“หามิได้กระหม่อม...พระธิดาของกระหม่อมงดงามเพียงนี้หลู่อ๋องย่อมมิปรารถนาให้พระองค์อยู่ไกลตา อันความรักนั้นอยู่เหนือสิ่งใด บางครั้งไร้เหตุผลจนไม่สามารถอธิบายได้”“ท่านพูดเหมือนว่า...ท่านเคยมีความรัก ทั้งที่...ท่านยังมิเคยมีครอบครัว”เจียนเจ้าเงียบไปสักครู่ ราชองครักษ์ซึ่งยังแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญการศึกทั้งที่อยู่ในวัยเพียงสี่สิบต้นๆ ปรายยิ้มออกมา“ความรักและความงามอยู่ในหัวใจของบุรุษทุกผู้ทุกนาม เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจะแสดงออกมาหรือไม่”“หากมันมาจากความจริงใจ ข้ากลัวเหลือเกินว่านี่อาจเป็นแผนหรือกับดักที่แคว้นหลู่วางไว้ ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานการเมือง”เสียงเศร้า ๆ ของจางลี่ทำให้สีหน้าของเจียนเจ้าวูบไปชั่วขณะก่อนเขาจะพูดต่อไปว่า“พระธิดา ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะ...ทูลต่อพระองค์ว่า มีราชโองการจากฉีอ๋องให้หม่อมฉันและนายทหารผู้ติดตามทั้งหมดกลับไปยังแคว้นฉี”“ว่าอย่างไรนะ...ท่านจะกลับแคว้นฉีเช่นนั้นรึ”จางลี่ลุกขึ้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นคาวมวิตกกังวล“เหตุใดเสด็จพ่อจึงต้องให้พวกท่านกลับไป แล้วเหล่าข้าราชบริภารคนอื่นเล่า”“อย่าเพิ่งทรงตกใจไปก่อน เสด็จพ่อของพระองค์
จางลี่เก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงนั่นคือตื่นเต้นและวิตกกังวลต่อเรื่องของราชองครักษ์เจียนเจ้าไว้ภายใน นางไม่อยากบอกเรื่องนี้แก่ใครแม้แต่นางต้นห้องเพราะมันอาจเป็นเรื่องสำคัญมาก คงเป็นเรื่องที่เจียนเจ้าไม่อยากให้ใครรับรู้นอกจากเขาและนางเพียงเท่านั้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะหย่อนกายลงนั่งนางกลับเซเกือบล้มจนนางต้นห้องรีบเข้ามาประคองร่างไว้และร้องด้วยความตกใจ“ท่านหญิง...ท่านหญิงเป็นอะไรเพคะ”“ข้าไม่รู้”จางลี่นั่งลงโดยการประคองของนางต้นห้องอย่างใกล้ชิดก่อนค่อย ๆ เอนหลังลงนอนบนแท่นบรรทม ตอนแรกนางคิดว่าวิงเวียนเล็กน้อยแต่ดูเหมือนอาการนั้นเป็นหนักกว่าตอนก่อนกลับเข้ามาในตำหนัก“ท่านหญิง ท่านหญิงหน้าซีดมากเลยนะเพคะ หลินเจินจะไปตามหมอหลวงมาตรวจดูพระอาการนะเพคะ”“อย่าเลย”จางลี่รีบดึงมือหลินเจินไว้แต่พอจะขยับตัวกลับลุกไม่ไหวจนต้องนอนลงอีกครั้ง หลินเจินกุมมือของนายหญิงไว้แน่น“แบบนี้ไม่ดีแน่เพคะ ท่าทางท่านหญิงจะไม่สบายจริงๆ หลินเจินจะไปตามหมอหลวงมาดูอาการเดี๋ยวนี้เลยนะเพคะ”หลินเจินกระวีกระวาดวิ่งออกจากห้องปล่อยให้จางลี่นอนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความมึนงง นางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หลายวันที่ผ่านมามีอากา
