เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนค่ำ เสี่ยวจิ่วฮวาเผลอนอนหลับไปจนถึงตอนมืด เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย นางลุกขึ้นจากเตียงนอน ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกาชาและรินชาขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย แล้วจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดกายไปมาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเรียกหูเป่า
"หูเป่า หูเป่า"
หูเป่าที่ได้ยินเจ้านายเรียกก็รีบเข้ามาในห้องทันที ก่อนจะรีบก้มหน้างุด แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูรองไม่ชอบให้บ่าวไพร่สบตากับนาง หูเป่ารู้เรื่องนี้ดี เสี่ยวจิ่วฮวาถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ย
"เงยหน้าขึ้นมามองข้า ข้าไม่ตีเจ้าหรอก"
"บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ"
"บอกให้เงยหน้าขึ้นมาก็ทำสิ!!!"
หูเป่ารีบเงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวจิ่วฮวาทันที เสี่ยวจิ่วฮวาที่มองเห็นแววตาหวาดกลัวของหูเป่าก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปประคองหูเป่าให้ลุกขึ้นมา และเอ่ยกับสาวใช้อย่างอ่อนโยน
"ต่อไปเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวข้าขนาดนี้ ข้าเองก็จะไม่เอาโทสะมาลงที่เจ้าอีก ขอเพียงเจ้าอย่าเผลอยั่วโมโหข้าจนทนไม่ไหวก็พอ"
หูเป่าที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก เสี่ยวจิ่วฮวาหาวออกมา ก่อนจะเอ่ยถามหูเป่า
"มีสิ่งใดกินบ้าง ข้าหิวแล้ว"
"บ่าวเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ"
"อืม"
เสี่ยวจิ่วฮวาพยักหน้า ก่อนจะเดินไปกินอาหารที่โต๊ะอาหาร เมื่อกินอิ่มแล้ว นางจึงออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในจวน วันนี้บรรยากาศค่อนข้างดีไม่น้อย เสี่ยวจิ่วฮวาชื่นชอบฤดูใบไม้ผลิที่สุด นางชอบเวลาที่ดอกไม้ต้นไม้ในจวนผลิบานมีใบไม้เขียวชะอุ่ม มันดูมีชีวิตชีวา ไม่เหี่ยวแห้งอึมครึม
ที่สำคัญนางไม่ชอบฤดูหนาว ยามที่หิมะตกนางรู้สึกหดหู่หวาดกลัว และคิดถึงเรื่องราวในคืนนั้นที่เกิดขึ้น
คืนที่นางตายอย่างโดดเดี่ยวและหิมะตกลงมาทับถมตัวนาง!!!
เสี่ยวจิ่วฮวาส่ายหน้าไปมาพยายามไม่ไปคิดถึงเรื่องราวน่ากลัวเช่นนั้นอีก นางเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน เดินมาได้ไม่นานก็พบกับเสี่ยวเย่วหยาที่เดินผ่านมาพอดี เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นเสี่ยวจิ่วฮวาก็มีท่าทางลนลาน รู้สึกว่ามือเท้าเกร็งไปหมด นางพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่พบเจอน้องสาวผู้นี้ แต่จวนตระกูลเสี่ยวแคบออกปานนี้ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะหน้ากันได้
เสี่ยวจิ่วฮวารับรู้ได้ถึงท่าทีอึดอัดใจที่เสี่ยวเย่วหยามีต่อนาง หากเป็นเมื่อก่อนท่าทางเช่นนี้ของพี่สาวคงทำให้นางโมโหและหาเรื่องทุบตีไปนานแล้ว แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน
เสี่ยวเย่วหยาเมื่อหลีกหนีไม่พ้น จึงเดินเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะเอ่ย
"อาจิ่ว เจ้าออกมาเดินเล่นหรือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าก็ออกมารับลมเช่นเดียวกัน"
เสี่ยวเย่วหยาแม้ใบหน้าจะยิ้มแยม แต่ในใจกลับประหม่าไม่น้อย เสี่ยวจิ่วฮวาสัมผัสได้ถึงท่าทีนั้นของพี่สาวตน นางจึงเพียงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย
"อืม อากาศดีจริงๆ"
เสี่ยวเย่วหยาชะงักไปเล็กน้อย ทุกครั้งที่ได้เจอกัน เสี่ยวจิ่วฮวามักปรายตามองนาอย่างเกลียดชัง และมักพูดเสมอว่านางมาแย่งความรักไปจากท่านแม่ แต่วันนี้เสี่ยวจิ่วฮวากลับเพียงพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้เอ่ยวาจาหาเรื่องนางเลยด้วยซ้ำ
เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็ประหม่าไม่น้อยเช่นเดียวกัน หากเป็นในอดีตนางคงบอกว่าเสี่ยวเย่วหยาเสแสร้งจอมปลอม วางตัวเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่แย่งความรักของแม่ไปจากนาง
บรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้ช่างน่ากดดันไม่น้อย เสี่ยวจิ่วฮวาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ข้าจะไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ข้ามีธุระต้องไปจัดการ"
"อืม อาจิ่วเดินดีดีล่ะ"
"อืม"
เสี่ยวเย่วหยายิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินหลับเรือนของตนไป ด้านเสี่ยวจิ่วฮวาเมื่อกลับมาถึงเรือนก็เข้านอน แต่คืนนั้นนางนอนไม่หลับ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องในชาติก่อน นางรู้สึกว่าเหมือนมีใครบางคนในความทรงจำที่นางลืมเลือนไป แต่คนผู้นั้นคือใครนางพยายามนึกเท่าใดก็นึกไม่ออกเสียที คิดจนปวดหัวไปหมดแล้ว จวบจนค่อนคืนจึงข่มตาหลับลงได้
รุ่งเช้าวันต่อมา เมื่อไปคารวะท่านแม่ยามเช้าแล้ว นางจึงเดินทางออกจากจวนไปที่วัดไป๋หวาทันที เสี่ยวฮูหยินที่ได้ทราบข่าวก็เรียกสาวใช้ของตนมาเอ่ยถามทันที
