แคว้นผิงเป่ย
รัชศกผิงอันปีที่ห้าสิบ
"คุณหนูรองเจ้าคะ ตื่นเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้สายมากแล้ว หากท่านยังไม่ยอมตื่นฮูหยินใหญ่ต้องตำหนิท่านอีกเป็นแน่!!! คุณหนูรอง!!!"
เสียงเรียกที่คุ้นหูทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาคู่สวยกลอกกลิ้งไปมาพลางมองดูไปโดยรอบ ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ข้าตายแล้วหรือนี่ แล้วที่นี่คือที่แห่งหนใดกัน?
"คุณหนู รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ"
เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาต้องหันไปมอง ก่อนจะพบกับสาวใช้ของนางนั่นก็คือหูเป่า เสี่ยวจิ่วฮวาลุกพรวดขึ้นมานั่ง ก่อนจะมองไปโดยรอบด้วยความตื่นตระหนก
ที่นีี่มัน?
ห้องนอนของข้ามิใช่หรือ?
ก่อนหน้านี้นางพลัดตกหน้าผาและขาดใจตายไปแล้ว พี่สาวพี่ชาย ท่านแม่ล้วนตายสิ้น ส่วนท่านพ่อก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกตลอดกาล แล้วเหตุใดข้าจึงมานอนอยู่ในห้องนอนตนเองยามนี้ได้เล่า?
ยิ่งคิดเสี่ยวจิ่วฮวาก็ยิ่งปวดหนึบที่ศีรษะ นางยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง พยายามครุ่นคิดเท่าใดก็ยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิม หูเป่าที่เห็นท่าทีเช่นนี้ของผู้เป็นนายจึงรีบเอ่ยถาม
"คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไป รอสักครู่บ่าวจะนำน้ำอุ่นมาให้ท่านเช็ดหน้า เผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้น"
หูเป่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นก็ถูกเสี่ยวจิ่วฮวาคว้าจับแขนเอาไว้ สาวใช้น้อยหันกลับมามองผู้เป็นนายด้วยแววตาที่หวาดหวั่น นี่มิใช่ว่าเพราะถูกนางปลุกจนทำให้คุณหนูรองอารมณ์เสียแล้วจะพาลมาตบตีนางหรอกนะ
เสี่ยวจิ่วฮวามัวแต่ครุ่นคิดจนไม่ทันสังเกตท่าทีหวาดกลัวของหูเป่าเลยแม้แต่น้อย
"หูเป่า ยามนี้รัชศกใด?"
หูเป่าที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น นี่คุณหนูรองนอนเยอะไปจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรือ
แม้ในใจจะสงสัยแต่หูเป่ากลับไม่กล้าชักช้ารีบเอ่ยตอบทันที
"รัชศกผิงอันปีที่ห้าสิบเจ้าค่ะ"
รัชศกผิงอันปีที่ห้าสิบอย่างนั้นหรือ?
เสี่ยวจิ่วฮวาลุกพรวดพราดจากเตียงนอน ก่อนจะวิ่งออกไปที่ด้านนอกทันที
เมื่อวิ่งออกมา นางก็มองเห็นว่าตอนนี้ดอกหลานฮวากำลังออกดอกงดงามยิ่งนัก ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยร่มไม้เขียวขจี ชิงช้าที่ผูกอยู่ใต้ต้นไม้แกว่งไกวไปมาตามสายลม เสี่ยวจิ่วฮวาดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
รัชศกผิงอันปีที่ห้าสิบ ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น ปีที่นางมีอายุเพียงสิบสี่ปี ปีที่ฉินอี๋เหนียงเพิ่งจะตายจากไป ปีที่นางได้รู้ว่าตนเองคือบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ปีที่ยังไม่เกิดโศกนาฏกรรรมเลวร้ายขึ้น!!!
เสี่ยวจิ่วฮวายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา อีกทั้งยังหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นหยิกเอวตนเองเต็มแรงเพื่อให้แน่ใจว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่เพียงความฝันตื่นหนึ่งและอาจจะมลายหายไป ความเจ็บทำให้นางได้สติแจ่มชัดมากกว่าเดิม
สวรรค์ สวรรค์ยังเมตตาข้าอยู่ใช่หรือไม่!!!
เสี่ยวจิ่วฮวามองไปยังเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาที่แท้จริงของนาง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
ท่านแม่เจ้าคะ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!
เมื่อตั้งสติและรับรู้ได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด เสี่ยวจิ่วฮวาจึงรีบกลับเข้ามาในห้องนอน และสั่งให้หูเป่าเตรียมน้ำมาให้นางล้างหน้า ก่อนจะรีบอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ทันที เมื่อรับอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็รีบไปเรือนใหญ่อย่างไม่รอช้า
เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามเก็บความลนลานในใจของตนเองและทำตัวให้เป็นปกติ การย้อนเวลากลับมาในครั้งนี้กระทันหันมากเกินไป นางยังไม่ทันได้เตรียมใจวางแผนตั้งรับสิ่งใดก็พบว่าตนเองได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่ีอายุเพียงสิบสี่ปีเสียแล้ว
เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นต่อไปนางไม่อาจควบคุมมันได้และยังไม่มีแผนรับมือในตอนนี้ แต่สิ่งที่นางจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ การทำตัวใหม่ ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปในทางที่ดี ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยว่ากันเถอะ!!!
เสี่ยวจิ่วฮวามองไปโดยรอบ ตอนนี่ทั่วทั้งจวนบ่าวไพร่กำลังเดินไปมา บ้างก็ไปทำความสะอาดสวน บ้างก็คอยเก็บกวาดเช็ดถูตามส่วนต่างๆ ของเรือน แต่ทว่าเมื่อเหล่าบ่าวรับใช้เห็นนางก็แทบจะไม่กล้าสบตา พากันทำความเคารพและก้มหน้างุด เสี่ยวจิ่วฮวาส่งเสียงเฮอะในลำคอ นางรู้ดีวาเพราะเหตุใดบ่าวรับใช้จึงมีท่าทีหวาดกลัวนางถึงเพียงนี้
ในชาติก่อนนั้นมีสาวใช้น้อยนางหนึ่งมองนาง เพียงแค่มองเท่านั้นแต่นางกลับไม่ชอบใจเสียแล้ว ถึงกับสั่งตบปากสาวใช้น้อยจนเลือดกลบปาก และบอกว่าอย่าคิดมาจ้องมองหน้านาง หัดรู้จักที่ต่ำที่สูงเจียมกะลาหัวเสียบ้าง!!!
