เมื่อท่านอ๋องหนุ่มตกใจตื่นขั้นมาในยามซื่อ(ก่อนสิบโมงเช้า ) เขาผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อในอ้อมกอดของเขามันว่างเปล่า เขาเหลียวมองไปรอบๆห้องนั้น มิมีวี่แววของนาง เหลียวมองบนพื้นห้องก็เห็นเพียงอาภรณ์ของเขาที่มันหล่นกราดเกลื่อนอยู่ทั่วไป แต่มิมีของนางเลยสักชิ้นเดียว
นางกลับไปแล้วเช่นนั้นหรือ มิได้ปลุกเขาขึ้นมาเรียกร้องความรับผิดชอบที่เขาได้ย่ำยีนางไปแล้ว นางไปง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ เขารีบลุกขึ้นคว้าเครื่องแต่งกายที่่มันหล่่นอยู่ไปตามพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างเร่งรีบ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบก้าวออกไปจากห้องนั้น เปิดประตูออกไปพบองครักษ์ของเขายืนอยู่ที่นั่งรออยู่ที่หน้าห้องนั้น “ นางล่ะ นางไปแล้วเช่นนั้นหรือ ” เขาเอ่ยถามทันทีอย่างร้อนรน “
องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ นางไปแล้วพะยะคะ ไปตั้งแต่ชั่วยามก่อนแล้ว ” เขาเอ่ยถามอีกว่า ” นางมิได้สั่งอะไรไว้เลยหรือ นางมีท่าทางเช่นใดบ้าง “ องครักษ์เอ่ยขึ้นว่า ” นางมิได้พูดอะไรเลยพะยะคะ นางเดินไปเรียกสาวใช้ของนางแล้วก็เดินออกไปด้วยกัน มิได้โวยวายหรือร้องไห้แต่อย่างใดพะยะคะ " ท่านอ๋องหนุ่มอึ้งงันไป นางมิได้โวยวายร้องไห้อยากจะให้เขารับผิดชอบนางเลยเช่นนั้นหรือ นางมิได้สนใจอะไรยอมกลับไปง่ายๆเช่นนั้นเลยหรือ แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันที่นางมิได้โวยวายเรียกร้องสิ่งใดให้เขารับผิดชอบ เขาก็จะทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเลยเหมือนว่ามันไม่เคยอะไรเกิดขึ้น จากนั้นท่านอ๋องรุ่ยหยางก็เดินนำหน้าองครักษ์ทั้งสองออกจากโรงเตี้ยมแห่งนั้นไป
เฟยฮวาเมื่อกลับเข้ามาในห้องของนางแล้ว นางบอกเผยอันให้ออกไปจากห้องของนางก่อน มีอะไรก็ไปทำเถิด นางจะขออยู่เพียงคนเดียวชั่วครู่ เมื่อเผยอันออกไปพ้นจากห้องแล้ว ทุกสิ่งรอบตัวของนางเงียบสงบลง น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงมาช้าๆ แม้ปากบอกว่าทำใจได้แล้ว แต่ในอกของนางปวดแปลบยิ่งนัก เวลาที่นางหลงมัวเมากับชายผู้นั้น คิดว่าเขาคงจะเป็นคนดี เพราะเขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ใบหน้าของเขามันขาวหมดจดผิวพรรณผ่องใส ตัดกับคิ้วเข้มนั้น ผิวพรรณของเขาก็เช่นเดียวกับชนชั้นสูงทั่วไป ที่มีผิวกายดังแตงร่มใบ ดั่งมิเคยต้องแสงแดดกระนั้น
นางเคยมองว่าเขางดงามดุจเทพเซียน หลงไหลใฝ่ฝันรูปกายของเขา คิดว่าจิตใจของเขาคงจะดีดังรูปกายที่นางเห็น แต่บัดนี้นางตาสว่างแล้ว รูปกายภายนอกที่เห็นนั้นมันเคลือบกายอสูรร้ายไว้ภายใน จิตใจของเขาดำดังเช่นอีกา เห็นชีวิตและความรักอันบริสุทธิ์ของผู้อื่นเป็นสิ่งตลกขบขัน นำมันมาล้อเลียนและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ถึงกับนำชีวิตและความสาวของผู้อื่นมาพนันขันต่อกันราวกับสิ่งไร้ค่า นางคงจะน่ารังเกียจในสายตาของพวกเขาเหล่านั้นยิ่งนัก
พวกเขามองนางต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่าหญิงนางโลมที่พวกเขาพูดถึง เขาเต็มใจที่จะเสพสุขกับหญิงนางโลมยิ่งกว่าจะต้องมาหลับหูหลับตาเสพสุขกับนางด้วยซ้ำ เขาคิดกันเช่นนั้น น้ำตาของนางไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ความรักครั้งแรกของนางจบลงอย่างเจ็บแสบที่สุด นางเสียสิ่งมีค่าของลูกผู้หญิงไปให้กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของมันเลยด้วยซ้ำ
นางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างหนัก ร้องจนน้ำตาแทบไม่ม่ีจะไหล นางกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เสียงร้องของนางมันบาดลึกลงไปในจิตใจของนางเอง นางจะร้องไห้ให้กับความรักที่มอบให้ชายโฉดผู้นี้แค่เพียงครั้งนี้ ต่อไปนางจะมิยอมเสียน้ำตาให้ชายที่ไม่เห็นค่าของนางอีกต่อไป วันนั้นเฟยฮวาร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไป นางนอนฝันร้ายแทบทั้งคืนในคืนนั้น ฝันเห็นชายผู้นั้นกลายเป็นอสูรร้ายวิ่งตามไล่ตะปบนาง นางก็วิ่งหนีอสูรร้ายผู้นั้นอย่างไม่คิดชีวิต จนตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย
