ภายในรถม้าที่มีเพียงสองสามีภรรยานั่งบนตั่งคนละมุมประหนึ่งเป็นศัตรูกัน
โม๋เอ๋อร์ย่อมรู้กาลเทศะไม่คิดรบกวน หากอีกฝ่ายทำกิริยาห่างเหินเช่นนั้น
นางจึงหันไปสนใจขนมน่ากินและน้ำชาร้อนกรุ่นมากกว่าสามีผู้หล่อเหลา
หญิงสาวนั่งกินขนมและจิบชาอยู่เงียบๆ บางครายังแอบเปิดผ้าม่านตรงหน้าต่างรถม้าเพื่อมองดูทิวทัศน์ด้านนอก
ทันทีที่ภาพเบื้องหน้าเข้าสู่ครรลองสายตา โม๋เอ๋อร์พลันตื่นตะลึง พระราชวังต้าหมิงแห่งนี้นับได้ว่าใหญ่โตยิ่งนัก งดงามมากด้วย อลังการเหลือเกิน มีตำหนักมากมายปลูกสร้างเอาไว้อย่างประณีตและวิจิตรตระการตา ประหนึ่งดั่งกำลังเดินทางท่ามกลางสรวงสวรรค์ชั้นฟ้ากระนั้น
โม๋เอ๋อร์กำลังรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้ออกมาข้างนอก ได้เปิดหูเปิดตาให้กว้างขวาง ได้เห็นอะไรๆ งดงามละลานตา
เนื่องจากตลอดเวลาที่อยู่จวนโหว นางต้องอยู่แต่ในเรือน ถูกซุกซ่อนเก็บตัวประหนึ่งไข่ในหิน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นอะไรเช่นนี้
สาวน้อยเบิกตากลมโตสดใส ทอประกายพร่างพราวราวดวงดาวระยิบระยับ นางสูดปากจิจ๊ะชอบใจส่งเสียงเสียวซ่านแปลกประหลาดเร้าใจคนฟังโดยไม่รู้ตัว
เท่านั้นยังไม่พอ ร่างระหงนุ่มนิ่มยังยักย้ายบั้นท้ายไปมา เพื่อเอื้อมมือเปิดผ้าม่านระหว่างรถม้าทั้งสองด้านทั้งซ้ายและขวา
ยังผลให้กายอ้อนแอ้นบดเบียดกายแกร่งอย่างซุกซน จนใครบางคนแทบจะทนไม่ได้
บางจังหวะที่บั้นท้ายกลมกลึงยังเสียดสีท่อนขาแข็งขึง และท่อนแขนนวลเสลายังเฉียดไปมากับท่อนแขนล่ำสัน ยังมีเนินอกหยุ่นนุ่มชิดใกล้เบาๆ กับแผงอกหนา กรุ่นกลิ่นเนื้อนวลนางหอมระรื่นชื่นใจไม่เบา ทำเอาพยัคฆ์ในที่ลับยากหลับใหลในบัดดล ยามนี้วงคิ้วพาดเฉียงราวกระบี่ของหมิงเฉิงเกือบจะกลายเป็นเชือกที่คดตัวกันได้แล้ว
เมื่อเพ่งพิศชื่นชมจนพอใจ โม๋เอ๋อร์จึงปิดผ้าม่านแล้วนั่งกินขนมต่ออยู่เงียบๆ มิให้เป็นการรบกวนสามีที่กำลังนั่งหลับตา ทำสีหน้าเย็นชาขมวดคิ้วเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังปวดท้องอยากปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
นางช่างไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ารบกวนทุกสิ่งในร่างกายเขาอย่างยิ่งยวด
หญิงสาวพยายามจิบชาให้เงียบที่สุด เคี้ยวขนมยังไร้สำเนียงเสียงใด
ชั่วจังหวะที่กำลังกินอย่างระมัดระวัง พลางนึกไปถึงขนมผสมยาพิษในคืนเข้าหอ
โม๋เอ๋อร์จึงคิดได้ว่า มีบางอย่างที่นางไม่อาจไม่พูดออกไป
“นี่ๆ สามี”
“...”
