“รู้เพคะ”
“แล้วใยเวลาพูดถึงไม่ยอมเงยหน้าสบตาข้า”
น้ำเสียงแม้ทรงอำนาจหากก็เยียบเย็นบาดจิต จางลี่จึงต้องเงยหน้าขึ้น มือของนางยิ่งเย็นมากกว่าเก่า องค์ชายหลี่เจี๋ยผู้มีพระชนมายุมากกว่านางถึงหนึ่งรอบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ชั่วแว่บหลี่เจี๋ยกลับรู้สึกว่าพระธิดาของฉีหวนกงซึ่งเป็นพระปิตุลานั้นมิได้เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้แม้แต่น้อย นางยังเยาว์ ใบหน้างดงามสวยซึ้งนั้นเปล่งปลั่งจับตา รูปร่างของนางบอบบางภายใต้ชุดผ้าไหมปักลวดลายวิจิตร แววตาของนางบอกความประหม่า หลี่เจี๋ยก้าวผ่านนางไปและทรุดกายลงนั่งบนตั่งไม้ จางลี่จึงค่อย ๆ ย่อตัวลงและขยับเข้าไปนั่งบนพื้นเบื้องล่างห่างจากองค์ชายไม่ถึงวา นางไม่ได้ก้มหน้าดังเก่าแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบนัยน์ตาคมปลาบราวมีดเหล็กกล้า
“เจ้าชื่ออะไรนะ?”
“จางลี่เพคะ”
“เจ้าเป็นธิดาของฉีหวนกง พระปิตุลาของข้า จะว่าไปเราสองคนก็มีสายเลือดเดียวกัน แต่...เจ้าเป็นธิดาของสนมองค์ใดกัน”
“หม่อมฉันเป็นธิดาของพระสนมซิ่วอิงเพคะ”
“ขยับเข้ามาใกล้ข้าซิ”
“เพคะ”
จางลี่ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ นางเข้าไปนั่งแทบเท้าองค์ชายหลี่เจี๋ย แต่แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อแขนของนางถูกกระชากอย่างแรง
“ฟังข้าไว้จางลี่...ข้ามิปรารถนาในตัวเจ้า...แม้เพียงสักนิด!”
“องค์ชาย...ทะ...ท่าน..”
จางลี่สะอึกเพราะไม่นึกว่าอ๋องแคว้นหลู่จะสำแดงความกักขฬะในคราแรกที่ได้พบ นางเริ่มสั่นแต่รวบรวมกำลังใจแม้หวั่นกลัว หลี่เจี๋ยเหยียดยิ้มอำมหิต แววตานั้นแปรเปลี่ยนจากมิตรเป็นดิบดันกร้าวกล้า
“คิดหรือว่าที่ข้ายอมรับธิดาของฉีหวนกงมาเป็นชายาเป็นเพราะข้าเต็มใจ...เปล่าเลย ฟังข้าให้ชัด ๆ เถิดธิดาแคว้นฉี แม้เรามีสายเลือดเดียวกันหากเลือดของข้านั้นเข้มข้นยิ่งกว่าเจ้าหลายเท่านัก!”
“องค์ชาย...ได้โปรดเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจทำให้องค์ชายเคืองพระทัยเลยแม้แต่น้อย ที่หม่อมฉันตอบรับการเป็นชายาของพระองค์ก็เพราะว่า...”
“ข้าไม่ต้องการเหตุผล!”
เสียงคำรามลั่นของหลี่เจี๋ยทำให้จางลี่ผงะ ใบหน้าเคียดขึ้งของเขายิ่งทำให้นางหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าการตอบรับบัญชาของพระบิดาผิดหรือถูก นางอยากออกจากแคว้นฉีเพื่อมิให้พระเชษฐาต่างมารดารังแกเพื่อพบว่าการมาเป็นองค์ชายาแคว้นหลู่สร้างความยุ่งยากมากกว่านั้น นี่นางหนีเสือมาปะจระเข้จริง ๆ หรือนี่
“องค์ชาย...”
