สำหรับจางลี่แล้วคืนนี้สำคัญนักเพราะหมายถึงการรับตำแหน่งหวางเฟย หากช่างเป็นพิธีกรรมอันวังเวง ปราศจากเสียงแซ่ซ้องจากเหล่าประชา และนางก็ไม่มีโอกาสได้พบเหล่าข้าราชบริภารผู้ติดตามมาจากแคว้นฉี หรือนี่อาจเป็นคืนสุดท้ายของนางแล้วก็เป็นได้ หลู่อ๋องมิมีวันปล่อยให้นางมีชีวิตรอดพ้นจากแคว้นหลู่ เขาเพียงจัดฉากให้ดูเหมือนมีพิธีการ แล้วหลังจากนั้นก็จะฆ่านางและโยนซากศพให้เป็นอาหารโอชะของจระเข้ใต้ตำหนักร้อยไหม“น้องสาวของพี่ คืนนี้มีความสำคัญมากสำหรับเจ้า...เจ้าจะได้เป็นหวางเฟยของหลู่อ๋องอย่างเต็มตัว”หลี่เจี๋ยก้าวมาหยุดตรงหน้าและเชยคางมนให้นางแหงนขึ้นมองเขา จางลี่ผงะไปชั่วขณะลมหายใจ แม้หลู่อ๋องทรงอำนาจหากเขาคือบุรุษรูปงามราวเทพบุตร นัยน์ตาคู่นั้นเข้มคม ริมฝีปากได้รูปหยัดขึ้นเล็กน้อย สติของนางกำลังแตกซ่านเมื่อนึกถึงจุมพิตดูดดื่มที่เขาถืออำนาจล่วงล้ำ แต่จางลี่ต้องรีบเตือนสติตัวเองว่าเขาเป็นคนอันตราย ภายใต้ความหล่อเหลาและงามสง่าฉาบทาหลู่อ๋องคืออสูรร้ายในคราบเทพบุตร นางต้องฝืนยิ้ม“ท่านพี่...ท่านเองก็คงเหนื่อยกับพิธีการวันนี้”“เหนื่อยหรือ?...ข้าเหนื่อยทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา”“ทะ...ท่านพี่ควรได้ดื่มชาสักจ
หลี่เจี๋ยลั่นเสียงและบีบไหล่ของนางทั้งสองข้างเขย่าไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเข้มคลั่กราวอาบด้วยโลหิต จางลี่สะอื้นไห้แต่ไม่ยอมแพ้“พระองค์มิได้อยากไว้ชีวิตหม่อมฉันแต่แรก หากฆ่าได้ก็คงฆ่าหม่อมฉันให้ตายนับแต่ย่างเท้าเหยียบหน้าประตูเมืองนั่นแล้ว”“ใช่! คิดหรือว่าข้าจะยินดี ข้าอยากฉีกร่างของเจ้าให้ป่นเป็นหมื่นชิ้นนับแต่ฉีอ๋องส่งสาส์นมานั่นแล้ว!”เสียงคำรามของหลี่เจี๋ยหาได้เจ็บปวดเท่าคำพูดบาดคมยิ่งกว่ามีดหมื่นเล่มทิ่มแทงลงในหัวใจของจางลี่ นางเม้มปากสนิทแน่นและตัดสินใจดึงปิ่นดอกไม้จากมาลามงกุฎปักทะลุเสื้อคลุมลงบนไหล่กว้าง โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมา จางลี่ถึงกับตระหนกแต่หลู่อ๋องกลับยืนนิ่งราวหลักศิลาในหุบมืด“หลู่อ๋อง...”นางอุทานเบา ๆ ปากสั่นระริก มือที่กำปิ่นปักผมคลายออกพร้อมกับร่างบอบบางผละห่างจากร่างสูงใหญ่ หลี่เจี๋ยดึงปิ่นที่ปักคาอยู่บนไหล่ออกอย่างเยือกเย็นก่อนหักมันทิ้งลงพื้น จางลี่ถอยห่างและส่ายหน้าไปมา“หลู่อ๋อง พระองค์หาใช่เพียงจิตวิปริต แต่ยังเลือดเย็นมิรู้สึกรู้สาถึงความเจ็บปวด”“หาได้ต่างจากเจ้าไม่ จางลี่...เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้ โทษของเจ้าครั้งต่อไปต้องหนักยิ่งกว