เสี่ยวจิ่วฮวาหลับตาลง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เสี่ยวจิ่วฮวาเอ๋ย เขาก็แค่มองเจ้า ไม่ได้ทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บแค้นขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่น้อย!!
หากชาติก่อนข้าคิดได้เช่นนี้ ชีวิตข้าคงไม่จมปลักอยู่กับความทะเยอทะยานและริษยาที่นำพาข้าไปสู่หายนะและความน่าหวาดกลัว
หูเป่าที่เดินตามเจ้านายก็หวาดหวั่นไม่น้อย นางเกรงว่าจะมีสาวใช้บางคนมายั่วโทสะคุณหนูรองเข้าจนเกิดการลงไม้ลงมือแล้วเสี่ยวฮูหยินอาจจะทำโทษคุณหนูรองได้
เสี่ยวจิ่วฮวาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงเรือนใหญ่ ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปด้านในนางก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสาวใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู
"ไปแจ้งท่านแม่ว่าข้ามาแล้ว"
หูเป่าหันขวับมามองเสี่ยวจิ่วฮวาทันที พร้อมกับสงสัยไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรหากมาที่เรือนของเสี่ยวฮูหยินคุณหนูรองไม่เคยบอกกล่าว นึกจะเข้าไปก็เข้าไม่สนใจกฎระเบียบหรือสิ่งใด แต่วันนี้กับบอกสาวใช้ให้ไปแจ้งฮูหยินใหญ่ก่อน
หรือว่านอนหลับมากไปจนสติพิกลพิการไปเสียแล้ว!!!
เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นท่าทีสงสัยของสาวใช้ก็เอ่ยขึ้นมาทันที
"ทำไม ข้าสั่งพวกเจ้าก็ไม่ทำหรือ"
"ทำเจ้าค่ะ!!!บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้"
เมื่อสาวใช้เข้าไปแจ้งเสี่ยวฮูหยินแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ปรายตามองหูเป่า ก่อนจะเอ่ย
"เหตุใดทำหน้าเช่นนั้น นี่เจ้ากำลังสงสัยว่าเหตุใดวันนี้ข้าจึงมีมรรยาทมากกว่าทุกวันใช่หรือไม่"
"เอ่อ บ่าวไม่กล้า"
"ปากบอกไม่กล้า แต่แววตาเจ้ามันฟ้อง"
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!!!”
"เอาเถิด!! จะมาบ่าวผิดบ่าวไม่ผิดอันใดกัน ข้าแค่ถามไม่ได้จะฆ่าเจ้าเสียหน่อย ทำไมกัน แค่คุณหนูของเจ้าอยากจะเป็นคนดีดูบ้างเจ้าว่ามันแปลกหรือ"
"ไม่เจ้าค่ะ"
เสี่ยวจิ่วฮวายิ้มออกมาเล็กน้อย หูเป่าที่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเสี่ยวจิ่วฮวาเช่นนี้ก็ขนลุกขนชันขึ้นมาทันที
ทุกครั้งที่คุณหนูรองยิ้มเช่นนี้จะต้องมีคนเจ็บตัวเสมอ!!
รออยู่ไม่นานสาวใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าเสี่ยวฮูหยินให้เสี่ยวจิ่วฮวาเข้าไปได้ นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงบอกให้หูเป่ารออยู่ด้านนอก ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนใหญ่
เสี่ยวฮูหยินที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าเมื่อเห็นว่าบุตรสาวเดินเข้ามาแล้วก็วางงานปักในมือลง ก่อนจะเอ่ย
"วันนี้เจ้านึกสนุกอันใดกัน จึงทำตามกฎระเบียบที่ข้าเคยสอน ทุกครั้งข้าเห็นเจ้านึกอยากจะเข้าออกเรือนใดก็ไปตามใจชอบ"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"เมื่อคืนวิญญาณบรรพบุรุษมาเข้าฝันข้าน่ะเจ้าค่ะ บอกว่าให้ทำดีกับท่านแม่หน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นลูกรักของท่าน"
เสี่ยวฮูหยินที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ย
"นี่เจ้ากล้าเอาวิญญาณบรรพบุรุษมาล้อเล่นเชียวหรือ เจ้านี่มัน!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาลอบไว้อาลัยให้ตนเองในใจ ปากนางนี่มันไม่มีหูรูดจริงๆ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะพูดดีดีกับท่านแม่แต่นางกลับละทิ้งนิสัยต่อปากต่อคำไม่ได้
จะว่าไปแล้วคนที่น่าโดนตบฟันร่วงไม่น่าใช่สาวใช้ น่าจะเป็นนางเองมากกว่า!!!
