หลินเจินยืนอยู่ที่ตรงนั้นด้วยท่าทีกระวนกระวายมานานเกือบหนึ่งชั่วยามหลังออกอุบายบอกกับทหารเฝ้ายามตำหนักแดงว่ามีความจำเป็นต้องมารับโอสถจากหมอหลวงเพื่อถวายให้พระธิดาจางลี่ที่ทรงประชวร ทหารยามเห็นว่านางมิได้โป้ปดเพราะก่อนหน้านั้นหมอหลวงก็เข้าเฝ้าเพื่อถวายการดูแลก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาสเหมาะหลินเจินจึงรีบมุ่งตรงมายังจวนของทหารกระทั่งนางเห็นใครคนหนึ่งเดินตามหลังกองทหารนับสิบที่เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว นางรีบปรี่ออกไปและยืนขวางตรงหน้าร่างสูงใหญ่นั้นทันที“ท่านองครักษ์โม่โฉว...ได้โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ”หลินเจินกระหืดกระหอบและทำให้โม่โฉวประหลาดใจ เขาหรี่นัยน์ตาคมกริบมองนางกำนัลของพระธิดาจางลี่“หลินเจิน นี่เจ้าออกมาจากตำหนักแดงได้อย่างไร หลู่อ๋องสั่งทหารให้คอยดุแลมิให้คนข้างในออกมามิใช่รึ”“ใช่เจ้าค่ะ แต่ข้าหาทางออกมาเอง...เอ้อ...ข้ามิได้หลบหนีออกมานะท่าน เพียงแต่บอกว่าจะไปหาหมอหลวงเท่านั้น”“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ข้าว่าเจ้ารีบกลับตำหนักแดงจะดีกว่า เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าขัดคำสั่งหลู่อ๋องจะเป็นเยี่ยงไร”“ข้ารู้...ข้าถึงได้พยายามออกมาพบท่าน เพราะมีท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้”“เหอะ!” โม
“แต่พระองค์ก็ให้ทหารติดตามคอยคุ้มกันพระธิดาจนกว่าจะเดินทางไปถึงหุบเขาหนีซาน”“ระยะทางไกลเช่นนั้นพระธิดาอาจจะแย่เสียก่อน พระองค์มิรู้ดอกว่าตอนนี้องค์ชายาอ่อนแอขนาดไหน ในเมื่อนางกำลังตั้งครรภ์รัชทายาทของหลู่อ๋อง”ครานี้โม่โฉวเกิดวความตะหนกยิ่งกว่าเดิม เขาสับสนและงุนงงกับเรื่องราวซับซ้อนอย่างที่มิเคยประสบพบเจอมาก่อนหากด้วยความเป็นนายทหารจึงแสดงออกเพียงสีหน้าและแววตาเยือกเย็นแม้หลินเจินยังร่ำไห้แล้วด้วยมันหมายถึงเกียรติและ”“ได้โปรดช่วยพระธิดาและองครักษ์เจียนเจ้าด้วยเถิดท่านโม่โฉว ข้ามองมิเห็นผู้ใดจะสามารถช่วยทั้งสองได้อีกแล้ว ถึงแม้ตอนนี้ท่านก็ได้รู้ว่าพระธิดานั้นหาได้มีบรรดาศักดิ์ดุจเดิมแต่นางคือผู้อุ้มพระครรภ์องค์รัชทายาทของหลู่อ๋อง...ท่านโม่โฉว ตอนนี้ข้าคงต้องรีบกลับก่อนเพราะต้องเตรียมตัวออกเดินทางไปยังเขาหนีซานพร้อมกับพระธิดา ขอให้ท่านตรึกตรองเรื่องนี้ ขอท่านได้โปรดอย่าวางเฉย ได้โปรดรีบตัดสินใจนะเจ้าคะ”หลินเจินถอยหลังออกไป หน้าตาหมองเศร้า โม่โฉวยืนนิ่งไม่ว่ากระไรจวบจนนางกำนัลเดินลับตา เขากลับถอนหายใจเสียงดังและรำพึงกับตัวเองว่า“นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าควรทำเช่นไร เพิกเฉยหรือช่วยเหลื