หญิงสาวเรียกชายหนุ่มข้างกายด้วยคำนี้โดยมิได้นัดหมายและไม่ถามความเห็นของผู้ถูกเรียกเลยแม้ครึ่งคำ ยังผลให้ผู้ที่ถูกเรียกเช่นนั้นหางคิ้วกระตุกโดยพลัน
เมื่อได้ยินคำเรียกขานชวนขนลุกซ่าน หมิงเฉิงจึงลืมตา พินิจมองนางผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดำทะมึนมากกว่าเดิมหลายส่วน
เห็นนางยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยโดยไม่สนใจสีหน้าคนฟังว่า
“ภรรยาคิดว่าสามีกำลังตกอยู่ในอันตรายนะ อาหารมงคลของพวกเรามียาพิษเต็มไปหมด” จบคำก็กินขนมดื่มน้ำชาต่อประหนึ่งคุยเรื่องทั่วไป หาใช่เรื่องคอขาดบาดตายไม่
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? ว่าขนมมียาพิษ”
หมิงเฉิงหรี่ตาถามเสียงเย็นเยียบ ใบหน้าคมเข้มเรียบนิ่ง คล้ายหยั่งเชิง คล้ายไม่เชื่อถือ เพราะอาหารทุกอย่างล้วนได้รับพระราชทานและถูกตรวจสอบเป็นอย่างดี
โม๋เอ๋อร์เอามือเท้าคางด้วยท่าทางสบายๆ หาได้ตระหนก
“อืม...ข้ามีหนูน้อยตัวเล็กๆ ที่เลี้ยงเอาไว้ดูเล่นหลายตัวแล้วนำมาด้วยในคืนเข้าหอ พวกมันแย่งขนมข้ากิน แล้วก็ชักกระตุกก่อนแน่นิ่งสิ้นใจจนหมดเลย” นางโกหกหน้าตายได้อย่างชาญฉลาดเหลือร้าย
เรียวคิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าคมคายบึ้งตึงทันที
ถึงแม้จะนึกตะขิดตะขวงใจไม่เบาที่พระชายาของตนเลี้ยงตัวประหลาด ดำๆ น่าเกลียดๆ แทนที่จะเลี้ยงนกเลี้ยงปลาหรือเลี้ยงแมวน่ารักเหมือนคุณหนูบ้านอื่น
หากแต่หมิงเฉิงยังฉุกคิดว่าเรื่องขนมผสมยาพิษเช่นนี้ย่อมต้องการสังหารเขาและพระชายาสกุลโหวให้ตายตกพร้อมกัน หาไม่ก็คงต้องการให้สตรีสกุลโหวตายฝ่ายเดียว แล้วหาทางเล่นงานเขาให้แตกหักกับตระกูลใหญ่
ใครกัน!?
รัชทายาทหนุ่มวิเคราะห์ได้อย่างลึกซึ้ง คิดสืบสาวให้ถึงที่สุด ทว่ากลับไม่รู้เลยสักนิดว่าพระชายาแห่งเขาได้กระทำการปิดปากคนวางยาไปแล้วเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัว
หากจะสืบความคงยากเสียแล้ว…
โม๋เอ๋อร์มองเหม่อหมิงเฉิง นางกำลังรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมา จึงพึมพำเสียงเบาได้ยินเพียงตนเองว่า
“สามีเติบโตมาเช่นนี้ ท่ามกลางอันตรายทุกวัน ภรรยาจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ช่างน่าแปลกยิ่งนัก ที่เสียงพึมพำคล้ายสายลมแว่วนั้น หมิงเฉิงได้ยินทั้งหมด เกิดความรู้สึกอุ่นวาบแปลกประหลาดทันที แต่ทว่าชายชาตินักรบเยี่ยงเขา จักให้พระชายาเป็นฝ่ายปกป้องคงไม่ดี จึงแย้งเสียงต่ำว่า “ข้าย่อมดูแลตัวเองและทุกคนได้”
นิสัยของหมิงเฉิงพร้อมปกป้องคนในครอบครัว เขาเอ่ยอีกประโยคว่า “หากเจ้าทำตัวดีๆ ย่อมเป็นคนของข้าโดยสมบูรณ์”
“หากเจ้าทำตัวดีๆ ย่อมเป็นคนของข้าโดยสมบูรณ์”เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงแว่วหวานจึงดังมาอีกครา“สามีควรอนุญาตให้ภรรยามีครัวในเรือนของตนเองนะ ภรรยารู้สึกกลัวเหลือเกิน นี่คือการปกป้องได้ทางหนึ่ง”จบคำก็กะพริบตาเบาๆ เอียงหน้าน้อยๆ แลดูน่ารักน่าชัง แล้วกินขนมจิบชาต่อ ปราศจากวี่แววขลาดกลัวดั่งวาจาอีกคราที่หมิงเฉิงต้องหรี่ตามองพระชายา เขาไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่านางเป็นคนขลาดเขลาอย่างที่กล่าวมา