แคว้นผิงเป่ย
จวนตระกูลเสี่ยว
"ข้าสั่งพวกเจ้าเช่นไร เหตุใดไม่ทำตามที่ข้าสั่ง!!"
"คุณหนูรองโปรดอภัยให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ เดิมทีผ้าผืนนั้นฮูหยินใหญ่ให้นำไปมอบให้คุณหนูใหญ่เพื่อใช้ตัดชุดใหม่ ส่วนผืนนี้ให้นำมามอบให้คุณหนูรอง คุณหนูรองเจ้าคะมิสู้ใช้ผืนนี้ตัดชุดดีกว่าไหมเจ้าคะ มันก็งาม... โอ๊ย!!!"
เพียะ!!!
"ผู้ใดใช้ให้เจ้าสอดปากพูด ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาเสนอความคิดเห็นโดยที่ข้าไม่ได้สั่ง!!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวา ฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าของสาวใช้นามว่าหูเป่าอย่างเต็มแรง ก่อนจะเขวี้ยงปาข้าวของลงพื้นด้วยความโมโห เหล่าสาวใช้ที่อยู่ในเรือนต่างรีบก้มหน้างุด ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เพราะเกรงว่าจะทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาบันดาลโทสะมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อลงไม้ลงมือกับสาวใช้จนสาแก่ใจแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ปรายตาไปมองผ้าสีชมพูตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือไปหยิบมันเขวี้ยงลงบนพื้น แล้วยกเท้าเหยียบมันอย่างไม่แยแส
ช่างดีนัก!! สิ่งของใดที่เป็นของข้าก็เอาไปประเคนให้เสี่ยวเย่วหยาบุตรสาวอดีตฮูหยินนางนั้นหมด ทั้งที่ข้าต่างหากคือบุตรสาวที่แท้จริง!!
เสี่ยวจิ่วฮวากำมือแน่น ก่อนจะทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วคิดถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อน
สองปีก่อนหน้า
เมื่อสองปีก่อนนั้น เสี่ยวจิ่วฮวายังได้ชื่อว่าเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุ มารดาของนางคือฉินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงไม่ได้เลี้ยงดูนางดีเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เล็กจนโตเสี่ยวจิ่วฮวามักจะถูกดุด่าทุบตี ถูกขังเอาไว้ในห้องแคบๆ ข้าวปลาอาหารมักจะไม่ได้กินอิ่ม นางเคยสงสัยว่าเพราะเหตุใด ฉินอี๋เหนียงที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของนาง กลับปฏิบัติต่อนางอย่างเลวร้ายเช่นนี้
มีบางครั้งที่เหมือนว่าในแววตาของฉินอี๋เหนียงจะมีความเมตาและความรักนางวูบผ่าน แต่มันก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น
ฉินอี๋เหนียงมักสั่งสอนนางแต่เรื่องที่ไม่ดีไม่งาม สอนให้นางรู้จักแก่งแย่งชิงดีกับพี่น้องในจวน สอนให้นางลงไม้ลงมือกับบ่าวไพร่ จนกระทั่งนางมีนิสัยที่เลวร้ายและบิดเบี้ยวเช่นนี้
จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิปีนั้นฉินอี๋เหนียงเกิดล้มป่วยจนร่างกายทนไม่ไหว และต้องการขอพบเสี่ยวฮูหยินเป็นครั้งสุดท้าย
ฉินอี๋เหนียงสารภาพว่าที่คุณหนูรองหายตัวไปเป็นเพราะนางเอง เมื่อสิบกว่าปีก่อนฉินอี๋เหนียงตั้งครรภ์พร้อมเสี่ยวฮูหยิน แต่โชคร้ายบุตรสาวของนางตายตั้งแต่คลอดออกมา นางจึงวางแผนลอบสลับตัวเอาบุตรสาวที่ตายแล้วของนางไปเปลี่ยนกับบุตรสาวของฮูหยินใหญ่นั่นก็คือเสี่ยวจิ่วฮวามาเลี้ยงดูเป็นบุตรสาวของตนแทน
ฉินอี๋เหนียงแค้นใจที่เสี่ยวฮูหยินคลอดบุตรสาวที่แข็งแรงออกมา อีกทั้งยังมีบุตรชายคอยค้ำจุน แต่บุตรสาวของนางกลับตายไปเสียก่อน ฉินอี๋เหนียงอาศัยจังหวะที่ฮูหยินใหญ่หมดสติหลังคลอด สับเปลี่ยนตัวเด็ก นางซื้อตัวหมอตำแยและคนรับใช้ข้างกายเสี่ยวฮูหยินไปไม่น้อย ยามนั้นท่านพ่อของเสี่ยวจิ่วฮวาซึ่งก็คือแม่ทัพใหญ่เสี่ยวกำลังสู้กับกบฏอยู่ในสนามรบไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลเสี่ยว จึงง่ายต่อการลงมือของฉินอี๋เหนียง นางคิดเพียงว่าหากสามีรู้ว่านางคลอดบุตรมาแล้วบุตรตายจากไป นางคงไม่มีหน้าที่จะใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลเสี่ยวอย่างสงบสุขและมั่นคงได้เป็นแน่ ไหนๆ เสี่ยวฮูหยินก็มีบุตรชายอยู่คนหนึ่งแล้ว สละบุตรสาวให้นางสักคนจะเป็นอันใดไป!!!
