เมื่อท่านอ๋องหนุ่มตกใจตื่นขั้นมาในยามซื่อ(ก่อนสิบโมงเช้า ) เขาผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อในอ้อมกอดของเขามันว่างเปล่า เขาเหลียวมองไปรอบๆห้องนั้น มิมีวี่แววของนาง เหลียวมองบนพื้นห้องก็เห็นเพียงอาภรณ์ของเขาที่มันหล่นกราดเกลื่อนอยู่ทั่วไป แต่มิมีของนางเลยสักชิ้นเดียว
นางกลับไปแล้วเช่นนั้นหรือ มิได้ปลุกเขาขึ้นมาเรียกร้องความรับผิดชอบที่เขาได้ย่ำยีนางไปแล้ว นางไปง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ เขารีบลุกขึ้นคว้าเครื่องแต่งกายที่่มันหล่่นอยู่ไปตามพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างเร่งรีบ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบก้าวออกไปจากห้องนั้น เปิดประตูออกไปพบองครักษ์ของเขายืนอยู่ที่นั่งรออยู่ที่หน้าห้องนั้น “ นางล่ะ นางไปแล้วเช่นนั้นหรือ ” เขาเอ่ยถามทันทีอย่างร้อนรน “
องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ นางไปแล้วพะยะคะ ไปตั้งแต่ชั่วยามก่อนแล้ว ” เขาเอ่ยถามอีกว่า ” นางมิได้สั่งอะไรไว้เลยหรือ นางมีท่าทางเช่นใดบ้าง “ องครักษ์เอ่ยขึ้นว่า ” นางมิได้พูดอะไรเลยพะยะคะ นางเดินไปเรียกสาวใช้ของนางแล้วก็เดินออกไปด้วยกัน มิได้โวยวายหรือร้องไห้แต่อย่างใดพะยะคะ " ท่านอ๋องหนุ่มอึ้งงันไป นางมิได้โวยวายร้องไห้อยากจะให้เขารับผิดชอบนางเลยเช่นนั้นหรือ นางมิได้สนใจอะไรยอมกลับไปง่ายๆเช่นนั้นเลยหรือ แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันที่นางมิได้โวยวายเรียกร้องสิ่งใดให้เขารับผิดชอบ เขาก็จะทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเลยเหมือนว่ามันไม่เคยอะไรเกิดขึ้น จากนั้นท่านอ๋องรุ่ยหยางก็เดินนำหน้าองครักษ์ทั้งสองออกจากโรงเตี้ยมแห่งนั้นไป
เฟยฮวาเมื่อกลับเข้ามาในห้องของนางแล้ว นางบอกเผยอันให้ออกไปจากห้องของนางก่อน มีอะไรก็ไปทำเถิด นางจะขออยู่เพียงคนเดียวชั่วครู่ เมื่อเผยอันออกไปพ้นจากห้องแล้ว ทุกสิ่งรอบตัวของนางเงียบสงบลง น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงมาช้าๆ แม้ปากบอกว่าทำใจได้แล้ว แต่ในอกของนางปวดแปลบยิ่งนัก เวลาที่นางหลงมัวเมากับชายผู้นั้น คิดว่าเขาคงจะเป็นคนดี เพราะเขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ใบหน้าของเขามันขาวหมดจดผิวพรรณผ่องใส ตัดกับคิ้วเข้มนั้น ผิวพรรณของเขาก็เช่นเดียวกับชนชั้นสูงทั่วไป ที่มีผิวกายดังแตงร่มใบ ดั่งมิเคยต้องแสงแดดกระนั้น
นางเคยมองว่าเขางดงามดุจเทพเซียน หลงไหลใฝ่ฝันรูปกายของเขา คิดว่าจิตใจของเขาคงจะดีดังรูปกายที่นางเห็น แต่บัดนี้นางตาสว่างแล้ว รูปกายภายนอกที่เห็นนั้นมันเคลือบกายอสูรร้ายไว้ภายใน จิตใจของเขาดำดังเช่นอีกา เห็นชีวิตและความรักอันบริสุทธิ์ของผู้อื่นเป็นสิ่งตลกขบขัน นำมันมาล้อเลียนและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ถึงกับนำชีวิตและความสาวของผู้อื่นมาพนันขันต่อกันราวกับสิ่งไร้ค่า นางคงจะน่ารังเกียจในสายตาของพวกเขาเหล่านั้นยิ่งนัก
พวกเขามองนางต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่าหญิงนางโลมที่พวกเขาพูดถึง เขาเต็มใจที่จะเสพสุขกับหญิงนางโลมยิ่งกว่าจะต้องมาหลับหูหลับตาเสพสุขกับนางด้วยซ้ำ เขาคิดกันเช่นนั้น น้ำตาของนางไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ความรักครั้งแรกของนางจบลงอย่างเจ็บแสบที่สุด นางเสียสิ่งมีค่าของลูกผู้หญิงไปให้กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของมันเลยด้วยซ้ำ
นางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างหนัก ร้องจนน้ำตาแทบไม่ม่ีจะไหล นางกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เสียงร้องของนางมันบาดลึกลงไปในจิตใจของนางเอง นางจะร้องไห้ให้กับความรักที่มอบให้ชายโฉดผู้นี้แค่เพียงครั้งนี้ ต่อไปนางจะมิยอมเสียน้ำตาให้ชายที่ไม่เห็นค่าของนางอีกต่อไป วันนั้นเฟยฮวาร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไป นางนอนฝันร้ายแทบทั้งคืนในคืนนั้น ฝันเห็นชายผู้นั้นกลายเป็นอสูรร้ายวิ่งตามไล่ตะปบนาง นางก็วิ่งหนีอสูรร้ายผู้นั้นอย่างไม่คิดชีวิต จนตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย
หลายวันผ่านมาเฟยฮวานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของนางจ้องมองไปยังสตรีในคันฉ่องบานใหญ่นั้น นางอ้วนใหญ่น่าเกลียดหนำซ้ำหน้าตาก็ดูจืดชืดเหลือแสนและการแต่งกายก็ดูไม่น่ามองเช่นคุณหนูที่นางเคยเห็นทั้งหลาย เช่นนี้เองมิน่าเล่าเหล่าองค์ชายเหล่านั้นจึงเรียกนางว่าหญิงขี้เหร่จนมิมีชายใดอยากได้ นางโลมยังดีกว่านางมากมาย พวกเขาแทบไม่เชื่อว่าอ๋องผู้นั้นจะยอมพานางขึ้นเตียงได้ (พวกเขาใช้คำว่าหลับหูหลับตาพานางขึ้นเตียง)
คำพูดขององค์ชายเหล่านั้นมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของนาง นางเพ่งมองตนเองอยู่นาน แล้วเรียกเผยอันเข้ามา “ เผยอันเจ้าพูดมาตามความจริงเจ้าคิดว่าข้านั้นมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ” เผยอันมองคุณหนูของนางแล้วเอ่ยว่า " คุณหนูตัวอ้วนใหญ่เจ้าคะและใบหน้าที่จริงแล้วผิวพรรณดีมาก แต่มิได้รับการเติมแต่งอย่างงดงามเช่นคุณหนูจวนอื่นที่ข้าเคยพบเห็นเจ้าคะและกายแต่งกายของคุณหนูจวนอื่นๆที่ข้าพบเห็นจะดูงดงามสมวัยกว่าคุณหนูเจ้าค่ะ “ เฟยฮวามองใบหน้าของเผยอัน นางเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์ชายเหล่านั้นถึงเรียกนางว่าหญิงขี้เหร่
หลังจากวันนั้นเฟยฮวาก็พยายามเดินออกกำลังกายทุกวันในตอนเช้าและตอนเย็นที่ในสวนของจวนเสนาบดีที่กว้างใหญ่นั้น นางว่าจ้างหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนามว่าซิ่วหลัน หญิงผู้นี้เคยเป็นอดีตนางกำนัลในวังหลวงนางเคยดูแลพระสนมขององค์ฮ่องเต้ในเรื่องเกี่ยวกับความงามทั้งหลาย ทั้งดูแลผิวพรรณและเรือนร่างและประทินโฉมเหล่าพระสนมนั้นอยู่หลายปี จนนางลาออกมาแต่งงานกับคนรักของนางจึงได้ออกจากวังหลวงมาใช้ชีวิตกับสามีที่นอกวัง สามีของนางเป็นพ่อค้ามีฐานะปานกลาง แต่นางก็ยังรับดูแลปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องผิวพรรณให้เหล่าฮูหยินและคุณหนูหลายๆจวนอยู่ นางมีความชำนาญในเรื่องเหล่านี้ เฟยฮวาจ้างให้นางมาดูแลเป็นพิเศษ ช่วยสอนในเรื่องการลดน้ำหนักและดูแลผิวหน้าและผิวกายของนางทั้งหมด และช่วยเลือกเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่เหมาะกับวัยของเฟยฮวาอีกด้วย
หลายเดือนผ่านไปเฟยฮวามีรูปร่างที่ดีขึ้นมาก สมส่วนขึ้น อวบอิ่มเล็กน้อยมีน้ำมีนวลน่ารักน่าใคร่ และใบหน้าของนางที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตอนนี้นางแต่งเติมใบหน้าด้วยตนเองได้คล่องแคล่วยิ่งนัก นางไปซื้อหาเครื่องแต่งกายใหม่ทั้งหมดของเก่านำไปบริจาคให้ผู้อื่นจนหมด นางเลือกเครื่องประดับใหม่ๆที่มันดูน่ารักเหมาะกับวัยของนาง และซื้อหาเครื่องประทินผิวใหม่ๆ มาทั้งหมด นางเปลี่ยนตนเองใหม่ทุกอย่างจนแทบจะจำเค้าเดิมมิได้