หลายวันผ่านมาเฟยฮวานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของนางจ้องมองไปยังสตรีในคันฉ่องบานใหญ่นั้น นางอ้วนใหญ่น่าเกลียดหนำซ้ำหน้าตาก็ดูจืดชืดเหลือแสนและการแต่งกายก็ดูไม่น่ามองเช่นคุณหนูที่นางเคยเห็นทั้งหลาย เช่นนี้เองมิน่าเล่าเหล่าองค์ชายเหล่านั้นจึงเรียกนางว่าหญิงขี้เหร่จนมิมีชายใดอยากได้ นางโลมยังดีกว่านางมากมาย พวกเขาแทบไม่เชื่อว่าอ๋องผู้นั้นจะยอมพานางขึ้นเตียงได้ (พวกเขาใช้คำว่าหลับหูหลับตาพานางขึ้นเตียง)
คำพูดขององค์ชายเหล่านั้นมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของนาง นางเพ่งมองตนเองอยู่นาน แล้วเรียกเผยอันเข้ามา “ เผยอันเจ้าพูดมาตามความจริงเจ้าคิดว่าข้านั้นมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ” เผยอันมองคุณหนูของนางแล้วเอ่ยว่า " คุณหนูตัวอ้วนใหญ่เจ้าคะและใบหน้าที่จริงแล้วผิวพรรณดีมาก แต่มิได้รับการเติมแต่งอย่างงดงามเช่นคุณหนูจวนอื่นที่ข้าเคยพบเห็นเจ้าคะและกายแต่งกายของคุณหนูจวนอื่นๆที่ข้าพบเห็นจะดูงดงามสมวัยกว่าคุณหนูเจ้าค่ะ “ เฟยฮวามองใบหน้าของเผยอัน นางเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์ชายเหล่านั้นถึงเรียกนางว่าหญิงขี้เหร่
หลังจากวันนั้นเฟยฮวาก็พยายามเดินออกกำลังกายทุกวันในตอนเช้าและตอนเย็นที่ในสวนของจวนเสนาบดีที่กว้างใหญ่นั้น นางว่าจ้างหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนามว่าซิ่วหลัน หญิงผู้นี้เคยเป็นอดีตนางกำนัลในวังหลวงนางเคยดูแลพระสนมขององค์ฮ่องเต้ในเรื่องเกี่ยวกับความงามทั้งหลาย ทั้งดูแลผิวพรรณและเรือนร่างและประทินโฉมเหล่าพระสนมนั้นอยู่หลายปี จนนางลาออกมาแต่งงานกับคนรักของนางจึงได้ออกจากวังหลวงมาใช้ชีวิตกับสามีที่นอกวัง สามีของนางเป็นพ่อค้ามีฐานะปานกลาง แต่นางก็ยังรับดูแลปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องผิวพรรณให้เหล่าฮูหยินและคุณหนูหลายๆจวนอยู่ นางมีความชำนาญในเรื่องเหล่านี้ เฟยฮวาจ้างให้นางมาดูแลเป็นพิเศษ ช่วยสอนในเรื่องการลดน้ำหนักและดูแลผิวหน้าและผิวกายของนางทั้งหมด และช่วยเลือกเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่เหมาะกับวัยของเฟยฮวาอีกด้วย
หลายเดือนผ่านไปเฟยฮวามีรูปร่างที่ดีขึ้นมาก สมส่วนขึ้น อวบอิ่มเล็กน้อยมีน้ำมีนวลน่ารักน่าใคร่ และใบหน้าของนางที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตอนนี้นางแต่งเติมใบหน้าด้วยตนเองได้คล่องแคล่วยิ่งนัก นางไปซื้อหาเครื่องแต่งกายใหม่ทั้งหมดของเก่านำไปบริจาคให้ผู้อื่นจนหมด นางเลือกเครื่องประดับใหม่ๆที่มันดูน่ารักเหมาะกับวัยของนาง และซื้อหาเครื่องประทินผิวใหม่ๆ มาทั้งหมด นางเปลี่ยนตนเองใหม่ทุกอย่างจนแทบจะจำเค้าเดิมมิได้
เมื่อภารกิจเปลี่ยนหญิงขี้เหร่เป็นโฉมงามเสร็จสิ้นซิ่วหลันก็ลากลับจวนของตนเองไป เพราะนางมาอยู่ประจำที่นี่เพื่อดูแลเฟยฮวาเป็นพิเศษด้วยค่าจ้างสูงลิ่ว เฟยฮวามิเสียดายเงินที่นางทุ่มเทเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อลบคำสบประมาทของบุรุษเหล่านั้นที่เปรียบเปรยนางว่าต่ำต้อยยิ่งกว่านางโลมด้วยซ้ำไป คำพูดเหล่านี้มันเจ็บแสบเหลือเกิน นางปวดแปลบกลางใจนางยิ่งนัก เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนมานี้ตอนแรกเฟยฮวากังวลเป็นอย่างยิ่งที่นางได้ตกเป็นเครื่องเล่นของอ๋องผู้นั้น นางกลัวว่านางจะท้องขึ้นมา จะเป็นที่อับอายทำให้บิดาเสื่อมเสียชื่อเสียง พอผ่านพ้นมาได้นางดีใจยิ่งนัก จึงตั้งหน้าเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ นางจะเปลี่ยนกาดำที่ใครก็เยาะหยันให้เป็นหงส์สวยงามที่บุรุษใดก็หมายปองให้ได้ อยากจะเห็นหน้าบุรุษเหล่านั้นที่เยาะหยันนางว่าขี้เหร่เหลือแสน
