“หามิได้กระหม่อม...พระธิดาของกระหม่อมงดงามเพียงนี้หลู่อ๋องย่อมมิปรารถนาให้พระองค์อยู่ไกลตา อันความรักนั้นอยู่เหนือสิ่งใด บางครั้งไร้เหตุผลจนไม่สามารถอธิบายได้”“ท่านพูดเหมือนว่า...ท่านเคยมีความรัก ทั้งที่...ท่านยังมิเคยมีครอบครัว”เจียนเจ้าเงียบไปสักครู่ ราชองครักษ์ซึ่งยังแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญการศึกทั้งที่อยู่ในวัยเพียงสี่สิบต้นๆ ปรายยิ้มออกมา“ความรักและความงามอยู่ในหัวใจของบุรุษทุกผู้ทุกนาม เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจะแสดงออกมาหรือไม่”“หากมันมาจากความจริงใจ ข้ากลัวเหลือเกินว่านี่อาจเป็นแผนหรือกับดักที่แคว้นหลู่วางไว้ ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานการเมือง”เสียงเศร้า ๆ ของจางลี่ทำให้สีหน้าของเจียนเจ้าวูบไปชั่วขณะก่อนเขาจะพูดต่อไปว่า“พระธิดา ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะ...ทูลต่อพระองค์ว่า มีราชโองการจากฉีอ๋องให้หม่อมฉันและนายทหารผู้ติดตามทั้งหมดกลับไปยังแคว้นฉี”“ว่าอย่างไรนะ...ท่านจะกลับแคว้นฉีเช่นนั้นรึ”จางลี่ลุกขึ้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นคาวมวิตกกังวล“เหตุใดเสด็จพ่อจึงต้องให้พวกท่านกลับไป แล้วเหล่าข้าราชบริภารคนอื่นเล่า”“อย่าเพิ่งทรงตกใจไปก่อน เสด็จพ่อของพระองค์
จางลี่เก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงนั่นคือตื่นเต้นและวิตกกังวลต่อเรื่องของราชองครักษ์เจียนเจ้าไว้ภายใน นางไม่อยากบอกเรื่องนี้แก่ใครแม้แต่นางต้นห้องเพราะมันอาจเป็นเรื่องสำคัญมาก คงเป็นเรื่องที่เจียนเจ้าไม่อยากให้ใครรับรู้นอกจากเขาและนางเพียงเท่านั้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะหย่อนกายลงนั่งนางกลับเซเกือบล้มจนนางต้นห้องรีบเข้ามาประคองร่างไว้และร้องด้วยความตกใจ“ท่านหญิง...ท่านหญิงเป็นอะไรเพคะ”“ข้าไม่รู้”จางลี่นั่งลงโดยการประคองของนางต้นห้องอย่างใกล้ชิดก่อนค่อย ๆ เอนหลังลงนอนบนแท่นบรรทม ตอนแรกนางคิดว่าวิงเวียนเล็กน้อยแต่ดูเหมือนอาการนั้นเป็นหนักกว่าตอนก่อนกลับเข้ามาในตำหนัก“ท่านหญิง ท่านหญิงหน้าซีดมากเลยนะเพคะ หลินเจินจะไปตามหมอหลวงมาตรวจดูพระอาการนะเพคะ”“อย่าเลย”จางลี่รีบดึงมือหลินเจินไว้แต่พอจะขยับตัวกลับลุกไม่ไหวจนต้องนอนลงอีกครั้ง หลินเจินกุมมือของนายหญิงไว้แน่น“แบบนี้ไม่ดีแน่เพคะ ท่าทางท่านหญิงจะไม่สบายจริงๆ หลินเจินจะไปตามหมอหลวงมาดูอาการเดี๋ยวนี้เลยนะเพคะ”หลินเจินกระวีกระวาดวิ่งออกจากห้องปล่อยให้จางลี่นอนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความมึนงง นางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หลายวันที่ผ่านมามีอากา
