทรงลืมเรื่องในอดีต แต่หม่อมฉันอาจลืมไปว่าบาดแผลของพระองค์นั้นใหญ่เกิน
“ฮุยอิน...บุตรสาวของพระอาจารย์วั่งซูนั่นอย่างไร”“ข้าว่าแล้ว!” หลินเจินเข่นเขี้ยว “ข้ามองอะไรมิเคยผิด ข้ามิชอบท่าทีของธิดาพระอาจารย์ผู้นี้แต่แรก นางไม่น่าไว้วางใจ”“องค์ชายและนางเติบโตมาด้วยกัน เขาต่างผูกพันกันคงมั่น แต่ข้า...เป็นหญิงที่หลู่อ๋องมิเคยปรารถนา และเป็นคนที่มาทีหลัง”“มิจริงดอกเจ้าค่ะ หลู่อ๋องรักท่านหญิง ข้ามองออก”“หากเขารักข้าจริงคงไม่หูเบาเชื่อคนอื่นง่ายดายเช่นนี้”“หูเบา...เชื่อคนอื่น...บอกหลินเจินมาเถิดเจ้าค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”จางลี่เงียบไปสักครู่ น้ำตาของนางยังไหลออกมาไม่หยุด แม้เหือดแห้งไปบ้างแต่ไม่นานก็กลับรื้นขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นอีกอึดใจนางจึงเอ่ยว่า“หลินเจิน...ข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟัง เพราะเจ้าเป็นคนที่ข้าไว่วางใจมากที่สุด สัญญากับข้าว่าเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วจะมิแพร่งพรายให้ผู้ใดได้รับรู้อีก เจ้าต้องเก็บมันไว้กับตัวเจ้า...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”หลินเจินพยักหน้าและคอยรับฟังสิ่งที่พระธิดาจางลี่เล่าทุกอย่างอย่างตั้งใจแม้ต้องอัดอั้น เศร้าเสียใจและคับแค้นในอกหากนางกำนัลคนสนิทก็รับรู้ทุกอย่างและเก็บสิ่งที่ได้ยินไว้ รับฟังด้วยใจมั่นคงณ ตำหนักแดงเมื่อใกล้
หลินเจินยืนอยู่ที่ตรงนั้นด้วยท่าทีกระวนกระวายมานานเกือบหนึ่งชั่วยามหลังออกอุบายบอกกับทหารเฝ้ายามตำหนักแดงว่ามีความจำเป็นต้องมารับโอสถจากหมอหลวงเพื่อถวายให้พระธิดาจางลี่ที่ทรงประชวร ทหารยามเห็นว่านางมิได้โป้ปดเพราะก่อนหน้านั้นหมอหลวงก็เข้าเฝ้าเพื่อถวายการดูแลก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาสเหมาะหลินเจินจึงรีบมุ่งตรงมายังจวนของทหารกระทั่งนางเห็นใครคนหนึ่งเดินตามหลังกองทหารนับสิบที่เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว นางรีบปรี่ออกไปและยืนขวางตรงหน้าร่างสูงใหญ่นั้นทันที“ท่านองครักษ์โม่โฉว...ได้โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ”หลินเจินกระหืดกระหอบและทำให้โม่โฉวประหลาดใจ เขาหรี่นัยน์ตาคมกริบมองนางกำนัลของพระธิดาจางลี่“หลินเจิน นี่เจ้าออกมาจากตำหนักแดงได้อย่างไร หลู่อ๋องสั่งทหารให้คอยดุแลมิให้คนข้างในออกมามิใช่รึ”“ใช่เจ้าค่ะ แต่ข้าหาทางออกมาเอง...เอ้อ...ข้ามิได้หลบหนีออกมานะท่าน เพียงแต่บอกว่าจะไปหาหมอหลวงเท่านั้น”“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ข้าว่าเจ้ารีบกลับตำหนักแดงจะดีกว่า เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าขัดคำสั่งหลู่อ๋องจะเป็นเยี่ยงไร”“ข้ารู้...ข้าถึงได้พยายามออกมาพบท่าน เพราะมีท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้”“เหอะ!” โม
“แต่พระองค์ก็ให้ทหารติดตามคอยคุ้มกันพระธิดาจนกว่าจะเดินทางไปถึงหุบเขาหนีซาน”“ระยะทางไกลเช่นนั้นพระธิดาอาจจะแย่เสียก่อน พระองค์มิรู้ดอกว่าตอนนี้องค์ชายาอ่อนแอขนาดไหน ในเมื่อนางกำลังตั้งครรภ์รัชทายาทของหลู่อ๋อง”ครานี้โม่โฉวเกิดวความตะหนกยิ่งกว่าเดิม เขาสับสนและงุนงงกับเรื่องราวซับซ้อนอย่างที่มิเคยประสบพบเจอมาก่อนหากด้วยความเป็นนายทหารจึงแสดงออกเพียงสีหน้าและแววตาเยือกเย็นแม้หลินเจินยังร่ำไห้แล้วด้วยมันหมายถึงเกียรติและ”“ได้โปรดช่วยพระธิดาและองครักษ์เจียนเจ้าด้วยเถิดท่านโม่โฉว ข้ามองมิเห็นผู้ใดจะสามารถช่วยทั้งสองได้อีกแล้ว ถึงแม้ตอนนี้ท่านก็ได้รู้ว่าพระธิดานั้นหาได้มีบรรดาศักดิ์ดุจเดิมแต่นางคือผู้อุ้มพระครรภ์องค์รัชทายาทของหลู่อ๋อง...