“เจ้าก็เคยรู้มามิใช่หรือว่าครั้งหนึ่งฉีหวนกงเคยทำสิ่งใดไว้กับพระบิดาของข้าหากเจ้าจะเคยได้ยินมาบ้าง”
“หม่อมฉันมิอาจเข้าใจความบาดหมางในอดีต หากบัดนี้รู้แล้วว่าที่ท่านตอบรับข้าเป็นชายาก็ด้วยเหตุผลนี้ใช่หรือไม่เพคะ”
คำตอบของจางลี่จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เจี๋ยก่อนเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ...เจ้าเองก็ฉลาดไม่เบา ถึงเป็นแค่ธิดาของพระสนมหากก็มีไหวพริบเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ”
“หม่อมฉันมิได้นึกเสียใจที่เมื่อเดินทางมาถึงพระองค์มิได้ออกไปต้อนรับหม่อม และมิได้นึกเสียใจที่เมื่อมาถึงแคว้นหลู่ก็หาได้มีพิธีการต้อนรับอย่างที่เคยคิดเอาไว้ หากมิเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงปล่อยให้พวกหม่อมฉันเดินทางข้ามแคว้นเข้ามายังแผ่นดินหลู่ได้ พระองค์มิพักต้องลำบากให้คนของพระองค์ไปคอยต้อนรับหม่อมฉัน หากเป็นดังที่พระองค์ทรงหวังก็ควรฆ่าหม่อมฉันเสียตั้งแต่ตอนเดินทางมายังแคว้นหลู่”
นางตอบปากกสั่นระริกหากก็กล้าเชิดปลายคางมนขึ้นราวกับจะท้าทาย ท่าทีของพระธิดาแม้วัยเยาว์กว่าแต่ช่างอวดดียิ่งจุดความคั่งแค้นในหัวอกของหลู่อ๋อง แม้นางอวดกล้าถึงเพียงนี้หากหลี่เจี๋ยก็มีวิธีกำราบด้วยการจับไหล่บางทั้งสองดึงร่างนั้นเข้ามาใกล้และโน้มใบหน้าคมคายลงไปหา เห็นได้ชัดว่ากายนางสั่น ใบหน้าสวยซึ้งของนางอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่ถึงคืบ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยอยู่ใกล้ชายใดมากขนาดนี้ จางลี่อยากขัดขืนแต่มือหนาใหญ่ของอ๋องแคว้นหลู่กระชับบ่าเล็กของนางมั่น หลี่เจี๋ยเหยียดยิ้มร้ายกาจ
“ข้าเพียงรอให้เจ้ามาถึงแคว้นหลู่เพื่อจะทำอะไรสนุก ๆ”
นางเลิกคิ้วขึ้น “สนุก ๆ หรือเพคะ?”
“เมื่อใดที่เจ้าย่างเท้าลงบนแผ่นดินหลู่ เจ้าก็มีค่าแค่สัตว์เลี้ยงของข้าเท่านั้น!”
โดยมิทันคาดคิด องค์ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปหาองค์ชายาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากได้รูปฉกวูบลงบนกลีบปากของจางลี่ที่ค้างอ้าด้วยไม่นึกว่าหลี่เจี๋ยจะล่วงล้ำนางตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ร่างน้อยนิ่งงันและสั่นระริก หัวใจของนางเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อจุมพิตแรกจาบจ้วงเข้าไปในอุ้งปาก หลี่เจี๋ยไม่เปิดโอกาสให้นางตั้งตัว จุ่มจ้วงปลายลิ้นหยาบหนาเข้าไปในเรียวปากเล็ก จางลี่หลับตาและกดเกร็ง ความหวาดหวั่นกลายกลับเป็นความร้อนรุ่ม
นางเคว้งคว้างหลงในภวังค์ราวใบไม้ร่วงหล่นหากก็คืนสติกลับมาอีกครั้งเมื่อหลี่เจี๋ยถอนริมฝีปาก หากลมหายใจหอบหนักของเขายังราดรดบนปลายจมูกเล็ก นางลืมตาขึ้นและต้องเผชิญกับนัยน์ตากล้าแข็ง องค์ชายหนุ่มยังกระชับไหล่บางไว้แน่นหนักหากในหัวอกของหลี่เจี๋ยกลับอื้ออึงด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน เขาตกใจเล็กน้อยที่เห็นรอยน้ำรื้นบนดวงตาของจางลี่...นางร้องไห้ หากเขากลับทำราวกับไม่ใส่ใจและยังสำแดงความคียดขึ้งออกมา