ฮูหยินใหญ่หมดสติหลังจากคลอดบุตร ไม่ทันได้เห็นหน้าบุตรสาวของตนเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะหมดสตินางเห็นเพียงว่าหมอทำคลอดอุ้มบุตรของนางเอาไว้ บอกเพียงว่านางได้บุตรสาว และที่หัวไหล่ข้างซ้ายของทารกมีปานแดงรูปวงกลมปรากฏเด่นชัด มันเป็นปานที่เดียวกับที่ตัวนางมี เมื่อได้สติฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ยินว่าลูกรักตายจากไปเสียแล้ว หมอตรวจพบว่าทารกไม่แข็งแรงตั้งแต่อยู่ในครรภ์เมื่อคลอดออกมาจึงป่วยตาย แม่นมข้างกายบอกเสี่ยวฮูหยินว่าเด็กเกิดมาแล้วตายเช่นนี้นับว่าเป็นอัปมงคลต้องรีบนำไปฝังนางยังไม่ได้กอดลูกเลยด้วยซ้ำก็ต้องมาพรากจากกันไปเสียก่อน เสี่ยวฮูหยินเสียใจเป็นอย่างมาก ส่งผลให้สภาพจิตใจและร่างกายย่ำแย่จนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก
เดิมทีเสี่ยวฮูหยินไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย แต่ฉินอี๋เหนียงกลับบอกว่า เสี่ยวจิ่วฮวามีปานแดงอยู่ที่หัวไหล่ข้างซ้ายเช่นเดียวกับเสี่ยวฮูหยิน ยามนั้นเสี่ยวฮูหยินล้มป่วยนางที่เป็นเพียงอนุจำต้องไปปรนนิบัติดูแลจึงได้เห็นปานแดงที่หัวไหล่ข้างซ้ายของเสี่ยวฮูหยินเข้า เสี่ยวฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนทำสิ่งใดไม่ถูกร่างกายโงนเงนจวนเจียนจะเป็นลม
ฉินอี๋เหนียงที่ใกล้ตายเต็มทีส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเศร้าใจ เดิมทีนางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวฮูหยิน คิดเสียว่าต้องการให้แม่ลูกทะเลาะด่าทอเกลียดชังกันเอง มันคงจะสาแก่ใจนางยิ่งนัก
แต่เมื่อคืนนางฝันเห็นบุตรสาวที่ตายไปแล้วของนาง บุตรสาวบอกว่าอยากอยู่กับนาง รอนางอยู่เสมอ
ฉินอี๋เหนียงตื่นมาพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม นางคิดถึงบุตรสาวยิ่งนัก ตั้งแต่ลูกรักตายจากไปก็ไม่เคยมาหานางเลยสักครา แต่เมื่อคืนนางกลับฝันถึงลูกรักของนาง ฉินอี๋เหนียงจึงตัดสนสินใจบอกความจริงกับเสี่ยวฮูหยิน เผื่อว่าความจริงนี้จะชดใช้บาปกรรมที่นางเคยก่อเอาไว้ได้บ้าง เผื่อว่าการทำดีครั้งนี้จะทำให้นางได้พบกับบุตรสาวในปรโลกอีกสักครั้ง
แต่ทว่าในใจของฉินอี๋เหนียงนั้น กับเสี่ยวจิ่วฮวา แม้จะไม่ใช่บุตรของนาง แต่นางก็ยังพอมีเยื่อใยอยู่บ้าง ทั้งรักทั้งชังในคราวเดียวกัน!!!
เมื่อฉินอี๋เหนียงตายจากไป เสี่ยวฮูหยินรีบให้คนตามเสี่ยวจิ่วฮวาเข้ามาพบ ก่อนจะตรวจสอบปานแดงนั้น และพบว่าเสี่ยวจิ่วฮวามีปานแดงที่หัวไหล่ข้างซ้ายเหมือนกับนางจริงๆ!!
เสี่ยวฮูหยินมองดูเสี่ยวจิ่วฮวาก่อนจะปล่อยโฮออกมา ที่ผ่านมาแม้จะโมโหและไม่ชอบหน้าเสี่ยวจิ่วฮวามากเพียงใด แต่นางเองกลับไม่สามารถเกลียดเด็กสาวคนนี้ได้เลย แรกเริ่มไม่รู้เหตุผลว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ตอนนี้นางรู้แล้ว
มารดาจะเกลียดบุตรของตนได้อย่างไร มันคือสายใยบางๆ ที่เชื่อมแม่ลูกเอาไว้ด้วยกัน
เสี่ยวฮูหยินเองก็จัดการสืบสาวราวเรื่องหาตัวคนที่ร่วมมือกับอนุชั่ว แล้วจึงลงโทษสาวใช้ที่คิดไม่ซื่อและร่วมมือกับฉินอี๋เหนียงในครั้งนั้น แม้กระทั่งแม่นมข้างกายก็ถูกทำโทษ แม่นมบอกเพียงว่าที่ทำไปเพราะต้องการเงินไปให้ลูกชายจ่ายหนีในโรงพนันและไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวฮูหยิน อีกอย่างฉินอี๋เหนียงก็ไม่ได้เอาตัวคุณหนูรองไปทิ้งที่ใด กลับเลี้ยงอยู่ในจวนเช่นเดิม นางจึงยอมรับคำจะช่วย เสี่ยวฮูหยินเจ็บใจนัก ทั้งที่เป็นคนที่นางไว้ใจมากแต่กลับทรยศนางเพราะเงินไม่กี่ตำลึง ย่อมเก็บเอาไว้ไม่ได้!!!