“องค์ชายเพคะ ฮุยอินยินดีนักที่ได้ทำหน้าที่องค์ชายาของพระองค์ ฮุยอินขอสัญญาเพคะว่าจะจงรักภักดีและจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด”“ขอบใจเจ้ามากฮุยอิน ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้า”หลี่เจี๋ยเอ่ยเสียงเนิบเนือย แม้สังเกตเห็นว่าหลู่อ๋องนั้นมิได้ตื่นเต้นสักเท่าใดต่อการเข้าห้องหอหากแต่ฮุยอินก็ต้องงัดมารยาหญิงออกมาเพื่อยั่วยวนให้เขาหลงใหล นางขยับเข้าใกล้และเป็นฝ่ายยื่นริมฝีปากเข้าไปหา แต่หลี่เจี๋ยกลับนิ่ง ฮุยอินจึงร้สึกว่านางมิควรรุกเร้าเขามากเกินไป นางเลื่อนใบหน้าออกห่างและปรายยิ้มอ่อนหวาน“องค์ชาย...ดูเหมือนพระองค์ยังทรงเหน็ดเหนื่อย”“อืม” หลี่เจี๋ยหยักหน้า “วันสองวันนี้ข้าออกว่าราชการมิได้หยุดหย่อน หลังจากนี้คงต้องให้หมอหลวงจัดโอสถบำรุงเพราะข้ารู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ”“เช่นนั้นแล้วฮุยอินจะถวายการรับใช้ให้พระองค์ให้ทรงผ่อนคลายนะเพคะ”ถึงขัดใจแค่ไหนแต่นางก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมให้หลู่อ๋องและประคองร่างสูงใหญ่ไปยังแท่นบรรทม หลี่เจี๋ยเอนหลังลงบนหมอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน กลับนึกไปถึงวันแรกที่เข้าห้องหอกับจางลี่ ภาพทุกภาพยังแจ่มชัดเหลือเกินไม่ว่ายามยามหลับหรือตื่น เสียงของนางก็ยังคงก้องในหูแต่ความเป็นจร
ใช่เพียงเขาเท่านั้นที่นิ่งงันเมื่อเห็นคนตรงหน้า แม้แต่ฮุยอินที่วิ่งตามออกมาก็ร้องขึ้นด้วยความตระหนก“ท่านพ่อ...นี่มันเรื่องอะไรกัน...โอ๊ย...ปล่อยข้า!”นางตะเบ็งเสียงเมื่อมีชายชุดดำสองคนเข้ามาจับแขนไว้ทั้งสองข้าง“ปล่อยข้านะ! พวกเจ้ามิรู่กันหรืออย่างไรว่าข้าคือหวางเฟยของหลู่อ๋อง”“อย่าเพิ่งตกอกตกใจไปเลยลูกรัก”วั่งซูเอ่ยขึ้น เขาหันมาทางหลี่เจี๋ยที่นั่งคุกเข่าบนพื้น เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือด มงกุฏประจำตำแหน่งหลุดหาย ผมยาวดำขลับของหลู่อ๋องยุ่งสยายและชุ่มด้วยเหงื่อ วั่งซูยกยิ้ม“เป็นอย่างไรเล่าหลู่อ๋อง...ต้องขอประทานอภัยด้วยที่คนของข้านั้นทำรุนแรงกับพระองค์มากไปหน่อย ทั้งที่ข้าได้บอกให้พวกเขายั้งมือแล้ว”“นี่มันหมายความว่าอย่างไร...คนของเจ้า!”หลี่เจี๋ยเค้นเสียงถามออกไปหากพระอาจารย์ที่เขาให้ความเคารพมาแต่เยาว์กลับหัวเราะร่า“ฮ่าๆๆๆๆ...พระองค์มิเห็นต้องทรงถามหม่อมฉัน ในเมื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าบัดนี้ตำหนักร้อยไหมอันวิจิตและได้ชื่อว่าเป็นจิตวิญญาณของพระมหาราชวังแห่งแคว้นหลู่มิได้ตกอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์อีกต่อไปแล้ว”“พระอาจารย์วั่งซู นี่หมายความว่าท่านได้ก่อการกบฏเช่นนั้นรึ!”“
สิ้นเสียงของฮุยอินลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าปักอกชายชุดดำที่ยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลังอำมาตย์อู๋อี้ฝานจนทรุดลงไปนอนแน่นิ่งยังความตระหนกแก่อำมาตย์ที่หันไปดู“อะ...อะไรกัน...เกิดอะไรขึ้น!”อู๋อี้ฝานร้องได้แค่นั้นลูกธนูนับสิบก็พุ่งเข้าใส่คนของเขาที่ยืนคุมทหารยามต่างล้มลงนอนตายเกลื่อนเหมือนใบไม้ร่วง พวกทหารที่ตกเป็นเชลยต่างรีบหยิบดาบขึ้นมาแล้วหาที่กำบัง วั่งซูตาเบิกค้างเมื่อหันไปยังริมฝั่งน้ำเห็นทหารถือคบเพลิงมากมายยืนรายล้อมและส่งเสียงโห่ร้องดังลั่น หลี่เจี๋ยมิเกรงกลัวอันใด ครานี้เขาลุกขึ้นยืนอย่างผ่าเผยแต่ฮุยอินกลับรั้งแขนเขาไว้“องค์ชาย...รีบหาที่หลบภัยเถิดเพคะ มิรู้ว่ามีพวกไหนบุกเข้ามาในพระราชวังของเราอีก”“มิมีผู้ใดดอก หากเป็นคนของข้าเอง”“ฝันไปเถิดองค์ชาย!” อู๋อี้ฝานตะโกนลั่น “พระองค์มิมีทางหนีไปไหนได้ คนของข้ายึดพระราชวังนี้ไว้หมดแล้ว”“เจ้าต่างหากที่ต้องยอมแพ้ อำมาตย์ชั่ว!”เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันกลับไปมองพร้อมกัน ขณะนั้นราชองครักษ์โม่โฉววิ่งเข้ามาพร้อมราชองครักษ์เจียนเจ้าและทหารอีกนับสอบนาย พระอาจารย์วั่งซูเห็นเช่นนั้นก็ร้องว่า“องครักษ์เจียนเจ้า เจ้าถูกคุมขังในคุกหลวงนี่มิใช่รึ อ
“จับพวกกบฏแผ่นดินไปขังในคุกหลวง รอพระบัญชาจากหลู่อ๋อง ส่วนคนของพวกมันที่จับได้ โยนลงไปใต้ตำหนักให้เป็นอาหารจระเข้อย่าให้เหลือ!”“ช้าก่อนโม่โฉว”“พะย่ะค่ะ”โม่โฉวคุกเข่าลงเมื่อหลี่เจี๋ยปรามเขาหลังทหารคุมตัวอำมาตย์และพระอาจารย์ชั่วรวมทั้งร่างไร้วิญญาณของฮุยอินที่หลู่อ๋องมองตามด้วยความเวทนาออกจากตำหนัก จากนั้นจึงออกคำสั่งต่อราชองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ขอบใจเจ้ามากโม่โฉวที่มาช่วยข้าทันเวลา แต่พวกกบฏที่จับได้จงนำไปขังไว้ก่อน อย่าให้มีคนต้องตายมากไปกว่านี้เลย”“รับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”โม่โฉวรับคำ หากแต่ขณะนั้นสายตาของหลู่อ๋องมองเลยเขาไปยังองครักษ์เจียนเจ้าที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง แววตาของหลี่เจี๋ยเปลี่ยนไปในทันที เขาเอ่ยขึ้น“ราชองครักษ์โม่โฉว แม้เจ้าจะมีความดีความชอบช่วยข้ากอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน หากแต่ความดีของเจ้านั้นมิอาจนำมาแลกกับการอภัยโทษให้ผู้กระทำผิดร้ายแรงได้ไม่”เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่โฉวรู้ได้ในทันทีว่าหลู่อ๋องหมายถึงสิ่งใด เขาหันกลับไปมองหน้าองครักษ์เจียนเจ้าชั่วอึดใจก่อนหันกลับมายังเจ้าผู้ครองแคว้น โม่โฉวค้อมตัวลง“กระหม่อมทราบดีพะย่ะค่ะว่าได้กระทำการอันอาจเป