“น้องสาวของข้า...เจ้าคือองค์ชายาแห่งแคว้นหลู่และตำหนักร้อยไหมแห่งนี้คือที่พำนักของเจ้า หากมิได้รับการอนุญาตจากข้าเจ้าก็มิอาจออกไปไหนได้ทั้งนั้น”
“นี่ท่านกักขังข้าเช่นนั้นหรือ แล้วหากข้าขัดคำสั่งของท่าน”“คนของเจ้าทั้งหมดจะต้องกลายเป็นอาหารของจระเข้ในบึงใต้ตำหนักร้อยไหมทันที หรือหากเจ้าอยากลองดีกับข้า จะลองดูสักหนก็ได้พระธิดาจางลี่!”“ท่านร้ายกาจนักองค์ชายหลี่เจี๋ย...อื๊อ!”เสียงของนางหายเข้าไปในปากหยักได้รูปขององค์ชายอีกหน หลี่เจี๋ยกดท้ายทอยจางลี่บังคับให้นางรับจุมพิตก้าวร้าวคุกคามโดยไม่สนใจว่านางจะรู้สึกอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขาคือผู้ถือไพ่เหนือกว่า พระธิดาจางลี่เป็นแค่หมากตัวเล็กในเกมแก้แค้นของอ๋องแคว้นหลู่เท่านั้น หลี่เจี๋ยบดริมฝีปากร้อนรุ่มบนกลีบปากของนางรุนแรงพอจะทำให้เรียวปากอิ่มบวมเจ่อก่อนปล่อยร่างบอบบางให้เป็นอิสระ จางลี่เซไปข้างหลัง นางแทบจะทรุดลงนอนกับพื้นแต่ยังทรงกายให้นั่งและยกมือขึ้นป้องปากบวมเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับน้ำตาถั่งไหล“องค์ชาย...”“หึ!...คิดหรือว่าข้าจะยินดีรับเจ้าเป็นองค์ชายา ข้ารู้ว่าพระปิตุลากำลังคิดการใด ส่งเจ้ามาเพื่อมิให้เกิดการพิภาทระหว่างแคว้น ต้องการรกะชับความสัมพันธ์และคิดจะควบคุมข้าให้อยู่ในอำนาจของเขาเช่นนั้นหรือ”“เช่นนั้นพระองค์ควรปฏิเสธเสด็จพ่อแต่แรก ข้าเองก็มิได้อยากทำตามประสงค์ของเสด็จพ่อแม
เมื่ออีกราตรีมาถึงพระธิดาจางลี่ก็เริ่มหัวใจไม่เป็นสุข หลังอาหารมื้อเย็นที่เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ของปาอ๋องแคว้นหลี่นำมาถวายจางลี่ทำตัวตามปกติแม้เห็นว่านางกำนัลคนสนิทมีท่าทีลุกลี้ลุกลนนางจึงเอ่ยถามเมื่ออยู่กันสองต่อสอง“หลินเจิน...เจ้าบอกข้าว่าคืนนี้จะออกไปหาราชองครักษ์เจ้า แล้วเจ้าจะออกไปจากตำหนักนี้ได้อย่างไรในเมื่อเหล่าทหารขององค์ชายเฝ้าเวรยามเต็มไปหมดเช่นนี้”“ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะท่านหญิง”หลินเจินขยับเข้ามาใกล้พระธิดา นางชะเง้อมองซ้ายขวาแล้วหันมากระซิบว่า“ทหารของหลู่อ๋องเฝ้าอยู่มากมายก็จริง นั่นเพราะทหารเหล่านี้ต้องทำการเฝ้ายามมิให้พวกเราคลาดสายตาหรือออกจากตำหนักแห่งนี้ได้ แต่หากเราทำให้ทหารเหล่านั้นกลับไปสนใจอย่างอื่นก็มีหนทางที่ข้าจะออกไปพบกับราชองครักษ์เจ้าได้นะเจ้าคะท่านหญิง”“สนใจอย่างอื่นกระนั้นหรือ...เจ้าจะทำอย่างไร”“ฟังหลินเจินนะเจ้าคะ ข้ามีวิธีการที่จะทำให้ทหารเหล่านั้นเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น แต่สัญญากับข้าก่อนว่าหากเกิดอะไรขึ้นท่านหญิงต้องไม่ตกใจและต้องร่วมมือกับข้าด้วย”“เจ้าจะทำอะไร”“ตามมาทางนี้เจ้าค่ะ”หลินเจินดึงมือพระธิดาให้เดินตามนางไปในห้องนอน ไปหยุดข้าง