เมื่อภารกิจเปลี่ยนหญิงขี้เหร่เป็นโฉมงามเสร็จสิ้นซิ่วหลันก็ลากลับจวนของตนเองไป เพราะนางมาอยู่ประจำที่นี่เพื่อดูแลเฟยฮวาเป็นพิเศษด้วยค่าจ้างสูงลิ่ว เฟยฮวามิเสียดายเงินที่นางทุ่มเทเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อลบคำสบประมาทของบุรุษเหล่านั้นที่เปรียบเปรยนางว่าต่ำต้อยยิ่งกว่านางโลมด้วยซ้ำไป คำพูดเหล่านี้มันเจ็บแสบเหลือเกิน นางปวดแปลบกลางใจนางยิ่งนัก เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนมานี้ตอนแรกเฟยฮวากังวลเป็นอย่างยิ่งที่นางได้ตกเป็นเครื่องเล่นของอ๋องผู้นั้น นางกลัวว่านางจะท้องขึ้นมา จะเป็นที่อับอายทำให้บิดาเสื่อมเสียชื่อเสียง พอผ่านพ้นมาได้นางดีใจยิ่งนัก จึงตั้งหน้าเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ นางจะเปลี่ยนกาดำที่ใครก็เยาะหยันให้เป็นหงส์สวยงามที่บุรุษใดก็หมายปองให้ได้ อยากจะเห็นหน้าบุรุษเหล่านั้นที่เยาะหยันนางว่าขี้เหร่เหลือแสน
ฝ่ายท่านอ๋องรุ่ยหยางตอนแรกก็ดีใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบหญิงขี้เหร่ที่ใครๆต่างก็มองนางเช่นนั้น รวมถึงเหล่าพี่น้องของเขาด้วย แต่ผ่านไปนานหลายเดือน เขาก็ยังพยายามมองหานางตามงานต่างๆ ที่บิดาของนางไปเสมอก็มิเห็นนางเลย เขาเคยลองเลียบเคียงถามถึงนางกับบิดาว่ามิเห็นพาบุตรสาวมาออกงานเลย บิดานางบอกว่าช่วงนี้นางเก็บตัวอยู่ในจวนมิค่อยอยากไปไหน เลยมิค่อยได้ไปออกงานไหนในช่วงนี้ แม้อ๋องหนุ่มปากจะบอกว่ามิได้ชมชอบหญิงขี้เหร่เช่นนาง แต่เขาก็เผลอมองหานางอยู่บ่อยๆ โดยที่เขาก็มิรู้ตนว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
วันนี้เสนาบดีเฟยกลับมาถึงจวนแล้ว ก็ตรงไปที่เรือนใหญ่ของตนเอง เขานั่งลงจิบชาที่ห้องโถงกลางของเขาเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ขณะที่นั่งจิบชาอยู่นั้น เฟยฮวาก็เดินเข้ามาในห้องโถงนั้น ท่านเสนาบดียกยิ้มน้อยๆให้นางหมู่นี้เขาสังเกตุเห็นว่าบุตรสาวงดงามขึ้นมากมาย นางตัวเล็กลงมาก รูปร่างอวบอิ่มกำลังดี ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย ใบหน้าก็งดงามยิ่งนัก การแต่งกายก็งดงามดังเช่นคุณหนูในห้องหอทั่วไป มองดูเป็นหญิงงามผู้หนึ่งเลยทีเดียวเขาคิดว่าอีกไม่นาน หากพานางออกงานไม่กี่ครั้งรับรองว่าจวนของเขาจะมีแม่สื่อเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสายเป็นแน่ เขาคิดแล้วก็ยกยิ้มกับตนเอง“ ท่านพ่อยิ้มอารมณ์ดีจริงนะเจ้าคะ วันนี้ไปราชการมาเหนื่อยหรือไม่ เจ้าคะ ลูกต้มขนมหยวนเซียวใส่น้ำขิง (ขนมบัวลอยใส่น้ำขิง) ให้ท่านพ่อเจ้าคะ กินแล้วเลือดลมจะได้เดินดีๆ เผยอันยกมันมาให้ท่านพ่อเลย ” นางหันไปมองเผยอันที่ยกถาดใส่ถ้วยขนมหยวนเซียวเดินตามนางมา ขณะที่บิดานั่งกินขนมหยวนเซียวที่นางทำมาให้เขา แล้วก็ชมเชยไม่ขาดปากว่ามันเหนียวหนึบอร่อยยิ่งนัก เฟยฮวายิ้มน้อยๆที่บิดาชอบขนมที่นางทำ นางอยากจะทำอะไรก็ได้ให้บิดามีความสุข สองพ่อลูกนั่งคุยกันด้วยเรื
เช้าวันงานเลี้ยงในวัง เฟยฮวาตื่นขึ้นแต่เช้าแล้วจัดการทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว แล้วก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เตรียมไว้แล้วนั้น จากนั้นก็มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของนางเพื่อแต่งเติมใบหน้าสวยหวานนั้นให้เข้มขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ลงมือวาดคิ้วโก่งนั้นให้ได้รูปยิ่งขึ้นแต่งเติมให้มันเข้มขึ้นเล็กน้อย แต้มใฝเม็ดเล็กๆที่ปลายคิ้วข้างหนึ่งเติมสีสันที่เปลือกตาให้ดูสว่างขึ้น เติมสีสันให้แก้มนวลทั้งสองข้างให้ขึ้นสีแดงกว่าเดิมเล็กน้อย เติมสีให้เรียวปากอิ่มนั้นให้แดงเข้มขึ้น นางมีปากที่อวบอิ่มได้รูปยิ่งเติมสีเข้าไปมันดูอวบอิ่มน่าจุมพิตอย่างมาก แล้วเรียกให้เผยอันมาช่วยทำผมและประดับปิ่นและติดกิ๊บรูปผีเสื้อและดอกไม้เล็กๆที่เป็นพลอยสีเขียวเข้ากับชุดของนาง จากนั้นก็ใส่ตุ้มหูที่เข้ากัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินออกไปจากเรือนเล็กของนางเพื่อออกไปรอท่านพ่อที่หน้าเรือนใหญ่ เมื่อเดินไปถึงได้เพียงครู่ท่านเสนาบดีเฟยก็เดินออกมาในชุดขุนนางเต็มยศของท่าน แล้วก็พากันเดินออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่แล้วที่หน้าประตูจวน รถม้าวิ่งผ่่านตลาดที่่ยังวุ่นวายแม้เป็นเวลาที่สายมากแล้ว เพราะเป็นเวลาที่ผู้คนต่่างก็ออกมาซื้อหาข้า