ตรงกันข้ามกลับฉลาดเฉียบคมไม่เบา ทั้งยังเจ้าเล่ห์อีกด้วยแต่กระนั้นเขากลับเอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ตามใจเจ้า...” หลุดปากไปแล้วก็ให้นึกแปลกใจ ว่าเหตุใดเขาถึงไม่คิดขัดใจนางเมื่อได้ยินคำอนุญาต โม๋เอ๋อร์ให้รู้สึกดีใจยิ่งนัก นางจึงนั่งแย้มยิ้มงดงาม สดใสมีชีวิตชีวา ส่งสายตาพราวระยับให้สามีอีกคราที่หมิงเฉิงเลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าบึ้งตึงดำมืด แต่กลับมองนางอย่างมิอาจวางตาโดยไม่รู้ตัวดวงเนตรงามดั่งดาราสะท้อนวารี งามสะอาดพิสุทธิ์สดใส จนผู้มองรู้สึกวาบหวามในใจ ใครได้ยลคงรู้สึกเช่นเดียวกันเนิ่นนานทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะถอนสายตากลับคืนได้สำเร็จ แล้วผินใบหน้าหนีเพื่อหลับตาต่อ แต่กระนั้นกลับมีมือน้อยๆ เอื้อมมากระตุกแขนเสื
รูปโฉมโดดเด่น กอปรกับท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ต่อให้หัวใจเย็นชาปานใด ก็ต้องละลายนี่คือคำจำกัดความอันเป็นเอกลักษณ์ของโม๋เอ๋อร์ โดยที่ตัวของนางเองก็หาได้รู้ตัวไม่ มีเพียงผู้อื่นเท่านั้นที่รู้สึกได้เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าโม๋เอ๋อร์เป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าสะคราญโฉมพิลาศล้ำอย่างแท้จริงทั้งนี้ยังมีนิสัยน่ารัก ปราศจากการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม คิดสิ่งใดก็พูดออกมาตรงๆน้ำเสียงยังอ่อนโยนหวานใส ยามออดอ้อนยิ่งเย้ายวนใจดวงตากลมโตดั่งดวงดาราตกกระทบผิวธารายามตะวันแผดแสงจ้า ยิ่งรบกวนห้วงอารมณ์ สร้างความหงุดหงิดมากมายมหาศาลแก่ผู้จ้องมองนางในยามนี้เป็นอย่างมากหมิงเฉิงที่เผลอลืมตาขึ้นมองนางถึงกับต้องหรี่ตาลงทันใด รู้สึกแสบตาเล็กน้อยยามพินิจนางอย่างเผลอไผล ในหัวใจคล้ายมีมดไต่ไปมาให้รู้สึกคันยุบยิบบางเบาตัวของโม๋เอ๋อร์เองในยามนี้ก็พลั้งเผลอเช่นกัน นางกำลังลืมเสียสิ้นว่าต้องเก็บอาการใดๆ ที่เสียจริตมารยา ลืมกระทั่งว่าต้องทำตัวเจ้าเล่ห์ร่ายเสน่หามนต์มารให้มากเข้าไว้ เพื่อโปรยเสน่ห์ใส่ชายข้างกายผู้เป็นสามีหญิงสาวในยามนี้คิดถึงแต่บ่อน้ำพุร้อนในห้องนอนของชายหนุ่ม ความอุ่นร้อนของน้ำทั้งบ่อ
แต่ทว่าไหนเลยโม๋เอ๋อร์จักเข้าใจได้ เพราะนางมิได้กำลังร่ายมารยาใส่เขา นางกำลังขอความเห็นใจอย่างแท้จริง ถึงความต้องการอันลึกล้ำต่อการแช่บ่อน้ำพุร้อนในห้องเขาก็เท่านั้นเส้นเสียงหวานใสจึงออดอ้อนต่อไปโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าทุกกิริยาล้วนนำพาความรู้สึกคันยุบยิบ ทะลุทะลวงหัวใจคนฟังปานใด“สามีของภรรยานับเป็นบุรุษที่ดี นอกจากหล่อเหลา ท่าทางน่ากลัวแล้ว ยังมีจิตใจกว้างขวางดั่งธาราใต้แผ่นฟ้าไร้ขอบเขตให้หยั่งถึง”หญิงสาวเอ่ยปากชื่นชมเขาจากใจจริง คำว่าน่ากลัวก็เช่นกัน ล้วนชมเชยเขาจากความชอบทั้งนั้น ความน่ากลัวใดๆ ในใต้หล้า ล้วนแพ้พ่ายให้ชายตรงหน้าจนหมดสิ้น หญิงสาวยังไม่ลืมตบท้ายด้วยคำขออย่างงดงาม “แต่จะดียิ่งกว่านี้ หากยินยอมให้ภรรยาแช่น้ำในห้องท่าน”จบคำก็กะพริบตาสองที พาแพขนตางามงอนกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ คล้ายภมรหยอกเย้าเขย่าหัวใจหากแต่หมิงเฉิงยังคงเงียบงันปราศจากวาจาใดแม้ครึ่งคำ ทำเพียงนั่งนิ่งมองนางอย่างเคร่งขรึมสายตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งบางครายังพลั้งเผลอเหม่อมองริมฝีปากจิ้มลิ้มของนางความไม่พอใจยิ่งเพิ่มความขัดเคืองใจที่นางคิดจะล่วงล้ำอาณาเขตอันหวงแหน ทว่าสีแดงสดฉ่ำวาวท่าทางนุ่มชื้นที่กำลั