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ถูกดุด่าก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางปรายตามองเสี่ยวเย่วหยาที่ตอนนี้กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าในมือของละเมียดละไม พลันภาพเก่าๆ ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ภาพที่เสี่ยวเย่วหยาป้อนข้าวป้อนน้ำป้อนยาให้นาง ภาพที่เสี่ยวเย่วหยาตายอย่างไม่เป็นธรรมเพราะปกป้องนางและท่านแม่ ภาพที่นางทำร้ายพี่สาวแต่พี่สาวคนนี้กลับไม่เคยต่อว่านางเลยสักคำ
ฉับพลันเสี่ยวจิ่วฮวาก็รู้สึกว่าดวงตาของตนร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ นางเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ตอนนี้จะแสดงท่าทีลึกซึ้งสำนึกผิดก็คงยังไม่ใช่เวลา
เสี่ยวเย่วหยาปีนี้ก็มีอายุยี่สิบปีแล้ว แต่เพราะสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงให้ออกเรือนล่าช้ากว่าสตรีจวนอื่นๆ ตั้งแต่เล็กสุขภาพของนางก็สู้ แต่เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเสี่ยวฮูหยินสองสามปีมานี้สุขภาพของนางจึงดีขึ้นมาก ได้ยินมาว่าเสี่ยวฮูหยินเองก็เริ่มจะมองหาบุรุษที่ดีให้นางบ้างแล้ว
เสี่ยวเย่วหยาที่ถูกน้องสาวจ้องมองก็ทำตัวไม่ถูก นางรีบก้มหน้างุด หลีกเลี่ยงการปะทะกับเสี่ยวจิ่วฮวา วันก่อนเพราะสาวใช้นางใจกล้าทนเห็นนางถูกเสี่ยวจิ่วฮวารังแกไม่ได้จึงต่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวาอย่างไม่รู้จักกฎระเบียบ จึงถูกเสี่ยวจิ่วฮวาสั่งโบยปางตาย
นางรู้ตัวดีว่านางเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอดีตฮูหยิน ไร้ที่พึ่งพา จะสู้บุตรสาวที่แท้จริงของฮูหยินคนใหม่ได้อย่างไรกัน
เสี่ยวฮูหยินปรายตามองท่าทีของเสี่ยวจิ่วฮวาก่อนจะถอนหายใจออกมา บุตรสาวที่แท้จริงของนางคนนี้ถูกฉินอี๋เหนียงเลี้ยงดูจนเสียนิสัยไปแล้ว มีหรือนางจะไม่รู้ว่าเสี่ยวจิ่วฮวาๆ วันนอกจะเอาแต่แต่งหน้าแต่งตัวแล้ว ยังชอบทุบตีบ่าวไพร่ หาเรื่องพี่สาว ใช้เงินมือเติบ ชอบออกไปแต่งตัวยั่วยวนบุรุษที่นอกจวน นางปวดหัวยิ่งนัก นี่ก็พยายามอบรมสั่งสอนมาร่วมหลายเดือนแล้วตั้งแต่ที่ฉินอี๋เหนียงตายจากไป แต่เสี่ยวจิ่วฮวาก็ยังไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งนานวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ!!!
ยิ่งได้เห็นท่าทีตอนนี้ของบุตรสาวที่แสร้งทำเป็นดวงตาแดงก่ำ นางก็ยิ่งปวดหัว
"อาจิ่ว เจ้าไม่ต้องมาทำท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ วันก่อนที่เจ้าทำร้ายคนของพี่สาวเจ้าข้ายังไม่ได้กล่าวโทษเจ้าเลย เป็นเจ้านายคนเหตุใดไม่มีเมตตาบ้างเล่า ฉินอี๋เหนียงสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ!!!"
"ท่านแม่ อย่าตำหนิน้องรองเลยเจ้าค่ะ คนของลูกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เป็นบ่าวไม่ควรล่วงเกินนาย ถูกน้องรองสั่งสอนก็ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ"
เสี่ยวเย่วหยารีบเอ่ยขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยแววตาไม่สบายใจเท่าใด
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็กำมือแน่น ทุกครั้งที่ดุด่าท่านแม่ต้องเอาฉินอี๋เหนียงขึ้นมาอ้าง เหมือนต้องการจะย้ำเตือนนางอย่างไรอย่างนั้น โทสะในใจของเสี่ยวจิ่วฮวาเริ่มพลุ่งพล่าน แต่นางพยายามเก็บกดมันเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
"ข้าลงมือหนักไปหน่อย ต้องขออภัยพี่หญิงใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ หากคนของพี่หญิงใหญ่ไม่พอใช้ ข้าจะมอบสาวใช้ของข้าทดแทนให้ท่านคนหนึ่ง หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน"
นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกไป เสี่ยวเย่วหยาขมวดคิ้วมุ่น เสี่ยวด้านฮูหยินก็แปลกใจเช่นกัน บุตรสาวตัวดีของนางวันนี้นอกจะรู้มรรยาท ไม่อาละวาดทุบตีคนแล้ว อีกทั้งยังมีน้ำใจจะมอบสาวใช้ให้เสี่ยวเย่วหยาอีกต่างหาก
นางมีแผนใดอยู่ในใจกันแน่!!!
เสี่ยวฮูหยินถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปเอ่ยกับเสี่ยวเย่วหยา
"เย่วหยา เจ้าอย่าถือโทษนางเลยนะ แม่จะชดเชยให้เจ้าเอง"
"ท่านแม่ ลูกบอกแล้วว่าไม่ใช่ความผิดของน้องรองเลยเจ้าค่ะ นางคงน้อยใจจึงเดินออกไปเช่นนั้น"
เสี่ยวฮูหยินไม่เอ่ยสิ่งใด ทั้งที่ในใจร้อนรนไม่น้อย ครั้งนี้ที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวาไม่อาละวาดอีกทั้งยังเดินออกไปโดยไม่มองนางอีก ในใจของนางก็ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเสี่ยวฮูหยินจึงหันไปเอ่ยกับสาวใช้ของตนทันที
"เจ้าไปที่ห้องครัว ทำของกินไปส่งที่เรือนของคุณหนูรองมากหน่อย"
"เจ้าค่ะฮูหยิน"
เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาปักผ้าเช็ดหน้าในมือต่อไป
