จางลี่อ้าปากจะเรียกแต่โม่โฉวกลับเดินจ้ำออกไปด้วยท่าทีแข็งขันตามแบบอย่างนายทหารเอกก่อนนางสนมจะปิดประตูห้อง เหลือเพียงนางกับหลินเจิน จางลี่เดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิดก่อนกลับเข้าไปในห้องนอน นางหย่อนตัวลงนั่งบนแท่นบรรทมขณะหลินเจินตามติดเข้าไปนั่งแทบเท้านายหญิง“ท่านหญิง ท่าทางเหมือนท่านมีเรื่องไม่สบายใจ มีอะไรเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?”“ตอนที่ข้าได้พบองครักษ์เจียนเจ้า ข้าแอบส่งหนังสือให้เขาระวังตัว และคิดว่าเขาคงเห็นข้อความของข้า แต่ก็ยังมิทันได้บอกอะไรเขามากกว่านั้น เวลาของเรามีน้อยนิด คนของหลู่อ๋องก็ตามติดไม่ยอมห่าง ข้าอยากพบองครักษ์เจียนเจ้าอีกสักครั้ง”“จริงหรือเจ้าคะ ดูท่านร้อนใจหนัก”“ข้ากลัวว่าจะไม่ได้พบเขาอีก...เป็นหนสอง”“ทำไมเล่าเจ้าคะ ทำไมท่านหญิงกล่าวเช่นนั้น”“เจ้ามิสังเกตหรือหลินเจินว่าตอนนี้องค์ชายหลี่เจี๋ยกำลังจำกัดอาณาเขตของข้ามากขึ้นทุกที ตอนแรกให้ข้ามาอยู่ที่นี่ และวันนี้ให้ข้าได้พบกับคนของข้า แต่หลังจากนี้ข้าจักมิได้ไปไหนอีก ต้องรอจนถึงวันรับตำแหน่งหวางเฟย เขากำลังบีบบังคับพวกเรา เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนฮุยอินมาหาเขาบอกอะไรแก่ข้า”“อะไรหรือเจ้าคะ?”“นางบอกว่าองค์ชายนั้นมีจิตวิป
สำหรับจางลี่แล้วคืนนี้สำคัญนักเพราะหมายถึงการรับตำแหน่งหวางเฟย หากช่างเป็นพิธีกรรมอันวังเวง ปราศจากเสียงแซ่ซ้องจากเหล่าประชา และนางก็ไม่มีโอกาสได้พบเหล่าข้าราชบริภารผู้ติดตามมาจากแคว้นฉี หรือนี่อาจเป็นคืนสุดท้ายของนางแล้วก็เป็นได้ หลู่อ๋องมิมีวันปล่อยให้นางมีชีวิตรอดพ้นจากแคว้นหลู่ เขาเพียงจัดฉากให้ดูเหมือนมีพิธีการ แล้วหลังจากนั้นก็จะฆ่านางและโยนซากศพให้เป็นอาหารโอชะของจระเข้ใต้ตำหนักร้อยไหม“น้องสาวของพี่ คืนนี้มีความสำคัญมากสำหรับเจ้า...เจ้าจะได้เป็นหวางเฟยของหลู่อ๋องอย่างเต็มตัว”หลี่เจี๋ยก้าวมาหยุดตรงหน้าและเชยคางมนให้นางแหงนขึ้นมองเขา จางลี่ผงะไปชั่วขณะลมหายใจ แม้หลู่อ๋องทรงอำนาจหากเขาคือบุรุษรูปงามราวเทพบุตร นัยน์ตาคู่นั้นเข้มคม ริมฝีปากได้รูปหยัดขึ้นเล็กน้อย สติของนางกำลังแตกซ่านเมื่อนึกถึงจุมพิตดูดดื่มที่เขาถืออำนาจล่วงล้ำ แต่จางลี่ต้องรีบเตือนสติตัวเองว่าเขาเป็นคนอันตราย ภายใต้ความหล่อเหลาและงามสง่าฉาบทาหลู่อ๋องคืออสูรร้ายในคราบเทพบุตร นางต้องฝืนยิ้ม“ท่านพี่...ท่านเองก็คงเหนื่อยกับพิธีการวันนี้”“เหนื่อยหรือ?...ข้าเหนื่อยทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา”“ทะ...ท่านพี่ควรได้ดื่มชาสักจ