"นี่ เจ้าได้ถามไหมว่าอาจิ่วนางจะไปที่ใด"
สาวใช้น้อยส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบ
"บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ คุณหนูรองบอกเพียงว่ามีธุระต้องไปจัดการ เสร็จแล้วจะรีบกลับเจ้าค่ะ"
"ไม่ใช่ไปก่อเรื่องข้างนอกหรอกนะ!! ข้าจะสั่งสอนนางอย่างไรดี"
ด้านเสี่ยวเย่วหยาที่คอยบีบนวดให้เสี่ยวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นมา
"ท่านแม่ บางคราน้องรองอาจจะเพียงอยากไปเที่ยวเล่นน่ะเจ้าค่ะ อาจจะไม่มีเรื่องใดก็ได้ ท่านแม่อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะเจ้าคะ"
"เห้อ เย่วหยา หากอาจิ่วประพฤติตนได้ดีเท่าเจ้าสักเล็กน้อย ข้าคงเบาใจ"
"ท่านแม่ อย่าเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าน้องรองเชียวนะเจ้าคะ"
เสี่ยวฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะจับมือของเสี่ยวเย่วหยาเอาไว้
"เย่วหยา ถึงแม้เจ้าจะไม่ใช่ลูกของข้า แต่ข้าก็รักเจ้ามากนะ หากไม่ใช่เพราะบ่าวไพร่ปากมากพูดกัน เจ้าก็คงไม่รู้ว่าข้าไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเจ้า"
"ท่านแม่ ท่านคือท่านแม่ของข้านะเจ้าคะ"
"อืมๆ เด็กดี เจ้ารักษาตัวให้ดีเล่า อีกสามวันแม่จะพาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าจวนตระกูลไป๋ บางคราอาจจะมีข่าวดีเรื่องงานหมั้นหมายของเจ้า"
เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย ก่อนจะครุ่นคิดถึงงคุณชายจวนตระกูลไป๋ผู้นั้นขึ้นมา
ด้านเสี่ยวจิ่วฮวานั้นนางนั่งรถม้ามาได้ราวครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุดลง หูเป่าลงไปก่อน หวังจะช่วยประคองเสี่ยวจิ่วฮวาลงมา แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ช่วยประคอง เจ้านายของตนก็กระโดดลงมาจากรถม้าก่อนเสียแล้ว หูเป่าถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ย
นี่แหละนิสัยที่แท้จริงของคุณหนูรอง ไม่สนกฎระเบียบ ไม่ยึดถือธรรมเนียมปฎิบัติใดใดทั้งสิ้น
เสี่ยวจิ่วฮวามองขึ้นไปบนวัดไป๋หวา จากที่รถม้าจอดตรงนี้ต้องเดิินขึ้นบันไดไปอีกหลายสิบก้าว แต่นางยังไม่คิดที่จะขึ้นไปไหว้พระโพธิสัตว์ตอนนี้ เสี่ยวจิ่วฮวาเดินตรงไปอีกด้านหนึ่ง หูเป่าที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งตามมาทันที
"คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านจะไปทางนั้นได้อย่างไรกัน ที่นั่นมันคือสุสานศพไร้ญาตินะเจ้าคะ"
"ไม่ต้องถามมาก ตามข้ามา เอาของที่ข้าสั่งมาด้วยหรือไม่"
"เอามาแล้วเจ้าค่ะ"
"ดี"
เสี่ยวจิ่วฮวาเร่งฝีเท้าเดินมาจนถึงหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ฝังศพของเหล่าศพไร้ญาติ นางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะมองเห็นป้ายหลุมศพป้ายหนึ่ง
ฉินหวั่น
เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองป้ายสุสานนั้นด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหูเป่า
"ส่งของมาให้ข้า"
"ฮือ คุณหนู บ่าวกลัวเจ้าค่ะ"
เสี่ยวจิ่วฮวาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ย
"ผีไม่น่ากลัวเท่าใจคนหรอกนะ หากเจ้ากลัวก็รอตรงนี้ ข้าไปไม่นานอีกเดี๋ยวจะรีบกลับมา"
"ฮือ คุณหนู"
เสี่ยวจิ่วฮวาคร้านจะสนใจสาวใช้จอมขี้ขลาดของตนอีก นางเดินตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าลุมศพของฉินอี๋เหนียง ก่อนจะค่อยๆ ย่อกายนั่งลง แล้วจึงนำอาหารอย่างดี ขนม ผลไม้ น้ำชามาจัดวางตรงหน้าหลุมศพ แล้วจึงจุดธูปปักลงไปที่กระถางธูปหน้าป้ายสุสานของฉินอี๋เหนียง
"แม่เล็ก ข้าหวังว่าท่านที่อยู่ในปรโลกจะได้พบกับบุตรที่แท้จริงของตนเองแล้ว เรื่องราวที่ผ่านมาข้าจะไม่โทษท่าน แม้จะอยากสาปแช่งท่านมากเพียงใดก็ตาม แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า ความแค้นและความอิจฉาริษยาทำให้ข้าไม่อาจพบจุดจบที่ดีได้ นับแต่นี้ข้าจะเริ่มต้นใหม่ ทุกสิ่งที่ผ่านมาข้าจะเก็บเอาไว้เป็นบทเรียน ส่วนท่าน ข้าขอบคุณที่ท่านเคยเลี้ยงดูข้ามา แม้จะไม่เคยเลี้ยงด้วยความรักเลยก็ตาม แต่ครั้งหนึ่งข้าก็เคยรักท่านเสมือนมารดาแท้ๆ ของข้า ท่านจงอยู่ในปรโลกอย่างสงบสุขเถอะ ระหว่างเราทั้งสองไม่มีสิ่งใดติดค้างพัวพันต่อกันอีก"
หลังจากจบคำพูดของเสี่ยวจิ่วฮวา ก็คล้ายกับมีสายลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านตัวของนางไป เสี่ยวจิ่วฮวายิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจัดการเก็บของและเดินออกมาจากสุสาน หูเป่าที่ยืนรออยู่เมื่อเห็นว่าเจ้านายตนออกมาแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก
"คุณหนูรอง บ่าวกลัวแทบแย่ หากท่านยังไม่ออกมาอีก บ่าวจะร้องไห้แล้วนะเจ้าคะ"
เสี่ยวจิ่วฮวายื่นตะกร้าส่งให้กับหูเป่า ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
"ข้าบอกแล้วว่าผีไม่น่ากลัวเท่าใจคนหรอก ไปได้แล้ว ข้าจะไปไหว้พระโพธิสัตว์บนวัด"
"เอ่อ คุณหนูรองเจ้าคะ"
"มีสิ่งใดอีกเล่า"
"เอ่อ ท่านอย่าก่อเรื่องในวัดเลยนะเจ้าคะ ไต้ซือในวัดเป็นที่นับถือของเหล่าราษฎร คือว่า...."