นับแต่นั้นเสี่
ยวจิ่วฮวาก็กลายเป็นคุณหนูรองแห่งจวนตระกูลเสี่ยว
เสี่ยวจิ่วฮวากำมือแน่นพยายามระงับโทสะ เมื่อคิดถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนนั้นนางเองก็เริ่มจะระเบิดโทสะอีกรอบ ฉินอี๋เหนียงนังสารเลวนั่นสลับตัวนางไป ให้นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก นางอยากจะใช้มีดแทงเข้าไปในหัวใจของสตรีนางนั้น ดูว่าจิตใจของฉินอี๋เหนียงทำด้วยอะไรกันแน่!!!อย่าหวังว่าจะตายอย่างสงบสุข ข้าจะสาปแช่งเจ้าไม่ให้ได้ผุดได้เกิด แม้เจ้าตายเป็นผีข้าก็จะตามไปเอาคืนกับเจ้าให้สาสม!!!สาวใช้ในเรือนต่างก้มหน้างุดไม่กล้าเอ่ยวาจา เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นอย่างนั้นก็โมโห เริ่มระบายโทสะอีกรอบ ก่อนจะก้มลงไปหยิบผ้าสีชมพูผืนนั้นขึ้นมา และเดินตรงไปที่เรือนใหญ่ทันทีเรือนใหญ่ตะกูลเสี่ยวเมื่อเสี่ยวจิ่วฮวาเดินมาถึงก็ได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากด้านในเรือนใหญ่ มันเป็นเสียงของท่านแม่และเสี่ยวเย่วหยา ที่กำลังสนทนากันอย่างอารมณ์ดีอยู่ภายในจวนเสี่ยวเย่วหยานั้น เดิมที่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอดีตฮูหยินคนก่อน ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของนางแต่งงานกับหญิงสาวตระกูลเฉิน นั้นก็คือมารดาของเสี่ยวเย่วหยา แต่ทว่าอดีตฮูหยินเพิ่งคลอดบุตรได้เพียงหนึ่งเดือนก็สิ้นใจตายเพราะร่างกายอ่อนแอ ท่านพ่อจึงแต่งงานใหม่กับแม่ของนาง นั่นก็คือฮูหยินใหญ่
เสี่ยวเย่วหยามาดูแลเสี่ยวจิ่วฮวาทุกวัน นางทำทุกอย่างด้วยความจริงใจและไม่มีการเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวจิ่วฮวาที่ขยับตัวและพูดไม่ได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นความรู้สึกบางอย่างในใจก็ปราฏชัดเจนขึ้นมามันคือความรู้สึกละอายใจเสี่ยวเย่วหยาป้อนโจ๊กให้เสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะเอ่ย"น้องรอง เจ้ากินได้เยอะกว่าทุกวัน อีกไม่นานคงหายดีแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้าให้คนหายาดีดีมาให้เจ้าแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะต้องหายแน่นอน ท่านแม่สอนข้าว่าให้มีเมตตากับพี่น้อง รักกันให้มากๆ ท่านแม่ดีกับข้ามาก การที่ข้าได้ดูแลเจ้าก็นับว่าเป็นการตอบแทนท่านแม่ เมื่อเช้าท่านแม่มาเยี่ยมข้าในวัง ท่านแม่รู้ว่าเจ้าป่วย ข้าเองไม่กล้าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าให้ท่านแม่รู้ จึงบอกท่านเพียงว่าเจ้าล้มป่วยเพราะถูกไอเย็น ท่านแม่จึงสั่งให้คนนำยามาให้ อีกทั้งของที่เจ้าชอบกินด้วย ขอโทษนะ วันนั้นข้าไม่ได้บอกความจริงกับเจ้าเรื่องของฝ่าบาท เพราะเจ้าไล่ข้า ข้าจึงไม่ได้บอกเจ้า อีกทั้งหูตาในวังมีไม่น้อยหากข้าพูดมากไปอาจจะไม่ส่งผลดีต่อเราสองพี่น้อง หากข้าบอกเจ้าเร็วกว่านี้เจ้าก็คงไม่เจ็บตัวแบบนี้ น้องรองข้าขอโทษ เจ้าต้องรีบหายไวๆ นะ"เสี่ยวจิ่วฮวาดวงตาแดง
แคว้นผิงเป่ยรัชศกผิงอันปีที่ห้าสิบ"คุณหนูรองเจ้าคะ ตื่นเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้สายมากแล้ว หากท่านยังไม่ยอมตื่นฮูหยินใหญ่ต้องตำหนิท่านอีกเป็นแน่!!! คุณหนูรอง!!!"เสียงเรียกที่คุ้นหูทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาคู่สวยกลอกกลิ้งไปมาพลางมองดูไปโดยรอบ ก่อนจะครุ่นคิดในใจข้าตายแล้วหรือนี่ แล้วที่นี่คือที่แห่งหนใดกัน?"คุณหนู รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ"เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับสาวใช้ของนางนั่นก็คือหูเป่า เสี่ยวจิ่วฮวาลุกพรวดขึ้นมานั่ง ก่อนจะมองไปโดยรอบด้วยความตื่นตระหนกที่นีี่มัน?ห้องนอนของข้ามิใช่หรือ?ก่อนหน้านี้นางพลัดตกหน้าผาและขาดใจตายไปแล้ว พี่สาวพี่ชาย ท่านแม่ล้วนตายสิ้น ส่วนท่านพ่อก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกตลอดกาล แล้วเหตุใดข้าจึงมานอนอยู่ในห้องนอนตนเองยามนี้ได้เล่า?ยิ่งคิดเสี่ยวจิ่วฮวาก็ยิ่งปวดหนึบที่ศีรษะ นางยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง พยายามครุ่นคิดเท่าใดก็ยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิม หูเป่าที่เห็นท่าทีเช่นนี้ของผู้เป็นนายจึงรีบเอ่ยถาม"คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไป รอสักครู่บ่าวจะนำน้ำอุ่นมาให้ท่านเช็ดหน้า เผื่อว่าจะรู้