หลี่เจี๋ยลั่นเสียงและบีบไหล่ของนางทั้งสองข้างเขย่าไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเข้มคลั่กราวอาบด้วยโลหิต จางลี่สะอื้นไห้แต่ไม่ยอมแพ้“พระองค์มิได้อยากไว้ชีวิตหม่อมฉันแต่แรก หากฆ่าได้ก็คงฆ่าหม่อมฉันให้ตายนับแต่ย่างเท้าเหยียบหน้าประตูเมืองนั่นแล้ว”“ใช่! คิดหรือว่าข้าจะยินดี ข้าอยากฉีกร่างของเจ้าให้ป่นเป็นหมื่นชิ้นนับแต่ฉีอ๋องส่งสาส์นมานั่นแล้ว!”เสียงคำรามของหลี่เจี๋ยหาได้เจ็บปวดเท่าคำพูดบาดคมยิ่งกว่ามีดหมื่นเล่มทิ่มแทงลงในหัวใจของจางลี่ นางเม้มปากสนิทแน่นและตัดสินใจดึงปิ่นดอกไม้จากมาลามงกุฎปักทะลุเสื้อคลุมลงบนไหล่กว้าง โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมา จางลี่ถึงกับตระหนกแต่หลู่อ๋องกลับยืนนิ่งราวหลักศิลาในหุบมืด“หลู่อ๋อง...”นางอุทานเบา ๆ ปากสั่นระริก มือที่กำปิ่นปักผมคลายออกพร้อมกับร่างบอบบางผละห่างจากร่างสูงใหญ่ หลี่เจี๋ยดึงปิ่นที่ปักคาอยู่บนไหล่ออกอย่างเยือกเย็นก่อนหักมันทิ้งลงพื้น จางลี่ถอยห่างและส่ายหน้าไปมา“หลู่อ๋อง พระองค์หาใช่เพียงจิตวิปริต แต่ยังเลือดเย็นมิรู้สึกรู้สาถึงความเจ็บปวด”“หาได้ต่างจากเจ้าไม่ จางลี่...เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้ โทษของเจ้าครั้งต่อไปต้องหนักยิ่งกว
หลี่เจี๋ยเงียบไปชั่วขณะหากนัยน์ตาดำยาวรีจ้องลึกลงไปในดวงตาสุกสว่างของนางอย่างมีความหมายก่อนหยัดมุมปากขึ้นเล็กน้อย“ขนาดเจ้าเป็นหญิงยังมิกลัวตาย แล้วข้าเป็นชายอกสามศอกจะกลัวอันใดเล่า”“แต่ท่านคือหลู่อ๋อง เป็นอ๋องแห่งแคว้นหลู่ ชีวิตของท่านมีความหมายมากกว่าหม่อมฉันนัก หม่อมฉันเป็นเพียงธิดาของพระสนม”“ความตายหาได้เลือกว่าเจ้าเป็นใคร”จางลี่ส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตาหยดไหล “แต่เราเลือกทางตายได้นี่มิใช่หรือเพคะ...หากพระองค์มิทรงกระโดดลงมาในน้ำกับหม่อมฉันก็จะมิทรงเป็นอะไร”“เมื่อครู่เจ้ายังคิดจะวางยาพิษให้พี่ตายนี่มิใช่หรือ หึ...แล้วเหตุใดจึงมาเป็นห่วงเป็นใย ถึงพี่คือหลู่อ๋องแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการใช้ชีวิตของผู้เป็นใหญ่นั้นมิใช่เรื่องง่าย ต้องอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่ง อิจฉาริษยาและคดโกงหักหลัง และมีคนอีกมากมายอยากให้พี่ตายเช่นที่เจ้าหวัง”“หม่อมฉันมิได้...”เสียงของจางลี่ขาดหายไปพร้อมอาการกระตุกด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวเหนือผิวน้ำ หลี่เจี๋ยกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกระชับร่างน้อยในอ้อมแขน เขากระซิบว่า“เรามีเวลาน้อยนัก อยู่นิ่งๆ อย่าขยับตัว”จางลี่กลืนน้ำลาย “ท่านพี่...พวกมัน...