นับแต่รู้ว่าตั้งครรภ์รัชทายาทของอ๋องแคว้นหลู่ จางลี่ยังไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครได้รู้แม้แต่อ๋องหลี่เจี๋ย มีเพียงหมอหลวงเท่านั้นถวายโอสถเพื่อให้นางและทารกในครรภ์แข็งแรง หากนางก็ตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะต้องบอกเรื่องสำคัญให้พระสวามีได้รับรู้หลังจากที่เขามีความคลางแคลงสงสัยต่ออาการที่หวางเฟยเป็นอยู่“จางลี่...หมู่นี้เจ้าเป็นอะไร เวลาพี่เข้าใกล้เจ้ามักทำเหมือนกับว่าหมดเรี่ยวหมดแรงไปเสียอย่างนั้น”“หม่อมฉันไม่ค่อยสบายเพคะ ต้องขออภัยที่มิอาจถวายการดูแลพระองค์ได้”“ไม่สบายเช่นนั้นรึ พี่จะให้หมอหลวงมาดูอาการของเจ้า”“หม่อมฉันให้หลินเจินไปตามหมอหลวงมาดูอาการแล้วเพคะ”“เป็นเช่นไร?”“หม่อมฉันไม่สบายตามประสาผู้หญิง...แค่นั้นเพคะ”หลี่เจี๋ยเพียงแสดงสีหน้าประหลาดใจหากจางลี่ก็รู้ว่าคนฉลาดเยี่ยงหลู่อ๋องนั้นคงไม่ไหว้วางใจอะไรง่าย ๆ นางเลื่อนมือลงไปลูบวนหน้าท้องเบา ๆ กับรอยยิ้มจาง ๆ พลางรำพึงกับตัวเองว่า“ท่านพี่...วันนี้หม่อมฉันจะบอกกับท่านพี่ว่าพระองค์กำลังจะมีข่าวดี ท่านพี่คงดีพระทัยมากเป็นแน่”“พระธิดา...”เสียงที่ดังขึ้นขัดภวังค์คิดทำให้จางลี่หันกลับไปและเห็นราชองครักษ์เจียนเจ้ายืนอยู่ห่างออกไปเพียงสามสี
“ลองเอามาประกบกับของหม่อมฉันดูเถิดพะย่ะค่ะ”ราชองครักษ์ยื่นจี้หยกในฝ่ามือออกไป จางลี่จ้องมองสักครู่วางจี้หยกแดงครึ่งซึกประกบกับจี้อีกครึ่งซีกในมือของนายทหารเอกและรอยต่อนั้นต่อเข้ากันได้พอดียังความประหลาดใจและตกใจแก่นางยิ่งนักกระทั่งได้ยินเสียงราชองครักษ์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง“พระธิดาจางลี่...จี้หยกแดงครึ่งซีกทั้งสองมีรอยเชื่อมต่อกันพอดี เพราะมันคือหยกชิ้นเดียวกันแต่ถูกแบ่งออกเป็นสองนับแต่วันที่พระธิดาถือกำเนิดพะย่ะค่ะ”“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านเจียนเจ้า...ข้าไม่เข้าใจ ข้างงไปหมดแล้ว”“พระองค์มิทรงเข้าพระทัยดอกพะย่ะค่ะ เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ เป็นความลับที่ถูกเก็บงำมานานถึงสิบเจ็ดปี จี้หยกชิ้นนี้เป็นของกระหม่อมที่แยกมันออกจากกันและมอบครึ่งหนึ่งไว้ให้ลูกสาวที่หม่อมฉันรักมากที่สุด”จางลี่ผุดลุกขึ้น นางสั่นไปทั้งตัวและเกือบเซล้มแต่เจียนเจ้ารีบเข้าไปประคองไว้ นางยิ่งตระหนกเมื่อเห็นหยดน้ำถั่งจากดวงตาของบุรุษผู้กล้าแกร่งซึ่งบัดนี้จับแขนกลมกลึงของนางไว้แน่น จางลี่นิ่วหน้า“ท่านเจียนเจ้า...บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน จี้หยกแดงครึ่งซีก...ลูกสาวของท่าน...”“นี่อย่างไรเล่าคือเรื่อง
เจียนเจ้าพูดซ้ำ ๆ และร้องไห้ออกมายิ่งทำให้จางลี่นึกสะท้อนใจ นางกำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่างหากต้องต้องชะงักค้างเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา“ถึงขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวต่อข้าอีกหรือไม่!”เสียงคำรามลั่นทำให้จางลี่และเจียนเจ้าหันไปพร้อมกัน ทั้งสองผงะนิ่งเมื่อเห็นหลี่เจี๋ยยืนอยู่ในชุดเสื้อคลุมน่าเกรงขาม ฮุยอินยืนอยู่ข้างๆ และด้านหลังคือองครักษ์โม่โฉว“ท่านพี่...”