"ข้ารู้แล้ว ข้าไม่ด่าไต้ซือหรอก หากเจ้าไม่หยุดพูดมากข้าจะด่าเจ้าแทน"
เสี่ยวจิ่วฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์ ถวายเงินค่าธูปเทียน และยังได้ยันต์คุ้มภัยมาอีกด้วย บรรยากาศในวัดค่อนข้างร่มรื่น คงเพราะนางมาตั้งแต่เช้าจึงยังไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนัก
เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกเหนื่อยแล้วจึงคิดอยากจะกลับจวนไปพักเสียหน่อย แต่ในขณะที่นางกำลังเดินลงจากบันได ก็มีคนผู้หนึ่งกำลังเดินออกมาจากหอปฎิบัติธรรมของวัดพอดี เสี่ยวจิ่วฮวาไม่ได้สนใจจะมองสิ่งใดอีกเพราะนางรู้สึกง่วงแล้ว แต่ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับมองนางอย่างไม่ละสายตา จนกระทั่งนางเดินจากไปไกลแล้วเขาก็ยังจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น
นั่นใช่สตรีที่ข้าเห็นในฝันมาตลอดหลายสิบคืนใช่หรือไม่ นางมีตัวตนอยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกเหมือนว่ามีใครจ้องมองตนอยู่ นางจึงหันกลับไปมองเช่นเดียวกัน แต่กลับพบว่าไม่มีใครเสียแล้ว นางส่ายหน้าไปมาคิดว่าตนเองคงจะคิดมากเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเดินขึ้นรถม้า ก่อนจะออกเดินทางกลับจวนในทันทีระหว่างทางนางครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงเรื่องในจวนของนางเองนางจำได้ว่าตอนที่มีอายุเพียงสิบขวบปี ปีนั้นท่านพ่อเดินทางกลับจากชายแดนเพื่อมาเยี่ยมบ้านและคิดจะพาพี่ชายนางเข้าสู่เส้นทางของทหาร นั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าของท่านพ่อ ท่านพ่อของนางใจดีมาก ไม่ว่าจะเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกหรืออนุท่านพ่อก็รักไม่ต่างกัน อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์ให้นางหลายกระบวนท่า เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมีวรยุทธ์ป้องกันตนเองได้อยู่ไม่น้อย แต่น่าเสียดายในชาติก่อนนางใช้มันแบบผิดๆ เอามารังแกเสี่ยวเย่วหยาที่เรียนวรยุทธไม่ได้เรื่อง บอบบางอ่อนแอเป็นอย่างมาก นานวันเข้าสิ่งที่เรียนรู้มาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อยนับว่าเป็นโชคดีของนางก็ได้กระมัง ที่จวนตระกูลเสี่ยวไม่ได้ลำเอียงรักบุตรภรรยาเอกข่มเหงบุตรอนุเสี่ยวจิ่วฮวาดึงตนเองออกจากความคิดก่อนหน้า แล้วจึงหันมาเอ่ยกับหูเป่า"เจ้าแวะร้าน
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวากลับมาถึงจวนตระกูลเสี่ยวก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว นางสั่งให้หูเป่าแบ่งขนมไปให้แต่ละเรือนเท่าๆ กัน ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งพักผ่อนขนมถูกแบ่งออกไปให้เรือนของเสี่ยวฮูหยินและเรือนของเสี่ยวเย่วหยาตามที่เสี่ยวจิ่วฮวาสั่ง เสี่ยวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องมองขนมนั้นของเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยแววตาที่ครุ่นคิด จนสาวใช้ข้างกายทนไม่ไหวต้องเอ่ยเรียก"ฮูหยินใหญ่"เสี่ยวฮูหยินหันมามองสาวใช้ของตน ก่อนจะเอ่ย"นี่ เจ้าบอกว่าอาจิ่วส่งมาให้อย่างนั้นหรือ แล้วยังส่งไปที่เรือนของเย่วหยาด้วย""เจ้าค่ะ""ไม่ใช่ว่านางแอบใส่สิ่งใดลงไปหรอกนะ""ฮูหยินเจ้าคะ วางใจเถิด บ่าวส่งคนไปจับตาดูแล้ว พบว่าขนมนั่นคุณหนูรองก็กินเช่นกัน นางก็ปกติดีนะเจ้าคะ หากท่านไม่สบายใจ บ่าวจะชิมก่อนดีหรือไม่""ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไปเถอะ""เจ้าค่ะ"เมื่อสาวใช้ออกไปจนหมดแล้ว เสี่ยวฮูหยินก็หยิบขนมตรงหน้ามาพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากัดกินคำหนึ่ง พบว่ารสชาติไม่เลว เป็นขนมโก๋ของร้านขนมหวานจิ่นซิ่ว ร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง กินไปหลายชิ้นก็ไม่พบความผิดปกติใด นางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยจะด้วยเหตุผลอันใดก็ช่างเถิด นับว่าอาจิ่วของ
เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นว่าเหตุการณ์ชักจะไปกันใหญ่แล้ว อีกทั้งยังมาก่อเรื่องในงานวันเกิดของผู้อื่นเช่นนี้มันไม่ดีเลย นางจึงเอ่ยเตือนเสี่ยวจิ่วฮวาทันที แม้จะต้องถูกน้องสาวตอกกลับแต่นางก็ต้องพูด"อาจิ่ว เจ้าทำนางทำไมกัน ที่นี่ไม่ใช่จวนของเรานะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันมามองเสี่ยวเย่วหยา ก่อนจะเอ่ย"นางด่าเจ้าโง่ เจ้าก็ยอมรับอย่างนั้นหรือ เป็นเช่นนี้จะสู้รบตบมือกับผู้ใดได้ หากโดนรังแกมากกว่านี้จะทำเช่นไร!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาแม้ไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ทว่าไป๋หล่างที่กำลังเดินเข้ามาพอดีกลับได้ยินชัดเจน เมื่อครู่เขาเดินไปหยิบขนมดอกกุ้ยมาให้เสี่ยวเย่วหยา แต่เมื่อมาถึงกลับได้ยินเสียงทะเลาะกันเขาจึงรีบเดินมาดู เขาหรี่ตามองเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าเสี่ยวจิ่วฮวานางนี้จะมีใจปกป้องเสี่ยวเย่วหยาขึ้นมาหรือว่าทำดีเอาหน้า?เสี่ยวเย่วหยามองน้องสาวด้วยสายตาตกตะลึงเช่นเดียวกัน เดิมทีคิดว่าคงถูกเสี่ยวจิ่วฮวาฉีกหน้ากลางงานว่าเสนอหน้ามาสั่งสอน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นหลินซินหลันโมโหแล้ว นางอับอายยิ่งนัก จังเอ่ยต่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวาอย่างไม่ไว้หน้า"นังคนชั้นต่ำ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ผิดชอบชั่วดี ถูกเลี้ยงดู
"อาจิ่ว พวกเราไปกันเถอะ ท่านอ๋องเสด็จมาแล้ว"เสี่ยวจิ่วฮวาที่กำลังยืนมองด้วยความสงสัยพลันได้สติคืนมาเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเย่วหยา นางหันไปมอง ก่อนจะเอ่ยถาม"เจ้าสนทนากับคุณชายใหญ่ไป๋เป็นเช่นไรบ้าง"เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยตอบ"อืม เขาสุภาพมาก"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้เห็นเช่นนี้ก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวเย่วหยายื่นมือมาจับแขนของเสี่ยวจิ่วฮวาให้เดินไปพร้อมกับนาง เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองมือนั้นของเสี่ยวเย่วหยาก่อนจะถอนหายใจออกมา ชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้ เสี่ยวเย่วหยามักจะคอยจับมือจับแขนนาง ทุกๆ คราที่ไปไหนพร้อมกันก็จะทำเช่นนี้ แต่ยามนั้นนางสลัดมือพี่สาวออก และชี้หน้าด่าว่าอย่าเสนอหน้าเข้ามาใกล้ความรักและความห่วงใยที่เสี่ยวเย่วหยามีต่อนางไม่เคยน้อยลงเลยสักวันสองพี่น้องเดินมาหยุดที่ด้านหน้าเรือนใหญ่ของจวนตระกูลไป๋ เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามจ้องมองใบหน้าของท่านอ๋องผู้นั้นแต่นางอยู่ห่างจากเขามากจึงมองไม่ถนัดนักแต่เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตาจังนะ?เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเสี่ยวเย่วหยา"นี่เย่วหยา เจ้าเคยเห็นใบหน้าของท่านอ๋องหรือไม่ เมื่อครู่ข้า
หลังกลับมาจากงานเลี้ยงจวนตระกูลไป๋แล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาและเสี่ยวเย่วหยาก็ถูกเรียกไปพบที่เรือนใหญ่ในทันที เสี่ยวฮูหยินจ้องมองบุตรสาวทั้งสองของตน ก่อนจะเอ่ยถาม"ข้าสอนพวกเจ้ายังไง บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามก่อเรื่อง เจ้าก็อีกคนเย่วหยา ถูกทำร้ายกลางงานเช่นนี้ผู้คนคงเอาไปพูดจากันสนุกปากแล้ว""ข้าขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่"เสี่ยวเย่วเยาไม่เอ่ยสิ่งใดมากเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเสี่ยวฮูหยินให้มากความ เมื่อเสี่ยวฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็พอจะคลายโทสะลงไปได้บ้าง แต่เมื่อหันมามองเสี่ยวจิ่วฮวาที่มีสีหน้าเรียบเฉย โทสะก็พุ่งปะทุขึ้นมาอีกครา"อาจิ่ว เจ้าไม่จดไม่จำที่ข้าสอนเลยหรือ ข้าบอกเจ้าว่าอย่ามีเรื่องกับผู้ใด เจ้าทำไมไม่ทำตามที่ข้าสั่ง"เสี่ยวจิ่วฮวาเงยหน้าขึ้นมามองมารดาของตนเอง ก่อนจะเอ่ย"ท่านแม่จะให้ข้ายืนมองดูคนพวกนั้นดูแคลนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ หลินซินหลันด่าเสี่ยวเย่วหยาว่าเป็นคนโง่ ด่าข้าว่าถูกเลี้ยงดูมาจากอนุที่ต่ำช้า ไม่ให้เกียรติตระกูลเสี่ยว แต่ท่านแม่กับจะให้ข้ารักษาหน้าตาตนเองแล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ท่านยอมให้คนมาดูแคลนบุตรสาวของท่านหรือ ข้าขอยืนยันคำเดิม ใครไม่ยุ่งกับข้า ข้าก็ไม่ยุ่งด้วย แต่ถ้าใ