เมื่อออกมาจากเรือนใหญ่แล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับปลอบใจตนเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทางนางต้องหัดใจเย็น ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเริ่มต้น นางและท่านแม่เพิ่งจะเริ่มใกล้ชิดกัน เพราะไม่ได้เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่แบเบาะไม่ได้สนิทชิดใกล้เหมือนกับเสี่ยวเย่วหยา นั่นจึงเป็นกำแพงที่กั้นนางและผู้เป็นมารดาเอาไว้มันคงจะเป็นบททดสอบหนึ่งที่ทำให้จิตใจของนางเย็นลงได้เมื่อคิดได้อย่างนั้นนางจึงหันไปเอ่ยกับหูเป่าทันที"ข้าจะไปที่สระบัวด้านหลังจวนเสียหน่อย ไปให้อาหารปลาจิ่นหลี่ เผื่อว่าจะคิดสิ่งใดดีดีออก"หูเป่าไม่เอ่ยสิ่งใดเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวจิ่วฮวาเดินมาที่ศาลาริมสระบัว ก่อนจะให้อาหารปลาอย่างไม่รีบไม่ร้อน นางมองดูสระน้ำเบื้องหน้า มองเห็นภาพตนเองที่สะท้อนอยู่ในเงาของน้ำ ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยยังมีเวลาอีกมาก แม้การเป็นคนดีจะยากไปเสียหน่อย แต่ก็คงไม่เกินความพยายามของนางเมื่อนั่งเล่นจนเบื่อแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาจึงกลับมาที่เรือนของตนเอง เมื่อมาถึงก็พบว่ามีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ นางจำได้ว่าสาวใช้นางนี้เป็นคนของเรือนใหญ่
เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนค่ำ เสี่ยวจิ่วฮวาเผลอนอนหลับไปจนถึงตอนมืด เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย นางลุกขึ้นจากเตียงนอน ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกาชาและรินชาขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย แล้วจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดกายไปมาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเรียกหูเป่า"หูเป่า หูเป่า"หูเป่าที่ได้ยินเจ้านายเรียกก็รีบเข้ามาในห้องทันที ก่อนจะรีบก้มหน้างุด แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูรองไม่ชอบให้บ่าวไพร่สบตากับนาง หูเป่ารู้เรื่องนี้ดี เสี่ยวจิ่วฮวาถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ย"เงยหน้าขึ้นมามองข้า ข้าไม่ตีเจ้าหรอก""บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ""บอกให้เงยหน้าขึ้นมาก็ทำสิ!!!"หูเป่ารีบเงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวจิ่วฮวาทันที เสี่ยวจิ่วฮวาที่มองเห็นแววตาหวาดกลัวของหูเป่าก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปประคองหูเป่าให้ลุกขึ้นมา และเอ่ยกับสาวใช้อย่างอ่อนโยน"ต่อไปเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวข้าขนาดนี้ ข้าเองก็จะไม่เอาโทสะมาลงที่เจ้าอีก ขอเพียงเจ้าอย่าเผลอยั่วโมโหข้าจนทนไม่ไหวก็พอ"หูเป่าที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก เสี่ยวจิ่วฮวาหาวออกมา ก่อนจะเอ่ยถามหูเป่า"มีสิ่งใดกินบ้าง ข้าหิวแล้ว""บ่าวเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ""อืม"เสี่ยวจิ่วฮวาพยักหน้
เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกเหมือนว่ามีใครจ้องมองตนอยู่ นางจึงหันกลับไปมองเช่นเดียวกัน แต่กลับพบว่าไม่มีใครเสียแล้ว นางส่ายหน้าไปมาคิดว่าตนเองคงจะคิดมากเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเดินขึ้นรถม้า ก่อนจะออกเดินทางกลับจวนในทันทีระหว่างทางนางครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงเรื่องในจวนของนางเองนางจำได้ว่าตอนที่มีอายุเพียงสิบขวบปี ปีนั้นท่านพ่อเดินทางกลับจากชายแดนเพื่อมาเยี่ยมบ้านและคิดจะพาพี่ชายนางเข้าสู่เส้นทางของทหาร นั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าของท่านพ่อ ท่านพ่อของนางใจดีมาก