ขณะนั้นเฟยฮวากินอาหารอิ่มแล้ว นางจึงอยากจะไปเข้าห้องน้ำและเดินย่อยอาหารเสียหน่อย เพราะนั่งมานานมากแล้ว จึงเอ่ยบอกบิดา เขาพยักหน้าอนุญาติ นางจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆเดินออกไปจากห้องโถงนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางมิรอดพ้นสายตาคมดุจเหยี่ยวของท่านอ๋องรุ่ยหยางไปได้เขารีบลุกขึ้นตามนางทันที แล้วเร่งก้าวออกไปจากห้องโถงเพื่อจะหาทางคุยกับนางให้รู้เรื่อง เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงเขาเห็นนางเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนที่บริเวณด้านหน้าซึ่งเป็นสวนที่กว้างใหญ่งดงามเชื่อมต่อกันหลายๆสวน จนถึงสวนในตำหนักหลัง แต่มีอาณาเขตกั้นเป็นกำแพงเพื่อมิให้ผู้อื่นล่วงล้ำเข้าไปในตำหนักหลังง่ายๆ แต่แค่เพียงสวนด้านหน้าสถานที่จัดงานนี้ก็กว้างใหญ่มาจนเดินแทบจะไม่ทั่วด้วยซ้ำ ท่านอ๋องหนุ่มเร่งฝีเท้าตามนางไปจนทันที่บริเวณใกล้ศาลาเล็กๆที่อยู่กลางสวนนั่น “ ฮวาเอ๋อ เจ้ารอเปิ่นหวางก่อน เปิ่นหวางมีเรื่องจะพูดกันเจ้า ” เขาเดินไปแล้วพยายามคว้าแขนเรียวของนางไว้ เฟยฮวาหันมามองเห็นท่านอ๋องผู้นั้นที่นางพยายามหลีกเลี่ยงเขาเดินตามนางมาจนทัน “ ฟังเปิ่นหวางก่อนได้ไหม วันนั้นเจ้าออกมาจากโรงเตี้ยมมิได้ปลุกเปิ่นหวางจึงมิได้พูดกันให้รู้เรื่อง แล้ว
วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งขุนนางใหม่ เหล่าขุนนางทั้งหลายรวมถึงขุนนางใหม่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งรวมถึงครอบครัวของเขาเหล่านั้น ต่างก็มาร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงกันคับคั่ง งานนี้มีองค์รัชทายาทมาเป็นประธานในพิธีแทนองค์ฮ่องเต้ และเมื่อเสร็จพิธีที่เป็นทางการและฟังโอวาทจากองค์รัชทายาทแล้ว แขกเหรื่อก็ต่างพากันชมการแสดงต่างๆและรับประทานอาหารและดื่มสุรากันตามอัธยาศัย เหล่าองค์ชายและท่านอ๋องก็นั่งอยู่ใกล้ๆกันในตำแหน่งที่นั่งของตนเอง ขณะนั้นองค์ชายห้ามองตรงไปเห็นคุณหนูเฟยฮวานั่งอยู่ข้างๆบิดาของนางที่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของนางคล้ายกับจ้องมองมาที่อ๋องรุ่ยหยางเขม็งเช่นเคย เขาจึงเกิดความคิดสนุกๆขึ้นทันทีหลังจากที่นั่งมองไปมาด้วยความเบื่อหน่าย เขาหันไปกระซิบเรื่องราวที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาได้นั้นให้แก่องค์ชายสามที่นั่งข้างๆกันจากนั้นทั้งสองก็หันไปสะกิดองค์ชายหกและท่านอ๋องรุ่ยหยางรวมถึงองค์ชายสองที่อยู่ถัดไป หลังจากถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้เหล่าพี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ท่านอ๋องรุ่ยหยางส่ายหัวทันควัน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเขาไม่ยอมหรอก จะให้เขาไปพิชิตคุณหนูอวบอ้วนนั่น แถมแต่งตัวยังกับฮูหยินของบิดาตนเองทำให้