จวนจวิ้นอ๋องด้านเติ้งหมิงซีนั้น หลังจากมอบของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนตระกูลไป๋เรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับมาที่จวนจวิ้นอ๋องของตนเองในทันที เมื่อกลับมาถึง พ่อบ้านเหรินก็ประคองเขาเข้ามาที่ห้องนอน ก่อนจะให้เขานอนพักผ่อน เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนนอนพักแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้ออกไปให้หมด ไม่ให้มารบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้านายเมื่อคนออกไปหมดแล้ว เติ้งหมิงซีก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ท่าทีเหมือนคนเสียสติและยิ้มตลอดเวลาพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ดวงตาที่ดูเลื่อนลอยกลับกลายเป็นเย็นเยียบ มือเรียวยาวราวหยกแกะสลักยื่นไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มดับกระหาย ก่อนจะปรายตามองพ่อบ้านเหรินที่ยืนอยู่"ข้าไปงานเลี้ยงวันนี้คงมีคนของราชสำนักจับตาดูอยู่ไม่น้อย ต่อไปข้าคงต้องไปที่งานเลี้ยงให้น้อยลง หากวันนี้ไม่ใช่เพราะเป็นวันเกิดท่านยาย ข้าคงไม่ไป"พ่อบ้านเหรินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที"ท่านอ๋อง ได้ยินว่าระยะที่ฮ่องเต้ทรงมีพระอาการไม่สู้ดี มักจะทรงประชวรอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังให้องค์รัชทายาทว่าราชการแทน แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะสายลับของเรารายงานมาว่า ฮ่องเต้
วันเวลาก็่ผ่านไปเช่นนี้ เสี่ยวจิ่วฮวานั้นยามนี้แผลที่ฝ่ามือหายดีแล้ว นางไม่ต้องพันผ้าเอาไว้มือตลอดเวลาเหมือนเช่นหลายวันก่อนอีก วันนี้อากาศค่อนข้างดีไม่น้อยเลย เสี่ยวจิ่วฮวาจึงออกมายืนรับลมที่ริมระเบียงของตนเอง ไม่นานนักก็มีสาวใช้มาแจ้งว่าเสี่ยวฮูหยินเรียกนางไปพบเสี่ยวจิ่วฮวาเพียงพยักหน้ารับรู้ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปที่เรือนใหญ่ เมื่อมาถึงก็พบกับเสี่ยวเย่วหยาที่กำลังบีบนวดให้เสี่ยวฮูหยินอยู่ เสี่ยวจิ่วฮวาทำความเคารพมารดาของตนก่อนจะเอ่ย"ท่านแม่เรียกหาข้ามีอันใดหรือเจ้าคะ"เสี่ยวฮูหยินวางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะเงยหน้ามามองบุตรสาวของตนคราหนึ่ง"ตอนนี้เจ้าเพิ่งอายุสิบสี่ปี มีเวลาอีกตั้งสองสามปีที่จะเรียนรู้ความรู้ต่างๆ ก่อนอายุครบสิบแปดปีและเตรียมแต่งงานออกเรือนไป ยามนี้สำนักศึกษาเหมยฮวาเปิดทำการสอนแล้ว ข้าได้จัดการส่งคนไปลงรายชื่อเอาไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว อีกสามวันเจ้าก็ไปรายงานตัวที่สำนักศึกษา ไปร่ำเรียนความรู้เอาไว้ให้มากๆ จะเป็นผลดีต่อตัวเจ้า ดูพี่สาวเจ้าสินางก็เคยเรียนที่นั่นเช่นเดียวกัน กิริยามรรยาทงดงาม เพรียบพร้อมทุกอย่าง หากไม่ใช่เพราะว่าสุขภาพของนางไม่แข็งแร
เรื่องที่เสี่ยวจิ่วฮวาและหยางซู่ซู่ตกน้ำนั้นกลายเป็นเรื่องสนุกปากให้คนในสำนักศึกษาเอามาพูดคุยเป็นเรื่องขบขันไม่น้อย บ้างก็ว่าเสี่ยวจิ่วฮวาน่ะชื่อเสียงไม่ดีมานาน อาจจะตั้งใจผลักหยางซู่ซู่ให้ตกน้ำเพราะริษยาแต่เวรกรรมตามทันตนจึงตกลงไปด้วย ช่างเป็นสตรีที่นิสัยเสียจริงๆ ไม่อยู่ในกฎระเบียบชอบทำเรื่องขายหน้าริษยาผู้อื่นโชคดีที่เสี่ยวจิ่วฮวาและหยางซู่ซู่นำเสื้อผ้าสำรองมาคนละหนึ่งชุดเผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด อาจารย์สำนักศึกษาแม้จะตำหนิแต่ก็ยังเมตตาให้นางเข้าไปเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องรับรองส่วนตัวของสำนักศึกษาได้ เสี่ยวจิ่วฮวาเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินออกมา ก่อนจะพบกับหยางซู่่ซู่ที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเช่นเดียวกัน หยางซู่ซู่ยิ้มให้เสี่ยวจิ่วฮวาอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ย"อาจิ่ว ข้าขออภัยเจ้าด้วยนะ ข้าพยายามจับเจ้าเอาไว้แล้ว แต่แรงข้าช่างมีน้อยนัก จึงพาเจ้าร่วงตกน้ำไปด้วยกัน"เสี่ยวจิ่วฮวายิ้มออกมาเล็กน้อย นางมองออกถึงเจตนาของหยางซู่ซู่ว่าไม่ได้ตั้งใจหรือคิดกลั่นแกล้งนางเลยแม้แต่น้อย"ไม่เป็นอันใด รีบไปที่ห้องเรียนกันเถอะ""ช้าก่อนอาจิ่ว!!!""หืม"เสี่ยวจิ่วฮวาหันกลับมามอง ก่อน