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมาช่วยแล้วพะย่ะค่ะ!”เสียงโม่โฉวดังขึ้นพร้อมทั้งปรี่เข้าไปใช้สามง่ามแทงเสยที่ปากจระเข้ตัวใหญ่จนมันปล่อยขาของหลี่เจี๋ยเป็นอิสระ สักครู่ก็มีทหารนับสิบถือคบเพลิงกรูกันมาพร้อมอาวุธทั้งหอก ดาบและสามง่าม ส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยกันลากร่างของหลู่อ๋องขึ้นฝั่ง และอีกสี่ห้าคนเข้าไปช่วยกันจ้วงแทงจระเข้ตัวนั้นจนมันแน่นิ่งคาคมหอกและสามง่าม“ท่านพี่!”จางลี่ตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกเมื่อเหล่าทหารช่วยกันพยุงร่างของหลู่อ๋องขึ้นมาทำให้เห็นรอยแผลเหวอะหวะบนขาข้างหนึ่งแต่เขากลับไม่ร้องโอดโอยนอกจากสั่งว่า“ไปตามหมอหลวงมา”“ท่านอ๋อง...หม่อมฉันว่าควรให้พวกเรานำพระองค์กลับไปยังตำหนักของพระองค์จะดีกว่า”“ให้หมอหลวงมาที่นี่ นี่เป็นคำสั่งของข้า!”หลี่เจี๋ยคำรามทำให้เหล่าทหารต้องทำตามบัญชาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง จางลี่แม้ตกใจตัวสั่นแต่ก็แข็งใจเข้าไปช่วยประคองร่างของหลู่อ๋องไว้ นางแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว นี่เขาเจ็บเจียนตายก็เพราะนางเป็นต้นเหตุ แผลนั้นฉกรรจ์นัก เขาอาจเสียเลือดจนตายในราตรีนี้ก็เป็นได้ สักครู่นายทหารร่างใหญ่สองคนก็เข้ามาช่วยกันพาร่างขององค์ชายหลี่เจี๋ยกลับไปยังตำหนักร้อยไหม จางลี่มองตาม นางไ
“องค์ชายาเพคะ หมอหลวงสั่งให้หม่อมฉันมาทูลต่อพระองค์”“เรื่องอะไรหรือ แล้วอาการของหลู่อ๋องเล่า”“หมอหลวงขอเชิญองค์ชายาเสด็จไปที่ห้องรักษาท่านอ๋องบัดเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น เจ้ายังมิได้รานงานอาการของหลู่อ๋องให้ข้ารู้เลยนะ”“ตอนนี้หลู่อ๋องพระวรกายร้อนจัดเพคะ ไข้ยังไม่สงบลงง่ายๆ”“ข้าจะไปดูอาการของพระองค์เดี๋ยวนี้”จางลี่รีบตามนางกำนัลไปยังห้องด้านทิศตะวันออกของตำหนัก เมื่อเข้าไปในห้องนั้นก็พบหมอหลวงกำลังจัดเตรียมเครื่องยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางรีบเข้าไปถามว่า“หมอหลวง...หลู่อ๋องเป็นเช่นไรบ้าง?”หมอหลวงรีบคุกเข่าลงและรายงาน “ทูลองค์ชายา บัดนี้หลู่อ๋องเริ่มรู้สึกกระองค์หลังจากมีไข้และหลับไปมิทันถึงชั่วยาม พระวรกายร้อนดั่งไฟเพราะบาดแผลนั้นฉกรรจ์นัก หม่อมฉันได้ถวายโอสถและให้นางกำนัลคอยถวายการดูแลเช็ดพระวรกายให้พระองค์ตลอดเวลา ไข้นั้นทุเลาลงแล้วแต่กลับร้อนรุ่มขึ้นมาอีก”“ท่านให้นางกำนัลไปตามข้ามา นี่แสดงว่าอาการของหลู่อ๋องแย่ลงใช่หรือไม่”“หามิได้...อาการของพระองค์ยังทรงตัว แต่ที่ให้นางกำนัลไปทูลเชิญพระองค์มาก็เพราะเมื่อหลู่อ๋องรู้สึกพระองค์ก็เพ้อหาองค์ชายาและมิยอมให้นางกำนัลเช็ดพระ