หลี่เจี๋ยเงียบไปชั่วขณะหากนัยน์ตาดำยาวรีจ้องลึกลงไปในดวงตาสุกสว่างของนางอย่างมีความหมายก่อนหยัดมุมปากขึ้นเล็กน้อย“ขนาดเจ้าเป็นหญิงยังมิกลัวตาย แล้วข้าเป็นชายอกสามศอกจะกลัวอันใดเล่า”“แต่ท่านคือหลู่อ๋อง เป็นอ๋องแห่งแคว้นหลู่ ชีวิตของท่านมีความหมายมากกว่าหม่อมฉันนัก หม่อมฉันเป็นเพียงธิดาของพระสนม”“ความตายหาได้เลือกว่าเจ้าเป็นใคร”จางลี่ส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตาหยดไหล “แต่เราเลือกทางตายได้นี่มิใช่หรือเพคะ...หากพระองค์มิทรงกระโดดลงมาในน้ำกับหม่อมฉันก็จะมิทรงเป็นอะไร”“เมื่อครู่เจ้ายังคิดจะวางยาพิษให้พี่ตายนี่มิใช่หรือ หึ...แล้วเหตุใดจึงมาเป็นห่วงเป็นใย ถึงพี่คือหลู่อ๋องแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการใช้ชีวิตของผู้เป็นใหญ่นั้นมิใช่เรื่องง่าย ต้องอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่ง อิจฉาริษยาและคดโกงหักหลัง และมีคนอีกมากมายอยากให้พี่ตายเช่นที่เจ้าหวัง”“หม่อมฉันมิได้...”เสียงของจางลี่ขาดหายไปพร้อมอาการกระตุกด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวเหนือผิวน้ำ หลี่เจี๋ยกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกระชับร่างน้อยในอ้อมแขน เขากระซิบว่า“เรามีเวลาน้อยนัก อยู่นิ่งๆ อย่าขยับตัว”จางลี่กลืนน้ำลาย “ท่านพี่...พวกมัน...
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมาช่วยแล้วพะย่ะค่ะ!”เสียงโม่โฉวดังขึ้นพร้อมทั้งปรี่เข้าไปใช้สามง่ามแทงเสยที่ปากจระเข้ตัวใหญ่จนมันปล่อยขาของหลี่เจี๋ยเป็นอิสระ สักครู่ก็มีทหารนับสิบถือคบเพลิงกรูกันมาพร้อมอาวุธทั้งหอก ดาบและสามง่าม ส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยกันลากร่างของหลู่อ๋องขึ้นฝั่ง และอีกสี่ห้าคนเข้าไปช่วยกันจ้วงแทงจระเข้ตัวนั้นจนมันแน่นิ่งคาคมหอกและสามง่าม“ท่านพี่!”จางลี่ตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกเมื่อเหล่าทหารช่วยกันพยุงร่างของหลู่อ๋องขึ้นมาทำให้เห็นรอยแผลเหวอะหวะบนขาข้างหนึ่งแต่เขากลับไม่ร้องโอดโอยนอกจากสั่งว่า“ไปตามหมอหลวงมา”“ท่านอ๋อง...หม่อมฉันว่าควรให้พวกเรานำพระองค์กลับไปยังตำหนักของพระองค์จะดีกว่า”“ให้หมอหลวงมาที่นี่ นี่เป็นคำสั่งของข้า!”หลี่เจี๋ยคำรามทำให้เหล่าทหารต้องทำตามบัญชาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง จางลี่แม้ตกใจตัวสั่นแต่ก็แข็งใจเข้าไปช่วยประคองร่างของหลู่อ๋องไว้ นางแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว นี่เขาเจ็บเจียนตายก็เพราะนางเป็นต้นเหตุ แผลนั้นฉกรรจ์นัก เขาอาจเสียเลือดจนตายในราตรีนี้ก็เป็นได้ สักครู่นายทหารร่างใหญ่สองคนก็เข้ามาช่วยกันพาร่างขององค์ชายหลี่เจี๋ยกลับไปยังตำหนักร้อยไหม จางลี่มองตาม นางไ