ไม่ว่าจะเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกหรืออนุท่านพ่อก็รักไม่ต่างกัน อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์ให้นางหลายกระบวนท่า เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมีวรยุทธ์ป้องกันตนเองได้อยู่ไม่น้อย แต่น่าเสียดายในชาติก่อนนางใช้มันแบบผิดๆ เอามารังแกเสี่ยวเย่วหยาที่เรียนวรยุทธไม่ได้เรื่อง บอบบางอ่อนแอเป็นอย่างมาก นานวันเข้าสิ่งที่เรียนรู้มาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อยนับว่าเป็นโชคดีของนางก็ได้กระมัง ที่จวนตระกูลเสี่ยวไม่ได้ลำเอียงรักบุตรภรรยาเอกข่มเหงบุตรอนุเสี่ยวจิ่วฮวาดึงตนเองออกจากความคิดก่อนหน้า แล้วจึงหันมาเอ่ยกับหูเป่า"เจ้าแวะร้าน
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวากลับมาถึงจวนตระกูลเสี่ยวก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว นางสั่งให้หูเป่าแบ่งขนมไปให้แต่ละเรือนเท่าๆ กัน ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งพักผ่อนขนมถูกแบ่งออกไปให้เรือนของเสี่ยวฮูหยินและเรือนของเสี่ยวเย่วหยาตามที่เสี่ยวจิ่วฮวาสั่ง เสี่ยวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องมองขนมนั้นของเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยแววตาที่ครุ่นคิด จนสาวใช้ข้างกายทนไม่ไหวต้องเอ่ยเรียก"ฮูหยินใหญ่"เสี่ยวฮูหยินหันมามองสาวใช้ของตน ก่อนจะเอ่ย"นี่ เจ้าบอกว่าอาจิ่วส่งมาให้อย่างนั้นหรือ แล้วยังส่งไปที่เรือนของเย่วหยาด้วย""เจ้าค่ะ""ไม่ใช่ว่านางแอบใส่สิ่งใดลงไปหรอกนะ""ฮูหยินเจ้าคะ วางใจเถิด บ่าวส่งคนไปจับตาดูแล้ว พบว่าขนมนั่นคุณหนูรองก็กินเช่นกัน นางก็ปกติดีนะเจ้าคะ หากท่านไม่สบายใจ บ่าวจะชิมก่อนดีหรือไม่""ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไปเถอะ""เจ้าค่ะ"เมื่อสาวใช้ออกไปจนหมดแล้ว เสี่ยวฮูหยินก็หยิบขนมตรงหน้ามาพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากัดกินคำหนึ่ง พบว่ารสชาติไม่เลว เป็นขนมโก๋ของร้านขนมหวานจิ่นซิ่ว ร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง กินไปหลายชิ้นก็ไม่พบความผิดปกติใด นางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยจะด้วยเหตุผลอันใดก็ช่างเถิด นับว่าอาจิ่วของ
เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นว่าเหตุการณ์ชักจะไปกันใหญ่แล้ว อีกทั้งยังมาก่อเรื่องในงานวันเกิดของผู้อื่นเช่นนี้มันไม่ดีเลย นางจึงเอ่ยเตือนเสี่ยวจิ่วฮวาทันที แม้จะต้องถูกน้องสาวตอกกลับแต่นางก็ต้องพูด"อาจิ่ว เจ้าทำนางทำไมกัน ที่นี่ไม่ใช่จวนของเรานะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันมามองเสี่ยวเย่วหยา ก่อนจะเอ่ย"นางด่าเจ้าโง่ เจ้าก็ยอมรับอย่างนั้นหรือ เป็นเช่นนี้จะสู้รบตบมือกับผู้ใดได้ หากโดนรังแกมากกว่านี้จะทำเช่นไร!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาแม้ไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ทว่าไป๋หล่างที่กำลังเดินเข้ามาพอดีกลับได้ยินชัดเจน เมื่อครู่เขาเดินไปหยิบขนมดอกกุ้ยมาให้เสี่ยวเย่วหยา แต่เมื่อมาถึงกลับได้ยินเสียงทะเลาะกันเขาจึงรีบเดินมาดู เขาหรี่ตามองเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าเสี่ยวจิ่วฮวานางนี้จะมีใจปกป้องเสี่ยวเย่วหยาขึ้นมาหรือว่าทำดีเอาหน้า?เสี่ยวเย่วหยามองน้องสาวด้วยสายตาตกตะลึงเช่นเดียวกัน เดิมทีคิดว่าคงถูกเสี่ยวจิ่วฮวาฉีกหน้ากลางงานว่าเสนอหน้ามาสั่งสอน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นหลินซินหลันโมโหแล้ว นางอับอายยิ่งนัก จังเอ่ยต่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวาอย่างไม่ไว้หน้า"นังคนชั้นต่ำ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ผิดชอบชั่วดี ถูกเลี้ยงดู