และนั่นเองทำให้นางรับรู้รสหวานปะแล่มที่โคนลิ้น ยาหมอหลวงทั้งขมทั้งเขื่อนขนาดนี้เองเล่าหลู่อ๋องจึงพ่นมันออกมาจนหมด แต่เมื่อหันกลับไปอีกครั้งก็เห็นว่าอาการของเขาเริ่มสงบลง หลี่เจี๋ยค่อยคลายความทุรนทุรายแต่ยังกระสับกระส่าย จางลี่จึงต้องนำผ้าในอ่างทองเช็ดบนร่างของเขาตั้งแต่ใบหน้าลงมาตามแขน ขา ข้อพับ และทุกซอกทุกมุม นางตั้งใจทำโดยมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งที่เขาตัวใหญ่โตขนาดนั้น มันทำให้นางคิดถึงเมื่อครั้งอยู่แคว้นฉี เคยเช็ดตัวให้พระสนมซิ่วอิง มารดาของนางทั้งที่ยังเยาว์วัย น้ำตาของจางลี่ถั่งไหลเมื่อรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาอีกครั้ง“จางลี่...จางลี่...เจ้าอยู่ไหน”“หม่อมฉันอยู่ตรงนี้เพคะ”นางขยับเข้าใกล้ โน้มตัวลงไปหาขณะมือข้างหนึ่งยังกำผ้าเอาไว้และวับลงบนผิวสากระคายที่ค่อยคลายความร้อนรุ่มลง หลี่เจี๋ยลืมตาขึ้น“จางลี่...พี่หนาว”“หม่อมฉันจะห่มผ้าให้นะเพคะ...อุ๊ย!”นางอุทานเบาๆ เมื่อหลี่เจี๋ยตวัดแขนแกร่งรวบเอวอ้อนแอ้นจนนางแนบชิดบนตัวเขา ใบหน้างามนั้นห่างจากใบหน้าคมคายไม่ถึงคืบ ปากของหลี่เจี๋ยแดงก่ำและสั่นระริก ลมหายใจของเขาผะผ่าวราดรดปลายริมฝีปากของจางลี่ ได้ยินเสียงเขากระซิบถาม“น้องสาวของพี
“ขอบคุณท่านพ่อที่ให้กำลังใจ... ข้าไปก่อน” เมื่อฮุยอินออกไปแล้ววั่งซูก็ยืนมองตามร่างของธิดาจนนางลับตาก่อนได้ยินเสียงดังขึ้นเบื้องหลัง“ข้านึกว่าเราจะได้รับข่าวดีในคืนที่พระธิดาจางลี่รับตำแหน่งหวางเฟยแล้วซะอีก”วั่งซูหันกลับไปก็พบกับบุรุษวัยกลางคนในชุดข้าราชการระดับสูง เขาแสดงการคำนับ“ท่านอำมาตย์อู๋อี้ฝาน...กลับมาจากแคว้นซ่งเมื่อใดกัน ข้ามิเห็นรู้”“ข้ากลับมาทันรู้ข่าวที่หลู่อ๋องถูกจระเข้กัดบาดเจ็บหนักแต่กลับมิตายสมใจข้า”“อย่าเพิ่งรีบร้อนวู่วาม เราต้องใช้เวลาซ่องสุมคนอีกสักระยะ ก่อนลงมือ”วั่งซูกล่าวพร้อมทั้งรินน้ำชาลงจอกและยื่นให้อีกฝ่ายอย่างใจเย็น อำมาตย์อู๋อี้ฝานคือผู้ถวายงานรับใช้อ๋องแคว้นหลู่มานับแต่สมัยองค์ชายจิว แต่โดยนิสัยคือผู้มักใหญ่ใฝ่สูงหากเก็บงำความต้องการขึ้นเป็นอ๋องไว้ลึกล้ำโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาคิดการใหญ่ร่วมมือกับพระอาจารย์วั่งซูโค่นล้มบัลลังค์ อู๋อี้ฝานดื่มชาหมดจอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“หากองค์ชายหลี่เจี๋ยตายไปเสียแต่คืนนั้นเราก็คงมิต้องใช้คนของเราให้เสียแรงท่านคิดเช่นข้าหรือไม่วั่งซู”“ข้ามิคิดเช่นนั้น อย่าลืมว่าตอนนี้แคว้นหลู่กลายเป็นพันธมิตรกับแคว้น
จางลี่ครางหวิวหวาด หัวใจแทบขาดด้วยความกระสันเสียว นางก็คิดถึงเขาไม่ต่างกัน ระหว่างเขาและนางความอ่อนหวานราวกำซาบเข้าสู่หัวใจทั้งสองดวง เมื่อเขาดูดกลืนความหวานจากยอดบัวจนพอใจร่างอรชรจึงขยับหันหลังให้ หลี่เจี๋ยไล้ปลายลิ้นบนขมับลงมาถึงลำคอ แนบอกกว้างกับแผ่นหลังของนางจนสนิททุกสัดส่วน ความเป็นชายของเขาตื่นตัวและรุกเร้าอยู่บื้องหลังบั้นท้ายงอนงาม มือแกร่งสอดมาด้านหน้ากอบกุมปทุมถันทั้งสอง หลี่เจี๋ยเฟ้นฟอนไปตามไหล่กลมกลึงด้วยปากและปลายจมูกโด่ง“จางลี่...อาส์...