จางลี่เองก็หาได้พักผ่อนไม่ นางเป็นกังวลต่อการหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหมของหลินเจินในห้วงเวลาของความโกลาหล เฝ้าคอยมองว่านางกำนัลคนสนิทจะกลับเข้ามาเมื่อใดหลังทุกอย่างสงบลงแล้ว ปริวิตกว่านางจะได้พบราชองครักษ์เจียนเจ้าดังที่หวังหรือไม่เพราะจวบจนแสงโคมทองอาบไปทั่วบึงน้ำใหญ่รอบตำหนักก็ยังไม่เห็นเงาของหลินเจินว่านางจะกลับมา จางลี่นั่งคอยรอจนเกือบผลอยหลับหากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ใกล้นิทรา“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น“องค์ชาย!”ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”“สามราตรี”หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี“สามราตรีนั้นดูจะมากไป ข้าอยากพบพระธิดาจางลี่ของข
จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี
“หม่อมฉันหร้อมรับโทษเพคะ และหากหม่อมฉันตายไปก็ขอพระองค์โยนร่างของหม่อมฉันลงไปที่ใต้ตำหนักร้อยไหมให้จระเข้ของพระองค์ฉีกทึ้ง มิต้องเหลือซากแม้กระดูกกลับคืนแผ่นดินฉี”ควับ!!“ฮึก!”จางลี่สะดุ้ง หลังของนางแอ่นเมื่อหลี่เจี๋ยหวดแส้ลงบนหลังบอบบางหนแรกจนชุดผ้าแพรเป็นรอยแยกบางๆ หากนางกลับมิส่งเสียงร้องออกมาเพียงสักแอะ หลู่อ๋องขบกรมแน่นก่อนลงแส้เป็นครั้งที่สอง คราวนี้เนื้อผ้าบนแผ่นหลังของนางขาดออกจากกันหากจางลี่ก็มิยอมส่งเสียงร้องออกมาดังเดิม4บุปผาเดียวดายยิ่งจางลี่ไม่ส่งเสียงร้องก็เหมือนเป็นการยั่วยุโทสะอ๋องหลี่เจี๋ย เขาตวัดปลายแส้ลงไปอีกสามครั้งแผ่นหลังของนางก็เป็นรอยแผลปริแยก โลหิตซึมออกมาหากนางก็ยังกัดฟันแต่ใบหน้าของนางกดเกร็ง คิ้วขมวดมุ่นควับ!!เสียงปลายแส้สะบัดลงบนแผ่นหลังของนางอีกครั้งคราวนี้โลหิตสาดกระเซ็น แต่ก่อนที่หลี่เจี๋ยจะเงื้อมือเพื่อลงแส้ซ้ำลงไปอีกเขาต้องชะงักเมื่อโม่โฉวปราดเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า“พอก่อนเถิดพระองค์...เกรงว่าหากลงแส้จนครบร้อยครั้งนางอาจทนไม่ไหวและต้องสิ้นใจในคุกหลวงนี้เป็นแน่”ราชองครักษ์เอกกราบทูลด้วยเสียงแน่นหนักทั้งที่เขาไม่เคยขัดต่อพระประสงค์ของหลู่อ๋องมาก่อ
“นางมิเป็นอะไรมากดอก เจ้ามิต้องห่วงกังวล”“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ข้าเป็นกังวลนั้นเป็นเพราะเห็นบาดแผลของนางน่ากลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ข้ารับใช้พระธิดามาก็มิเคยเห็นโลหิตตกจากพระกายาของนางเลยแม้แต่น้อย”“ข้าได้จัดโอสถอย่างดีให้นางกำนัลใส่ในลูกประคบแผลนางแล้ว เครื่องโอสถแคว้นหลู่นั้นถือว่าเป็นเครื่องปรุงทิพย์ นางจักมีพระอาการดีขึ้นในอีกไม่เกินเจ็ดราตรีหลังจากนี้”“นี่แสดงว่าท่านคงทำการรักษาผู้ต้องทัณฑ์ลงแส้มานักต่อนักถึงได้มีความรู้เรื่องยารักษามากเช่นนี้”ได้ยินดังนั้นหมอหลวงกลับส่ายหน้า“เปล่าเลยสนม...ข้าเคยรักษาผู้ต้องอาญาโบยด้วยแส้เพียงไม่กี่คน”“ทำไมเจ้าคะ?”“ส่วนใหญ่หามีผู้ใดรอดจากอาญาร้ายแรงเทียมผูกร่างให้ม้าฉีกออกเป็นชิ้นนั้นอย่างไรเล่า”“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินเจินหน้าตื่น“แต่อาการของพระนางนั้นหาได้ร้ายแรงไม่ จากที่ข้าพินิจดูรอยแผลของนางต้องรอยแส้นับไม่กี่หน”“แต่โลหิตนางก็ไหลมากเหลือเกินนะเจ้าคะ”“นั่นเพราะแผลลึกมาก อืม...ผู้ใดกันที่ลงแส้พระธิดา”หมอหลวงทำท่านึกแต่หลินเจินหาได้หลุดปากออกไปไม่ว่าหลู่อ๋องนั่นอย่างไรเป็นผู้ลงแส้ด้วยพระองค์เอง กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“ช่างมันเถิด ไม่ว
เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องของตำหนักร้อยไหมที่หันไปยังบูรพทิศทำให้จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวบนแผ่นหลัง แต่สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อลืมตาคือหลู่อ๋องหลี่เจี๋ยซึ่งยืนที่หน้าต่างห้องขณะกำลังมองออกไปยังเวิ้งน้ำด้านนอกที่โอบล้อมตำหนักร้อยไหม นางยังนอนคว่ำบนเตียงและขยับตัวไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่าร่างกายที่มีผ้าไหมบาง ๆ ปกปิดอยู่นั้นเจ็บร้าวไปหมด จางลี่มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครแม้แต่หลินเจิน นางต้นห้องคนสนิท ความกลัวแล่นเข้าจับใจอีกครั้งแต่เมื่อกำลังจะหลับตากลับได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขึ้น“เจ้าฟื้นแล้วหรือ น้องพี่?”หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาและหย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ดวงตาดำยาวรีจับจ้องบนดวงหน้าสีกุหลาบโดยปราศจากรอยยิ้ม จางลี่หาได้ยินดีไม่ นางไม่ปรารถนาเห็นหน้าพระญาติผู้พี่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าจะเป็นพระสวามีของนาง อ๋องแคว้นหลู่สมญาพยัคฆ์ขาวรูปงามแท้แล้วจิตใจอำมหิตยิ่งนัก“เมื่อคืนนี้ข้ามิได้หลับเลยรู้ไหม...กายเจ้าร้อนดั่งไฟ และข้าต้อง...ป้อนยาให้เจ้าทั้งคืน”หลู่อ๋องไล้ปลายนิ้วหยาบแกร่งบนปลายคางมน นัยน์ตาคู่นั้นหาได้ฉายแววแห่งความอารีย์ดังคำพูดที่เปล่งออกมาไม่ จางลี่เม้ม
“มิน่าเชื่อว่าธิดาของฉีหวนกงนั้นช่างเข้มแข็ง ข้านึกว่านางจะร้องคร่ำครวญ ร้องขอชีวิตแต่นางกลับอดกลั้นได้ยิ่งกว่าชายอกสามศอก แต่ข้าก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่านางจักเข้มแข็งได้ถึงเพียงนั้น”“แต่โทษครั้งนี้ก็หนักหนาเอาการอยู่ นางคงมิกล้าทำผิดอีกแล้ว”“ข้ามิเคยเชื่อใจผู้ใด คนที่ดีกันเจียนตายยังฆ่ากันได้เมื่อสบโอกาสเหมาะ นางก็คงมิผิดจากพ่อของนาง ข้ามิรู้ว่าคนแคว้นฉีมีแผนอันใดหรือไม่ เราควรต้องระวังตัวตลอดเวลานี่มิใช่หรือ เจ้าคิดเช่นข้าหรือไม่โม่โฉว”“พะย่ะค่ะ...แต่...หม่อมฉันว่าตอนนี้พระองค์ควรคิดเรื่องเตรียมการพิธีสำหรับพระธิดารับตำแหน่งหวางเฟยก่อนเรื่องอื่น”“รอให้แผลของจางลี่หายดีมากกว่านี้ ข้ามิลืมว่าฉีหวนกงส่งนางมาด้วยเหตุผลอันใด...แล้วตอนนี้คนของนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง”“ตอนนี้ผู้ติดตามของพระธิดาอยู่ในพื้นที่ที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้ แต่ท่าทางราชองครักษ์เจียนเจ้าอยากรู้ว่าองค์ชายาเป็นเยี่ยงไร”“ท่าทางราชองรักษ์ผู้นี้มิธรรมดา เจ้าเห็นดังที่ข้าเห็นหรือไม่โม่โฉว”“หม่อมฉันทราบมาว่าแต่ก่อนเจียนเจ้านั้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ กรำศึกให้แคว้นฉีมากมายหลายสนามรบก่อนเข้ามารับใช้เป็นนายทหารคอยติดตามฉีหวนกง ห