“ทั้งที่อ๋องแคว้นฉีสั่งฆ่าพี่ชายตัวเองกระนั้นหรือ”
“นั่นนับเป็นโอกาสอันดี อย่าลืมว่าความแค้นนั้นเป็นของหวาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วองค์ชายย่อมเก็บความเดือดแค้นไว้ รอวันสะสาง และเมื่อฉีหวนกงเสนอยกธิดาให้เพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเจ้าคิดหรือว่ามันจะช่วยผ่อนเบาสิ่งที่เคยทำไว้กับหลานตัวเองได้ องค์ชายหลี่เจี๋ยเป็นถึงอ๋องแคว้นหลู่ เจ้าคิดหรือว่าผู้เป็นกษัตริย์นั้นจะทำสิ่งใดโดยมิคิดตรึกตรอง"
“ท่านพ่อกำลังจะบอกอะไรข้า”
“มิต้องเอ่ยตอนนี้ ต่อไปเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่พ่อคิด ขออย่างเดียวเจ้าอย่าวู่วาม อย่าเอาแต่ใจ พ่อรู้ว่าเจ้าผูกใจรักองค์ชายมากเพียงไหน แต่เจ้าต้องยอมสูญเสียบางอย่างไปเพื่อผลประโยนช์ในภายภาคหน้า”
ฮุยอินรับฟังแต่หัวใจของนางรุ่มร้อนมากขึ้นทุกที ความหวังที่จะได้เป็นชายาขององค์ชายหลี่เจี๋ยต้องพังลงตรงหน้า นางผูกใจรักอ๋องแห่งแคว้นหลู่มาแต่ไหนแต่ไร กลายกลับเป็นหญิงต่างเมืองเข้ามาครอบครองตำแหน่งแทนที่
ค่ำลงที่ตำหนักร้อยไหม หลินเจินเดินไปเดินมาภายในห้องอันงามวิจิตขณะพระธิดาจางลี่นั่งครุ่นคิดด้วยสีหน้าเป็นกังวล สักครู่หลินเจินก็เข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าและดึงมือเรียวบางของนายหญิงไปกุมไว้
“ท่านหญิง...ข้าว่ามันอาจมีเรื่องไม่ดีนะเจ้าคะ”
“เรื่องอะไรหรือหลินเจิน”
“ก็เรื่องที่องค์ชายหลี่เจี๋ยให้ท่านหญิงมาพำนักที่ตำหนักแห่งนี้ ชื่อตำหนักงดงามแต่ซ่อนความน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก”
“ข้าก็ไม่สบายใจเช่นกัน แต่...เราจะทำอย่างไรได้ มองออกไปข้างนอกนั่นซี พวกทหารยืนเวรยามเต็มไปหมด ข้าอยากออกไปจากที่นี่เพื่อพบองครักษ์เจ้า ป่านนี้พวกเขาจะเป็นเช่นไรบ้างก็มิรู้เลย”
“หรือว่าพวกเราจะหาทางออกไปจากตำหนักแห่งนี้ ข้ารู้สึกกลัวเหลือเกินท่านหญิง นี่มันบ่อจระเข้นะท่าน”
“แล้วเราจะออกไปได้เช่นไร”
“ท่านหญิง...ข้าก็ยังมิรู้ แต่พวกเราจะรอช้าอยู่มิได้”
“หลินเจิน...”
ยังไม่ทันที่จางลี่จะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู
“พระธิดาจางลี่...หลู่อ๋องได้เสด็จมาถึงแล้ว”
น้องสาวที่ไม่ปรารถนา
จางลี่ผุดลุกขึ้น ใบหน้าสวยซึ้งของนางเต็มไปด้วยความลังเล หลินเจินเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า
“ปิดประตูมิให้องค์ชายเข้ามาดีไหมเจ้าคะ หรือว่า...ท่านหญิงจะหลบเข้าไปข้างในให้ข้าออกรับหน้า บอกว่าท่านเดินทางมาไกลทำให้ไม่สบาย”
“ไม่จำเป็นดอก ถึงอย่างไรข้าก็ต้องพบอ๋องแคว้นหลู่ ถึงหลบหน้าสักหมื่นครั้งก็ยังต้องพบเขาอยู่ดี”
“แต่สีหน้าท่านหญิงไม่ดีเลยนะเจ้าคะ”
“ข้า...”