พี่ต้องการเจ้า”เสียงแผ่วพร่าดังกว่ากระซิบยิ่งทำให้นางหวิววาบซาบซ่านก่อนที่เขาสอดมือข้างหนึ่งลงไปใต้เข่ายกเรียวขาของนางขึ้นและสอดใส่ความแข็งแกร่งเข้าสู่กลีบเนื้องามจากด้านหลัง“ท่านพี่...อะ...อาส์...อาส์...อืม...อาส์”“จางลี่...อาส์...อาส์”กษัตริย์หนุ่มหายใจหอบเมื่อแก่นเนื้ออวบหนาถูกบีบรัดจากกลีบผการุนแรง หลี่เจี๋ยขยับสะโพกแต่ไม่ลืมผ่อนเบาในบางจังหวะ ไม่ลืมว่าลึกเข้าไปคือชีวิตน้อย ๆ ขององค์รัชทายาทที่หลับใหลอยู่ในนั้น แม้ความปรารถนาถาโถมรุนแรงแต่จังหวะขยับโยกนั้นอ่อนหวานจนจางลี่สยิวซ่านไปทั่วเรือนกาย“ท่านพี่...อาส์...อาส์”นางตวัดแขนเร
“ใครหรือเพคะ?”“อำมาตย์ใหญ่อู๋อี้ฝาน และ...พระอาจารย์วั่งซู”จางลี่มีสีหน้าตกใจ นางพยายามลำดับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อนั้น ดวงตางามเต็มไปด้วยคาวมสับสน“มันจะเป็นไปได้เช่นไร พระอาจารย์วั่งซูคือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ท่านพี่ และยิ่งกว่านั้นลูกสาวของพระอาจารย์ก็ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นหวางเฟยองค์ใหม่อีกด้วย”“นั่นเป็นแผนที่ถูกวางไว้แล้วทั้งหมด เพราะพี่เองที่โง่งม มิเคยคิดระวังคนใกล้ตัว พี่ไว้วางใจพระอาจารย์ของตัวเอง เพราะเห็นวั่งซูมาแต่เล็กและอยู่ใกล้ชิดฮุยอินมาแต่ยังเยาว์ พี่ถือว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน แต่คนเหล่านั้นมิเคยคิดแยกแยะ มีแต่ความโลภโมโทสัน สุดท้ายก็ต้องพบจุดจบของตัวเอง”“หม่อมฉันคิดว่าฮุยอินโชคดีแล้วที่ได้รับตำแหน่งหวางเฟยองค์ใหม่ นางคงรอโอกาสนี้มานับแต่ยังเยาว์”“ฮุยอินมิได้รู้เห็นกับการกระทำของพ่อตัวเอง แต่นางยุยงให้พี่เข้าใจผิด ขับเจ้าออกจากวัง และมันก็เข้าแผนของพวกกบฏ”“แล้วพระองค์ทำเช่นไรกับนางหรือเพคะ?”“นางได้รับโทษอย่าสาสมแล้ว ฮุยอินเอาตัวเข้ารับลูกธนูของพวกกบฏแทนพี่ ตอนนี้พระอาจารย์วั่งซูถึงกับสติฟั่นเฟือนที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนเดียว”“นางรักท่านพี่ด้วยหัวใจบริสุทธิ
หลี่เจี๋ยเงียบไป เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้และแรงกระตุกของร่างเล็กในอ้อมแขน ความสำนึกผิดแล่นขึ้นมาจับหัวใจ เขากดศีรษะทุยของนางกับไหล่กว้าง มันเป็นช่วงเวลาที่ยากยิ่งสำหรับเขา แม้เป็นกษัตริย์ปกครองคนมากมาย เป็นเจ้าแห่งรัฐที่มิเคยอ่อนข้อให้ผู้ใดแต่วันนี้เขาขอวางเกียรติและความสูงส่งนั้นเพื่อเอาหัวใจรักของบุรุษผู้หนึ่งไว้แทบเท้าสตรียอดดวงใจในบัดนี้ “จางลี่” เสียงนั้นแผ่วลง “พี่รู้ว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้กับเจ้าบ้าง หากเจ้าจะอภัยให้พี่”“อภัยหรือเพคะ?”จางลี่ขยับห่างเล็กน้อยแต่หลี่เจี๋ยไม่ยอมคลายวงแขนที่ยังกอดไว้แน่น นางยิ้มขื่น“พระองค์เป็นถึงหลู่อ๋อง จะให้หม่อมฉันซึ่งเป็นเพียงหญิงต่ำช้าในสายพระเนตรอภัยให้พระองค์เช่นนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันมิกล้า แค่นี้ก็เกรงอาญาเหลือเกินแล้ว”“นิสัยช่างประชดประชันของเจ้าทำอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียที แต่...