ฝ่ายท่านอ๋องรุ่ยหยางตอนแรกก็ดีใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบหญิงขี้เหร่ที่ใครๆต่างก็มองนางเช่นนั้น รวมถึงเหล่าพี่น้องของเขาด้วย แต่ผ่านไปนานหลายเดือน เขาก็ยังพยายามมองหานางตามงานต่างๆ ที่บิดาของนางไปเสมอก็มิเห็นนางเลย เขาเคยลองเลียบเคียงถามถึงนางกับบิดาว่ามิเห็นพาบุตรสาวมาออกงานเลย บิดานางบอกว่าช่วงนี้นางเก็บตัวอยู่ในจวนมิค่อยอยากไปไหน เลยมิค่อยได้ไปออกงานไหนในช่วงนี้ แม้อ๋องหนุ่มปากจะบอกว่ามิได้ชมชอบหญิงขี้เหร่เช่นนาง แต่เขาก็เผลอมองหานางอยู่บ่อยๆ โดยที่เขาก็มิรู้ตนว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
วันนี้เสนาบดีเฟยกลับมาถึงจวนแล้ว ก็ตรงไปที่เรือนใหญ่ของตนเอง เขานั่งลงจิบชาที่ห้องโถงกลางของเขาเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ขณะที่นั่งจิบชาอยู่นั้น เฟยฮวาก็เดินเข้ามาในห้องโถงนั้น ท่านเสนาบดียกยิ้มน้อยๆให้นางหมู่นี้เขาสังเกตุเห็นว่าบุตรสาวงดงามขึ้นมากมาย นางตัวเล็กลงมาก รูปร่างอวบอิ่มกำลังดี ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย ใบหน้าก็งดงามยิ่งนัก การแต่งกายก็งดงามดังเช่นคุณหนูในห้องหอทั่วไป มองดูเป็นหญิงงามผู้หนึ่งเลยทีเดียวเขาคิดว่าอีกไม่นาน หากพานางออกงานไม่กี่ครั้งรับรองว่าจวนของเขาจะมีแม่สื่อเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสายเป็นแน่ เขาคิดแล้วก็ยกยิ้มกับตนเอง“ ท่านพ่อยิ้มอารมณ์ดีจริงนะเจ้าคะ วันนี้ไปราชการมาเหนื่อยหรือไม่ เจ้าคะ ลูกต้มขนมหยวนเซียวใส่น้ำขิง (ขนมบัวลอยใส่น้ำขิง) ให้ท่านพ่อเจ้าคะ กินแล้วเลือดลมจะได้เดินดีๆ เผยอันยกมันมาให้ท่านพ่อเลย ” นางหันไปมองเผยอันที่ยกถาดใส่ถ้วยขนมหยวนเซียวเดินตามนางมา ขณะที่บิดานั่งกินขนมหยวนเซียวที่นางทำมาให้เขา แล้วก็ชมเชยไม่ขาดปากว่ามันเหนียวหนึบอร่อยยิ่งนัก เฟยฮวายิ้มน้อยๆที่บิดาชอบขนมที่นางทำ นางอยากจะทำอะไรก็ได้ให้บิดามีความสุข สองพ่อลูกนั่งคุยกันด้วยเรื
เช้าวันงานเลี้ยงในวัง เฟยฮวาตื่นขึ้นแต่เช้าแล้วจัดการทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว แล้วก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เตรียมไว้แล้วนั้น จากนั้นก็มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของนางเพื่อแต่งเติมใบหน้าสวยหวานนั้นให้เข้มขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ลงมือวาดคิ้วโก่งนั้นให้ได้รูปยิ่งขึ้นแต่งเติมให้มันเข้มขึ้นเล็กน้อย แต้มใฝเม็ดเล็กๆที่ปลายคิ้วข้างหนึ่งเติมสีสันที่เปลือกตาให้ดูสว่างขึ้น เติมสีสันให้แก้มนวลทั้งสองข้างให้ขึ้นสีแดงกว่าเดิมเล็กน้อย เติมสีให้เรียวปากอิ่มนั้นให้แดงเข้มขึ้น นางมีปากที่อวบอิ่มได้รูปยิ่งเติมสีเข้าไปมันดูอวบอิ่มน่าจุมพิตอย่างมาก แล้วเรียกให้เผยอันมาช่วยทำผมและประดับปิ่นและติดกิ๊บรูปผีเสื้อและดอกไม้เล็กๆที่เป็นพลอยสีเขียวเข้ากับชุดของนาง จากนั้นก็ใส่ตุ้มหูที่เข้ากัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินออกไปจากเรือนเล็กของนางเพื่อออกไปรอท่านพ่อที่หน้าเรือนใหญ่ เมื่อเดินไปถึงได้เพียงครู่ท่านเสนาบดีเฟยก็เดินออกมาในชุดขุนนางเต็มยศของท่าน แล้วก็พากันเดินออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่แล้วที่หน้าประตูจวน รถม้าวิ่งผ่่านตลาดที่่ยังวุ่นวายแม้เป็นเวลาที่สายมากแล้ว เพราะเป็นเวลาที่ผู้คนต่่างก็ออกมาซื้อหาข้า