เมื่อแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางก็แต่งเติมใบหน้าเล็กน้อย อย่างพิถีพิถันแต่มันก็ดูเหมือนใช้สีมาป้ายใบหน้าแบบคนที่มิเคยแต่งเติมใบหน้าตนเองมาก่อน แม้ผิวพรรณเดิมของนางจะดีมาก ผุดผาดไม่แพ้ผู้ใดแต่มันก็ถูกกลบด้วยหุ่นที่อวบอวนใหญ่กว่าคุณหนูอื่นๆ และการแต่งกายที่แก่เกินวัยไปมาก แต่งเติมใบหน้าก็มิเป็นจึงทำให้ดูงดงามน้อยไปกว่าที่ควรจะเป็นมาก แต่นางก็เคยชินกับตัวเองที่เป็นเช่นนี้มานานแล้วจึงมิได้มองเห็นข้อบกพร่องนี้ จากนั้นเมื่อแต่งกายตนเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรอเวลาเพียงครู่ จิบชาและกินขนมรองท้องไปเพียงเล็กน้อยเพราะนางตื่นเต้นมากที่จะได้ออกไปพบกับบุรุษที่นางพึงใจหนักหนา เมื่อใกล้เวลานัดหมายเฟยฮวาก็เดินออกไปที่ขึ้นรถม้าที่หน้าจวนเสนาบดี กับเผยอันสาวใช้ของนาง จากนั้นนางขึ้นไปบนรถม้าอย่างอารมณ์เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข เมื่อรถม้าเดินทางไปถึงหน้าโรงเตี้ยมชั้นดีที่เป็นโรงเตี้ยมสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้นเพราะมันเป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งในเมืองหลวงชาวบ้านทั่วไปมิอาจเข้าไปใช้บริการได้เพราะว่าราคาห้องพักแพงหูฉี่ และอาหารเลิศรสที่มีให้บริการก็แพงมากกว่าโรงเตี้ยมเท่าไปหลายเท่า แม้มันจะอร่อยล้ำเ
ปากหนาก็ดูดผลอิงเถาอย่างเมามัน ส่วนมือหนาก็คลำหาจนพบเนินอวบใหญ่เต็มมือของนาง เขาขยำมันอย่างเมามัน แล้วก็ค่อยสอดนิ้วแกร่งเข้าไปแล้วเขี่ยเมล็ดดอกไม้งามนั้นไปมา เฟยฮวาครางกระเส่าทันทีอย่างเสียวซ่าน สะโพกอวบของนางโยกน้อยๆเข้าหามือหนาของเขาทันทีจากนั้นอ๋องหนุ่มสอดนิ้วแกร่งเข้าไปค่อยๆจนมันมิดด้าม เฟยฮวา กรีดร้องด้วยความเจ็บขึ้นทันที ใบหน้าคมคายจึงประกบจูบนางอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง จากนั้นเมื่อนางเคลิบเคลิ้มเขาก็ค่อยขยับนิ้วแกร่งเข้าสุดออกสุดช้าๆ เพื่อให้นางปรับตัวก่อน เขารู้ว่านางมิเคยชายมาก่อน เขาไม่อยากให้นางเจ็บตัวมากเกินไป เขามิรู้มาก่อนว่าเขาอยากจะถนอมนางมากเพียงนี้ จากนั้นนิ้วแกร่งก็ค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นจนกระแทกเข้าออกอย่างรุนแรง จนสะโพกอวบกระตุกเกร็งเสร็จสมไปทันที มือหนาเปื้อนน้ำรักของนางจนเต็มมือ นางหอบหายใจเร็วๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย จากนั้นอ๋องหนุ่มก็ก้มลงไล้เลียร่องอวบนั้นไปมาอย่างเมามัน เขาดูดดึงเมล็ดดอกไม้เล็กๆนั้น ดูดจนมันบวมเป่ง เฟยฮวาร่อนสะโพกเข้าหาใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นอ๋องหนุ่มผุดลุกขึ้น ถอดเครื่องแต่งกายของตนที่เหลือจนหมดแล้ว ปลดปล่อยลำกายแกร่งออ
เมื่อท่านอ๋องรุ่ยหยางเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง เขาก็ตกใจจนหน้าซีด เฟยฮวายืนตะลึงอยู่หน้าประตู น้ำตาของนางไหลรินลงมาช้าๆ นางห่อกายด้วยผ้าผวยผืนที่เขาเอาคลุมกายนางนั่นเอง เพราะนางไม่มีเวลาสวมอาภรณ์เพราะเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหน้าห้องเป็นเสียงของชายหลายๆคนนางจึงเอาหูไปแนบประตูห้องนั้น ฟังตั้งแต่ต้นจนจบจึงเข้าใจเรื่องราวโดยละเอียดว่าสาเหตุที่ท่านอ๋องรุ่ยหยางมาพูดคุยตีสนิทกับนาง หลอกนางว่าจะคบหากับนาง และนัดนางมาเพื่อกินอาหารกันนั้น มันเป็นแผนการณ์ที่จะเผด็จศึกนางเพื่อของเดิมพันเป็นม้าชั้นดี จำนวนห้าตัว ที่เหล่าองค์ชายจะให้ท่านอ๋องรุ่ยหยางเมื่อทำภารกิจสำเร็จ นางอึ้งงันไปพักใหญ่เมื่อรู้ความจริงทั้งหมด น้ำตาของนางไหลพรากลงมาทันที นางสะอื้นไห้เสียงดัง เมื่อท่านอ๋องรุ่ยหยางกลับเข้าห้องมาแล้ว นางก็ตรงเข้าทุบตีเขาไม่ยั้งด้วยความเจ็บใจเหลือแสนที่เขาเห็นความรู้สึกนางเป็นเพียงการพนันขันต่ออย่างสนุกสนานกับเหล่าพี่น้องของเขาเท่านั้น ท่านอ๋องเจ็บกายไปหมดเพราะนางทุบตีเต็มแรงของนาง เขาตกใจจึงสะบัดนางจนล้มลงกับพื้นห้อง “ เจ้าบ้า กล้าที่จะหลอกลวงข้าขนาดนี้ เห็นความรักของข้าเป็นเรื่องตลกในหมู่พี่น