จางลี่เอ่ยได้แค่นั้นบานประตูก็เปิดออก นางผงะงันไปชั่วขณะเมื่อบานประตูเปิดอ้าและเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ที่นั่น การแต่งกายและเครื่องประดับศีรษะบ่งบอกการเป็นชนชั้นระดับสูง นัยน์ตายาวรีดำเข้มแฝงไว้ด้วยความลุ่มลึกบนใบหน้าคมคร้ามจ้องมองมายังร่างของพระธิดาร่างน้อยบอบบางโดยปราศจากรอยยิ้มก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
เมื่อเสียงห้าวทรงอำนาจดังขึ้นเหล่าทหารผู้ติดตามจึงถอยออกไปจนหมด จางลี่ซึ่งยังอยู่ในความงงงวยรับดึงสติกลับคืน
“ทะ...ท่านคือ...”
“ยินดีที่พระธิดาจางลี่เดินทางมาถึงโดยปลอดภัย...ข้าคือองค์ชายหลี่เจี๋ย อ๋องแห่งแคว้นหลู่”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินเจินก็รีบคุกเข่าลงและเก็บความตื่นเต้นเอาไว้แทบไม่ได้ โอ...นี่หรือคือองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นหลู่ เสียงร่ำลือว่ารูปงามนั้นมิผิดเพี้ยนไปจากที่ได้ยิน ใบหน้าคมคาย นัยน์ตายาวรีดำสนิท จมูกโด่ง ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูป และสง่างามยิ่งนัก ขณะนั้นพระธิดาจางลี่ก็รีบถวายความเคารพโดยการย่อตัวและค้อมศีรษะลง
“ถวายบังคมเพคะองค์ชายหลี่เจี๋ย...เอ้อ...หลู่อ๋อง...หม่อมฉันก็รู้สึกยินดีและขอบพระทัยที่พระองค์ให้การต้อนรับหม่อมฉันอย่างสมเกียรติ”
จางลี่รีบบังคมทูล หัวใจของนางเต้นระริกหากความเกรงกลัวก็ยังมิคลายจากความรู้สึก สักครู่หลินเจินก็เอ่ยกระซิบกับพระธิดาว่า
“ท่านหญิงเจ้าคะ หลินเจินขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะเจ้าคะ”
นางกำนัลคนสนิทรีบถอยออกไปจากห้องนั้นจึงเหลือเพียงองค์ชายหลี่เจี๋ยและพระธิดาจางลี่เผชิญกันเพียงสอง จางลี่นั้นมือเย็นเฉียบ นางเห็นใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่แต่มิกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาตรง ๆ นางยังก้มหน้าโดยไม่เห็นรอยยิ้มเหยียดบนมุมปากของหลี่เจี๋ยก่อนเขาเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าเดินทางมาไกลคงยังเหนื่อยใช่ไหม?”