ขณะนั้นเฟยฮวากินอาหารอิ่มแล้ว นางจึงอยากจะไปเข้าห้องน้ำและเดินย่อยอาหารเสียหน่อย เพราะนั่งมานานมากแล้ว จึงเอ่ยบอกบิดา เขาพยักหน้าอนุญาติ นางจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆเดินออกไปจากห้องโถงนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางมิรอดพ้นสายตาคมดุจเหยี่ยวของท่านอ๋องรุ่ยหยางไปได้เขารีบลุกขึ้นตามนางทันที แล้วเร่งก้าวออกไปจากห้องโถงเพื่อจะหาทางคุยกับนางให้รู้เรื่อง เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงเขาเห็นนางเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนที่บริเวณด้านหน้าซึ่งเป็นสวนที่กว้างใหญ่งดงามเชื่อมต่อกันหลายๆสวน จนถึงสวนในตำหนักหลัง แต่มีอาณาเขตกั้นเป็นกำแพงเพื่อมิให้ผู้อื่นล่วงล้ำเข้าไปในตำหนักหลังง่ายๆ แต่แค่เพียงสวนด้านหน้าสถานที่จัดงานนี้ก็กว้างใหญ่มาจนเดินแทบจะไม่ทั่วด้วยซ้ำ ท่านอ๋องหนุ่มเร่งฝีเท้าตามนางไปจนทันที่บริเวณใกล้ศาลาเล็กๆที่อยู่กลางสวนนั่น “ ฮวาเอ๋อ เจ้ารอเปิ่นหวางก่อน เปิ่นหวางมีเรื่องจะพูดกันเจ้า ” เขาเดินไปแล้วพยายามคว้าแขนเรียวของนางไว้ เฟยฮวาหันมามองเห็นท่านอ๋องผู้นั้นที่นางพยายามหลีกเลี่ยงเขาเดินตามนางมาจนทัน “ ฟังเปิ่นหวางก่อนได้ไหม วันนั้นเจ้าออกมาจากโรงเตี้ยมมิได้ปลุกเปิ่นหวางจึงมิได้พูดกันให้รู้เรื่อง แล้ว
เหล่าองค์ชายทั้งหลายจึงได้คิดแผนการณ์ช่วยเหลือท่านอ๋องรุ่ยหยางขึ้น เพราะองค์ชายสามรู้มาว่า ขุนนางในบังคับบัญชาของท่านเสนาบดีเฟยมีขุนนางกังฉินอยู่จำนวนหนึ่ง ได้รับงานสร้างเขื่อนขนาดกลางขึ้นที่หัวเมืองและได้ทุจริตงบประมาณที่ส่วนกลางส่งไปเพื่อให้ทำการก่อสร้างเขื่อนนั้น แต่พวกเขาเฉือนงบที่ใช้ในการก่อสร้างเข้าพกเข้าห่อของตนเอง ทำให้เขื่อนนั้นไม่ได้มาตราฐานตามที่ส่วนกลางต้องการ แต่ท่านเสนาบดีไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาจึงจะใช้เรื่องนี้บีบบังคับท่านเสนาบดีและคุณหนูเฟยฮวาให้ยอมตบแต่งกับท่านอ๋องรุ่ยหยาง แล้วจะช่วยเหลือแก้ไขปัญหานี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ท่านเสนาบดีจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ เมื่อวางแผนการณ์ทั้งหลายจนรัดกุมคิดว่าคงจะได้ไม่มีช่องโหว่ให้ท่านเสนาบดีแก้ไขได้ทัน ท่านอ๋องรุ่ยหยางและองค์ชายสามจึงได้เดินทางไปที่จวนเสนาบดีเฟยในอีกสามวันต่อมา เมื่อมาถึงได้พากันเข้าไปสนทนากับท่านเสนาบดีเฟยและพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ท่านเสนาบดีเฟยวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เขาเสนอจะใช้สมบัติของตนเองทดแทนเงินส่วนกลางที่หายไป แล้วจะไปจัดการไต่สวนเรื่องนี้ในภายหลัง แต่องค์ชายสามค้านว่าเรื่องมันได้เกิดขึ้นแล้วและมี
ยามซื่อ (เก้าโมงเช้า ) วันต่อมา รถม้าของตำหนักอ๋องรุ่ยหยางก็มารอรับคุณหนูเฟยฮวาที่หน้าประตูจวนเสนาบดี เผยอันและสาวใช้สองสามคนช่วยกันขนข้าวของๆเฟยฮวาที่เก็บเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานมาใส่รถม้าที่จอดรออยู่นั้น เฟยฮวานางกอดบิดาร่ำไห้เล็กน้อย แต่ก็อดกลั้นไว้เพราะไม่อยากให้บิดาเป็นห่วงนาง นางบอกว่านางจะอดทนไว้ กำหนดเพียงหนึ่งปีมินานเลย เราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้หากนางสามารถมาเยี่ยมท่านพ่อได้นางจะมาให้บ่อยที่สุดเท่าที่นางจะมาได้ จากนั้นนางก็กอดลาบิดาอีกครั้งแล้วก็ขึ้นรถม้าจากไป พร้อมกับเผยอัน บิดาของนางและพ่อบ้านยืนมองรถม้านั้นจนลับตา เฝ้าภาวนาให้นางอยู่ในตำหนักแห่งนั้นได้อย่างราบรื่น เมื่อรถม้ามาจอดที่หน้าตำหนักท่านอ๋องรุ่ยหยาง เฟยฮวากับเผยอันก็ก้าวลงจากรถม้าช้าๆ พ่อบ้านซื่อถังยืนรอรับอยู่ที่หน้าตำหนัก เขาทักทายเฟยฮวาอย่างอัธยาศัยดี เฟยฮวายิ้มตอบเขา แล้วพ่อบ้านซื่อถังก็เรียกสาวใช้สามคนมาช่วยกันขนข้าวของๆคุณหนูเฟยฮวาเข้าไปในตำหนักแล้วตรงไปที่เรือนเล็กในสุดด้านซ้ายของตำหนักที่ต้องเดินผ่านตำหนักใหญ่ของท่านอ๋องไปทางด้านซ้ายมือเดินลัดเลาะผ่านสวนสวยงามไปเรื่อยๆจนพบเรือนเล็ก