สิ่งนี้มิใช่หรือที่ทำให้พี่รักเจ้ามากจนถอนใจไม่ขึ้น”“พระองค์ต้องการสิ่งใด” นางนิ่วหน้าเหมือนเจ็บปวด “วันก่อนหาว่าหม่อมฉันคบชู้ ขับไล่หม่อมฉันออกจากวัง แล้ววันนี้มาตามหาหม่อมฉัน มีประสงค์อันใดกันแน่”“จางลี่...”“หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าเป็นแค่ธิดาของพระสน
“อยู่นิ่ง ๆ ...อย่าแม้แต่ขยับตัว”หลี่เจี๋ยสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำขณะร่างบางที่ยืนตรงหน้าสั่นเทา จางลี่ถึงกับน้ำตาไหลเมื่อสุนัขป่าค่อย ๆ ย่างเข้ามา มันกำลังดูเชิงและตั้งท่าหมอบลงเล็กน้อย ดวงตาแดงราวเปลวเพลิงคู่นั้นสะท้อนแสงวับวาว“กรี๊ด!!”จางลี่กรีดร้องสุดเสียงเมื่อมันกระโจนเข้าหาแต่ยังไม่ทันถึงตัวกลับถูกคมธนูปักเข้าที่กลางหน้าผากจนหงายหลังล้มฟุบลงกับพื้นเลือดทะลักออกมาแดงฉาน“จางลี่”หลี่เจี๋ยวิ่งเข้าไปประคองร่างบางที่ทรุดลงหมดสติในอ้อมแขนของเขาทั้งที่มือแกร่งอีกข้างกุมคันธนูไว้มั่น“จางลี่...จางลี่”เขาพยายามเรียกแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบ จางลี่หมดสติไปแล้วด้วยความตื่นตกใจ เขากอดนางเอาไว้แนบอกและจูบบนหน้าผากมนชื้นเหงื่อขณะกระซิบ“น้องสาวของพี่...พี่มาช่วยเจ้าแล้ว และนับแต่นี้จะมิมีวันทอดทิ้งเจ้าไปไหนอีก”จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมึนงง นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นและเห็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่ว เมื่อรู้สึกตัวเต็มที่จึงเห็นเพดานคูหาถ้ำและเงาของใครคนหนึ่งวาบไหวไปมาบนนั้น นางค่อย ๆ พลิกตัวและมองเห็นแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้ซึ่งนางคุ้นเคย“องค์ชาย...”เสียงแหบเบาลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผา
จางลี่สะอื้นไห้ คิดถึงชีวิตแสนสุขสบายในวังหลวง นางอยู่แคว้นฉีมีแต่ความรื่นรมย์ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้ต้องตัดสินใจเดินทางมายังเมืองหลู่ หากโอรสของพระชายาเอกมิต้องการได้นางเป็นอนุลับ ๆ นางอาจพบใครสักคนและมีชีวิตครอบครัวอยู่บ้านเกิดเมืองนอน แต่เมื่อคิดไปจางลี่กลับยิ่งรู้สึกเสียใจต่อความร้ายกาจของหลู่อ๋อง ก็ในเมื่อนางรักเขามากถึงเพียงนั้นจางลี่ยอมรับกับตัวเองแล้วว่านางรักองค์ชายหลี่เจี๋ย และยิ่งรู้ว่านางกับเขามิได้มีสายเลือดเดียวกันก็ยิ่งทำให้หลุดพ้นจากความคิดติดพันในเรื่องการเป็นญาติใกล้ชิดกัน นางเป็นอิสระที่จะรักเขา แต่แล้วราวสวรรค์แกล้งเมื่อไร้วาสนาได้ครองคู่เพราะความอิจฉาริษยาและยุแยงกลั่นแกล้งจากคนใกล้ตัวหลู่อ๋องชังนางยิ่งกว่าสิ่งใด ชาตินี้ถึงอย่างไรคงคงไร้วาสนาหนำซ้ำหากมิรีบหนีไปตอนนี้ลูกน้อยในครรภ์ก็อาจไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกก็เป็นได้ แต่แล้วจางลี่ก็ต้องระงับความคิดของนางเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาใกล้ เป็นเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ มีคนเข้ามาที่นี่เช่นนั้นหรือ นางค่อย ๆ ขยับตัวและเยี่ยมหน้าออกไปจากด้านหลังโขดหินใหญ่หากต้องตกใจเมื่อเห็นแสงจากคบไฟใกล้เข้ามา“หล