รัชศักหมิงซีปีที1เติ้งหมิงซีขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น เขาแต่งตั้งไป๋หล่างให้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมขุนนางต่อจากบิดาของตน คอยตรวจสอบความประพฤติไม่ชอบของพวกขุนนางและจัดการได้ตามกฎหมายในทันที ส่วนเสี่ยวไป่ฟงนั้นเติ้งหมิงซีแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่เสี่ยวแทนบิดาเพราะว่ายามนี้แม่ทัพใหญ่เสี่ยวแก่ชรามากแล้วและอยากวางมือเสียทีจึงให้เสี่ยวไป่ฟงรับหน้าที่แม่ทัพใหญ่เสี่ยวต่อจากตน และเติ้งหมิงซียังมอบตำแหน่งท่านโหวให้แก่จวนตระกูลเสี่ยวอีกด้วย เท่ากับว่ายามนี้แม้อดีตแม่ทัพใหญ่เสี่ยวจะวางมือแต่พราะมีความดีความชอบมาช้านานจึงได้ตำแหน่งท่านโหว ยังคงมีผู้คนนับถือ และตำแหน่งนี้สามารถสืบทอดต่อทายาทในตระกูลได้อีกด้วยด้านหลี่จิ่งนั้น ในการสอบเค่อจวี่ครั้งนี้ เขาสอบได้ตำแหน่งจอหงวน ได้เข้ามาทำงานในราชสำนักตามที่วาดหวังเอาไว้ โดยเติ้งหมิงซีให้ไปลองทำงานที่สำนักฮั่นหลินดูก่อน หากหลี่จิ่งมีความสามารถจริงย่อมได้เลื่อนตำแหน่งตามความเหมาะสมหยางซู่ซู่เองก็ตั้งครรภ์แล้ว ส่วนเสี่ยวเย่วหยานั้นคลอดบุตรชายอย่างราบรื่น แต่เพราะว่าร่างกายอ่อนแอจึงต้องพักฟื้นสักระยะ เสี่ยวจิ่วฮวาสั่งให้คนนำยาบำรุงไปมอบให้เสี่ยวเย่วหยาหลายอย่าง
สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เสี่ยวจิ่วฮวายามนี้กำลังนอนอยู่บนทะเลหิมะน้ำแข็งที่หนาวจับใจ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พบว่ายามนี้ตนเองนอนอยู่ที่เดิมที่เคยตายเมื่อชาติที่แล้ว หิมะทับถมเป็นกองสูงอยู่บนตัวนางข้าฝันหรือไร!!นางครุ่นคิดด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นางถูกเติ้งเจี๋ยจับไป ด้วยความที่หวาดกลัวจนสติแตกและถูกด้านมืดในจิตใจครอบงำ นางจึงสังหารเขาอย่างเลือดเย็นหลังจากนั้นนางก็สลบไปนางตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองนอนอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น หิมะตกโปรยปรายลงมาไม่หยุดช่างหนาวเหลือเกิน!!เสี่ยวจิ่วฮวาหลับตาลง พยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหวังว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครานางจะออกจากที่นี่ไปได้แต่มันกลับไม่ใช่ที่นี่เปรียบเสมือนกรงขังที่ไร้ทางออก พาให้นางจมดิ่งลงลงสู่ห้วงที่ลึกที่สุดในจิตใจของตนเองเสี่ยวจิ่วฮวาพยายามลุกขึ้นก่อนจะเดินโซเซไปตามทางที่มืดทึบ หนทางช่างมืดเหลือเกินมองไปไม่เห็นสิ่งใด ฉับพลันนางได้ยินเสียงของเติ้งหมิงซีเอ่ยเรียกชื่อนางมาตามสายลม"อาจิ่ว เจ้ารีบฟื้นเร็วเข้า ข้ารอเจ้าอยู่นะ""อาหมิง!!! อาหมิงช่วยข้าด้วย ข้าออกไปไม่
เติ้งหมิงซีอุ้มเสี่ยวจิ่วฮวาเข้ามาในรถม้า ก่อนจะสั่งให้คนหาผ้าชุบน้ำสะอาดมาให้เขา ก่อนจะบรรจงเช็ดตามใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยนก่อนหน้านี้เขาพยายามไล่ตามเติ้งเจี๋ยอย่างไม่ลดละ แต่เติ้งเจี๋ยกลับรวดเร็วยิ่งกว่า เพียงไม่นานก็หายไปจากสายตาของเขา ในขณะที่กำลังร้อนรนและตามหาเสี่ยวจิ่วฮวาอยู่นั้นก็ได้พบกับเจียงซวี่เสียก่อนเจียงซวี่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากมาย บอกเพียงให้เขาตามไป ก่อนจะพบว่าเติ้งเจี๋ยพาเสี่ยวจิ่วฮวามาที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังนี้เติ้งเจี๋ยลอบซื้อเอาไว้ คาดว่าน่าจะซื้อเอาไว้เพื่อลักลอบทำเรื่องบางอย่างเจียงซวี่บอกเพียงว่าคนตระกูลเจียงถูกทหารของกบฏสังหารเกือบหมด เหลือรอดเพียงไม่กี่คน เติ้งหมิงซีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ครั้งนี้บิดาของฉินฮองเฮาคงแค้นเติ้งเจี๋ยมาก ถึงกับเข้าฝั่งกบฏและนัดแนะให้ทหารกบฏเข้ามาสังหารคนของเติ้งเจี๋ยล้างตระกูลและทำลายบ้านเมืองเช่นนี้ ความแค้นมันน่ากลัวมากจริงๆแต่อย่างไรก็ต้องขอบใจเจียงซวี่ที่ช่วยเหลือเขาในครั้งนี้จนได้พบกับเสี่ยวจิ่วฮวา ทั้งที่ตนเองก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้สร้างความตกใจให้แก่เขาไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าเสี่ยวจิ่วฮวาจะสังหาร