“องค์ชายาเพคะ หมอหลวงสั่งให้หม่อมฉันมาทูลต่อพระองค์”“เรื่องอะไรหรือ แล้วอาการของหลู่อ๋องเล่า”“หมอหลวงขอเชิญองค์ชายาเสด็จไปที่ห้องรักษาท่านอ๋องบัดเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น เจ้ายังมิได้รานงานอาการของหลู่อ๋องให้ข้ารู้เลยนะ”“ตอนนี้หลู่อ๋องพระวรกายร้อนจัดเพคะ ไข้ยังไม่สงบลงง่ายๆ”“ข้าจะไปดูอาการของพระองค์เดี๋ยวนี้”จางลี่รีบตามนางกำนัลไปยังห้องด้านทิศตะวันออกของตำหนัก เมื่อเข้าไปในห้องนั้นก็พบหมอหลวงกำลังจัดเตรียมเครื่องยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางรีบเข้าไปถามว่า“หมอหลวง...หลู่อ๋องเป็นเช่นไรบ้าง?”หมอหลวงรีบคุกเข่าลงและรายงาน “ทูลองค์ชายา บัดนี้หลู่อ๋องเริ่มรู้สึกกระองค์หลังจากมีไข้และหลับไปมิทันถึงชั่วยาม พระวรกายร้อนดั่งไฟเพราะบาดแผลนั้นฉกรรจ์นัก หม่อมฉันได้ถวายโอสถและให้นางกำนัลคอยถวายการดูแลเช็ดพระวรกายให้พระองค์ตลอดเวลา ไข้นั้นทุเลาลงแล้วแต่กลับร้อนรุ่มขึ้นมาอีก”“ท่านให้นางกำนัลไปตามข้ามา นี่แสดงว่าอาการของหลู่อ๋องแย่ลงใช่หรือไม่”“หามิได้...อาการของพระองค์ยังทรงตัว แต่ที่ให้นางกำนัลไปทูลเชิญพระองค์มาก็เพราะเมื่อหลู่อ๋องรู้สึกพระองค์ก็เพ้อหาองค์ชายาและมิยอมให้นางกำนัลเช็ดพระ
และนั่นเองทำให้นางรับรู้รสหวานปะแล่มที่โคนลิ้น ยาหมอหลวงทั้งขมทั้งเขื่อนขนาดนี้เองเล่าหลู่อ๋องจึงพ่นมันออกมาจนหมด แต่เมื่อหันกลับไปอีกครั้งก็เห็นว่าอาการของเขาเริ่มสงบลง หลี่เจี๋ยค่อยคลายความทุรนทุรายแต่ยังกระสับกระส่าย จางลี่จึงต้องนำผ้าในอ่างทองเช็ดบนร่างของเขาตั้งแต่ใบหน้าลงมาตามแขน ขา ข้อพับ และทุกซอกทุกมุม นางตั้งใจทำโดยมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งที่เขาตัวใหญ่โตขนาดนั้น มันทำให้นางคิดถึงเมื่อครั้งอยู่แคว้นฉี เคยเช็ดตัวให้พระสนมซิ่วอิง มารดาของนางทั้งที่ยังเยาว์วัย น้ำตาของจางลี่ถั่งไหลเมื่อรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาอีกครั้ง“จางลี่...จางลี่...เจ้าอยู่ไหน”“หม่อมฉันอยู่ตรงนี้เพคะ”นางขยับเข้าใกล้ โน้มตัวลงไปหาขณะมือข้างหนึ่งยังกำผ้าเอาไว้และวับลงบนผิวสากระคายที่ค่อยคลายความร้อนรุ่มลง หลี่เจี๋ยลืมตาขึ้น“จางลี่...พี่หนาว”“หม่อมฉันจะห่มผ้าให้นะเพคะ...อุ๊ย!”นางอุทานเบาๆ เมื่อหลี่เจี๋ยตวัดแขนแกร่งรวบเอวอ้อนแอ้นจนนางแนบชิดบนตัวเขา ใบหน้างามนั้นห่างจากใบหน้าคมคายไม่ถึงคืบ ปากของหลี่เจี๋ยแดงก่ำและสั่นระริก ลมหายใจของเขาผะผ่าวราดรดปลายริมฝีปากของจางลี่ ได้ยินเสียงเขากระซิบถาม“น้องสาวของพี