เมื่อออกมาจากเรือนใหญ่แล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับปลอบใจตนเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทางนางต้องหัดใจเย็น ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเริ่มต้น นางและท่านแม่เพิ่งจะเริ่มใกล้ชิดกัน เพราะไม่ได้เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่แบเบาะไม่ได้สนิทชิดใกล้เหมือนกับเสี่ยวเย่วหยา นั่นจึงเป็นกำแพงที่กั้นนางและผู้เป็นมารดาเอาไว้มันคงจะเป็นบททดสอบหนึ่งที่ทำให้จิตใจของนางเย็นลงได้เมื่อคิดได้อย่างนั้นนางจึงหันไปเอ่ยกับหูเป่าทันที"ข้าจะไปที่สระบัวด้านหลังจวนเสียหน่อย ไปให้อาหารปลาจิ่นหลี่ เผื่อว่าจะคิดสิ่งใดดีดีออก"หูเป่าไม่เอ่ยสิ่งใดเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวจิ่วฮวาเดินมาที่ศาลาริมสระบัว ก่อนจะให้อาหารปลาอย่างไม่รีบไม่ร้อน นางมองดูสระน้ำเบื้องหน้า มองเห็นภาพตนเองที่สะท้อนอยู่ในเงาของน้ำ ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยยังมีเวลาอีกมาก แม้การเป็นคนดีจะยากไปเสียหน่อย แต่ก็คงไม่เกินความพยายามของนางเมื่อนั่งเล่นจนเบื่อแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาจึงกลับมาที่เรือนของตนเอง เมื่อมาถึงก็พบว่ามีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ นางจำได้ว่าสาวใช้นางนี้เป็นคนของเรือนใหญ่
เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนค่ำ เสี่ยวจิ่วฮวาเผลอนอนหลับไปจนถึงตอนมืด เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย นางลุกขึ้นจากเตียงนอน ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกาชาและรินชาขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย แล้วจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดกายไปมาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเรียกหูเป่า"หูเป่า หูเป่า"หูเป่าที่ได้ยินเจ้านายเรียกก็รีบเข้ามาในห้องทันที ก่อนจะรีบก้มหน้างุด แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูรองไม่ชอบให้บ่าวไพร่สบตากับนาง หูเป่ารู้เรื่องนี้ดี เสี่ยวจิ่วฮวาถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ย"เงยหน้าขึ้นมามองข้า ข้าไม่ตีเจ้าหรอก""บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ""บอกให้เงยหน้าขึ้นมาก็ทำสิ!!!"หูเป่ารีบเงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวจิ่วฮวาทันที เสี่ยวจิ่วฮวาที่มองเห็นแววตาหวาดกลัวของหูเป่าก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปประคองหูเป่าให้ลุกขึ้นมา และเอ่ยกับสาวใช้อย่างอ่อนโยน"ต่อไปเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวข้าขนาดนี้ ข้าเองก็จะไม่เอาโทสะมาลงที่เจ้าอีก ขอเพียงเจ้าอย่าเผลอยั่วโมโหข้าจนทนไม่ไหวก็พอ"หูเป่าที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก เสี่ยวจิ่วฮวาหาวออกมา ก่อนจะเอ่ยถามหูเป่า"มีสิ่งใดกินบ้าง ข้าหิวแล้ว""บ่าวเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ""อืม"เสี่ยวจิ่วฮวาพยักหน้
เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกเหมือนว่ามีใครจ้องมองตนอยู่ นางจึงหันกลับไปมองเช่นเดียวกัน แต่กลับพบว่าไม่มีใครเสียแล้ว นางส่ายหน้าไปมาคิดว่าตนเองคงจะคิดมากเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเดินขึ้นรถม้า ก่อนจะออกเดินทางกลับจวนในทันทีระหว่างทางนางครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงเรื่องในจวนของนางเองนางจำได้ว่าตอนที่มีอายุเพียงสิบขวบปี ปีนั้นท่านพ่อเดินทางกลับจากชายแดนเพื่อมาเยี่ยมบ้านและคิดจะพาพี่ชายนางเข้าสู่เส้นทางของทหาร นั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าของท่านพ่อ ท่านพ่อของนางใจดีมาก ไม่ว่าจะเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกหรืออนุท่านพ่อก็รักไม่ต่างกัน อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์ให้นางหลายกระบวนท่า เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมีวรยุทธ์ป้องกันตนเองได้อยู่ไม่น้อย แต่น่าเสียดายในชาติก่อนนางใช้มันแบบผิดๆ เอามารังแกเสี่ยวเย่วหยาที่เรียนวรยุทธไม่ได้เรื่อง บอบบางอ่อนแอเป็นอย่างมาก นานวันเข้าสิ่งที่เรียนรู้มาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อยนับว่าเป็นโชคดีของนางก็ได้กระมัง ที่จวนตระกูลเสี่ยวไม่ได้ลำเอียงรักบุตรภรรยาเอกข่มเหงบุตรอนุเสี่ยวจิ่วฮวาดึงตนเองออกจากความคิดก่อนหน้า แล้วจึงหันมาเอ่ยกับหูเป่า"เจ้าแวะร้าน