รัชศักหมิงซีปีที1เติ้งหมิงซีขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น เขาแต่งตั้งไป๋หล่างให้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมขุนนางต่อจากบิดาของตน คอยตรวจสอบความประพฤติไม่ชอบของพวกขุนนางและจัดการได้ตามกฎหมายในทันที ส่วนเสี่ยวไป่ฟงนั้นเติ้งหมิงซีแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่เสี่ยวแทนบิดาเพราะว่ายามนี้แม่ทัพใหญ่เสี่ยวแก่ชรามากแล้วและอยากวางมือเสียทีจึงให้เสี่ยวไป่ฟงรับหน้าที่แม่ทัพใหญ่เสี่ยวต่อจากตน และเติ้งหมิงซียังมอบตำแหน่งท่านโหวให้แก่จวนตระกูลเสี่ยวอีกด้วย เท่ากับว่ายามนี้แม้อดีตแม่ทัพใหญ่เสี่ยวจะวางมือแต่พราะมีความดีความชอบมาช้านานจึงได้ตำแหน่งท่านโหว ยังคงมีผู้คนนับถือ และตำแหน่งนี้สามารถสืบทอดต่อทายาทในตระกูลได้อีกด้วยด้านหลี่จิ่งนั้น ในการสอบเค่อจวี่ครั้งนี้ เขาสอบได้ตำแหน่งจอหงวน ได้เข้ามาทำงานในราชสำนักตามที่วาดหวังเอาไว้ โดยเติ้งหมิงซีให้ไปลองทำงานที่สำนักฮั่นหลินดูก่อน หากหลี่จิ่งมีความสามารถจริงย่อมได้เลื่อนตำแหน่งตามความเหมาะสมหยางซู่ซู่เองก็ตั้งครรภ์แล้ว ส่วนเสี่ยวเย่วหยานั้นคลอดบุตรชายอย่างราบรื่น แต่เพราะว่าร่างกายอ่อนแอจึงต้องพักฟื้นสักระยะ เสี่ยวจิ่วฮวาสั่งให้คนนำยาบำรุงไปมอบให้เสี่ยวเย่วหยาหลายอย่าง
สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เสี่ยวจิ่วฮวายามนี้กำลังนอนอยู่บนทะเลหิมะน้ำแข็งที่หนาวจับใจ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พบว่ายามนี้ตนเองนอนอยู่ที่เดิมที่เคยตายเมื่อชาติที่แล้ว หิมะทับถมเป็นกองสูงอยู่บนตัวนางข้าฝันหรือไร!!นางครุ่นคิดด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นางถูกเติ้งเจี๋ยจับไป ด้วยความที่หวาดกลัวจนสติแตกและถูกด้านมืดในจิตใจครอบงำ นางจึงสังหารเขาอย่างเลือดเย็นหลังจากนั้นนางก็สลบไปนางตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองนอนอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น หิมะตกโปรยปรายลงมาไม่หยุดช่างหนาวเหลือเกิน!!เสี่ยวจิ่วฮวาหลับตาลง พยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหวังว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครานางจะออกจากที่นี่ไปได้แต่มันกลับไม่ใช่ที่นี่เปรียบเสมือนกรงขังที่ไร้ทางออก พาให้นางจมดิ่งลงลงสู่ห้วงที่ลึกที่สุดในจิตใจของตนเองเสี่ยวจิ่วฮวาพยายามลุกขึ้นก่อนจะเดินโซเซไปตามทางที่มืดทึบ หนทางช่างมืดเหลือเกินมองไปไม่เห็นสิ่งใด ฉับพลันนางได้ยินเสียงของเติ้งหมิงซีเอ่ยเรียกชื่อนางมาตามสายลม"อาจิ่ว เจ้ารีบฟื้นเร็วเข้า ข้ารอเจ้าอยู่นะ""อาหมิง!!! อาหมิงช่วยข้าด้วย ข้าออกไปไม่
เติ้งหมิงซีอุ้มเสี่ยวจิ่วฮวาเข้ามาในรถม้า ก่อนจะสั่งให้คนหาผ้าชุบน้ำสะอาดมาให้เขา ก่อนจะบรรจงเช็ดตามใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยนก่อนหน้านี้เขาพยายามไล่ตามเติ้งเจี๋ยอย่างไม่ลดละ แต่เติ้งเจี๋ยกลับรวดเร็วยิ่งกว่า เพียงไม่นานก็หายไปจากสายตาของเขา ในขณะที่กำลังร้อนรนและตามหาเสี่ยวจิ่วฮวาอยู่นั้นก็ได้พบกับเจียงซวี่เสียก่อนเจียงซวี่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากมาย บอกเพียงให้เขาตามไป ก่อนจะพบว่าเติ้งเจี๋ยพาเสี่ยวจิ่วฮวามาที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังนี้เติ้งเจี๋ยลอบซื้อเอาไว้ คาดว่าน่าจะซื้อเอาไว้เพื่อลักลอบทำเรื่องบางอย่างเจียงซวี่บอกเพียงว่าคนตระกูลเจียงถูกทหารของกบฏสังหารเกือบหมด เหลือรอดเพียงไม่กี่คน เติ้งหมิงซีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ครั้งนี้บิดาของฉินฮองเฮาคงแค้นเติ้งเจี๋ยมาก ถึงกับเข้าฝั่งกบฏและนัดแนะให้ทหารกบฏเข้ามาสังหารคนของเติ้งเจี๋ยล้างตระกูลและทำลายบ้านเมืองเช่นนี้ ความแค้นมันน่ากลัวมากจริงๆแต่อย่างไรก็ต้องขอบใจเจียงซวี่ที่ช่วยเหลือเขาในครั้งนี้จนได้พบกับเสี่ยวจิ่วฮวา ทั้งที่ตนเองก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้สร้างความตกใจให้แก่เขาไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าเสี่ยวจิ่วฮวาจะสังหาร