“หลินเจิน...แล้วเจ้าได้ข่าวคราวอันใดจากวังหลวงบ้างหรือไม่?”หลินเจินส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ“เปล่าเลยท่านหญิง...ข้าพยายามถามพวกนายทหารที่มาคอยเฝ้าเวรยามก็มิเห็นมีผู้ใดรู้เรื่องในราชสำนักแคว้นหลู่ ข้าเองก็มิสบายใจเลยเจ้าค่ะ”“ป่านนี้ท่านองครักษ์เจียนเจ้าจะเป็นเช่นไรบ้างก็มิรู้ แล้วยังมีผู้ติดตามข้ามาอีกหลายสิบชีวิต ข้าท้อใจเหลือเกิน ใยองค์ชายหลี่เจี๋ยจึงมิลงทัณฑ์ข้าให้ตายไปเสียแต่วันนั้น หากข้าตายแล้วคนของข้าปลอดภัยกลับไปยังแผ่นดินฉีข้ายอม”“ข้าคิดว่าที่หลู่อ๋องมิยอมลงดาบท่านหญิงก็เพราะว่า...พระองค์รักท่านหญิงมากนะเจ้าคะ”“หากเขารักข้าใยจึงมิฟังเหตุผล”“ท่านหญิงมิเคยได้ยินหรอกหรือเจ้าคะ รักมากก็แค้นมาก”“เขาชังข้าเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วต่างหาก”“อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ดูแลร่างกายของท่านให้แข็งแรงเพื่องค์รัชทายาทจะได้แข็งแรง”จางลี่ก้มลงมองหน้าท้องของตัวเองที่ยื่นออกมาเล็กน้อย บ่อยครั้งรู้สึกถึงแรงตอดจากอีกชีพจรภายใน แม้ทุกข์เพียงใดหากเมื่อรู้สึกถึงพลังของอีกชีวิตนางก็อบอุ่นและเกิดแรงกำลังใจอย่างมาก หลินเจินถอนใจอีกครั้ง“ก่อนข้าจะเดินทางมาที่นี่พร้อมท่านหญิง ข้าได้ไปพบท่านโม่โฉว แต่ก็มิเห
“น่าจะเป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ เช่นนั้นท่านหญิงก็ควรพักผ่อนให้มาก เตรียมตัวเพื่อรุ่งขึ้นจะได้ออกเดินทางไปยังอารามเทพเจ้า”“หลินเจิน”“เจ้าคะท่านหญิง”“ข้ามิรู้ว่าหลู่อ๋องนั้นมีแผนใดมากไปกว่าการกักกันตัวข้าไว้ที่ตำหนักแห่งนี้ ข้ามิรู้ว่าชีวิตของข้าจะยืนยาวไปสักเพียงไหน แต่จำไว้เถิดว่าข้าจะมิมีวันลืมความดีของเจ้าเลย”“ท่านหญิง”หลินเจินน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหากนางก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่บกพร่อง จัดสำรับและโอสถให้พระธิดาจางลี่ ส่งนางบรรทมและเฝ้าคอยดูความเรียบร้อยทุกอย่างดังที่เคยทำมาวันรุ่งขึ้น เก้าลี้จากตำหนักต้องห้ามในหุบเขาหนีซานอันเงียบสงบ หวังหย่ง หัวหน้าองครักษ์ผู้ดูแลตำหนักได้จัดเตรียมรถม้าเพื่อนำหวางเฟยไปยังอารามเก่าแก่บนเขาหนีซานโดยมีทหารติดตามไปเกือบสิบคน กระทั่งไปถึงสถานที่สักการะเทพเจ้า เมื่อจางลี่ลงจากรถม้านางจึงเห็นว่ามีอารามเก่าท่ามกลางหุบเขาอันสงบเงียบ มีไม้ใหญ่ขึ้นรกเรื้อหากนางก็จำได้ว่าเส้นทางจากนตำหนักมายังที่แห่งนี้มิได้ทุลักทุเลดังคิด จางลี่เก็บอาการเหนื่อยล้าไว้ภายใน นางสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เพื่อปกปิดหน้าท้องที่ยื่นออกมาจนเริ่มสังเกตได้ ส่วนหลินเจินก็ยังคง