นับแต่รู้ว่าตั้งครรภ์รัชทายาทของอ๋องแคว้นหลู่ จางลี่ยังไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครได้รู้แม้แต่อ๋องหลี่เจี๋ย มีเพียงหมอหลวงเท่านั้นถวายโอสถเพื่อให้นางและทารกในครรภ์แข็งแรง หากนางก็ตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะต้องบอกเรื่องสำคัญให้พระสวามีได้รับรู้หลังจากที่เขามีความคลางแคลงสงสัยต่ออาการที่หวางเฟยเป็นอยู่“จางลี่...หมู่นี้เจ้าเป็นอะไร เวลาพี่เข้าใกล้เจ้ามักทำเหมือนกับว่าหมดเรี่ยวหมดแรงไปเสียอย่างนั้น”“หม่อมฉันไม่ค่อยสบายเพคะ ต้องขออภัยที่มิอาจถวายการดูแลพระองค์ได้”“ไม่สบายเช่นนั้นรึ พี่จะให้หมอหลวงมาดูอาการของเจ้า”“หม่อมฉันให้หลินเจินไปตามหมอหลวงมาดูอาการแล้วเพคะ”“เป็นเช่นไร?”“หม่อมฉันไม่สบายตามประสาผู้หญิง...แค่นั้นเพคะ”หลี่เจี๋ยเพียงแสดงสีหน้าประหลาดใจหากจางลี่ก็รู้ว่าคนฉลาดเยี่ยงหลู่อ๋องนั้นคงไม่ไหว้วางใจอะไรง่าย ๆ นางเลื่อนมือลงไปลูบวนหน้าท้องเบา ๆ กับรอยยิ้มจาง ๆ พลางรำพึงกับตัวเองว่า“ท่านพี่...วันนี้หม่อมฉันจะบอกกับท่านพี่ว่าพระองค์กำลังจะมีข่าวดี ท่านพี่คงดีพระทัยมากเป็นแน่”“พระธิดา...”เสียงที่ดังขึ้นขัดภวังค์คิดทำให้จางลี่หันกลับไปและเห็นราชองครักษ์เจียนเจ้ายืนอยู่ห่างออกไปเพียงสามสี
“ลองเอามาประกบกับของหม่อมฉันดูเถิดพะย่ะค่ะ”ราชองครักษ์ยื่นจี้หยกในฝ่ามือออกไป จางลี่จ้องมองสักครู่วางจี้หยกแดงครึ่งซึกประกบกับจี้อีกครึ่งซีกในมือของนายทหารเอกและรอยต่อนั้นต่อเข้ากันได้พอดียังความประหลาดใจและตกใจแก่นางยิ่งนักกระทั่งได้ยินเสียงราชองครักษ์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง“พระธิดาจางลี่...จี้หยกแดงครึ่งซีกทั้งสองมีรอยเชื่อมต่อกันพอดี เพราะมันคือหยกชิ้นเดียวกันแต่ถูกแบ่งออกเป็นสองนับแต่วันที่พระธิดาถือกำเนิดพะย่ะค่ะ”“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านเจียนเจ้า...ข้าไม่เข้าใจ ข้างงไปหมดแล้ว”“พระองค์มิทรงเข้าพระทัยดอกพะย่ะค่ะ เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ เป็นความลับที่ถูกเก็บงำมานานถึงสิบเจ็ดปี จี้หยกชิ้นนี้เป็นของกระหม่อมที่แยกมันออกจากกันและมอบครึ่งหนึ่งไว้ให้ลูกสาวที่หม่อมฉันรักมากที่สุด”จางลี่ผุดลุกขึ้น นางสั่นไปทั้งตัวและเกือบเซล้มแต่เจียนเจ้ารีบเข้าไปประคองไว้ นางยิ่งตระหนกเมื่อเห็นหยดน้ำถั่งจากดวงตาของบุรุษผู้กล้าแกร่งซึ่งบัดนี้จับแขนกลมกลึงของนางไว้แน่น จางลี่นิ่วหน้า“ท่านเจียนเจ้า...บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน จี้หยกแดงครึ่งซีก...ลูกสาวของท่าน...”“นี่อย่างไรเล่าคือเรื่อง