“มิเกี่ยวกับท่านดอก หวังหย่ง...ทำใจให้สบายเถิด ทำตามหน้าที่ของท่านนนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว”โม่โฉวกล่าวจบก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหลู่อ๋องก้าวออกมาจากศาลเจ้าด้วยใบหน้าเคียดขึ้ง ทุกคนต้องรีบคุกเข่าลงอีกครั้ง“หวังหย่ง...ใยข้าจึงมิเห็นผู้ใดอยู่ในศาลเจ้า”“เป็นไปมิได้ดอกพะย่ะค่ะ หวางเฟยเพิ่งเข้าไปในศาลเจ้าก่อนหน้าที่พระองค์เสด็จมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น”“ท่านหญิง...ท่านหญิงมิได้อยู่ในศาลเจ้าหรอกหรือเพคะ”หลินเจินหน้าตื่น นางลุกขึ้นและรีบวิ่งเข้าไปในศาลเจ้าก็เห็นแต่แท่นบูชาต่อหน้าเทพเจ้าที่มีเพียงร่องรอยธูปหลายอันปักในแจกันหากแต่เป็นธูปเก่าที่ไหม้จนหมดดอก มิมีอันใหม่ดังที่เข้าใจว่าพระธิดาจางลี่จะเข้ามาบูชาเทพเจ้าดังที่บอกไว้ เมื่อเห็นดังนั้นนางสนมก็ถึงกับหลั่งน้ำตา“พระธิดา...ไม่จริงหรอกนะเจ้าคะ...ท่านคงมิทำเช่นนั้น”“จางลี่อยู่ที่ไหน!”เสียงทรงอำนาจที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้หลินเจินหันกลับไป นางทรุดลงนั่งและร้องไห้ออกมา“ฝ่าบาท...ฝ่าบาทเพคะ...พระธิดาของหม่อมฉันมิได้อยู่ที่นี่ พระธิดา...อาจจะหนีไปแล้วเพคะ”“ว่าอย่างไรนะ!”18วอนรักนั้นกลับคืนหลี่เจี๋ยชะงักงัน นัยน์ตาดำยาวรีสะท้อนความเจ็บปวด
“น่าจะเป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ เช่นนั้นท่านหญิงก็ควรพักผ่อนให้มาก เตรียมตัวเพื่อรุ่งขึ้นจะได้ออกเดินทางไปยังอารามเทพเจ้า”“หลินเจิน”“เจ้าคะท่านหญิง”“ข้ามิรู้ว่าหลู่อ๋องนั้นมีแผนใดมากไปกว่าการกักกันตัวข้าไว้ที่ตำหนักแห่งนี้ ข้ามิรู้ว่าชีวิตของข้าจะยืนยาวไปสักเพียงไหน แต่จำไว้เถิดว่าข้าจะมิมีวันลืมความดีของเจ้าเลย”“ท่านหญิง”หลินเจินน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหากนางก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่บกพร่อง จัดสำรับและโอสถให้พระธิดาจางลี่ ส่งนางบรรทมและเฝ้าคอยดูความเรียบร้อยทุกอย่างดังที่เคยทำมาวันรุ่งขึ้น เก้าลี้จากตำหนักต้องห้ามในหุบเขาหนีซานอันเงียบสงบ หวังหย่ง หัวหน้าองครักษ์ผู้ดูแลตำหนักได้จัดเตรียมรถม้าเพื่อนำหวางเฟยไปยังอารามเก่าแก่บนเขาหนีซานโดยมีทหารติดตามไปเกือบสิบคน กระทั่งไปถึงสถานที่สักการะเทพเจ้า เมื่อจางลี่ลงจากรถม้านางจึงเห็นว่ามีอารามเก่าท่ามกลางหุบเขาอันสงบเงียบ มีไม้ใหญ่ขึ้นรกเรื้อหากนางก็จำได้ว่าเส้นทางจากนตำหนักมายังที่แห่งนี้มิได้ทุลักทุเลดังคิด จางลี่เก็บอาการเหนื่อยล้าไว้ภายใน นางสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เพื่อปกปิดหน้าท้องที่ยื่นออกมาจนเริ่มสังเกตได้ ส่วนหลินเจินก็ยังคง