รถม้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืด เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามไม่มองหน้าเติ้งเจี๋ย ส่วนบุรุษตรงหน้าก็เอาแต่จ้องมองนางอย่างไม่ลดละ สายตานั่นมันทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาอึดอัด ทั้งอึดอัดทั้งรังเกียจและหวาดหวั่นในคราวเดียวกันภาพที่เขาทำกับนางในชาติก่อนมันสร้างบาดแผลในใจให้แก่นางอย่างไม่อาจลืมเลือนทำให้นางกลัวการนอนกับสามีตนเอง นางเหมือนคนที่สติไม่อยู่กับตัวต้องคอยฟวาดระแวงลืมอดีตไปจากใจไม่ได้นางเกลียดเติ้งเจี๋ย!!เติ้งเจี๋ยที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวาไม่สนใจตน จึงยื่นมือมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เพราะเสี่ยวจิ่วฮวาขัดขืนเขาจึงออกแรงกับนางอย่างไม่ปรานีปราศัย"เกลียดข้ามากนักหรือ อีกไม่นานข้าก็จะได้ชื่อว่าเป็นสามีของเจ้าแล้ว!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเติ้งเจี๋ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลน"ข้าไม่ใช่ภรรยาของเจ้า ข้ามีสามีแล้ว คนต่ำช้าเช่นเจ้าคิดจะแย่งภรรยาผู้อื่นไม่อับอายบ้างหรือไร ถุย!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาถุยน้ำลายใส่ใบหน้าของเติ้งเจี๋ยอย่างไม่แยแส ทว่าเติ้งเจี๋ยกลับไม่โกธร เขาใช้ปลายนิ้วมือขึ้นเช็ดน้ำลายของนาง ก่อนจะอ้าปากงับนิ้วของตนและดูดดื่มกับน้ำลายของนางที่เปื้อน
พ่อบ้านเหรินพาเสี่ยวจิ่วฮวาวิ่งมาจนถึงด้านนอกจวนอ๋อง ก่อนจะวิ่งฝ่าความมืดลัดเลาะไปตามเส้นทางลับก่อจจะมาถึงยังรถม้าที่จอดอยู่ข้างร้านเครื่องประทินโฉม ยามนี้ทหารกบฏถูกท่านอ๋องควบคุมได้แล้ว ทางจึงสะดวกขึ้นมา เสี่ยวจิ่วฮวาหันมามองหูเป่าและเหล่าสาวใช้ที่วิ่งหนีตามกันมา ก่อนจะเอ่ย"รีบไปกันเถอะ!!ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องจะต้องรับมือได้"เมื่อเอ่ยจบนางก็กำลังจะก้าวขึ้นรถม้า แต่ทว่ากลับมีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาสังหารสาวใช้ของนางตกตายไปหลายคน เสี่ยวจิ๋วฮวารีบหันกลับไปมอง ก่อนจะอุทานออกมา"เติ้งเจี๋ย!!!"นี่เขายังไม่ตายหรือ แล้วหนีรอดมาได้เช่นไร!!!เติ้งเจี๋ยหนีออกมาพร้อมกับองค์รักษ์ลับของตน เป้าหมายของเขาคือตามหาเสี่ยวจิ่วฮวาให้พบ ยามนี้เขาได้พบกับนางแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งเจี๋ยจึงก้าวเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวาในทันที แต่ทว่าพ่อบ้านเหรินกลับสั่งให้องค์รักษ์ที่ติดตามมาด้วย ขวางทางเขาเอาไว้ เติ้งเจี๋ยปรายตามองพ่อบ้านเหรินก่อนจะเอ่ย"หากไม่อยากตายก็ส่งนางมา นางเป็นของข้า!!!"พ่อบ้านเหรินส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท พระองค์พูดผิดแล้ว นางคือพระชายาของท่านอ๋อง เป็นนายหญิงของข้า ท่านต่างหากที่ต้องไ
รัชศก เจี๋ย ปีที่1หลังจากที่คัดเลือกสาวงามเข้าวังไปไม่นาน ก็มีข่าวออกมาว่ามีขุนหลายกลายตระกูลที่เกิดเรื่อง บ้างก็ถูกสังหารทิ้ง บ้างก็หลีกหนีออกไปจากเมืองหลวง บางครอบครัวที่ยากจนก็ถูกทหารทุบตีเพราะมาร้องทุกข์ต่อศาลต้าหลี่ว่าบุตรสาวตกตายอย่างไม่เป็นธรรมข้าวของเครื่องใช้แพงจนไม่อาจจับต้อง สินค้าบางอย่างหายากยิ่ง ข้าวสารแทบจะไม่มีเหลือให้กินให้ใช้ ราษฎรลำบากยากแค้น ในขณะที่เติ้งเจี๋ยซึ่งอยู่ในวังหลวงกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญบนความทุกข์ยากของราษฎรอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านคิดว่าเขาไม่เจ็บแค้นที่มองเห็นราษฎรทุกข์ยากหรือ ทุกครั้งเขาแอบส่งคนไปช่วยเหลือครอบครัวเหล่านั้นครั้งแล่วครั้งเล่า ต้องทนเห็นมารดาของพวกนางกรีดร้องเพราะต้องสูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รัก บิดาเป็นบ้าหลังจากที่ทราบว่าบุตรสาวที่ถูกคัดเลือกเข้าวังหลวงต้องมาตายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ชาวบ้านร้องไห้เพราะความอดอยาก เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วทั้งเมืองหลวงถึงเวลาแล้วเติ้งเจี๋ยที่เจ้าจะต้องตายเสียที!!!กลางดึกคืนนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาถูกปลุกขึ้นมากลางดึก นางงัวเงียลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าเป็นเติ้งหมิงซีนั่นเอง"อาหมิง ปลุกข้าทำไมกัน"เสี่ยวจ