เจียนเจ้าพูดซ้ำ ๆ และร้องไห้ออกมายิ่งทำให้จางลี่นึกสะท้อนใจ นางกำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่างหากต้องต้องชะงักค้างเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา“ถึงขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวต่อข้าอีกหรือไม่!”เสียงคำรามลั่นทำให้จางลี่และเจียนเจ้าหันไปพร้อมกัน ทั้งสองผงะนิ่งเมื่อเห็นหลี่เจี๋ยยืนอยู่ในชุดเสื้อคลุมน่าเกรงขาม ฮุยอินยืนอยู่ข้างๆ และด้านหลังคือองครักษ์โม่โฉว“ท่านพี่...”จางลี่ส่งเสียงแหบเบาโดยลืมไปว่าขณะนั้นองครักษ์เจียนเจ้ากำลังประคองร่างของนางอยู่ หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาใบหน้าถมึงทึง“เจ้าเห็นข้าแล้วยังกล้ากอดรัดกันอยู่เช่นนี้อีกรึ!”“หลู่อ๋อง...ขอประทานอภัย”เจียนเจ้ารีบผละห่างออกจากจางลี่ไปนั่งคุกเข่าก้มหน้าราวสำนึกผิด“ท่านพี่...”“หึ!...เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกรึ...หวางเฟยชั่วช้าที่บังอาจลักลอบคบชู้กับราชองครักษ์ในวังของข้า!”“พระองค์ตรัสสิ่งใดกัน ผู้ใดคบชู้กันเล่าเพคะ”“ก็เห็นอยู่ตำตาแล้วนี่มิใช่รึ”ฮุยอินก้าวเข้ามาและจ้องมองจางลี่กับราชองครักษ์เจียนเจ้าด้วยสายตาเยาะหยัน“เจ้านัดพบกับองครักษ์คนสนิทในวันหลังราตรีเดือนเพ็ญก่อนชู้รักเดินทางกลับแคว้นฉีนั่นอย่างไร”“เจ้าพูดอะไรกันฮุยอิน ใครเป
“เช่นนั้นพระธิดาบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงต้องแสดงความสนิทสนมกับราชองครักษ์เจียนเจ้าถึงขนาดนั้น”ฮุยอินตั้งคำถามและทำให้จางลี่เงียบไปด้วยนางมิอาจอธิบายถึงสถานะและความสัมพันธ์อันแท้จริงระหว่างตนและราชองครักษ์หลวงเจียนเจ้าได้ เมื่อเห็นจางลี่เงียบฮุยอินจึงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆๆ...ว่าแล้วเช่นไร พระธิดาจางลี่...ท่านบอกข้ามิได้ เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นจริงดังที่ข้าได้ทูลเรื่องชั่วช้านี้ต่อท่านอ๋อง เพราะหากหลู่อ๋องมิรู้เรื่องอัปยศนี้แต่ต้นมือหาไม่แล้วพวกเจ้าอาจรวมหัวกันโค่นบัลลังค์ผู้ครองแคว้นเราก็เป็นได้...จงลุกขึ้นเดี๋ยวนี้แล้วตามข้ากลับเข้าไปในตำหนักแดง ที่จริงแล้วเจ้าควรได้รับโทษหนัก มิใช่เพียงถูกกักขังไว้เช่นนี้!”น้ำเสียงตอนท้ายของฮุยอินเกรี้ยวกราดก่อนจางลี่จะลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปในตำหนักอย่างไร้เรี่ยวแรง ฮุยอินนึกเจ็บแค้นที่หลู่อ๋องไม่ลงดาบหวางเฟยให้ด่าวดิ้นไปตรงหน้า คราแรกที่นางเป็นผู้นำความกราบทูลนั้นเห็นได้ชัดว่าหลู่อ๋องทรงพิโรธหนัก คิดว่าจะฆ่าให้ตายทั้งชายหญิง หากการกลับกลายเป็นว่าแค่คุมขังนางไว้ แต่ก็ช่างเถิด...บัดนี้จางลี่มิได้เป็นหวางเฟยอีกต่อไปด้วยถูกถอดยศและไร้ซ