“หลินเจิน...แล้วเจ้าได้ข่าวคราวอันใดจากวังหลวงบ้างหรือไม่?”หลินเจินส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ“เปล่าเลยท่านหญิง...ข้าพยายามถามพวกนายทหารที่มาคอยเฝ้าเวรยามก็มิเห็นมีผู้ใดรู้เรื่องในราชสำนักแคว้นหลู่ ข้าเองก็มิสบายใจเลยเจ้าค่ะ”“ป่านนี้ท่านองครักษ์เจียนเจ้าจะเป็นเช่นไรบ้างก็มิรู้ แล้วยังมีผู้ติดตามข้ามาอีกหลายสิบชีวิต ข้าท้อใจเหลือเกิน ใยองค์ชายหลี่เจี๋ยจึงมิลงทัณฑ์ข้าให้ตายไปเสียแต่วันนั้น หากข้าตายแล้วคนของข้าปลอดภัยกลับไปยังแผ่นดินฉีข้ายอม”“ข้าคิดว่าที่หลู่อ๋องมิยอมลงดาบท่านหญิงก็เพราะว่า...พระองค์รักท่านหญิงมากนะเจ้าคะ”“หากเขารักข้าใยจึงมิฟังเหตุผล”“ท่านหญิงมิเคยได้ยินหรอกหรือเจ้าคะ รักมากก็แค้นมาก”“เขาชังข้าเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วต่างหาก”“อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ดูแลร่างกายของท่านให้แข็งแรงเพื่องค์รัชทายาทจะได้แข็งแรง”จางลี่ก้มลงมองหน้าท้องของตัวเองที่ยื่นออกมาเล็กน้อย บ่อยครั้งรู้สึกถึงแรงตอดจากอีกชีพจรภายใน แม้ทุกข์เพียงใดหากเมื่อรู้สึกถึงพลังของอีกชีวิตนางก็อบอุ่นและเกิดแรงกำลังใจอย่างมาก หลินเจินถอนใจอีกครั้ง“ก่อนข้าจะเดินทางมาที่นี่พร้อมท่านหญิง ข้าได้ไปพบท่านโม่โฉว แต่ก็มิเห
“จับพวกกบฏแผ่นดินไปขังในคุกหลวง รอพระบัญชาจากหลู่อ๋อง ส่วนคนของพวกมันที่จับได้ โยนลงไปใต้ตำหนักให้เป็นอาหารจระเข้อย่าให้เหลือ!”“ช้าก่อนโม่โฉว”“พะย่ะค่ะ”โม่โฉวคุกเข่าลงเมื่อหลี่เจี๋ยปรามเขาหลังทหารคุมตัวอำมาตย์และพระอาจารย์ชั่วรวมทั้งร่างไร้วิญญาณของฮุยอินที่หลู่อ๋องมองตามด้วยความเวทนาออกจากตำหนัก จากนั้นจึงออกคำสั่งต่อราชองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ขอบใจเจ้ามากโม่โฉวที่มาช่วยข้าทันเวลา แต่พวกกบฏที่จับได้จงนำไปขังไว้ก่อน อย่าให้มีคนต้องตายมากไปกว่านี้เลย”“รับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”โม่โฉวรับคำ หากแต่ขณะนั้นสายตาของหลู่อ๋องมองเลยเขาไปยังองครักษ์เจียนเจ้าที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง แววตาของหลี่เจี๋ยเปลี่ยนไปในทันที เขาเอ่ยขึ้น“ราชองครักษ์โม่โฉว แม้เจ้าจะมีความดีความชอบช่วยข้ากอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน หากแต่ความดีของเจ้านั้นมิอาจนำมาแลกกับการอภัยโทษให้ผู้กระทำผิดร้ายแรงได้ไม่”เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่โฉวรู้ได้ในทันทีว่าหลู่อ๋องหมายถึงสิ่งใด เขาหันกลับไปมองหน้าองครักษ์เจียนเจ้าชั่วอึดใจก่อนหันกลับมายังเจ้าผู้ครองแคว้น โม่โฉวค้อมตัวลง“กระหม่อมทราบดีพะย่ะค่ะว่าได้กระทำการอันอาจเป