ค่ำคืนนั้นเมื่อรับประทานอาหารเย็นกันแล้ว เฟยฮวาก็เข้าไปอาบน้ำชำระกาย และมานั่งบำรุงผิวพรรณตนเองทั้งผิวหน้าและผิวกาย เครื่องประทินผิวที่นางได้มาใหม่นั้นมีกลิ่นหอมยิ่งนัก เมื่อทาแล้วสบายผิวดีกว่าที่นางเคยใช้มา และก็ยกหวีขึ้นมานั่งสางผมที่นุ่มสลวยยาวถึงกลางหลังจากนั้นก็บอกให้เผยอันไปอาบน้ำและเข้านอนได้เลยมิต้องคอยอยู่รับใช้นางแล้ว นางจะนั่งเล่นอยู่เพียงครู่ก็จะเข้านอนแล้ว จากนั้นนางก็เดินไปที่เตียงนอนใหญ่นั้น มันเป็นเตียงที่ใหญ่กว่าที่นางใช้ที่จวนเสนาบดีด้วยซ้ำ และนางชอบที่มันมีเสาสูงทั้งสี่เสาและมีผ้าม่านสีขาวโปร่งผูกไว้ทั้งสี่ด้าน กลางคืนหากปล่อยม่านลงมาแล้วมีลมพัดเข้ามามันพริ้วไหวไปมาทำให้บรรยากาศในห้องนอนนั้นดีมาก เฟยฮวานั่งลงที่บนฟูกใหญ่นั้น มันใหญ่และหนามานุ่มสบายยิ่งนักเวลานอน เฟยฮวาเอนกายลงนอนบนฟูกหนานั้น มีลมพัดเข้ามาเป็นระลอกเย็นสบายยิ่งนัก เพียงไม่นานนางก็เคลิ้มหลับไป กลางดึกคืนนั้น ร่างหนาของท่านอ๋องรุ่ยหยางก็เข้ามาทางหน้าต่างบานยาวที่เปิดกว้างไว้รับลมนั้น เขาเดินอ้อมระเบียงมา เพราะทั้งสองสาวได้ปิดประตูหน้าเรือนไว้ทำให้เขาเข้ามาในเรือนไม่ได้ เขาเพิ่งกลับมาจากหัวเมืองเพราะไป
หลังเที่ยงวันนั้นทั้งสองลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมๆกัน เฟยฮวากระพริบตาทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อคืน เมื่อนึกขึ้นได้หน้าของนางแดงก่ำขึ้นทันที หันไปมองด้้านหลังก็สบเข้ากับตาคมของอ๋องหนุ่ม ทั้งสองมองกันและกันอย่างเก้อเขินกันเล็กน้อย เฟยฮวามิเอ่ยอะไรได้แต่พยายามลุกขึ้นนั่ง “ โอ้ย !! ” นางร้องขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อขยับกายจะลงจากเตียงนั้น ตรงกลางกายก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที อ๋องหนุ่มผุดลุกขึ้น “ เจ้าเจ็บมากหรือไม่ ไม่ต้องลุก เปิ่นหวางจะอุ้มเจ้าไปแช่น้ำอุ่นก่อนนะ สักพักมันน่าจะบรรเทาความเจ็บลงได้ ”จากนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้น กายแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างผู้ฝึกร่างกายเป็นประจำนั้น ยืนตรงหน้าของเฟยฮวา นางเงยหน้าขึ้นมองร่างแกร่งนั้นแล้ว ใบหน้ายิ่งแดงยิ่งขึ้น อ๋องหนุ่มก้มลงช้อนตัวนางขึ้นแนบอก แล้วพาเดินเข้าไปหลังฉากกั้น เขาวางนางลงในถังไม้ขนาดใหญ่นั้น ในนั้นมีไอลอยกรุ่นขึ้นมา แสดงว่าเผยอันเพิ่งเตรียมน้ำอุ่นไว้ได้ไม่นานนี้เอง นางช่างรู้ใจจริงๆ เฟยฮวานั่งลงในถังไม้นั้นได้สักพัก นางรู้สึกสบายตัวขึ้นมา ร่างกายที่ปวดระบมนั้นเรื่องดีขึ้น ตัวของนางที่ปวดเมื่อยไปหมดก็บรรเทาลง จากนั้นอ๋องหนุ่มก็ก้าวลงมาแช่ตัวในถ
ยามสายๆของวันต่อมา คุณหนูเจียฟางหรง คุณหนูของคหบดีใหญ่ของเมืองหลวงได้มาขอพบท่านอ๋องรุ่ยหยาง นางนำของฝากจากเรือสินค้าที่เข้าใหม่มาฝากท่านอ๋องและนำขนมที่นางทำเองมาให้ท่านอ๋องชิมด้วย แต่แท้ที่จริงนางพึงใจท่านอ๋องรุ่ยหยางและต้องการสานต่อไมตรีกับเขา แม้เขาก็มิได้แสดงความสนใจนาง แต่ก็นางก็จะพยายามไปมาหาสู่เขาเพื่อต้องการใกล้ชิดเขาอยู่ดี ตอนนี้เขาก็ยังมิมีชายาและอนุในจวนเลย นางจึงยังพอมีความหวังอยู่บ้างพ่อบ้านซื่อถังให้นางนั่งรอที่ศาลาริมสระบัวในสวนที่งดงามนั้น แล้วเขาจะไปเรียนท่านอ๋องก่อน เพราะคุณหนูเจียฟาง หรงมิได้นัดไว้ จึงไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องกำลังยุ่งกับราชกิจหรือไม่ เมื่อท่านอ๋องรู้ว่าเจียฟางหรงมาขอพบ เขาก็แปลกใจเล็กน้อยที่นางมาหาเขาที่ตำหนักนี้ แต่ด้วยความเกรงใจบิดาของนางเพราะได้มีหุ้นในกิจการค้าบางอย่างด้วยกัน และพึ่งพากันและกันบางอย่างจึงได้ยอมออกมาพบนางที่ศาลานั้น เมื่อท่านอ๋องหนุ่มเดินเข้าไปในศาลาริมบึงบัวนั้น เจียฟางหรงลุกขึ้นย่อตัวคารวะท่านอ๋องอย่างงดงาม “ ฟางหรงคารวะท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉัันได้รับหน้าที่จากท่านพ่อให้นำกล้องส่องสัตว์เพคะ หรือจะใช้เป็นกล้องส่องดูม้าเวลาแข่งขันก็