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวากลับมาถึงจวนตระกูลเสี่ยวก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว นางสั่งให้หูเป่าแบ่งขนมไปให้แต่ละเรือนเท่าๆ กัน ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งพักผ่อนขนมถูกแบ่งออกไปให้เรือนของเสี่ยวฮูหยินและเรือนของเสี่ยวเย่วหยาตามที่เสี่ยวจิ่วฮวาสั่ง เสี่ยวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องมองขนมนั้นของเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยแววตาที่ครุ่นคิด จนสาวใช้ข้างกายทนไม่ไหวต้องเอ่ยเรียก"ฮูหยินใหญ่"เสี่ยวฮูหยินหันมามองสาวใช้ของตน ก่อนจะเอ่ย"นี่ เจ้าบอกว่าอาจิ่วส่งมาให้อย่างนั้นหรือ แล้วยังส่งไปที่เรือนของเย่วหยาด้วย""เจ้าค่ะ""ไม่ใช่ว่านางแอบใส่สิ่งใดลงไปหรอกนะ""ฮูหยินเจ้าคะ วางใจเถิด บ่าวส่งคนไปจับตาดูแล้ว พบว่าขนมนั่นคุณหนูรองก็กินเช่นกัน นางก็ปกติดีนะเจ้าคะ หากท่านไม่สบายใจ บ่าวจะชิมก่อนดีหรือไม่""ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไปเถอะ""เจ้าค่ะ"เมื่อสาวใช้ออกไปจนหมดแล้ว เสี่ยวฮูหยินก็หยิบขนมตรงหน้ามาพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากัดกินคำหนึ่ง พบว่ารสชาติไม่เลว เป็นขนมโก๋ของร้านขนมหวานจิ่นซิ่ว ร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง กินไปหลายชิ้นก็ไม่พบความผิดปกติใด นางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยจะด้วยเหตุผลอันใดก็ช่างเถิด นับว่าอาจิ่วของ
เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นว่าเหตุการณ์ชักจะไปกันใหญ่แล้ว อีกทั้งยังมาก่อเรื่องในงานวันเกิดของผู้อื่นเช่นนี้มันไม่ดีเลย นางจึงเอ่ยเตือนเสี่ยวจิ่วฮวาทันที แม้จะต้องถูกน้องสาวตอกกลับแต่นางก็ต้องพูด"อาจิ่ว เจ้าทำนางทำไมกัน ที่นี่ไม่ใช่จวนของเรานะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันมามองเสี่ยวเย่วหยา ก่อนจะเอ่ย"นางด่าเจ้าโง่ เจ้าก็ยอมรับอย่างนั้นหรือ เป็นเช่นนี้จะสู้รบตบมือกับผู้ใดได้ หากโดนรังแกมากกว่านี้จะทำเช่นไร!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาแม้ไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ทว่าไป๋หล่างที่กำลังเดินเข้ามาพอดีกลับได้ยินชัดเจน เมื่อครู่เขาเดินไปหยิบขนมดอกกุ้ยมาให้เสี่ยวเย่วหยา แต่เมื่อมาถึงกลับได้ยินเสียงทะเลาะกันเขาจึงรีบเดินมาดู เขาหรี่ตามองเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าเสี่ยวจิ่วฮวานางนี้จะมีใจปกป้องเสี่ยวเย่วหยาขึ้นมาหรือว่าทำดีเอาหน้า?เสี่ยวเย่วหยามองน้องสาวด้วยสายตาตกตะลึงเช่นเดียวกัน เดิมทีคิดว่าคงถูกเสี่ยวจิ่วฮวาฉีกหน้ากลางงานว่าเสนอหน้ามาสั่งสอน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นหลินซินหลันโมโหแล้ว นางอับอายยิ่งนัก จังเอ่ยต่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวาอย่างไม่ไว้หน้า"นังคนชั้นต่ำ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ผิดชอบชั่วดี ถูกเลี้ยงดู
"อาจิ่ว พวกเราไปกันเถอะ ท่านอ๋องเสด็จมาแล้ว"เสี่ยวจิ่วฮวาที่กำลังยืนมองด้วยความสงสัยพลันได้สติคืนมาเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเย่วหยา นางหันไปมอง ก่อนจะเอ่ยถาม"เจ้าสนทนากับคุณชายใหญ่ไป๋เป็นเช่นไรบ้าง"เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยตอบ"อืม เขาสุภาพมาก"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้เห็นเช่นนี้ก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวเย่วหยายื่นมือมาจับแขนของเสี่ยวจิ่วฮวาให้เดินไปพร้อมกับนาง เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองมือนั้นของเสี่ยวเย่วหยาก่อนจะถอนหายใจออกมา ชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้ เสี่ยวเย่วหยามักจะคอยจับมือจับแขนนาง ทุกๆ คราที่ไปไหนพร้อมกันก็จะทำเช่นนี้ แต่ยามนั้นนางสลัดมือพี่สาวออก และชี้หน้าด่าว่าอย่าเสนอหน้าเข้ามาใกล้ความรักและความห่วงใยที่เสี่ยวเย่วหยามีต่อนางไม่เคยน้อยลงเลยสักวันสองพี่น้องเดินมาหยุดที่ด้านหน้าเรือนใหญ่ของจวนตระกูลไป๋ เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามจ้องมองใบหน้าของท่านอ๋องผู้นั้นแต่นางอยู่ห่างจากเขามากจึงมองไม่ถนัดนักแต่เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตาจังนะ?เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเสี่ยวเย่วหยา"นี่เย่วหยา เจ้าเคยเห็นใบหน้าของท่านอ๋องหรือไม่ เมื่อครู่ข้า
หลังกลับมาจากงานเลี้ยงจวนตระกูลไป๋แล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาและเสี่ยวเย่วหยาก็ถูกเรียกไปพบที่เรือนใหญ่ในทันที เสี่ยวฮูหยินจ้องมองบุตรสาวทั้งสองของตน ก่อนจะเอ่ยถาม"ข้าสอนพวกเจ้ายังไง บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามก่อเรื่อง เจ้าก็อีกคนเย่วหยา ถูกทำร้ายกลางงานเช่นนี้ผู้คนคงเอาไปพูดจากันสนุกปากแล้ว""ข้าขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่"เสี่ยวเย่วเยาไม่เอ่ยสิ่งใดมากเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเสี่ยวฮูหยินให้มากความ เมื่อเสี่ยวฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็พอจะคลายโทสะลงไปได้บ้าง แต่เมื่อหันมามองเสี่ยวจิ่วฮวาที่มีสีหน้าเรียบเฉย โทสะก็พุ่งปะทุขึ้นมาอีกครา"อาจิ่ว เจ้าไม่จดไม่จำที่ข้าสอนเลยหรือ ข้าบอกเจ้าว่าอย่ามีเรื่องกับผู้ใด เจ้าทำไมไม่ทำตามที่ข้าสั่ง"เสี่ยวจิ่วฮวาเงยหน้าขึ้นมามองมารดาของตนเอง ก่อนจะเอ่ย"ท่านแม่จะให้ข้ายืนมองดูคนพวกนั้นดูแคลนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ หลินซินหลันด่าเสี่ยวเย่วหยาว่าเป็นคนโง่ ด่าข้าว่าถูกเลี้ยงดูมาจากอนุที่ต่ำช้า ไม่ให้เกียรติตระกูลเสี่ยว แต่ท่านแม่กับจะให้ข้ารักษาหน้าตาตนเองแล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ท่านยอมให้คนมาดูแคลนบุตรสาวของท่านหรือ ข้าขอยืนยันคำเดิม ใครไม่ยุ่งกับข้า ข้าก็ไม่ยุ่งด้วย แต่ถ้าใ