รถม้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืด เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามไม่มองหน้าเติ้งเจี๋ย ส่วนบุรุษตรงหน้าก็เอาแต่จ้องมองนางอย่างไม่ลดละ สายตานั่นมันทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาอึดอัด ทั้งอึดอัดทั้งรังเกียจและหวาดหวั่นในคราวเดียวกันภาพที่เขาทำกับนางในชาติก่อนมันสร้างบาดแผลในใจให้แก่นางอย่างไม่อาจลืมเลือนทำให้นางกลัวการนอนกับสามีตนเอง นางเหมือนคนที่สติไม่อยู่กับตัวต้องคอยฟวาดระแวงลืมอดีตไปจากใจไม่ได้นางเกลียดเติ้งเจี๋ย!!เติ้งเจี๋ยที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวาไม่สนใจตน จึงยื่นมือมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เพราะเสี่ยวจิ่วฮวาขัดขืนเขาจึงออกแรงกับนางอย่างไม่ปรานีปราศัย"เกลียดข้ามากนักหรือ อีกไม่นานข้าก็จะได้ชื่อว่าเป็นสามีของเจ้าแล้ว!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเติ้งเจี๋ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลน"ข้าไม่ใช่ภรรยาของเจ้า ข้ามีสามีแล้ว คนต่ำช้าเช่นเจ้าคิดจะแย่งภรรยาผู้อื่นไม่อับอายบ้างหรือไร ถุย!!!"เสี่ยวจิ่วฮวาถุยน้ำลายใส่ใบหน้าของเติ้งเจี๋ยอย่างไม่แยแส ทว่าเติ้งเจี๋ยกลับไม่โกธร เขาใช้ปลายนิ้วมือขึ้นเช็ดน้ำลายของนาง ก่อนจะอ้าปากงับนิ้วของตนและดูดดื่มกับน้ำลายของนางที่เปื้อน
พ่อบ้านเหรินพาเสี่ยวจิ่วฮวาวิ่งมาจนถึงด้านนอกจวนอ๋อง ก่อนจะวิ่งฝ่าความมืดลัดเลาะไปตามเส้นทางลับก่อจจะมาถึงยังรถม้าที่จอดอยู่ข้างร้านเครื่องประทินโฉม ยามนี้ทหารกบฏถูกท่านอ๋องควบคุมได้แล้ว ทางจึงสะดวกขึ้นมา เสี่ยวจิ่วฮวาหันมามองหูเป่าและเหล่าสาวใช้ที่วิ่งหนีตามกันมา ก่อนจะเอ่ย"รีบไปกันเถอะ!!ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องจะต้องรับมือได้"เมื่อเอ่ยจบนางก็กำลังจะก้าวขึ้นรถม้า แต่ทว่ากลับมีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาสังหารสาวใช้ของนางตกตายไปหลายคน เสี่ยวจิ๋วฮวารีบหันกลับไปมอง ก่อนจะอุทานออกมา"เติ้งเจี๋ย!!!"นี่เขายังไม่ตายหรือ แล้วหนีรอดมาได้เช่นไร!!!เติ้งเจี๋ยหนีออกมาพร้อมกับองค์รักษ์ลับของตน เป้าหมายของเขาคือตามหาเสี่ยวจิ่วฮวาให้พบ ยามนี้เขาได้พบกับนางแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งเจี๋ยจึงก้าวเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวาในทันที แต่ทว่าพ่อบ้านเหรินกลับสั่งให้องค์รักษ์ที่ติดตามมาด้วย ขวางทางเขาเอาไว้ เติ้งเจี๋ยปรายตามองพ่อบ้านเหรินก่อนจะเอ่ย"หากไม่อยากตายก็ส่งนางมา นางเป็นของข้า!!!"พ่อบ้านเหรินส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท พระองค์พูดผิดแล้ว นางคือพระชายาของท่านอ๋อง เป็นนายหญิงของข้า ท่านต่างหากที่ต้องไ
รัชศก เจี๋ย ปีที่1หลังจากที่คัดเลือกสาวงามเข้าวังไปไม่นาน ก็มีข่าวออกมาว่ามีขุนหลายกลายตระกูลที่เกิดเรื่อง บ้างก็ถูกสังหารทิ้ง บ้างก็หลีกหนีออกไปจากเมืองหลวง บางครอบครัวที่ยากจนก็ถูกทหารทุบตีเพราะมาร้องทุกข์ต่อศาลต้าหลี่ว่าบุตรสาวตกตายอย่างไม่เป็นธรรมข้าวของเครื่องใช้แพงจนไม่อาจจับต้อง สินค้าบางอย่างหายากยิ่ง ข้าวสารแทบจะไม่มีเหลือให้กินให้ใช้ ราษฎรลำบากยากแค้น ในขณะที่เติ้งเจี๋ยซึ่งอยู่ในวังหลวงกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญบนความทุกข์ยากของราษฎรอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านคิดว่าเขาไม่เจ็บแค้นที่มองเห็นราษฎรทุกข์ยากหรือ ทุกครั้งเขาแอบส่งคนไปช่วยเหลือครอบครัวเหล่านั้นครั้งแล่วครั้งเล่า ต้องทนเห็นมารดาของพวกนางกรีดร้องเพราะต้องสูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รัก บิดาเป็นบ้าหลังจากที่ทราบว่าบุตรสาวที่ถูกคัดเลือกเข้าวังหลวงต้องมาตายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ชาวบ้านร้องไห้เพราะความอดอยาก เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วทั้งเมืองหลวงถึงเวลาแล้วเติ้งเจี๋ยที่เจ้าจะต้องตายเสียที!!!กลางดึกคืนนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาถูกปลุกขึ้นมากลางดึก นางงัวเงียลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าเป็นเติ้งหมิงซีนั่นเอง"อาหมิง ปลุกข้าทำไมกัน"เสี่ยวจ