“หามิได้” นางแหงนใบหน้าอาบน้ำตาขึ้น “ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นพระองค์จะทรงคิดเช่นไร หากพระองค์คิดว่าเป็นความผิดของหม่อมฉันก็ขอให้ลงโทษหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเพราะผู้อื่นนั้นบริสุทธิ์มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”“เจ้าอยากตายแทนคนของเจ้าเช่นนั้นรึ!”หลี่เจี๋ยชักดาบออกจากบั้นเอวแล้วจ่องลงไปที่ลำคอของจางลี่ นัยน์ตาดำยาวรีเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หัวใจของบุรุษมิอาจทานทนเมื่อถูกคนรักหักหลัง ใช่...เขาหลงรักนางเข้าไปแล้วอย่างเต็มหัวใจ องค์ชายาผู้ซึ่งเขาเคยตั้งปณิธานว่าจะฆ่านางให้หายแค้น หากบัดนี้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปจนสิ้น คนที่ทุกข์ทรมานเจียนตายกลับเป็นเขามิใช่จางลี่ เจ็บปวดจากความรักที่ถูกทรยศ“ว่าอย่างไร!” หลี่เจี๋ยคำราม “หากเจ้ากล้าหักหลังข้าก็คงกล้ายอมตายเพื่อคนของเจ้า”“เพคะ” นางเชิดหน้าขึ้นและขยับเข้าใกล้ทำให้ลำคอถูกปลายดาบกดลงไปจนโลหิตหยาดไหลออกมา หากทว่าดวงตาของนางนั้นกล้าแข็ง“หม่อมฉันรู้ดีเพคะว่าวันหนึ่งต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งที่รู้ดีไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ก็มิเคยไว้วางพระทัยคนแคว้นหลู่แต่หม่อมฉันก็ยังหวังว่าสักวันพระองค์จะทรงลืมเรื่องในอดีต แต่หม่อมฉันอาจลืมไปว่าบาดแผลของพระองค์นั้นใหญ่เกิน
“ฮุยอิน...บุตรสาวของพระอาจารย์วั่งซูนั่นอย่างไร”“ข้าว่าแล้ว!” หลินเจินเข่นเขี้ยว “ข้ามองอะไรมิเคยผิด ข้ามิชอบท่าทีของธิดาพระอาจารย์ผู้นี้แต่แรก นางไม่น่าไว้วางใจ”“องค์ชายและนางเติบโตมาด้วยกัน เขาต่างผูกพันกันคงมั่น แต่ข้า...เป็นหญิงที่หลู่อ๋องมิเคยปรารถนา และเป็นคนที่มาทีหลัง”“มิจริงดอกเจ้าค่ะ หลู่อ๋องรักท่านหญิง ข้ามองออก”“หากเขารักข้าจริงคงไม่หูเบาเชื่อคนอื่นง่ายดายเช่นนี้”“หูเบา...เชื่อคนอื่น...บอกหลินเจินมาเถิดเจ้าค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”จางลี่เงียบไปสักครู่ น้ำตาของนางยังไหลออกมาไม่หยุด แม้เหือดแห้งไปบ้างแต่ไม่นานก็กลับรื้นขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นอีกอึดใจนางจึงเอ่ยว่า“หลินเจิน...ข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟัง เพราะเจ้าเป็นคนที่ข้าไว่วางใจมากที่สุด สัญญากับข้าว่าเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วจะมิแพร่งพรายให้ผู้ใดได้รับรู้อีก เจ้าต้องเก็บมันไว้กับตัวเจ้า...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”หลินเจินพยักหน้าและคอยรับฟังสิ่งที่พระธิดาจางลี่เล่าทุกอย่างอย่างตั้งใจแม้ต้องอัดอั้น เศร้าเสียใจและคับแค้นในอกหากนางกำนัลคนสนิทก็รับรู้ทุกอย่างและเก็บสิ่งที่ได้ยินไว้ รับฟังด้วยใจมั่นคงณ ตำหนักแดงเมื่อใกล้