“เพคะ”
“รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้ามาแคว้นหลู่ด้วยเหตุผลอันใด”
“รู้เพคะ”“แล้วใยเวลาพูดถึงไม่ยอมเงยหน้าสบตาข้า”น้ำเสียงแม้ทรงอำนาจหากก็เยียบเย็นบาดจิต จางลี่จึงต้องเงยหน้าขึ้น มือของนางยิ่งเย็นมากกว่าเก่า องค์ชายหลี่เจี๋ยผู้มีพระชนมายุมากกว่านางถึงหนึ่งรอบจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ชั่วแว่บหลี่เจี๋ยกลับรู้สึกว่าพระธิดาของฉีหวนกงซึ่งเป็นพระปิตุลานั้นมิได้เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้แม้แต่น้อย นางยังเยาว์ ใบหน้างดงามสวยซึ้งนั้นเปล่งปลั่งจับตา รูปร่างของนางบอบบางภายใต้ชุดผ้าไหมปักลวดลายวิจิตร แววตาของนางบอกความประหม่า หลี่เจี๋ยก้าวผ่านนางไปและทรุดกายลงนั่งบนตั่งไม้ จางลี่จึงค่อย ๆ ย่อตัวลงและขยับเข้าไปนั่งบนพื้นเบื้องล่างห่างจากองค์ชายไม่ถึงวา นางไม่ได้ก้มหน้าดังเก่าแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบนัยน์ตาคมปลาบราวมีดเหล็กกล้า“เจ้าชื่ออะไรนะ?”“จางลี่เพคะ”“เจ้าเป็นธิดาของฉีหวนกง พระปิตุลาของข้า จะว่าไปเราสองคนก็มีสายเลือดเดียวกัน แต่...เจ้าเป็นธิดาของสนมองค์ใดกัน”“หม่อมฉันเป็นธิดาของพระสนมซิ่วอิงเพคะ”“ขยับเข้ามาใกล้ข้าซิ”“เพคะ”จางลี่ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ นางเข้าไปนั่งแทบเท้าองค์ชายหลี่เจี๋ย แต่แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อแขนของนางถูกกระชากอย่างแรง “ฟังข้าไว้จางลี่...ข้า
“นี่ท่านกักขังข้าเช่นนั้นหรือ แล้วหากข้าขัดคำสั่งของท่าน”“คนของเจ้าทั้งหมดจะต้องกลายเป็นอาหารของจระเข้ในบึงใต้ตำหนักร้อยไหมทันที หรือหากเจ้าอยากลองดีกับข้า จะลองดูสักหนก็ได้พระธิดาจางลี่!”“ท่านร้ายกาจนักองค์ชายหลี่เจี๋ย...อื๊อ!”เสียงของนางหายเข้าไปในปากหยักได้รูปขององค์ชายอีกหน หลี่เจี๋ยกดท้ายทอยจางลี่บังคับให้นางรับจุมพิตก้าวร้าวคุกคามโดยไม่สนใจว่านางจะรู้สึกอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขาคือผู้ถือไพ่เหนือกว่า พระธิดาจางลี่เป็นแค่หมากตัวเล็กในเกมแก้แค้นของอ๋องแคว้นหลู่เท่านั้น หลี่เจี๋ยบดริมฝีปากร้อนรุ่มบนกลีบปากของนางรุนแรงพอจะทำให้เรียวปากอิ่มบวมเจ่อก่อนปล่อยร่างบอบบางให้เป็นอิสระ จางลี่เซไปข้างหลัง นางแทบจะทรุดลงนอนกับพื้นแต่ยังทรงกายให้นั่งและยกมือขึ้นป้องปากบวมเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับน้ำตาถั่งไหล“องค์ชาย...”“หึ!...คิดหรือว่าข้าจะยินดีรับเจ้าเป็นองค์ชายา ข้ารู้ว่าพระปิตุลากำลังคิดการใด ส่งเจ้ามาเพื่อมิให้เกิดการพิภาทระหว่างแคว้น ต้องการรกะชับความสัมพันธ์และคิดจะควบคุมข้าให้อยู่ในอำนาจของเขาเช่นนั้นหรือ”“เช่นนั้นพระองค์ควรปฏิเสธเสด็จพ่อแต่แรก ข้าเองก็มิได้อยากทำตามประสงค์ของเสด็จพ่อแม