ตำหนักของท่านอ๋องรุ่ยหยางผ่านไปสามปี คึกคักยิ่งกว่าเดิมมาก พระชายาเฟยฮวาคลอดบุตรีออกมาอีกหนี่งคน คราวนี้สมใจบิดาของนางยิ่งนักที่ในที่สุดจะได้ท่านหญิงน้อยๆเสียที เพราะเขาชมชอบบุตรสาวตัวอ้วนๆ ที่จะมาวิ่งไล่ตามเขาต้อยๆ แล้วเรียกเขาว่าท่านพ่อเจ้าคะ มานานแล้ว แม่นมฟางตอนนี้ก็วุ่นวายเรื่องท่านหญิงตัวน้อย แต่ก็ได้พี่เลี้ยงที่คล่องงานแล้วสองนางมาช่วยกันดูแล นางแค่เฝ้ามองดูเท่านั้น ส่วนท่านชายน้อยก็วิ่งเล่นไปมาในตำหนักอย่างซุกซนยิ่งนัก ต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลถึงสองคน เพราะท่านชายน้อยๆคนนี้ชอบปีนป่ายต้นไม้อย่างยิ่งพระชายาเฟยฮวาเมื่อท้องแก่ต้องคอแหบคอแห้งร้องเรียกท่านชายน้อยให้ลงมาจากต้นไม้เมื่อยามที่ทุกคนเผลอเขาก็จะตะกายขึ้นไปบนต้นไม้จนได้ ตอนนี้พระชายาพักฟื้นจากการคลอดจึงเป็นเผยอันที่ต้องคอยมาประกบท่านชายกับพี่เลี้ยงอีกสองคน เขาวิ่งเล่นอย่างรวดเร็วมากยิ่งมีพี่เลี้ยงคอยวิ่งไล่ตาม เขาก็จะสนุกสนานที่จะวิ่งหนี แต่อีกอย่างเขาชอบฝึกวิทยายุทธเป็นอย่างยิ่ง เขามักจะขอให้องครักษ์ของบิดาสอนเขา เขาจึงค่อนข้างจะเก่งกาจกว่าเด็กเล็กในวัยเดียวกันบางครั้งวิ่งซนและเหาะไต่ขึ้นไปบนที่ต่างๆตำหนัก ทำให้ข้าวของแตก
แม้แต่ริมหน้าต่างก็มิเว้นที่จะพากันไปสำรวจ จนมาจบลงที่พื้นห้อง ฟางหรงโยกขย่มร่างหนาอย่างร่านรัก แม่ทัพฉีก็อ้าปากดูดดึงยอดอกสีแดงระเรื่อที่ส่ายไปมาเหมือนยั่วยวนเขานั้นอย่างเมามัน เสียงเขาครางกระหึ่มในลำคอหนานั้น เขารู้สึกสุขสมเกินจะบรรยาย ดวงตาคมมองใบหน้ายั่วยวนของนางอย่างหลงไหล มือหนาบีบเค้นไปตามร่างกายอวบอิ่มของนางอย่างมันเขี้ยว เขาบีบสะโพกอวบอัดนั้นจนมันขึ้นสี และกระแทกนางอย่างเมามัน ทั้งสองลืมวันเวลาต่างผลัดกันโยกขย่มกันเช่นนั้นเมื่อเหนื่อยก็ผล็อยหลับไป แล้วตื่นมาโยกขย่มกันในอ่างอาบน้ำใบใหญ่นั้นอีก อย่างเร่าร้อน ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม “ ท่านพี่เจ้าขา ยังคิดว่าข้าด้อยกว่าเฟยฮวาอีกหรือไม่ ถ้าท่านคิดเช่นนั้นข้าจะไปหาบุรุษอื่นเพื่อพิสูจน์ดูว่าข้านั้นเด็ดกว่าหญิงเช่นเฟยฮวา ” นางเอ่ยขึ้นเหลียวมองใบหน้าคร้ามคมที่จ้องนางอยู่นั้น ขณะนั้นร่างหนากำลังขย่มนางอยู่ทางด้านหลัง เขาบีบสะโพกนางอย่างมันมือ “ ไม่แล้ว เมียรัก เจ้าเด็ดดวงที่สุด ข้าทั้งหลงทั้งรักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว แต่ห้ามขาดที่เจ้าจะไปพิสูจน์กับบุรษอื่นอีก เพราะเจ้าเป็นเมียของข้าแล้ว ข้าจะรีบตบแต่งเจ้าให้เร็วที่สุด ” ร่างหนาเอ่ยขึ้
หลังยามซื่อ (สิบโมงเช้า ) คนของจวนคหบดีเจีย ก็พาคหบดีเจียมาที่โรงเตี้ยมที่เมื่อวานบุุตรีของเขามาลงรถม้าที่หน้าโรงเตี้ยมตามที่บ่าวที่ขับรถม้าบอกเขาในเช้าวันนี้ เพราะเมื่อวานเขาก็เมามายมากเพราะดื่มมาจากงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของท่านอ๋องรุ่ยหยาง เมื่อกลับถึงจวนเขาจึงเข้านอนทันที มิได้ถามไถ่ถามบุตรสาวว่ากลับมาถึงจวนแล้วหรือยัง แต่เมื่อตอนเช้านี้ สาวใช้ของนางเดินเข้ามาบอกเขาว่าคุณหนูมิได้กลับมาที่จวนเลยทั้งคืน เขาจึงได้เรียกคนขับรถม้ามาสอบถาม พบว่าเมื่อวานนางให้ไปส่งที่หน้าโรงเตี้ยมกวงไถ่ แล้วนางก็เดินเข้าไปในโรงเตี้ยมแห่งนั้น สายๆวันนี้เขาจึงได้มาตามหานางด้วยตนเองเพราะเป็นห่วงนางเหลือเกินว่านางไปอยู่เสียที่ไหน เขาพอจะรู้ว่านางหลงรักท่านอ๋องรุ่ยหยาง คิดว่านางคงจะเสียใจยิ่งที่ท่านอ๋องรุ่ยหยางแต่งงานไปแล้วกับหญิงอื่น เขาคิดไปว่านางคงจะไปดื่มเหล้าจนเมามายแล้วกลับจวนมิได้จึงได้นอนค้างที่โรงเตี้ยมแห่งนั้น เพราะเขารู้ว่าโรงเตี้ยมแห่งนั้นมีห้องพักให้เช่าราคาแพงพอสมควรเพราะเป็นโรงเตี้ยมชั้นดี คนที่มาใช้บริการย่อมมีแต่พวกขุนนางและคหบดีหรือเป็นพวกราชวงศ์เท่านั้นที่จะมีเงินพอที่จะจ่ายค่าที่พักและค่าอาห