จวนจวิ้นอ๋องด้านเติ้งหมิงซีนั้น หลังจากมอบของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนตระกูลไป๋เรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับมาที่จวนจวิ้นอ๋องของตนเองในทันที เมื่อกลับมาถึง พ่อบ้านเหรินก็ประคองเขาเข้ามาที่ห้องนอน ก่อนจะให้เขานอนพักผ่อน เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนนอนพักแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้ออกไปให้หมด ไม่ให้มารบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้านายเมื่อคนออกไปหมดแล้ว เติ้งหมิงซีก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ท่าทีเหมือนคนเสียสติและยิ้มตลอดเวลาพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ดวงตาที่ดูเลื่อนลอยกลับกลายเป็นเย็นเยียบ มือเรียวยาวราวหยกแกะสลักยื่นไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มดับกระหาย ก่อนจะปรายตามองพ่อบ้านเหรินที่ยืนอยู่"ข้าไปงานเลี้ยงวันนี้คงมีคนของราชสำนักจับตาดูอยู่ไม่น้อย ต่อไปข้าคงต้องไปที่งานเลี้ยงให้น้อยลง หากวันนี้ไม่ใช่เพราะเป็นวันเกิดท่านยาย ข้าคงไม่ไป"พ่อบ้านเหรินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที"ท่านอ๋อง ได้ยินว่าระยะที่ฮ่องเต้ทรงมีพระอาการไม่สู้ดี มักจะทรงประชวรอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังให้องค์รัชทายาทว่าราชการแทน แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะสายลับของเรารายงานมาว่า ฮ่องเต้
รัชศักหมิงซีปีที1เติ้งหมิงซีขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น เขาแต่งตั้งไป๋หล่างให้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมขุนนางต่อจากบิดาของตน คอยตรวจสอบความประพฤติไม่ชอบของพวกขุนนางและจัดการได้ตามกฎหมายในทันที ส่วนเสี่ยวไป่ฟงนั้นเติ้งหมิงซีแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่เสี่ยวแทนบิดาเพราะว่ายามนี้แม่ทัพใหญ่เสี่ยวแก่ชรามากแล้วและอยากวางมือเสียทีจึงให้เสี่ยวไป่ฟงรับหน้าที่แม่ทัพใหญ่เสี่ยวต่อจากตน และเติ้งหมิงซียังมอบตำแหน่งท่านโหวให้แก่จวนตระกูลเสี่ยวอีกด้วย เท่ากับว่ายามนี้แม้อดีตแม่ทัพใหญ่เสี่ยวจะวางมือแต่พราะมีความดีความชอบมาช้านานจึงได้ตำแหน่งท่านโหว ยังคงมีผู้คนนับถือ และตำแหน่งนี้สามารถสืบทอดต่อทายาทในตระกูลได้อีกด้วยด้านหลี่จิ่งนั้น ในการสอบเค่อจวี่ครั้งนี้ เขาสอบได้ตำแหน่งจอหงวน ได้เข้ามาทำงานในราชสำนักตามที่วาดหวังเอาไว้ โดยเติ้งหมิงซีให้ไปลองทำงานที่สำนักฮั่นหลินดูก่อน หากหลี่จิ่งมีความสามารถจริงย่อมได้เลื่อนตำแหน่งตามความเหมาะสมหยางซู่ซู่เองก็ตั้งครรภ์แล้ว ส่วนเสี่ยวเย่วหยานั้นคลอดบุตรชายอย่างราบรื่น แต่เพราะว่าร่างกายอ่อนแอจึงต้องพักฟื้นสักระยะ เสี่ยวจิ่วฮวาสั่งให้คนนำยาบำรุงไปมอบให้เสี่ยวเย่วหยาหลายอย่าง
สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เสี่ยวจิ่วฮวายามนี้กำลังนอนอยู่บนทะเลหิมะน้ำแข็งที่หนาวจับใจ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พบว่ายามนี้ตนเองนอนอยู่ที่เดิมที่เคยตายเมื่อชาติที่แล้ว หิมะทับถมเป็นกองสูงอยู่บนตัวนางข้าฝันหรือไร!!นางครุ่นคิดด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นางถูกเติ้งเจี๋ยจับไป ด้วยความที่หวาดกลัวจนสติแตกและถูกด้านมืดในจิตใจครอบงำ นางจึงสังหารเขาอย่างเลือดเย็นหลังจากนั้นนางก็สลบไปนางตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองนอนอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น หิมะตกโปรยปรายลงมาไม่หยุดช่างหนาวเหลือเกิน!!เสี่ยวจิ่วฮวาหลับตาลง พยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหวังว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครานางจะออกจากที่นี่ไปได้แต่มันกลับไม่ใช่ที่นี่เปรียบเสมือนกรงขังที่ไร้ทางออก พาให้นางจมดิ่งลงลงสู่ห้วงที่ลึกที่สุดในจิตใจของตนเองเสี่ยวจิ่วฮวาพยายามลุกขึ้นก่อนจะเดินโซเซไปตามทางที่มืดทึบ หนทางช่างมืดเหลือเกินมองไปไม่เห็นสิ่งใด ฉับพลันนางได้ยินเสียงของเติ้งหมิงซีเอ่ยเรียกชื่อนางมาตามสายลม"อาจิ่ว เจ้ารีบฟื้นเร็วเข้า ข้ารอเจ้าอยู่นะ""อาหมิง!!! อาหมิงช่วยข้าด้วย ข้าออกไปไม่
เติ้งหมิงซีอุ้มเสี่ยวจิ่วฮวาเข้ามาในรถม้า ก่อนจะสั่งให้คนหาผ้าชุบน้ำสะอาดมาให้เขา ก่อนจะบรรจงเช็ดตามใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยนก่อนหน้านี้เขาพยายามไล่ตามเติ้งเจี๋ยอย่างไม่ลดละ แต่เติ้งเจี๋ยกลับรวดเร็วยิ่งกว่า เพียงไม่นานก็หายไปจากสายตาของเขา ในขณะที่กำลังร้อนรนและตามหาเสี่ยวจิ่วฮวาอยู่นั้นก็ได้พบกับเจียงซวี่เสียก่อนเจียงซวี่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากมาย บอกเพียงให้เขาตามไป ก่อนจะพบว่าเติ้งเจี๋ยพาเสี่ยวจิ่วฮวามาที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังนี้เติ้งเจี๋ยลอบซื้อเอาไว้ คาดว่าน่าจะซื้อเอาไว้เพื่อลักลอบทำเรื่องบางอย่างเจียงซวี่บอกเพียงว่าคนตระกูลเจียงถูกทหารของกบฏสังหารเกือบหมด เหลือรอดเพียงไม่กี่คน เติ้งหมิงซีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ครั้งนี้บิดาของฉินฮองเฮาคงแค้นเติ้งเจี๋ยมาก ถึงกับเข้าฝั่งกบฏและนัดแนะให้ทหารกบฏเข้ามาสังหารคนของเติ้งเจี๋ยล้างตระกูลและทำลายบ้านเมืองเช่นนี้ ความแค้นมันน่ากลัวมากจริงๆแต่อย่างไรก็ต้องขอบใจเจียงซวี่ที่ช่วยเหลือเขาในครั้งนี้จนได้พบกับเสี่ยวจิ่วฮวา ทั้งที่ตนเองก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้สร้างความตกใจให้แก่เขาไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าเสี่ยวจิ่วฮวาจะสังหาร
รถม้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืด เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามไม่มองหน้าเติ้งเจี๋ย ส่วนบุรุษตรงหน้าก็เอาแต่จ้องมองนางอย่างไม่ลดละ สายตานั่นมันทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาอึดอัด ทั้งอึดอัดทั้งรังเกียจและหวาดหวั่นในคราวเดียวกันภาพที่เขาทำกับนางในชาติก่อนมันสร้างบาดแผลในใจให้แก่นางอย่างไม่อาจลืมเลือนทำให้นางกลัวการนอนกับสามีตนเอง นางเหมือนคนที่สติไม่อยู่กับตัวต้องคอยฟวาดระแวงลืมอดีตไปจากใจไม่ได้นางเกลียดเติ้งเจี๋ย!!เติ้งเจี๋ยที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวาไม่สนใจตน จึงยื่นมือมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เพราะเสี่ยวจิ่วฮวาขัดขืนเขาจึงออกแรงกับนางอย่างไม่ปรานีปราศัย"เกลียดข้ามากนักหรือ อีกไม่นานข้าก็จะได้ชื่อว่าเป็นสามีของเจ้าแล้ว!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเติ้งเจี๋ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลน"ข้าไม่ใช่ภรรยาของเจ้า ข้ามีสามีแล้ว คนต่ำช้าเช่นเจ้าคิดจะแย่งภรรยาผู้อื่นไม่อับอายบ้างหรือไร ถุย!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาถุยน้ำลายใส่ใบหน้าของเติ้งเจี๋ยอย่างไม่แยแส ทว่าเติ้งเจี๋ยกลับไม่โกธร เขาใช้ปลายนิ้วมือขึ้นเช็ดน้ำลายของนาง ก่อนจะอ้าปากงับนิ้วของตนและดูดดื่มกับน้ำลายของนางที่เปื้อน
พ่อบ้านเหรินพาเสี่ยวจิ่วฮวาวิ่งมาจนถึงด้านนอกจวนอ๋อง ก่อนจะวิ่งฝ่าความมืดลัดเลาะไปตามเส้นทางลับก่อจจะมาถึงยังรถม้าที่จอดอยู่ข้างร้านเครื่องประทินโฉม ยามนี้ทหารกบฏถูกท่านอ๋องควบคุมได้แล้ว ทางจึงสะดวกขึ้นมา เสี่ยวจิ่วฮวาหันมามองหูเป่าและเหล่าสาวใช้ที่วิ่งหนีตามกันมา ก่อนจะเอ่ย"รีบไปกันเถอะ!!ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องจะต้องรับมือได้"เมื่อเอ่ยจบนางก็กำลังจะก้าวขึ้นรถม้า แต่ทว่ากลับมีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาสังหารสาวใช้ของนางตกตายไปหลายคน เสี่ยวจิ๋วฮวารีบหันกลับไปมอง ก่อนจะอุทานออกมา"เติ้งเจี๋ย!!!"นี่เขายังไม่ตายหรือ แล้วหนีรอดมาได้เช่นไร!!!เติ้งเจี๋ยหนีออกมาพร้อมกับองค์รักษ์ลับของตน เป้าหมายของเขาคือตามหาเสี่ยวจิ่วฮวาให้พบ ยามนี้เขาได้พบกับนางแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งเจี๋ยจึงก้าวเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวาในทันที แต่ทว่าพ่อบ้านเหรินกลับสั่งให้องค์รักษ์ที่ติดตามมาด้วย ขวางทางเขาเอาไว้ เติ้งเจี๋ยปรายตามองพ่อบ้านเหรินก่อนจะเอ่ย"หากไม่อยากตายก็ส่งนางมา นางเป็นของข้า!!!"พ่อบ้านเหรินส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท พระองค์พูดผิดแล้ว นางคือพระชายาของท่านอ๋อง เป็นนายหญิงของข้า ท่านต่างหากที่ต้องไ
รัชศก เจี๋ย ปีที่1หลังจากที่คัดเลือกสาวงามเข้าวังไปไม่นาน ก็มีข่าวออกมาว่ามีขุนหลายกลายตระกูลที่เกิดเรื่อง บ้างก็ถูกสังหารทิ้ง บ้างก็หลีกหนีออกไปจากเมืองหลวง บางครอบครัวที่ยากจนก็ถูกทหารทุบตีเพราะมาร้องทุกข์ต่อศาลต้าหลี่ว่าบุตรสาวตกตายอย่างไม่เป็นธรรมข้าวของเครื่องใช้แพงจนไม่อาจจับต้อง สินค้าบางอย่างหายากยิ่ง ข้าวสารแทบจะไม่มีเหลือให้กินให้ใช้ ราษฎรลำบากยากแค้น ในขณะที่เติ้งเจี๋ยซึ่งอยู่ในวังหลวงกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญบนความทุกข์ยากของราษฎรอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านคิดว่าเขาไม่เจ็บแค้นที่มองเห็นราษฎรทุกข์ยากหรือ ทุกครั้งเขาแอบส่งคนไปช่วยเหลือครอบครัวเหล่านั้นครั้งแล่วครั้งเล่า ต้องทนเห็นมารดาของพวกนางกรีดร้องเพราะต้องสูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รัก บิดาเป็นบ้าหลังจากที่ทราบว่าบุตรสาวที่ถูกคัดเลือกเข้าวังหลวงต้องมาตายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ชาวบ้านร้องไห้เพราะความอดอยาก เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วทั้งเมืองหลวงถึงเวลาแล้วเติ้งเจี๋ยที่เจ้าจะต้องตายเสียที!!!กลางดึกคืนนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาถูกปลุกขึ้นมากลางดึก นางงัวเงียลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าเป็นเติ้งหมิงซีนั่นเอง"อาหมิง ปลุกข้าทำไมกัน"เสี่ยวจ