จางลี่ส่งเสียงแหบเบาโดยลืมไปว่าขณะนั้นองครักษ์เจียนเจ้ากำลังประคองร่างของนางอยู่ หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาใบหน้าถมึงทึง“เจ้าเห็นข้าแล้วยังกล้ากอดรัดกันอยู่เช่นนี้อีกรึ!”“หลู่อ๋อง...ขอประทานอภัย”เจียนเจ้ารีบผละห่างออกจากจางลี่ไปนั่งคุกเข่าก้มหน้าราวสำนึกผิด“ท่านพี่...”“หึ!...เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกรึ...หวางเฟยชั่วช้าที่บังอาจลักลอบคบชู้กับราชองครักษ์ในวังของข้า!”“พระองค์ตรัสสิ่งใดกัน ผู้ใดคบชู้กันเล่าเพคะ”“ก็เห็นอยู่ตำตาแล้วนี่มิใช่รึ”ฮุยอินก้าวเข้ามาและจ้องมองจางลี่กับราชองครักษ์เจียนเจ้าด้วยสายตาเยาะหยัน“เจ้านัดพบกับองครักษ์คนสนิทในวันหลังราตรีเดือนเพ็ญก่อนชู้รักเดินทางกลับแคว้นฉีนั่นอย่างไร”“เจ้าพูดอะไรกันฮุยอิน ใครเป
“เช่นนั้นพระธิดาบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงต้องแสดงความสนิทสนมกับราชองครักษ์เจียนเจ้าถึงขนาดนั้น”ฮุยอินตั้งคำถามและทำให้จางลี่เงียบไปด้วยนางมิอาจอธิบายถึงสถานะและความสัมพันธ์อันแท้จริงระหว่างตนและราชองครักษ์หลวงเจียนเจ้าได้ เมื่อเห็นจางลี่เงียบฮุยอินจึงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆๆ...ว่าแล้วเช่นไร พระธิดาจางลี่...ท่านบอกข้ามิได้ เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นจริงดังที่ข้าได้ทูลเรื่องชั่วช้านี้ต่อท่านอ๋อง เพราะหากหลู่อ๋องมิรู้เรื่องอัปยศนี้แต่ต้นมือหาไม่แล้วพวกเจ้าอาจรวมหัวกันโค่นบัลลังค์ผู้ครองแคว้นเราก็เป็นได้...จงลุกขึ้นเดี๋ยวนี้แล้วตามข้ากลับเข้าไปในตำหนักแดง ที่จริงแล้วเจ้าควรได้รับโทษหนัก มิใช่เพียงถูกกักขังไว้เช่นนี้!”น้ำเสียงตอนท้ายของฮุยอินเกรี้ยวกราดก่อนจางลี่จะลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปในตำหนักอย่างไร้เรี่ยวแรง ฮุยอินนึกเจ็บแค้นที่หลู่อ๋องไม่ลงดาบหวางเฟยให้ด่าวดิ้นไปตรงหน้า คราแรกที่นางเป็นผู้นำความกราบทูลนั้นเห็นได้ชัดว่าหลู่อ๋องทรงพิโรธหนัก คิดว่าจะฆ่าให้ตายทั้งชายหญิง หากการกลับกลายเป็นว่าแค่คุมขังนางไว้ แต่ก็ช่างเถิด...บัดนี้จางลี่มิได้เป็นหวางเฟยอีกต่อไปด้วยถูกถอดยศและไร้ซ
“หามิได้” นางแหงนใบหน้าอาบน้ำตาขึ้น “ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นพระองค์จะทรงคิดเช่นไร หากพระองค์คิดว่าเป็นความผิดของหม่อมฉันก็ขอให้ลงโทษหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเพราะผู้อื่นนั้นบริสุทธิ์มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”“เจ้าอยากตายแทนคนของเจ้าเช่นนั้นรึ!”หลี่เจี๋ยชักดาบออกจากบั้นเอวแล้วจ่องลงไปที่ลำคอของจางลี่ นัยน์ตาดำยาวรีเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หัวใจของบุรุษมิอาจทานทนเมื่อถูกคนรักหักหลัง ใช่...