เมื่อแม่ทัพฉีเจียอีและคุณหนูฟางหรงนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวกลมใหญ่หน้าห้องนั้น เสี่ยวเอ้อได้นำสุราที่เหลืออยู่ของทั้งสองและกับแกล้มของพวกเขาขึ้นมาวางบนโต๊ะให้ด้วย ทั้งสองยกไหสุราซดกันต่อและตบไหล่ปลอบใจกันไปมาอย่างมิใครร่จะรู้เรื่องนัก จากนั้น เมื่อเมาได้ที่แม่ทัพฉีก็ลุกขึ้นถอดเครื่องแต่งกายของตนเองออกแล้วบ่่นออกมาว่าร้อนเหลือเกินฝ่ายเจียฟางหรงเห็นแม่ทัพฉีเจียอีถอดเครื่องแต่งกายออก นางก็ลงมือถอดของตนเองออกบ้างจนกระทั่งทั้งสองท้ากันว่าใครจะถอดอาภรณ์ได้เร็วกว่ากัน จนกระทั่งทั้งสองกายเปลือยเปล่าทั้งคู่ แม่ทัพฉีจ้องมองกายอวบขาวผ่องตรงหน้าเขาตะลึงงัน และมองใบหน้านางซ้อนไปมากับเฟยฮวา เขาหลงลืมตนไปชั่วครู่ จึงได้ดึงใบหน้าของเจียฟางหรงเข้ามาแล้วประกบจูบนางอย่างดูดดื่มทันทีฝ่ายเจียฟางหรงนางมองใบหน้าหล่อเหลานั้นแล้วนึกไปถึงท่านอ๋องรุ่ยหยาง แล้วก็คิดไปว่าบุรุษที่จูบนางอย่างดูดดื่มนี้คือท่านอ๋องรุ่ยหยาง นางจึงยกแขนเรียวนั้นขึ้นโอบรอบคอหนานั้นอย่างเต็มใจ คืนนี้นางจะแสดงฝีมือให้ท่านอ๋องรุ่ยหยางดูว่านางก็งดงามและเร่าร้อนไม่แพ้กับเฟยฮวาเช่นกัน จากจูบดูดดื่มนั้นกลายเป็นเร่าร้อน แม่ทัพจูบนางจนพอใจ
งานแต่งของท่านอ๋องรุ่ยหยางและเฟยฮวามิได้เอิกเกริกนัก เพราะเฟยฮวามิอยากให้งานใหญ่นัก เพียงจัดให้ถูกต้องตามประเพณีก็เพียงพอแล้ว ทางวังหลวงส่งคนมาจัดการเรื่องงานให้ทั้งหมด คนจากในวังมาจัดการงานต่างๆตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งเสร็จสิ้น ราชวงศ์และขุนนางน้อยใหญ่ รวมถึงคหบดีทั้งหลายก็มาร่วมงานนี้ ต่างพากันนำของขวัญมาอวยพรท่านอ๋องและพระชายากันอย่างคับคั่งแม้มิได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย แต่จำนวนแขกก็ยังมากมายอยู่ดีในงานมีอาหารและสุราชั้นดีเลี้ยงอย่างไม่อั้น มีคนนำหมูหัน และเป็ดย่างจำนวนมากมายมาให้เพื่อเลี้ยงแขกในงาน รสชาติของมันดังเช่นอาหารเหลาชั้นดี ในงานนั้นมีแต่เสียงอวยพรกันไม่ขาดสาย แขกเหรื่อต่างยกจอกขึ้นดื่มอวยพรท่านอ๋องรุ่ยหยางจนเขาต้องยกจอกขึ้นรับการดื่มอวยพรนั้นจนกระทั่งเมามายไม่น้อย ในโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่เป็นโต๊ะของคหบดีเจีย มีร่างของเจียฟางหรงนางนั่งดื่มสุราแล้วแอบเช็ดน้ำตาป้อยๆ นางไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องจะแต่งงานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ มิทันรู้ตัวท่านอ๋องก็จััดงานแต่งงานและมีพระชายาเรียบร้อยแล้ว นางคาดหวังไว้มากว่านางคงจะมีโอกาสได้เป็นพระชายาของท่านอ๋องในสักวันหนึ่ง เมื่อก่อนนางก็เคยรู้้มาว่าเฟยฮวาบ
องค์ชายทั้งสองเห็นด้วยกับจึงแม่นมฟางเอ่ยขึ้นว่า “ เรื่องเพียงเท่านั้นมิต้องกังวล ข้ากับเจ้าห้าจะซื้อจวนเล็กๆให้นางอยู่เป็นส่วนตัวและจะให้ทรัพย์สินกับนางพอประมาณให้นางไว้เลี้ยงตนในอนาคต และให้นางอยู่ในฐานะหญิงอุ่นเตียงของพวกข้า ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นห่วงของนางในตอนนี้และอนาคต หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป พวกข้าจะจัดการมอบทรัพย์สินไว้ให้นางเอาไว้เลี้ยงตนมิให้ต้องลำบาก เพราะได้ชื่อว่าเคยเป็นเมียของพวกข้ามาก่อน ย่อมมิต้องลำบากอย่างแน่นอน ” องค์ชายสามเอ่ยขึ้นและองค์ชายห้าพยักหน้าสนับสนุนความคิดเห็นของเขา เมื่อตกลงกันได้แล้ว แม่นมฟางโบกมือให้ทุกๆคนออกไปจากห้องนั้น แล้วนางก็ตามออกไปแล้วหันมาปิดประตูตามหลังไว้เพราะเกรงว่าสาวใช้คนอื่นๆ ที่ผ่านไปมาจะมองเข้าไปเห็นคนด้านใน แม่นมฟางเดินกลับเรือนตนเองไป ในใจก็ครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลานสาว แล้วนางก็ถอนหายใจออกมาดังๆ เฮ้อ !! ช่างมันเถอะ ในเมื่อข้าวสารกลายไปเป็นข้าวสุกเสียแล้ว อย่างน้อยถ้าจะยัดเยียดหลานสาวของตนให้ท่านอ๋องรุ่ยหยางก็คงยากที่จะสำเร็จ เพราะท่านอ๋องมิเคยมองหลานสาวของนางเลยด้วยซ้ำแถมเมื่อคืนหญิงผู้นั้นไม่อยู่แค่เพียงคืนเดียวก็วิ่งโร