เมื่ออีกราตรีมาถึงพระธิดาจางลี่ก็เริ่มหัวใจไม่เป็นสุข หลังอาหารมื้อเย็นที่เหล่านางกำนัลและข้ารับใช้ของปาอ๋องแคว้นหลี่นำมาถวายจางลี่ทำตัวตามปกติแม้เห็นว่านางกำนัลคนสนิทมีท่าทีลุกลี้ลุกลนนางจึงเอ่ยถามเมื่ออยู่กันสองต่อสอง“หลินเจิน...เจ้าบอกข้าว่าคืนนี้จะออกไปหาราชองครักษ์เจ้า แล้วเจ้าจะออกไปจากตำหนักนี้ได้อย่างไรในเมื่อเหล่าทหารขององค์ชายเฝ้าเวรยามเต็มไปหมดเช่นนี้”“ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะท่านหญิง”หลินเจินขยับเข้ามาใกล้พระธิดา นางชะเง้อมองซ้ายขวาแล้วหันมากระซิบว่า“ทหารของหลู่อ๋องเฝ้าอยู่มากมายก็จริง นั่นเพราะทหารเหล่านี้ต้องทำการเฝ้ายามมิให้พวกเราคลาดสายตาหรือออกจากตำหนักแห่งนี้ได้ แต่หากเราทำให้ทหารเหล่านั้นกลับไปสนใจอย่างอื่นก็มีหนทางที่ข้าจะออกไปพบกับราชองครักษ์เจ้าได้นะเจ้าคะท่านหญิง”“สนใจอย่างอื่นกระนั้นหรือ...เจ้าจะทำอย่างไร”“ฟังหลินเจินนะเจ้าคะ ข้ามีวิธีการที่จะทำให้ทหารเหล่านั้นเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น แต่สัญญากับข้าก่อนว่าหากเกิดอะไรขึ้นท่านหญิงต้องไม่ตกใจและต้องร่วมมือกับข้าด้วย”“เจ้าจะทำอะไร”“ตามมาทางนี้เจ้าค่ะ”หลินเจินดึงมือพระธิดาให้เดินตามนางไปในห้องนอน ไปหยุดข้าง
จางลี่เองก็หาได้พักผ่อนไม่ นางเป็นกังวลต่อการหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหมของหลินเจินในห้วงเวลาของความโกลาหล เฝ้าคอยมองว่านางกำนัลคนสนิทจะกลับเข้ามาเมื่อใดหลังทุกอย่างสงบลงแล้ว ปริวิตกว่านางจะได้พบราชองครักษ์เจียนเจ้าดังที่หวังหรือไม่เพราะจวบจนแสงโคมทองอาบไปทั่วบึงน้ำใหญ่รอบตำหนักก็ยังไม่เห็นเงาของหลินเจินว่านางจะกลับมา จางลี่นั่งคอยรอจนเกือบผลอยหลับหากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ใกล้นิทรา“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น“องค์ชาย!”ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”“สามราตรี”หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี“สามราตรีนั้นดูจะมากไป ข้าอยากพบพระธิดาจางลี่ของข
จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี
“หม่อมฉันหร้อมรับโทษเพคะ และหากหม่อมฉันตายไปก็ขอพระองค์โยนร่างของหม่อมฉันลงไปที่ใต้ตำหนักร้อยไหมให้จระเข้ของพระองค์ฉีกทึ้ง มิต้องเหลือซากแม้กระดูกกลับคืนแผ่นดินฉี”ควับ!!“ฮึก!”จางลี่สะดุ้ง หลังของนางแอ่นเมื่อหลี่เจี๋ยหวดแส้ลงบนหลังบอบบางหนแรกจนชุดผ้าแพรเป็นรอยแยกบางๆ หากนางกลับมิส่งเสียงร้องออกมาเพียงสักแอะ หลู่อ๋องขบกรมแน่นก่อนลงแส้เป็นครั้งที่สอง คราวนี้เนื้อผ้าบนแผ่นหลังของนางขาดออกจากกันหากจางลี่ก็มิยอมส่งเสียงร้องออกมาดังเดิม4บุปผาเดียวดายยิ่งจางลี่ไม่ส่งเสียงร้องก็เหมือนเป็นการยั่วยุโทสะอ๋องหลี่เจี๋ย เขาตวัดปลายแส้ลงไปอีกสามครั้งแผ่นหลังของนางก็เป็นรอยแผลปริแยก โลหิตซึมออกมาหากนางก็ยังกัดฟันแต่ใบหน้าของนางกดเกร็ง คิ้วขมวดมุ่นควับ!!เสียงปลายแส้สะบัดลงบนแผ่นหลังของนางอีกครั้งคราวนี้โลหิตสาดกระเซ็น แต่ก่อนที่หลี่เจี๋ยจะเงื้อมือเพื่อลงแส้ซ้ำลงไปอีกเขาต้องชะงักเมื่อโม่โฉวปราดเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า“พอก่อนเถิดพระองค์...เกรงว่าหากลงแส้จนครบร้อยครั้งนางอาจทนไม่ไหวและต้องสิ้นใจในคุกหลวงนี้เป็นแน่”ราชองครักษ์เอกกราบทูลด้วยเสียงแน่นหนักทั้งที่เขาไม่เคยขัดต่อพระประสงค์ของหลู่อ๋องมาก่อ