เขาหลงรักนางเข้าไปแล้วอย่างเต็มหัวใจ องค์ชายาผู้ซึ่งเขาเคยตั้งปณิธานว่าจะฆ่านางให้หายแค้น หากบัดนี้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปจนสิ้น คนที่ทุกข์ทรมานเจียนตายกลับเป็นเขามิใช่จางลี่ เจ็บปวดจากความรักที่ถูกทรยศ“ว่าอย่างไร!” หลี่เจี๋ยคำราม “หากเจ้ากล้าหักหลังข้าก็คงกล้ายอมตายเพื่อคนของเจ้า”“เพคะ” นางเชิดหน้าขึ้นและขยับเข้าใกล้ทำให้ลำคอถูกปลายดาบกดลงไปจนโลหิตหยาดไหลออกมา หากทว่าดวงตาของนางนั้นกล้าแข็ง“หม่อมฉันรู้ดีเพคะว่าวันหนึ่งต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งที่รู้ดีไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ก็มิเคยไว้วางพระทัยคนแคว้นหลู่แต่หม่อมฉันก็ยังหวังว่าสักวันพระองค์จะทรงลืมเรื่องในอดีต แต่หม่อมฉันอาจลืมไปว่าบาดแผลของพระองค์นั้นใหญ่เกิน
“ฮุยอิน...บุตรสาวของพระอาจารย์วั่งซูนั่นอย่างไร”“ข้าว่าแล้ว!” หลินเจินเข่นเขี้ยว “ข้ามองอะไรมิเคยผิด ข้ามิชอบท่าทีของธิดาพระอาจารย์ผู้นี้แต่แรก นางไม่น่าไว้วางใจ”“องค์ชายและนางเติบโตมาด้วยกัน เขาต่างผูกพันกันคงมั่น แต่ข้า...เป็นหญิงที่หลู่อ๋องมิเคยปรารถนา และเป็นคนที่มาทีหลัง”“มิจริงดอกเจ้าค่ะ หลู่อ๋องรักท่านหญิง ข้ามองออก”“หากเขารักข้าจริงคงไม่หูเบาเชื่อคนอื่นง่ายดายเช่นนี้”“หูเบา...เชื่อคนอื่น...บอกหลินเจินมาเถิดเจ้าค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”จางลี่เงียบไปสักครู่ น้ำตาของนางยังไหลออกมาไม่หยุด แม้เหือดแห้งไปบ้างแต่ไม่นานก็กลับรื้นขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นอีกอึดใจนางจึงเอ่ยว่า“หลินเจิน...ข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟัง เพราะเจ้าเป็นคนที่ข้าไว่วางใจมากที่สุด สัญญากับข้าว่าเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วจะมิแพร่งพรายให้ผู้ใดได้รับรู้อีก เจ้าต้องเก็บมันไว้กับตัวเจ้า...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”หลินเจินพยักหน้าและคอยรับฟังสิ่งที่พระธิดาจางลี่เล่าทุกอย่างอย่างตั้งใจแม้ต้องอัดอั้น เศร้าเสียใจและคับแค้นในอกหากนางกำนัลคนสนิทก็รับรู้ทุกอย่างและเก็บสิ่งที่ได้ยินไว้ รับฟังด้วยใจมั่นคงณ ตำหนักแดงเมื่อใกล้
จางลี่ครางหวิวหวาด หัวใจแทบขาดด้วยความกระสันเสียว นางก็คิดถึงเขาไม่ต่างกัน ระหว่างเขาและนางความอ่อนหวานราวกำซาบเข้าสู่หัวใจทั้งสองดวง เมื่อเขาดูดกลืนความหวานจากยอดบัวจนพอใจร่างอรชรจึงขยับหันหลังให้ หลี่เจี๋ยไล้ปลายลิ้นบนขมับลงมาถึงลำคอ แนบอกกว้างกับแผ่นหลังของนางจนสนิททุกสัดส่วน ความเป็นชายของเขาตื่นตัวและรุกเร้าอยู่บื้องหลังบั้นท้ายงอนงาม มือแกร่งสอดมาด้านหน้ากอบกุมปทุมถันทั้งสอง หลี่เจี๋ยเฟ้นฟอนไปตามไหล่กลมกลึงด้วยปากและปลายจมูกโด่ง“จางลี่...อาส์...