จากการสืบหาความจริงของไป๋หล่างและองค์รักษ์ลับที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงของจวนอ๋อง ท้ายที่สุดเพียงสามวันก็สืบพบว่าเป็นฝีมือของผู้ใด"เป็นฝีมือของฉินฮองเฮาอย่างนั้นหรือ""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เติ้งหมิงซีที่ได้ยินเช่นนั่นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง สตรีนางนั้นถึงกับกล้าเล่นไม่ซื่อกับของขวัญที่เติ้งเจี๋ยมอบให้เสียวจิ๋วฮวา ช่างอาจหาญไม่เบาเลยอยู่บนตำแหน่งฮองเฮาดีดีไม่ชอบ ได้!!! ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเองด้านเสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะจำฉินฮองเฮานางนั้นได้ ก่อนหน้านี้สตรีผู้นี้คือพระชายาเอกของเติ้งเจี๋ยไม่เคยคิดเลยว่าฉินฮองเฮาจะลงมือกับนางเช่นนี้ หรือว่าฉินกุ้นเฟยจะรู้ว่าเติ้งเจี๋ยคิดเช่นไรกับนางจึงต้องการสังหารนางทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหัวใจอย่างนั้นหรือเสี่ยวจิ่วฮวาที่คิดได้เช่นนั้นแววตาก็เย็นเยียบ นางไม่เคยอยากมีปัญหากับผู้ใด แต่คนพวกนั้นกลับนำปัญหามาให้นาง ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเช่นนี้มันออกจะเลือดเย็นไปหน่อยกระมังเติ้งหมิงซีที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวานิ่งเงียบไป ก็รีบเอ่ยกับนางอย่างเป็นห่วง"เจ้าไม่ต้องกลัว คืนนี้ข้าจะส่งคนไปลอบสังหารนาง คนของข้าทำงานไม่ผิดพลาดแน่ ต่อไปนี้นางจะไม่สามารถทำร้ายเจ้าไ
หลังจากที่ฮ่องเต้เติงผิงอันสวรรคตไปแล้ว เหตุการณ์หลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย เจียงฮองเฮายามนี้ได้ถูกแต่งตั้งเป็นเจียงไทเฮา เสพสุขอำนาจวาสนาไม่จบไม่สิ้น ส่วนเติ้งเจี๋ยก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ยามนี้ยังอยู่ในการไว้ทุกข์ แต่มันก็เป็นเพียงการสร้างฉากบังหน้าขึ้นมาเพียงเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ ภายในตำหนักมังกรสวรรค์ยามนี้มีศพของสตรีคนแล้วคนเล่าถูกหามออกไป บางคนไม่ตายก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเป็นเช่นนี้ทุกวันจนสร้างความหวาดหวั่นให้แก่เหล่าสตรีในวังหลวงไม่น้อย นางสนมในอดีตฮ่องเต้ที่ยังสาวบางคนถูกเติ้งเจี๋ยเรียกมาปรนนิบัติเขาไม่สนใจกฎระเบียบอันใดเลยแม้แต่น้อย ส่วนเจียงไทเฮาก็ไม่สนใจสิ่งใดเพราะคิดว่าสิ่งไหนเป็นความสุขของบุตรชายนางก็ไม่อยากจะขัดขวาง"ฮองเฮาเพคะ ทรงเสวยสิ่งใดบ้างเถิดเพคะ"เสียงของนางกำนัลเอ่ยขึ้นมาด้วยความจนใจ ก่อนจะวางอาหารลงตรงหน้าฉินฮองเฮาฉินฮองเฮานางนี้เดิมทีคือพระชายาเอกของเติ้งเจี๋ย ก่อนหน้านี้นางหมายมั่นเอาไว้ว่าอำนาจจะต้องอยู่ในมือของนาง เติ้งเจี๋ยจะต้องรักใร่โปรดปราณนางไปตลอดชีวิต อีกอย่างนางกับเติ้งเจี๋ยเองก็มีรสนิยมในเรื่องเช่นนั้นเหมือนกัน เขาชอบกระทำควา
เสี่ยวจิ่วฮวาหลังจากแต่งงานก็เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาเยี่ยมจวนครั้งนี้นางพบว่ามารดาของนางไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเท่าแต่ก่อนอีก เพราะได้รู้แล้วว่าความจริงเติ้งหมิงซีไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ มารดากำชับนางหลายประโยคให้ระวังตนเองให้ดีและอย่าละเลยหน้าที่ของภรรยาเป็นอันขาด นางพยักหน้ารับและจดจำคำสอนของมารดาเอาไว้ทุกคำยามนี้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงค่อนข้างเย็นไม่น้อยเลย หิมะเริ่มตกโปรยปรายมากขึ้น วันนี้เสี่ยวจิ่วฮวาจึงมาทำซุปเนื้อในโรงครัวกินเพื่อคลายความหนาวพ่อบ้านเหรินที่เดินมาพอดี ก็ปรายตามองเสี่ยวจิ่วฮวาคราหนึ่ง เดิมทีเขาไม่ชอบเสี่ยวจิ่วฮวาแต่เพราะคำสั่งของเติ้งเจี๋ยก่อนหน้านี้ที่กำชับเขาว่าห้ามทำให้นางลำบากใจ เขาจึงไม่อาจล่วงเกินนางได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเดินเข้ามาหานางก่อนจะเอ่ย"พระชายา หากทรงต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องลงมาทำด้วยตนเองเช่นนี้ หากเกิดสิ่งใดขึ้น หรือเกิดความเสียหายในจวนอ๋อง เกรงว่าท่านคงรับผิดชอบไม่ไหว"เขาเอ่ยอย่างเย็นชา เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย"ข้าจะทำซุปเนื้อกินเสียหน่อย ให้สา