ขณะนั้นเฟยฮวากินอาหารอิ่มแล้ว นางจึงอยากจะไปเข้าห้องน้ำและเดินย่อยอาหารเสียหน่อย เพราะนั่งมานานมากแล้ว จึงเอ่ยบอกบิดา เขาพยักหน้าอนุญาติ นางจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆเดินออกไปจากห้องโถงนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางมิรอดพ้นสายตาคมดุจเหยี่ยวของท่านอ๋องรุ่ยหยางไปได้เขารีบลุกขึ้นตามนางทันที แล้วเร่งก้าวออกไปจากห้องโถงเพื่อจะหาทางคุยกับนางให้รู้เรื่อง เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงเขาเห็นนางเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนที่บริเวณด้านหน้าซึ่งเป็นสวนที่กว้างใหญ่งดงามเชื่อมต่อกันหลายๆสวน จนถึงสวนในตำหนักหลัง แต่มีอาณาเขตกั้นเป็นกำแพงเพื่อมิให้ผู้อื่นล่วงล้ำเข้าไปในตำหนักหลังง่ายๆ แต่แค่เพียงสวนด้านหน้าสถานที่จัดงานนี้ก็กว้างใหญ่มาจนเดินแทบจะไม่ทั่วด้วยซ้ำ ท่านอ๋องหนุ่มเร่งฝีเท้าตามนางไปจนทันที่บริเวณใกล้ศาลาเล็กๆที่อยู่กลางสวนนั่น “ ฮวาเอ๋อ เจ้ารอเปิ่นหวางก่อน เปิ่นหวางมีเรื่องจะพูดกันเจ้า ” เขาเดินไปแล้วพยายามคว้าแขนเรียวของนางไว้ เฟยฮวาหันมามองเห็นท่านอ๋องผู้นั้นที่นางพยายามหลีกเลี่ยงเขาเดินตามนางมาจนทัน “ ฟังเปิ่นหวางก่อนได้ไหม วันนั้นเจ้าออกมาจากโรงเตี้ยมมิได้ปลุกเปิ่นหวางจึงมิได้พูดกันให้รู้เรื่อง แล้ว
เช้าวันงานเลี้ยงในวัง เฟยฮวาตื่นขึ้นแต่เช้าแล้วจัดการทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว แล้วก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เตรียมไว้แล้วนั้น จากนั้นก็มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของนางเพื่อแต่งเติมใบหน้าสวยหวานนั้นให้เข้มขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ลงมือวาดคิ้วโก่งนั้นให้ได้รูปยิ่งขึ้นแต่งเติมให้มันเข้มขึ้นเล็กน้อย แต้มใฝเม็ดเล็กๆที่ปลายคิ้วข้างหนึ่งเติมสีสันที่เปลือกตาให้ดูสว่างขึ้น เติมสีสันให้แก้มนวลทั้งสองข้างให้ขึ้นสีแดงกว่าเดิมเล็กน้อย เติมสีให้เรียวปากอิ่มนั้นให้แดงเข้มขึ้น นางมีปากที่อวบอิ่มได้รูปยิ่งเติมสีเข้าไปมันดูอวบอิ่มน่าจุมพิตอย่างมาก แล้วเรียกให้เผยอันมาช่วยทำผมและประดับปิ่นและติดกิ๊บรูปผีเสื้อและดอกไม้เล็กๆที่เป็นพลอยสีเขียวเข้ากับชุดของนาง จากนั้นก็ใส่ตุ้มหูที่เข้ากัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินออกไปจากเรือนเล็กของนางเพื่อออกไปรอท่านพ่อที่หน้าเรือนใหญ่ เมื่อเดินไปถึงได้เพียงครู่ท่านเสนาบดีเฟยก็เดินออกมาในชุดขุนนางเต็มยศของท่าน แล้วก็พากันเดินออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่แล้วที่หน้าประตูจวน รถม้าวิ่งผ่่านตลาดที่่ยังวุ่นวายแม้เป็นเวลาที่สายมากแล้ว เพราะเป็นเวลาที่ผู้คนต่่างก็ออกมาซื้อหาข้า
วันนี้เสนาบดีเฟยกลับมาถึงจวนแล้ว ก็ตรงไปที่เรือนใหญ่ของตนเอง เขานั่งลงจิบชาที่ห้องโถงกลางของเขาเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ขณะที่นั่งจิบชาอยู่นั้น เฟยฮวาก็เดินเข้ามาในห้องโถงนั้น ท่านเสนาบดียกยิ้มน้อยๆให้นางหมู่นี้เขาสังเกตุเห็นว่าบุตรสาวงดงามขึ้นมากมาย นางตัวเล็กลงมาก รูปร่างอวบอิ่มกำลังดี ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย ใบหน้าก็งดงามยิ่งนัก การแต่งกายก็งดงามดังเช่นคุณหนูในห้องหอทั่วไป มองดูเป็นหญิงงามผู้หนึ่งเลยทีเดียวเขาคิดว่าอีกไม่นาน หากพานางออกงานไม่กี่ครั้งรับรองว่าจวนของเขาจะมีแม่สื่อเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสายเป็นแน่ เขาคิดแล้วก็ยกยิ้มกับตนเอง“ ท่านพ่อยิ้มอารมณ์ดีจริงนะเจ้าคะ วันนี้ไปราชการมาเหนื่อยหรือไม่ เจ้าคะ ลูกต้มขนมหยวนเซียวใส่น้ำขิง (ขนมบัวลอยใส่น้ำขิง) ให้ท่านพ่อเจ้าคะ กินแล้วเลือดลมจะได้เดินดีๆ เผยอันยกมันมาให้ท่านพ่อเลย ” นางหันไปมองเผยอันที่ยกถาดใส่ถ้วยขนมหยวนเซียวเดินตามนางมา ขณะที่บิดานั่งกินขนมหยวนเซียวที่นางทำมาให้เขา แล้วก็ชมเชยไม่ขาดปากว่ามันเหนียวหนึบอร่อยยิ่งนัก เฟยฮวายิ้มน้อยๆที่บิดาชอบขนมที่นางทำ นางอยากจะทำอะไรก็ได้ให้บิดามีความสุข สองพ่อลูกนั่งคุยกันด้วยเรื