พี่ต้องการเจ้า”เสียงแผ่วพร่าดังกว่ากระซิบยิ่งทำให้นางหวิววาบซาบซ่านก่อนที่เขาสอดมือข้างหนึ่งลงไปใต้เข่ายกเรียวขาของนางขึ้นและสอดใส่ความแข็งแกร่งเข้าสู่กลีบเนื้องามจากด้านหลัง“ท่านพี่...อะ...อาส์...อาส์...อืม...อาส์”“จางลี่...อาส์...อาส์”กษัตริย์หนุ่มหายใจหอบเมื่อแก่นเนื้ออวบหนาถูกบีบรัดจากกลีบผการุนแรง หลี่เจี๋ยขยับสะโพกแต่ไม่ลืมผ่อนเบาในบางจังหวะ ไม่ลืมว่าลึกเข้าไปคือชีวิตน้อย ๆ ขององค์รัชทายาทที่หลับใหลอยู่ในนั้น แม้ความปรารถนาถาโถมรุนแรงแต่จังหวะขยับโยกนั้นอ่อนหวานจนจางลี่สยิวซ่านไปทั่วเรือนกาย“ท่านพี่...อาส์...อาส์”นางตวัดแขนเร
“ใครหรือเพคะ?”“อำมาตย์ใหญ่อู๋อี้ฝาน และ...พระอาจารย์วั่งซู”จางลี่มีสีหน้าตกใจ นางพยายามลำดับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อนั้น ดวงตางามเต็มไปด้วยคาวมสับสน“มันจะเป็นไปได้เช่นไร พระอาจารย์วั่งซูคือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ท่านพี่ และยิ่งกว่านั้นลูกสาวของพระอาจารย์ก็ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นหวางเฟยองค์ใหม่อีกด้วย”“นั่นเป็นแผนที่ถูกวางไว้แล้วทั้งหมด เพราะพี่เองที่โง่งม มิเคยคิดระวังคนใกล้ตัว พี่ไว้วางใจพระอาจารย์ของตัวเอง เพราะเห็นวั่งซูมาแต่เล็กและอยู่ใกล้ชิดฮุยอินมาแต่ยังเยาว์ พี่ถือว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน แต่คนเหล่านั้นมิเคยคิดแยกแยะ มีแต่ความโลภโมโทสัน สุดท้ายก็ต้องพบจุดจบของตัวเอง”“หม่อมฉันคิดว่าฮุยอินโชคดีแล้วที่ได้รับตำแหน่งหวางเฟยองค์ใหม่ นางคงรอโอกาสนี้มานับแต่ยังเยาว์”“ฮุยอินมิได้รู้เห็นกับการกระทำของพ่อตัวเอง แต่นางยุยงให้พี่เข้าใจผิด ขับเจ้าออกจากวัง และมันก็เข้าแผนของพวกกบฏ”“แล้วพระองค์ทำเช่นไรกับนางหรือเพคะ?”“นางได้รับโทษอย่าสาสมแล้ว ฮุยอินเอาตัวเข้ารับลูกธนูของพวกกบฏแทนพี่ ตอนนี้พระอาจารย์วั่งซูถึงกับสติฟั่นเฟือนที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนเดียว”“นางรักท่านพี่ด้วยหัวใจบริสุทธิ
หลี่เจี๋ยเงียบไป เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้และแรงกระตุกของร่างเล็กในอ้อมแขน ความสำนึกผิดแล่นขึ้นมาจับหัวใจ เขากดศีรษะทุยของนางกับไหล่กว้าง มันเป็นช่วงเวลาที่ยากยิ่งสำหรับเขา แม้เป็นกษัตริย์ปกครองคนมากมาย เป็นเจ้าแห่งรัฐที่มิเคยอ่อนข้อให้ผู้ใดแต่วันนี้เขาขอวางเกียรติและความสูงส่งนั้นเพื่อเอาหัวใจรักของบุรุษผู้หนึ่งไว้แทบเท้าสตรียอดดวงใจในบัดนี้ “จางลี่” เสียงนั้นแผ่วลง “พี่รู้ว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้กับเจ้าบ้าง หากเจ้าจะอภัยให้พี่”“อภัยหรือเพคะ?”จางลี่ขยับห่างเล็กน้อยแต่หลี่เจี๋ยไม่ยอมคลายวงแขนที่ยังกอดไว้แน่น นางยิ้มขื่น“พระองค์เป็นถึงหลู่อ๋อง จะให้หม่อมฉันซึ่งเป็นเพียงหญิงต่ำช้าในสายพระเนตรอภัยให้พระองค์เช่นนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันมิกล้า แค่นี้ก็เกรงอาญาเหลือเกินแล้ว”“นิสัยช่างประชดประชันของเจ้าทำอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียที แต่...