จากการสืบหาความจริงของไป๋หล่างและองค์รักษ์ลับที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงของจวนอ๋อง ท้ายที่สุดเพียงสามวันก็สืบพบว่าเป็นฝีมือของผู้ใด"เป็นฝีมือของฉินฮองเฮาอย่างนั้นหรือ""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เติ้งหมิงซีที่ได้ยินเช่นนั่นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง สตรีนางนั้นถึงกับกล้าเล่นไม่ซื่อกับของขวัญที่เติ้งเจี๋ยมอบให้เสียวจิ๋วฮวา ช่างอาจหาญไม่เบาเลยอยู่บนตำแหน่งฮองเฮาดีดีไม่ชอบ ได้!!! ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเองด้านเสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะจำฉินฮองเฮานางนั้นได้ ก่อนหน้านี้สตรีผู้นี้คือพระชายาเอกของเติ้งเจี๋ยไม่เคยคิดเลยว่าฉินฮองเฮาจะลงมือกับนางเช่นนี้ หรือว่าฉินกุ้นเฟยจะรู้ว่าเติ้งเจี๋ยคิดเช่นไรกับนางจึงต้องการสังหารนางทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหัวใจอย่างนั้นหรือเสี่ยวจิ่วฮวาที่คิดได้เช่นนั้นแววตาก็เย็นเยียบ นางไม่เคยอยากมีปัญหากับผู้ใด แต่คนพวกนั้นกลับนำปัญหามาให้นาง ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเช่นนี้มันออกจะเลือดเย็นไปหน่อยกระมังเติ้งหมิงซีที่เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวานิ่งเงียบไป ก็รีบเอ่ยกับนางอย่างเป็นห่วง"เจ้าไม่ต้องกลัว คืนนี้ข้าจะส่งคนไปลอบสังหารนาง คนของข้าทำงานไม่ผิดพลาดแน่ ต่อไปนี้นางจะไม่สามารถทำร้ายเจ้าไ
หลังจากที่ฮ่องเต้เติงผิงอันสวรรคตไปแล้ว เหตุการณ์หลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย เจียงฮองเฮายามนี้ได้ถูกแต่งตั้งเป็นเจียงไทเฮา เสพสุขอำนาจวาสนาไม่จบไม่สิ้น ส่วนเติ้งเจี๋ยก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ยามนี้ยังอยู่ในการไว้ทุกข์ แต่มันก็เป็นเพียงการสร้างฉากบังหน้าขึ้นมาเพียงเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ ภายในตำหนักมังกรสวรรค์ยามนี้มีศพของสตรีคนแล้วคนเล่าถูกหามออกไป บางคนไม่ตายก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเป็นเช่นนี้ทุกวันจนสร้างความหวาดหวั่นให้แก่เหล่าสตรีในวังหลวงไม่น้อย นางสนมในอดีตฮ่องเต้ที่ยังสาวบางคนถูกเติ้งเจี๋ยเรียกมาปรนนิบัติเขาไม่สนใจกฎระเบียบอันใดเลยแม้แต่น้อย ส่วนเจียงไทเฮาก็ไม่สนใจสิ่งใดเพราะคิดว่าสิ่งไหนเป็นความสุขของบุตรชายนางก็ไม่อยากจะขัดขวาง"ฮองเฮาเพคะ ทรงเสวยสิ่งใดบ้างเถิดเพคะ"เสียงของนางกำนัลเอ่ยขึ้นมาด้วยความจนใจ ก่อนจะวางอาหารลงตรงหน้าฉินฮองเฮาฉินฮองเฮานางนี้เดิมทีคือพระชายาเอกของเติ้งเจี๋ย ก่อนหน้านี้นางหมายมั่นเอาไว้ว่าอำนาจจะต้องอยู่ในมือของนาง เติ้งเจี๋ยจะต้องรักใร่โปรดปราณนางไปตลอดชีวิต อีกอย่างนางกับเติ้งเจี๋ยเองก็มีรสนิยมในเรื่องเช่นนั้นเหมือนกัน เขาชอบกระทำควา
เสี่ยวจิ่วฮวาหลังจากแต่งงานก็เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาเยี่ยมจวนครั้งนี้นางพบว่ามารดาของนางไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเท่าแต่ก่อนอีก เพราะได้รู้แล้วว่าความจริงเติ้งหมิงซีไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ มารดากำชับนางหลายประโยคให้ระวังตนเองให้ดีและอย่าละเลยหน้าที่ของภรรยาเป็นอันขาด นางพยักหน้ารับและจดจำคำสอนของมารดาเอาไว้ทุกคำยามนี้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงค่อนข้างเย็นไม่น้อยเลย หิมะเริ่มตกโปรยปรายมากขึ้น วันนี้เสี่ยวจิ่วฮวาจึงมาทำซุปเนื้อในโรงครัวกินเพื่อคลายความหนาวพ่อบ้านเหรินที่เดินมาพอดี ก็ปรายตามองเสี่ยวจิ่วฮวาคราหนึ่ง เดิมทีเขาไม่ชอบเสี่ยวจิ่วฮวาแต่เพราะคำสั่งของเติ้งเจี๋ยก่อนหน้านี้ที่กำชับเขาว่าห้ามทำให้นางลำบากใจ เขาจึงไม่อาจล่วงเกินนางได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเดินเข้ามาหานางก่อนจะเอ่ย"พระชายา หากทรงต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องลงมาทำด้วยตนเองเช่นนี้ หากเกิดสิ่งใดขึ้น หรือเกิดความเสียหายในจวนอ๋อง เกรงว่าท่านคงรับผิดชอบไม่ไหว"เขาเอ่ยอย่างเย็นชา เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย"ข้าจะทำซุปเนื้อกินเสียหน่อย ให้สา