ท่านโม่โฉว ตอนนี้ข้าคงต้องรีบกลับก่อนเพราะต้องเตรียมตัวออกเดินทางไปยังเขาหนีซานพร้อมกับพระธิดา ขอให้ท่านตรึกตรองเรื่องนี้ ขอท่านได้โปรดอย่าวางเฉย ได้โปรดรีบตัดสินใจนะเจ้าคะ”หลินเจินถอยหลังออกไป หน้าตาหมองเศร้า โม่โฉวยืนนิ่งไม่ว่ากระไรจวบจนนางกำนัลเดินลับตา เขากลับถอนหายใจเสียงดังและรำพึงกับตัวเองว่า“นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าควรทำเช่นไร เพิกเฉยหรือช่วยเหลื
“องค์ชายเพคะ ฮุยอินยินดีนักที่ได้ทำหน้าที่องค์ชายาของพระองค์ ฮุยอินขอสัญญาเพคะว่าจะจงรักภักดีและจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด”“ขอบใจเจ้ามากฮุยอิน ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้า”หลี่เจี๋ยเอ่ยเสียงเนิบเนือย แม้สังเกตเห็นว่าหลู่อ๋องนั้นมิได้ตื่นเต้นสักเท่าใดต่อการเข้าห้องหอหากแต่ฮุยอินก็ต้องงัดมารยาหญิงออกมาเพื่อยั่วยวนให้เขาหลงใหล นางขยับเข้าใกล้และเป็นฝ่ายยื่นริมฝีปากเข้าไปหา แต่หลี่เจี๋ยกลับนิ่ง ฮุยอินจึงร้สึกว่านางมิควรรุกเร้าเขามากเกินไป นางเลื่อนใบหน้าออกห่างและปรายยิ้มอ่อนหวาน“องค์ชาย...ดูเหมือนพระองค์ยังทรงเหน็ดเหนื่อย”“อืม” หลี่เจี๋ยหยักหน้า “วันสองวันนี้ข้าออกว่าราชการมิได้หยุดหย่อน หลังจากนี้คงต้องให้หมอหลวงจัดโอสถบำรุงเพราะข้ารู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ”“เช่นนั้นแล้วฮุยอินจะถวายการรับใช้ให้พระองค์ให้ทรงผ่อนคลายนะเพคะ”ถึงขัดใจแค่ไหนแต่นางก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมให้หลู่อ๋องและประคองร่างสูงใหญ่ไปยังแท่นบรรทม หลี่เจี๋ยเอนหลังลงบนหมอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน กลับนึกไปถึงวันแรกที่เข้าห้องหอกับจางลี่ ภาพทุกภาพยังแจ่มชัดเหลือเกินไม่ว่ายามยามหลับหรือตื่น เสียงของนางก็ยังคงก้องในหูแต่ความเป็นจร
ใช่เพียงเขาเท่านั้นที่นิ่งงันเมื่อเห็นคนตรงหน้า แม้แต่ฮุยอินที่วิ่งตามออกมาก็ร้องขึ้นด้วยความตระหนก“ท่านพ่อ...นี่มันเรื่องอะไรกัน...โอ๊ย...ปล่อยข้า!”นางตะเบ็งเสียงเมื่อมีชายชุดดำสองคนเข้ามาจับแขนไว้ทั้งสองข้าง“ปล่อยข้านะ! พวกเจ้ามิรู่กันหรืออย่างไรว่าข้าคือหวางเฟยของหลู่อ๋อง”“อย่าเพิ่งตกอกตกใจไปเลยลูกรัก”วั่งซูเอ่ยขึ้น เขาหันมาทางหลี่เจี๋ยที่นั่งคุกเข่าบนพื้น เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือด มงกุฏประจำตำแหน่งหลุดหาย ผมยาวดำขลับของหลู่อ๋องยุ่งสยายและชุ่มด้วยเหงื่อ วั่งซูยกยิ้ม“เป็นอย่างไรเล่าหลู่อ๋อง...ต้องขอประทานอภัยด้วยที่คนของข้านั้นทำรุนแรงกับพระองค์มากไปหน่อย ทั้งที่ข้าได้บอกให้พวกเขายั้งมือแล้ว”“นี่มันหมายความว่าอย่างไร...คนของเจ้า!”หลี่เจี๋ยเค้นเสียงถามออกไปหากพระอาจารย์ที่เขาให้ความเคารพมาแต่เยาว์กลับหัวเราะร่า“ฮ่าๆๆๆๆ...พระองค์มิเห็นต้องทรงถามหม่อมฉัน ในเมื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าบัดนี้ตำหนักร้อยไหมอันวิจิตและได้ชื่อว่าเป็นจิตวิญญาณของพระมหาราชวังแห่งแคว้นหลู่มิได้ตกอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์อีกต่อไปแล้ว”“พระอาจารย์วั่งซู นี่หมายความว่าท่านได้ก่อการกบฏเช่นนั้นรึ!”“