สิ่งนี้มิใช่หรือที่ทำให้พี่รักเจ้ามากจนถอนใจไม่ขึ้น”“พระองค์ต้องการสิ่งใด” นางนิ่วหน้าเหมือนเจ็บปวด “วันก่อนหาว่าหม่อมฉันคบชู้ ขับไล่หม่อมฉันออกจากวัง แล้ววันนี้มาตามหาหม่อมฉัน มีประสงค์อันใดกันแน่”“จางลี่...”“หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าเป็นแค่ธิดาของพระสน
“อยู่นิ่ง ๆ ...อย่าแม้แต่ขยับตัว”หลี่เจี๋ยสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำขณะร่างบางที่ยืนตรงหน้าสั่นเทา จางลี่ถึงกับน้ำตาไหลเมื่อสุนัขป่าค่อย ๆ ย่างเข้ามา มันกำลังดูเชิงและตั้งท่าหมอบลงเล็กน้อย ดวงตาแดงราวเปลวเพลิงคู่นั้นสะท้อนแสงวับวาว“กรี๊ด!!”จางลี่กรีดร้องสุดเสียงเมื่อมันกระโจนเข้าหาแต่ยังไม่ทันถึงตัวกลับถูกคมธนูปักเข้าที่กลางหน้าผากจนหงายหลังล้มฟุบลงกับพื้นเลือดทะลักออกมาแดงฉาน“จางลี่”หลี่เจี๋ยวิ่งเข้าไปประคองร่างบางที่ทรุดลงหมดสติในอ้อมแขนของเขาทั้งที่มือแกร่งอีกข้างกุมคันธนูไว้มั่น“จางลี่...จางลี่”เขาพยายามเรียกแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบ จางลี่หมดสติไปแล้วด้วยความตื่นตกใจ เขากอดนางเอาไว้แนบอกและจูบบนหน้าผากมนชื้นเหงื่อขณะกระซิบ“น้องสาวของพี่...พี่มาช่วยเจ้าแล้ว และนับแต่นี้จะมิมีวันทอดทิ้งเจ้าไปไหนอีก”จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมึนงง นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นและเห็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่ว เมื่อรู้สึกตัวเต็มที่จึงเห็นเพดานคูหาถ้ำและเงาของใครคนหนึ่งวาบไหวไปมาบนนั้น นางค่อย ๆ พลิกตัวและมองเห็นแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้ซึ่งนางคุ้นเคย“องค์ชาย...”เสียงแหบเบาลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผา
จางลี่สะอื้นไห้ คิดถึงชีวิตแสนสุขสบายในวังหลวง นางอยู่แคว้นฉีมีแต่ความรื่นรมย์ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้ต้องตัดสินใจเดินทางมายังเมืองหลู่ หากโอรสของพระชายาเอกมิต้องการได้นางเป็นอนุลับ ๆ นางอาจพบใครสักคนและมีชีวิตครอบครัวอยู่บ้านเกิดเมืองนอน แต่เมื่อคิดไปจางลี่กลับยิ่งรู้สึกเสียใจต่อความร้ายกาจของหลู่อ๋อง ก็ในเมื่อนางรักเขามากถึงเพียงนั้นจางลี่ยอมรับกับตัวเองแล้วว่านางรักองค์ชายหลี่เจี๋ย และยิ่งรู้ว่านางกับเขามิได้มีสายเลือดเดียวกันก็ยิ่งทำให้หลุดพ้นจากความคิดติดพันในเรื่องการเป็นญาติใกล้ชิดกัน นางเป็นอิสระที่จะรักเขา แต่แล้วราวสวรรค์แกล้งเมื่อไร้วาสนาได้ครองคู่เพราะความอิจฉาริษยาและยุแยงกลั่นแกล้งจากคนใกล้ตัวหลู่อ๋องชังนางยิ่งกว่าสิ่งใด ชาตินี้ถึงอย่างไรคงคงไร้วาสนาหนำซ้ำหากมิรีบหนีไปตอนนี้ลูกน้อยในครรภ์ก็อาจไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกก็เป็นได้ แต่แล้วจางลี่ก็ต้องระงับความคิดของนางเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาใกล้ เป็นเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ มีคนเข้ามาที่นี่เช่นนั้นหรือ นางค่อย ๆ ขยับตัวและเยี่ยมหน้าออกไปจากด้านหลังโขดหินใหญ่หากต้องตกใจเมื่อเห็นแสงจากคบไฟใกล้เข้ามา“หล