“นางมิเป็นอะไรมากดอก เจ้ามิต้องห่วงกังวล”“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ข้าเป็นกังวลนั้นเป็นเพราะเห็นบาดแผลของนางน่ากลัวยิ่งนัก ตั้งแต่ข้ารับใช้พระธิดามาก็มิเคยเห็นโลหิตตกจากพระกายาของนางเลยแม้แต่น้อย”“ข้าได้จัดโอสถอย่างดีให้นางกำนัลใส่ในลูกประคบแผลนางแล้ว เครื่องโอสถแคว้นหลู่นั้นถือว่าเป็นเครื่องปรุงทิพย์ นางจักมีพระอาการดีขึ้นในอีกไม่เกินเจ็ดราตรีหลังจากนี้”“นี่แสดงว่าท่านคงทำการรักษาผู้ต้องทัณฑ์ลงแส้มานักต่อนักถึงได้มีความรู้เรื่องยารักษามากเช่นนี้”ได้ยินดังนั้นหมอหลวงกลับส่ายหน้า“เปล่าเลยสนม...ข้าเคยรักษาผู้ต้องอาญาโบยด้วยแส้เพียงไม่กี่คน”“ทำไมเจ้าคะ?”“ส่วนใหญ่หามีผู้ใดรอดจากอาญาร้ายแรงเทียมผูกร่างให้ม้าฉีกออกเป็นชิ้นนั้นอย่างไรเล่า”“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินเจินหน้าตื่น“แต่อาการของพระนางนั้นหาได้ร้ายแรงไม่ จากที่ข้าพินิจดูรอยแผลของนางต้องรอยแส้นับไม่กี่หน”“แต่โลหิตนางก็ไหลมากเหลือเกินนะเจ้าคะ”“นั่นเพราะแผลลึกมาก อืม...ผู้ใดกันที่ลงแส้พระธิดา”หมอหลวงทำท่านึกแต่หลินเจินหาได้หลุดปากออกไปไม่ว่าหลู่อ๋องนั่นอย่างไรเป็นผู้ลงแส้ด้วยพระองค์เอง กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า“ช่างมันเถิด ไม่ว
เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องของตำหนักร้อยไหมที่หันไปยังบูรพทิศทำให้จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวบนแผ่นหลัง แต่สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อลืมตาคือหลู่อ๋องหลี่เจี๋ยซึ่งยืนที่หน้าต่างห้องขณะกำลังมองออกไปยังเวิ้งน้ำด้านนอกที่โอบล้อมตำหนักร้อยไหม นางยังนอนคว่ำบนเตียงและขยับตัวไม่ได้มากนัก รู้เพียงว่าร่างกายที่มีผ้าไหมบาง ๆ ปกปิดอยู่นั้นเจ็บร้าวไปหมด จางลี่มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครแม้แต่หลินเจิน นางต้นห้องคนสนิท ความกลัวแล่นเข้าจับใจอีกครั้งแต่เมื่อกำลังจะหลับตากลับได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขึ้น“เจ้าฟื้นแล้วหรือ น้องพี่?”หลี่เจี๋ยก้าวเข้ามาและหย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ดวงตาดำยาวรีจับจ้องบนดวงหน้าสีกุหลาบโดยปราศจากรอยยิ้ม จางลี่หาได้ยินดีไม่ นางไม่ปรารถนาเห็นหน้าพระญาติผู้พี่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าจะเป็นพระสวามีของนาง อ๋องแคว้นหลู่สมญาพยัคฆ์ขาวรูปงามแท้แล้วจิตใจอำมหิตยิ่งนัก“เมื่อคืนนี้ข้ามิได้หลับเลยรู้ไหม...กายเจ้าร้อนดั่งไฟ และข้าต้อง...ป้อนยาให้เจ้าทั้งคืน”หลู่อ๋องไล้ปลายนิ้วหยาบแกร่งบนปลายคางมน นัยน์ตาคู่นั้นหาได้ฉายแววแห่งความอารีย์ดังคำพูดที่เปล่งออกมาไม่ จางลี่เม้ม