จากการสืบหาความจริงของไป๋หล่างและองค์รักษ์ลับที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงของจวนอ๋อง ท้ายที่สุดเพียงสามวันก็สืบพบว่าเป็นฝีมือของผู้ใด"เป็นฝีมือของฉินฮองเฮาอย่างนั้นหรือ""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เติ้งหมิงซีที่ได้ยินเช่นนั่นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง สตรีนางนั้นถึงกับกล้าเล่นไม่ซื่อกับของขวัญที่เติ้งเจี๋ยมอบให้เสียวจิ๋วฮวา ช่างอาจหาญไม่เบาเลยอยู่บนตำแหน่งฮองเฮาดีดีไม่ชอบ ได้!!! ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเองด้านเสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะจำฉินฮองเฮานางนั้นได้ ก่อนหน้านี้สตรีผู้นี้คือพระชายาเอกของเติ้งเจี๋ยไม่เคยคิดเลยว่าฉินฮองเฮาจะลงมือกับนางเช่นนี้ หรือว่าฉินกุ้นเฟยจะรู้ว่าเติ้งเจี๋ยคิดเช่นไรกับนางจึงต้องการสังหารนางทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหัวใจอย่างนั้นหรือเสี่ยวจิ่วฮวาที่คิดได้เช่นนั้นแววตาก็เย็นเยียบ นางไม่เคยอยากมีปัญหากับผู้ใด แต่คนพวกนั้นกลับนำปัญหามาให้นาง ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเช่นนี้มันออกจะเลือดเย็นไปหน่อยกระมังเติ้งหมิงซีที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวานิ่งเงียบไป ก็รีบเอ่ยกับนางอย่างเป็นห่วง"เจ้าไม่ต้องกลัว คืนนี้ข้าจะส่งคนไปลอบสังหารนาง คนของข้าทำงานไม่ผิดพลาดแน่ ต่อไปนี้นางจะไม่สามารถทำร้ายเจ้าไ
หลังจากที่ฮ่องเต้เติงผิงอันสวรรคตไปแล้ว เหตุการณ์หลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย เจียงฮองเฮายามนี้ได้ถูกแต่งตั้งเป็นเจียงไทเฮา เสพสุขอำนาจวาสนาไม่จบไม่สิ้น ส่วนเติ้งเจี๋ยก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ยามนี้ยังอยู่ในการไว้ทุกข์ แต่มันก็เป็นเพียงการสร้างฉากบังหน้าขึ้นมาเพียงเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ ภายในตำหนักมังกรสวรรค์ยามนี้มีศพของสตรีคนแล้วคนเล่าถูกหามออกไป บางคนไม่ตายก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเป็นเช่นนี้ทุกวันจนสร้างความหวาดหวั่นให้แก่เหล่าสตรีในวังหลวงไม่น้อย นางสนมในอดีตฮ่องเต้ที่ยังสาวบางคนถูกเติ้งเจี๋ยเรียกมาปรนนิบัติเขาไม่สนใจกฎระเบียบอันใดเลยแม้แต่น้อย ส่วนเจียงไทเฮาก็ไม่สนใจสิ่งใดเพราะคิดว่าสิ่งไหนเป็นความสุขของบุตรชายนางก็ไม่อยากจะขัดขวาง"ฮองเฮาเพคะ ทรงเสวยสิ่งใดบ้างเถิดเพคะ"เสียงของนางกำนัลเอ่ยขึ้นมาด้วยความจนใจ ก่อนจะวางอาหารลงตรงหน้าฉินฮองเฮาฉินฮองเฮานางนี้เดิมทีคือพระชายาเอกของเติ้งเจี๋ย ก่อนหน้านี้นางหมายมั่นเอาไว้ว่าอำนาจจะต้องอยู่ในมือของนาง เติ้งเจี๋ยจะต้องรักใร่โปรดปราณนางไปตลอดชีวิต อีกอย่างนางกับเติ้งเจี๋ยเองก็มีรสนิยมในเรื่องเช่นนั้นเหมือนกัน เขาชอบกระทำควา
เสี่ยวจิ่วฮวาหลังจากแต่งงานก็เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาเยี่ยมจวนครั้งนี้นางพบว่ามารดาของนางไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเท่าแต่ก่อนอีก เพราะได้รู้แล้วว่าความจริงเติ้งหมิงซีไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ มารดากำชับนางหลายประโยคให้ระวังตนเองให้ดีและอย่าละเลยหน้าที่ของภรรยาเป็นอันขาด นางพยักหน้ารับและจดจำคำสอนของมารดาเอาไว้ทุกคำยามนี้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงค่อนข้างเย็นไม่น้อยเลย หิมะเริ่มตกโปรยปรายมากขึ้น วันนี้เสี่ยวจิ่วฮวาจึงมาทำซุปเนื้อในโรงครัวกินเพื่อคลายความหนาวพ่อบ้านเหรินที่เดินมาพอดี ก็ปรายตามองเสี่ยวจิ่วฮวาคราหนึ่ง เดิมทีเขาไม่ชอบเสี่ยวจิ่วฮวาแต่เพราะคำสั่งของเติ้งเจี๋ยก่อนหน้านี้ที่กำชับเขาว่าห้ามทำให้นางลำบากใจ เขาจึงไม่อาจล่วงเกินนางได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเดินเข้ามาหานางก่อนจะเอ่ย"พระชายา หากทรงต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องลงมาทำด้วยตนเองเช่นนี้ หากเกิดสิ่งใดขึ้น หรือเกิดความเสียหายในจวนอ๋อง เกรงว่าท่านคงรับผิดชอบไม่ไหว"เขาเอ่ยอย่างเย็นชา เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย"ข้าจะทำซุปเนื้อกินเสียหน่อย ให้สา