“มิเกี่ยวกับท่านดอก หวังหย่ง...ทำใจให้สบายเถิด ทำตามหน้าที่ของท่านนนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว”โม่โฉวกล่าวจบก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหลู่อ๋องก้าวออกมาจากศาลเจ้าด้วยใบหน้าเคียดขึ้ง ทุกคนต้องรีบคุกเข่าลงอีกครั้ง“หวังหย่ง...ใยข้าจึงมิเห็นผู้ใดอยู่ในศาลเจ้า”“เป็นไปมิได้ดอกพะย่ะค่ะ หวางเฟยเพิ่งเข้าไปในศาลเจ้าก่อนหน้าที่พระองค์เสด็จมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น”“ท่านหญิง...ท่านหญิงมิได้อยู่ในศาลเจ้าหรอกหรือเพคะ”หลินเจินหน้าตื่น นางลุกขึ้นและรีบวิ่งเข้าไปในศาลเจ้าก็เห็นแต่แท่นบูชาต่อหน้าเทพเจ้าที่มีเพียงร่องรอยธูปหลายอันปักในแจกันหากแต่เป็นธูปเก่าที่ไหม้จนหมดดอก มิมีอันใหม่ดังที่เข้าใจว่าพระธิดาจางลี่จะเข้ามาบูชาเทพเจ้าดังที่บอกไว้ เมื่อเห็นดังนั้นนางสนมก็ถึงกับหลั่งน้ำตา“พระธิดา...ไม่จริงหรอกนะเจ้าคะ...ท่านคงมิทำเช่นนั้น”“จางลี่อยู่ที่ไหน!”เสียงทรงอำนาจที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้หลินเจินหันกลับไป นางทรุดลงนั่งและร้องไห้ออกมา“ฝ่าบาท...ฝ่าบาทเพคะ...พระธิดาของหม่อมฉันมิได้อยู่ที่นี่ พระธิดา...อาจจะหนีไปแล้วเพคะ”“ว่าอย่างไรนะ!”18วอนรักนั้นกลับคืนหลี่เจี๋ยชะงักงัน นัยน์ตาดำยาวรีสะท้อนความเจ็บปวด
“น่าจะเป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ เช่นนั้นท่านหญิงก็ควรพักผ่อนให้มาก เตรียมตัวเพื่อรุ่งขึ้นจะได้ออกเดินทางไปยังอารามเทพเจ้า”“หลินเจิน”“เจ้าคะท่านหญิง”“ข้ามิรู้ว่าหลู่อ๋องนั้นมีแผนใดมากไปกว่าการกักกันตัวข้าไว้ที่ตำหนักแห่งนี้ ข้ามิรู้ว่าชีวิตของข้าจะยืนยาวไปสักเพียงไหน แต่จำไว้เถิดว่าข้าจะมิมีวันลืมความดีของเจ้าเลย”“ท่านหญิง”หลินเจินน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหากนางก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่บกพร่อง จัดสำรับและโอสถให้พระธิดาจางลี่ ส่งนางบรรทมและเฝ้าคอยดูความเรียบร้อยทุกอย่างดังที่เคยทำมาวันรุ่งขึ้น เก้าลี้จากตำหนักต้องห้ามในหุบเขาหนีซานอันเงียบสงบ หวังหย่ง หัวหน้าองครักษ์ผู้ดูแลตำหนักได้จัดเตรียมรถม้าเพื่อนำหวางเฟยไปยังอารามเก่าแก่บนเขาหนีซานโดยมีทหารติดตามไปเกือบสิบคน กระทั่งไปถึงสถานที่สักการะเทพเจ้า เมื่อจางลี่ลงจากรถม้านางจึงเห็นว่ามีอารามเก่าท่ามกลางหุบเขาอันสงบเงียบ มีไม้ใหญ่ขึ้นรกเรื้อหากนางก็จำได้ว่าเส้นทางจากนตำหนักมายังที่แห่งนี้มิได้ทุลักทุเลดังคิด จางลี่เก็บอาการเหนื่อยล้าไว้ภายใน นางสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เพื่อปกปิดหน้าท้องที่ยื่นออกมาจนเริ่มสังเกตได้ ส่วนหลินเจินก็ยังคง