“ขอบคุณท่านพ่อที่ให้กำลังใจ... ข้าไปก่อน” เมื่อฮุยอินออกไปแล้ววั่งซูก็ยืนมองตามร่างของธิดาจนนางลับตาก่อนได้ยินเสียงดังขึ้นเบื้องหลัง“ข้านึกว่าเราจะได้รับข่าวดีในคืนที่พระธิดาจางลี่รับตำแหน่งหวางเฟยแล้วซะอีก”วั่งซูหันกลับไปก็พบกับบุรุษวัยกลางคนในชุดข้าราชการระดับสูง เขาแสดงการคำนับ“ท่านอำมาตย์อู๋อี้ฝาน...กลับมาจากแคว้นซ่งเมื่อใดกัน ข้ามิเห็นรู้”“ข้ากลับมาทันรู้ข่าวที่หลู่อ๋องถูกจระเข้กัดบาดเจ็บหนักแต่กลับมิตายสมใจข้า”“อย่าเพิ่งรีบร้อนวู่วาม เราต้องใช้เวลาซ่องสุมคนอีกสักระยะ ก่อนลงมือ”วั่งซูกล่าวพร้อมทั้งรินน้ำชาลงจอกและยื่นให้อีกฝ่ายอย่างใจเย็น อำมาตย์อู๋อี้ฝานคือผู้ถวายงานรับใช้อ๋องแคว้นหลู่มานับแต่สมัยองค์ชายจิว แต่โดยนิสัยคือผู้มักใหญ่ใฝ่สูงหากเก็บงำความต้องการขึ้นเป็นอ๋องไว้ลึกล้ำโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาคิดการใหญ่ร่วมมือกับพระอาจารย์วั่งซูโค่นล้มบัลลังค์ อู๋อี้ฝานดื่มชาหมดจอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“หากองค์ชายหลี่เจี๋ยตายไปเสียแต่คืนนั้นเราก็คงมิต้องใช้คนของเราให้เสียแรงท่านคิดเช่นข้าหรือไม่วั่งซู”“ข้ามิคิดเช่นนั้น อย่าลืมว่าตอนนี้แคว้นหลู่กลายเป็นพันธมิตรกับแคว้น
“เอ้อ...ถวายบังคมหวางเฟย หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าท่านอ๋องตามคำสั่งของท่านพ่อเลยถือโอกาสนำโอสถบำรุงร่างกายมาถวายพระองค์เพคะ”ฮุยอินกล่าวก่อนค่อย ๆ ดึงมือจากมือของหลี่เจี๋ยอย่างอ้อยอิ่ง นางสังเกตเห็นสีหน้าของหวางเฟยตกไปเล็กน้อยแม้มีรอยยิ้มไม่ใคร่เต็มที่นัก จางลี่เห็นหลู่อ๋องจ้องมองธิดาพระอาจารย์วั่งซูไม่ละสายตาก็ให้ยิ่งกระอักกระอ่วน วันนี้เขาดูแข็งแรงและมีกำลังวังชามากกว่าวันก่อนๆ ใบหน้าแช่มชื่นไม่รู้ด้วยโอสถบำรุงร่างกายหรือเป็นเพราะได้กำลังใจจากผู้มาเยี่ยมกันแน่ จางลี่รู้สึกใจหาย นางไม่เคยลืมตัวว่าเป็นใครแม้อยู่ในตำแหน่งที่หลายคนยำเกรงเพราะแท้จริงหลู่อ๋องยังคงฝังใจกับอดีตอันเจ็บปวด และนางเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานเกมการเมือง ที่สำคัญไม่ว่าอ๋องแคว้นไหนล้วนมีนางในมากกว่าหนึ่งเสมอ ฮุยอินเห็นว่าบรรยากาศสะดุดไปเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...ในเมื่อหวางเฟยมาแล้วหม่อมฉันก็คงต้อง...ขอตัวก่อนนะเพคะ”“ขอบใจเจ้ามากนะที่เป็นห่วงข้า” หลี่เจี๋ยกล่าว “ข้าจะดื่มโอสถบำรุงที่เจ้าอุตส่าห์นำมาให้จนหมด”“ขอบพระทัยเพคะ เห็นพระองค์ดีขึ้น พระพักต์แจ่มใสหม่อมฉันก็ดีใจนักแล้ว”“ฝากบอกพระอาจารย์ด้วยว่าข้าดีขึ้นมาก