หัวเตียงกระแทกผนังดังสนั่นจนทำให้หัวขององค์ชายสามกระทบกับเตียงนั้นจนเขาตกใจตื่นขึ้นมา เขาหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน ก็เห็นองค์ชายห้าโยกขย่มหญิงร่างอวบขาวผ่องมองเห็นได้ในแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามานั้น มันเย้ายวนอารมณ์ที่มึนเมาของเขาอย่างยิ่ง เขาจึงผุดลุกขึ้นถอดเครื่องแต่งกายของตนเองออก แล้วเข้าร่วมบรรเลงเพลงรักกับทั้งสองในทันที เขาอ้าปากดูดดึงยอดอกอวบใหญ่ที่สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดนั้น เขาดูดมันอย่างรุนแรงเร่าร้อน ดูดจนอี้หลานครางเสียงดังลั่น นางหวีดร้องอย่างสุขสมยิ่งนัก มือบางเสยเข้าในผมหนาของคนบนอกอวบของนาง ส่วนสะโพกอวบก็ร่อนเข้าหาคนที่ขย่มนางอย่างรุนแรงนั้น องค์ชายสามเมื่อเห็นพี่ชายเข้าร่วมบรรเลงเพลงรักก็ฮึกเหมขึ้นมายิ่งขย่มร่างอวบอย่างรุนแรง กระแทกนางอย่างเร่าร้อนจนกระทั่งทั้งสองกระตุกเกร็งเสร็จสมไปทันที จากนั้นเขาก็ยกร่างอวบของนางคว่ำลงแล้วเขาสอดตัวเข้าไปด้านล่าง จากนั้นพยักหน้าให้พี่ชายไปอยู่ด้านท้าย ขณะนั้นองค์ชายสามก็พรักพร้อมเต็มที่แล้ว เมื่อเห็นบทรักของน้องชายกับหญิงอวบขาวผู้นี้ เขาสอดลำกายแกร่งเข้าไปในร่องจีบด้านหลังของนางที่มันคับแน่นยิ่งนักเขาค่อยๆดันมันเข้าไป อี้หลันที่อยู่ที่
แม่นมฟางเดินตามฟางอี้เหนียงเข้ามาก็เห็นบรรยากาศตรงหน้าด้วยเหมือนกัน “ วันนี้ท่านอ๋องอารมณ์ดียิ่งนัก แม่นมไม่เคยเห็นมานานแล้ว มีเรื่องดีๆอะไรเช่นนั้นหรือเพคะ ” จากนั้นแม่นมฟางก็เดินเข้าไปในห้องอาหารนั้น อ๋องหนุ่มหันมามองแม่นมของตนแล้วยิ้มให้นางน้อยๆ “แม่นมมาพอดี ท่านกินข้าวแล้วหรือยัง เปิ่นหวางเพิ่งตื่นก็เลยเพิ่งจะได้กินข้าวกัน แม่นมจะมานั่งกินด้วยกันอีกไหม วันนี้อาหารอร่อยมากจริงไหมจ๊ะ ฮวาเอ๋อ ”ท่านอ๋องหนุ่มหันไปถามเมียรัก ฮวาเอ๋อยิ้มน้อยแล้วตอบว่า “เพคะ วันนี้อาหารอร่อยมาก ” ทั้งสองมองกันหวานฉ่ำแล้วก็กินอาหารกันต่อเหมือนโลกนี้มีพวกเขาเพียงแค่สองคน “ ท่านอ๋องเพคะ คุณหนูเฟยฮวามาอยู่ที่นี่ในฐานะหญิงอุ่่นเตียงแต่ทำไมท่านอ๋องให้นางเข้ามาอยู่ในตำหนักใหญ่นี้เล่าเพคะ มิใช่จะมีแต่พระชายาเช่นนั้นหรือที่จะเข้ามาอยู่ร่วมกับท่านอ๋องได้ มันเป็นกฏเกณฑ์มานานแล้วมิใช่หรือเพคะ "แม่นมฟางเอ่ยขึ้น ท่านอ๋องรุ่ยหยางหันไปมองแม่นมของตนแล้วเอ่ยขึ้น “ ฮวาเอ๋อเป็นเมียของเปิ่นหวางนานแล้ว ที่จริงแล้วเปิ่นหวางจะตบแต่งนางเข้ามาเป็นพระชายาแต่นางยังไม่อยากแต่ง แต่ความจริงแล้วเราอยู่กินด้วยกันมาก่อนแล้ว เพียงแต่ยัง
ท่านอ๋องหนุ่มและเฟยฮวาต่างโรมรันกันอย่างไม่มีใครยอมใครจนกระทั่งรุ่งสางของอีกวันเสียงร้องครวญครางของทั้งสองจึงเงียบสงบไป จากนั้นทั้งสองก็หมดแรง ล้มตัวลงนอนกอดกันหลับไหลไปทันทีฝ่ายแม่นมฟางกับอี้เหนียงนั่งปรึกษากันอยู่ที่ในเรือนของแม่นมฟาง อี้เหนียงเดินไปมา นางเริ่มร้อนรนที่เห็นท่านอ๋องเอาใจใส่เฟยฮวามากอย่างที่นางและแม่นมก็คาดไม่่ถึง ทั้งสองกำลังครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรดีอยู่นั้น แม่นมฟางก็คิดแผนการณ์ออกแล้วเอ่ยขึ้นว่า“ ในเมื่อบุตรีเสนาบดีผู้นั้น ยอมใช้ตัวเข้าแลกจนท่านอ๋องหลงไหลนางอย่างยิ่ง ทำไมเจ้าไม่เอาตัวเข้าแลกดูบ้างเล่า ที่ข้าเอ่ยเช่นนี้เพราะมันดูแล้วมิมีทางอื่น ข้าพยายามเอ่ยเรื่องเจ้ากับท่านอ๋องมานานหลายปีแล้ว ช่วยชมเชยเจ้าหรือหว่านล้อมท่านอ๋องให้หันมามองเจ้าก็แล้ว ตัวเจ้าเองก็งดงามมิใช่น้อย ถึงแม้จะสู้หญิงผู้นั้นมิได้แต่ก็มิได้ขี้ริ้วจนชายใดจะไม่มองเลย ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องหาโอกาสลงมือเรื่องนี้เสียแล้ว เจ้าจะได้สมหวัง อย่างน้อยได้เป็นอนุก็ยังดีความหวังเรื่องพระชายานั้น ข้าบอกตามตรงข้าเองก็อยากให้เจ้าได้เป็นนะ แต่ว่ามันเป็นไปได้ยากยิ่งเพราะเจ้าชาติตระกูลสู้หญิงอื่นที่มาหมายปองท่านอ