เมื่อท่านอ๋องหนุ่มตกใจตื่นขั้นมาในยามซื่อ(ก่อนสิบโมงเช้า ) เขาผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อในอ้อมกอดของเขามันว่างเปล่า เขาเหลียวมองไปรอบๆห้องนั้น มิมีวี่แววของนาง เหลียวมองบนพื้นห้องก็เห็นเพียงอาภรณ์ของเขาที่มันหล่นกราดเกลื่อนอยู่ทั่วไป แต่มิมีของนางเลยสักชิ้นเดียวนางกลับไปแล้วเช่นนั้นหรือ มิได้ปลุกเขาขึ้นมาเรียกร้องความรับผิดชอบที่เขาได้ย่ำยีนางไปแล้ว นางไปง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ เขารีบลุกขึ้นคว้าเครื่องแต่งกายที่่มันหล่่นอยู่ไปตามพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างเร่งรีบ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบก้าวออกไปจากห้องนั้น เปิดประตูออกไปพบองครักษ์ของเขายืนอยู่ที่นั่งรออยู่ที่หน้าห้องนั้น “ นางล่ะ นางไปแล้วเช่นนั้นหรือ ” เขาเอ่ยถามทันทีอย่างร้อนรน “ องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ นางไปแล้วพะยะคะ ไปตั้งแต่ชั่วยามก่อนแล้ว ” เขาเอ่ยถามอีกว่า ” นางมิได้สั่งอะไรไว้เลยหรือ นางมีท่าทางเช่นใดบ้าง “ องครักษ์เอ่ยขึ้นว่า ” นางมิได้พูดอะไรเลยพะยะคะ นางเดินไปเรียกสาวใช้ของนางแล้วก็เดินออกไปด้วยกัน มิได้โวยวายหรือร้องไห้แต่อย่างใดพะยะคะ " ท่านอ๋องหนุ่มอึ้งงันไป นางมิได้โวยวายร้องไห้อยากจะให้เขารับผิดชอบนางเลยเช่นนั้นหรือ นา
เมื่อท่านอ๋องรุ่ยหยางเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง เขาก็ตกใจจนหน้าซีด เฟยฮวายืนตะลึงอยู่หน้าประตู น้ำตาของนางไหลรินลงมาช้าๆ นางห่อกายด้วยผ้าผวยผืนที่เขาเอาคลุมกายนางนั่นเอง เพราะนางไม่มีเวลาสวมอาภรณ์เพราะเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหน้าห้องเป็นเสียงของชายหลายๆคนนางจึงเอาหูไปแนบประตูห้องนั้น ฟังตั้งแต่ต้นจนจบจึงเข้าใจเรื่องราวโดยละเอียดว่าสาเหตุที่ท่านอ๋องรุ่ยหยางมาพูดคุยตีสนิทกับนาง หลอกนางว่าจะคบหากับนาง และนัดนางมาเพื่อกินอาหารกันนั้น มันเป็นแผนการณ์ที่จะเผด็จศึกนางเพื่อของเดิมพันเป็นม้าชั้นดี จำนวนห้าตัว ที่เหล่าองค์ชายจะให้ท่านอ๋องรุ่ยหยางเมื่อทำภารกิจสำเร็จ นางอึ้งงันไปพักใหญ่เมื่อรู้ความจริงทั้งหมด น้ำตาของนางไหลพรากลงมาทันที นางสะอื้นไห้เสียงดัง เมื่อท่านอ๋องรุ่ยหยางกลับเข้าห้องมาแล้ว นางก็ตรงเข้าทุบตีเขาไม่ยั้งด้วยความเจ็บใจเหลือแสนที่เขาเห็นความรู้สึกนางเป็นเพียงการพนันขันต่ออย่างสนุกสนานกับเหล่าพี่น้องของเขาเท่านั้น ท่านอ๋องเจ็บกายไปหมดเพราะนางทุบตีเต็มแรงของนาง เขาตกใจจึงสะบัดนางจนล้มลงกับพื้นห้อง “ เจ้าบ้า กล้าที่จะหลอกลวงข้าขนาดนี้ เห็นความรักของข้าเป็นเรื่องตลกในหมู่พี่น
ปากหนาก็ดูดผลอิงเถาอย่างเมามัน ส่วนมือหนาก็คลำหาจนพบเนินอวบใหญ่เต็มมือของนาง เขาขยำมันอย่างเมามัน แล้วก็ค่อยสอดนิ้วแกร่งเข้าไปแล้วเขี่ยเมล็ดดอกไม้งามนั้นไปมา เฟยฮวาครางกระเส่าทันทีอย่างเสียวซ่าน สะโพกอวบของนางโยกน้อยๆเข้าหามือหนาของเขาทันทีจากนั้นอ๋องหนุ่มสอดนิ้วแกร่งเข้าไปค่อยๆจนมันมิดด้าม เฟยฮวา กรีดร้องด้วยความเจ็บขึ้นทันที ใบหน้าคมคายจึงประกบจูบนางอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง จากนั้นเมื่อนางเคลิบเคลิ้มเขาก็ค่อยขยับนิ้วแกร่งเข้าสุดออกสุดช้าๆ เพื่อให้นางปรับตัวก่อน เขารู้ว่านางมิเคยชายมาก่อน เขาไม่อยากให้นางเจ็บตัวมากเกินไป เขามิรู้มาก่อนว่าเขาอยากจะถนอมนางมากเพียงนี้ จากนั้นนิ้วแกร่งก็ค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นจนกระแทกเข้าออกอย่างรุนแรง จนสะโพกอวบกระตุกเกร็งเสร็จสมไปทันที มือหนาเปื้อนน้ำรักของนางจนเต็มมือ นางหอบหายใจเร็วๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย จากนั้นอ๋องหนุ่มก็ก้มลงไล้เลียร่องอวบนั้นไปมาอย่างเมามัน เขาดูดดึงเมล็ดดอกไม้เล็กๆนั้น ดูดจนมันบวมเป่ง เฟยฮวาร่อนสะโพกเข้าหาใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นอ๋องหนุ่มผุดลุกขึ้น ถอดเครื่องแต่งกายของตนที่เหลือจนหมดแล้ว ปลดปล่อยลำกายแกร่งออ
เมื่อแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางก็แต่งเติมใบหน้าเล็กน้อย อย่างพิถีพิถันแต่มันก็ดูเหมือนใช้สีมาป้ายใบหน้าแบบคนที่มิเคยแต่งเติมใบหน้าตนเองมาก่อน แม้ผิวพรรณเดิมของนางจะดีมาก ผุดผาดไม่แพ้ผู้ใดแต่มันก็ถูกกลบด้วยหุ่นที่อวบอวนใหญ่กว่าคุณหนูอื่นๆ และการแต่งกายที่แก่เกินวัยไปมาก แต่งเติมใบหน้าก็มิเป็นจึงทำให้ดูงดงามน้อยไปกว่าที่ควรจะเป็นมาก แต่นางก็เคยชินกับตัวเองที่เป็นเช่นนี้มานานแล้วจึงมิได้มองเห็นข้อบกพร่องนี้ จากนั้นเมื่อแต่งกายตนเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรอเวลาเพียงครู่ จิบชาและกินขนมรองท้องไปเพียงเล็กน้อยเพราะนางตื่นเต้นมากที่จะได้ออกไปพบกับบุรุษที่นางพึงใจหนักหนา เมื่อใกล้เวลานัดหมายเฟยฮวาก็เดินออกไปที่ขึ้นรถม้าที่หน้าจวนเสนาบดี กับเผยอันสาวใช้ของนาง จากนั้นนางขึ้นไปบนรถม้าอย่างอารมณ์เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข เมื่อรถม้าเดินทางไปถึงหน้าโรงเตี้ยมชั้นดีที่เป็นโรงเตี้ยมสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้นเพราะมันเป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งในเมืองหลวงชาวบ้านทั่วไปมิอาจเข้าไปใช้บริการได้เพราะว่าราคาห้องพักแพงหูฉี่ และอาหารเลิศรสที่มีให้บริการก็แพงมากกว่าโรงเตี้ยมเท่าไปหลายเท่า แม้มันจะอร่อยล้ำเ
วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งขุนนางใหม่ เหล่าขุนนางทั้งหลายรวมถึงขุนนางใหม่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งรวมถึงครอบครัวของเขาเหล่านั้น ต่างก็มาร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงกันคับคั่ง งานนี้มีองค์รัชทายาทมาเป็นประธานในพิธีแทนองค์ฮ่องเต้ และเมื่อเสร็จพิธีที่เป็นทางการและฟังโอวาทจากองค์รัชทายาทแล้ว แขกเหรื่อก็ต่างพากันชมการแสดงต่างๆและรับประทานอาหารและดื่มสุรากันตามอัธยาศัย เหล่าองค์ชายและท่านอ๋องก็นั่งอยู่ใกล้ๆกันในตำแหน่งที่นั่งของตนเอง ขณะนั้นองค์ชายห้ามองตรงไปเห็นคุณหนูเฟยฮวานั่งอยู่ข้างๆบิดาของนางที่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของนางคล้ายกับจ้องมองมาที่อ๋องรุ่ยหยางเขม็งเช่นเคย เขาจึงเกิดความคิดสนุกๆขึ้นทันทีหลังจากที่นั่งมองไปมาด้วยความเบื่อหน่าย เขาหันไปกระซิบเรื่องราวที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาได้นั้นให้แก่องค์ชายสามที่นั่งข้างๆกันจากนั้นทั้งสองก็หันไปสะกิดองค์ชายหกและท่านอ๋องรุ่ยหยางรวมถึงองค์ชายสองที่อยู่ถัดไป หลังจากถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้เหล่าพี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ท่านอ๋องรุ่ยหยางส่ายหัวทันควัน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเขาไม่ยอมหรอก จะให้เขาไปพิชิตคุณหนูอวบอ้วนนั่น แถมแต่งตัวยังกับฮูหยินของบิดาตนเองทำให้