“หลินเจิน...แล้วเจ้าได้ข่าวคราวอันใดจากวังหลวงบ้างหรือไม่?”หลินเจินส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ“เปล่าเลยท่านหญิง...ข้าพยายามถามพวกนายทหารที่มาคอยเฝ้าเวรยามก็มิเห็นมีผู้ใดรู้เรื่องในราชสำนักแคว้นหลู่ ข้าเองก็มิสบายใจเลยเจ้าค่ะ”“ป่านนี้ท่านองครักษ์เจียนเจ้าจะเป็นเช่นไรบ้างก็มิรู้ แล้วยังมีผู้ติดตามข้ามาอีกหลายสิบชีวิต ข้าท้อใจเหลือเกิน ใยองค์ชายหลี่เจี๋ยจึงมิลงทัณฑ์ข้าให้ตายไปเสียแต่วันนั้น หากข้าตายแล้วคนของข้าปลอดภัยกลับไปยังแผ่นดินฉีข้ายอม”“ข้าคิดว่าที่หลู่อ๋องมิยอมลงดาบท่านหญิงก็เพราะว่า...พระองค์รักท่านหญิงมากนะเจ้าคะ”“หากเขารักข้าใยจึงมิฟังเหตุผล”“ท่านหญิงมิเคยได้ยินหรอกหรือเจ้าคะ รักมากก็แค้นมาก”“เขาชังข้าเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วต่างหาก”“อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ดูแลร่างกายของท่านให้แข็งแรงเพื่องค์รัชทายาทจะได้แข็งแรง”จางลี่ก้มลงมองหน้าท้องของตัวเองที่ยื่นออกมาเล็กน้อย บ่อยครั้งรู้สึกถึงแรงตอดจากอีกชีพจรภายใน แม้ทุกข์เพียงใดหากเมื่อรู้สึกถึงพลังของอีกชีวิตนางก็อบอุ่นและเกิดแรงกำลังใจอย่างมาก หลินเจินถอนใจอีกครั้ง“ก่อนข้าจะเดินทางมาที่นี่พร้อมท่านหญิง ข้าได้ไปพบท่านโม่โฉว แต่ก็มิเห
“จับพวกกบฏแผ่นดินไปขังในคุกหลวง รอพระบัญชาจากหลู่อ๋อง ส่วนคนของพวกมันที่จับได้ โยนลงไปใต้ตำหนักให้เป็นอาหารจระเข้อย่าให้เหลือ!”“ช้าก่อนโม่โฉว”“พะย่ะค่ะ”โม่โฉวคุกเข่าลงเมื่อหลี่เจี๋ยปรามเขาหลังทหารคุมตัวอำมาตย์และพระอาจารย์ชั่วรวมทั้งร่างไร้วิญญาณของฮุยอินที่หลู่อ๋องมองตามด้วยความเวทนาออกจากตำหนัก จากนั้นจึงออกคำสั่งต่อราชองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ขอบใจเจ้ามากโม่โฉวที่มาช่วยข้าทันเวลา แต่พวกกบฏที่จับได้จงนำไปขังไว้ก่อน อย่าให้มีคนต้องตายมากไปกว่านี้เลย”“รับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”โม่โฉวรับคำ หากแต่ขณะนั้นสายตาของหลู่อ๋องมองเลยเขาไปยังองครักษ์เจียนเจ้าที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง แววตาของหลี่เจี๋ยเปลี่ยนไปในทันที เขาเอ่ยขึ้น“ราชองครักษ์โม่โฉว แม้เจ้าจะมีความดีความชอบช่วยข้ากอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน หากแต่ความดีของเจ้านั้นมิอาจนำมาแลกกับการอภัยโทษให้ผู้กระทำผิดร้ายแรงได้ไม่”เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่โฉวรู้ได้ในทันทีว่าหลู่อ๋องหมายถึงสิ่งใด เขาหันกลับไปมองหน้าองครักษ์เจียนเจ้าชั่วอึดใจก่อนหันกลับมายังเจ้าผู้ครองแคว้น โม่โฉวค้อมตัวลง“กระหม่อมทราบดีพะย่ะค่ะว่าได้กระทำการอันอาจเป