ความเงียบงันยิ่งเงียบงัน หมิงเฉิงได้รู้สึกถึงความเงียบสงัดกระทั่งเข็มตกยังได้ยินชัดก็ครานี้ทว่าโม๋เอ๋อร์ยังเฝ้าเอาใจหมิงเฉิงไม่ห่างไป หญิงสาวยังคงบีบนวดย้ำตรงโคนขาให้ชายหนุ่ม พร้อมหยอดหวานคืบคลานใกล้หัวใจเข้าไปทุกที“สามีเปรียบดั่งท้องฟ้าอันมืดมิด ภรรยาเปรียบดั่งดวงดารายามราตรีอับแสง เคียงข้างกันไปไม่มีเบื่อ”แม้ประโยคที่ถูกสอนสั่งจะผิดเพี้ยนไปบ้าง ว่าแท้จริงสามีเปรียบดั่งท้องฟ้าส่วนภรรยาเปรียบแค่เศษพสุธา แต่ก็ยังดีกว่าไม่นำมาใช้ให้ดูดีโม๋เอ๋อร์ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้เมื่อนางยิ่งนวด เขาก็ยิ่งแข็ง??? …ตรงกล้ามเนื้อขานางจึงขยับปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นกำปั้นน้อยๆ แล้วเลื่อนขึ้นทุบเบาๆ ที่แผงอกหนา คิดเพียงว่าเขาอาจเมื่อยตรงนี้ เพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นถี่ๆ ดีไม่ดี อาจทะลุออกมา“สามีอนุญาตภรรยาเถิด...”หญิงสาวช้อนตาหวานฉ่ำพราวระยับขึ้นมองเขา พร้อมกะพริบตาเบาๆ ก่อนคลี่รอยยิ้มละมุนละไมสะท้านหัวใจชายตรงหน้าทว่าหมิงเฉิงกลับเอ่ยเสียงเย็น มองอย่างเฉยชา“ออกไป!”ชายหนุ่มเอ่ยแบบลอดไรฟัน เส้นเสียงแหบพร่าเล็กน้อยโม๋เอ๋อร์คล้ายกับว่าไม่ได้ยิน นางเปลี่ยนจากการทุบแผงอกเป็นเอื้อมแขนขึ้นคล้องบ่
สายตาคมดำถึงกับสั่นไหว คิดในใจว่าบางทีเขาคงคิดถึงสตรีนางน้อยปริศนามากจนเกินไปความรู้สึกรุ่มร้อนสายหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ในห้วงคำนึงคิดถึงเพียงดวงหน้าอันพร่าเลือนของนางในดวงใจ อารมณ์คุกรุ่นตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ร้ายยามหิวกระหายของชายชาญจึงพลุ่งพล่านแผ่ซ่านออกมาด้วยหากว่าตรงนี้เป็นเตียงอุ่น เขาย่อมจับร่างนุ่มกดลงแล้วมอบความดิบเถื่อนให้อย่างไร้ปรานีความคิดที่จะเก็บคนงามให้น้องชายพลันตกไปชอบยั่วนัก เขาจะจัดให้หนำใจ จะได้หลาบจำ!แววตาคู่คมสาดประกายดุร้ายดุจหมาป่า เหี้ยมเกรียมและกระหายหิว มุมปากหยักโค้งแข็งกระด้าง เพิ่มความอำมหิต ลืมเสียสนิทว่าต้องเก็บคนงามให้น้องชายทว่าอีกฝ่ายกลับหาได้กลัวเกรงไม่ โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงมอง หมิงเฉิงด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดรุ่มร้อนกระตุ้นเร้า ซึ่งนางยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมา หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง ที่ท้องน้อยรู้สึกเสียวแปลบแล่นลามไปทั่วจึงพลั้งปากเอ่ยตามสัตย์อย่างเผลอไผลว่า“การฆ่าคือการทำให้ตาย หากแต่มิใช่กับข้าที่ไม่อาจตาย มิสู้ทำให้อยู่รอดปลอดภัยถึงฝั่งฝัน ข้ายินดีปกป้องท่านตลอดไป”ประโยคนั้นทำหมิงเฉิงนึกฉงน รู้สึกอุ
บทนำมีความเชื่อหนึ่ง โดยเฉพาะราชวงศ์แห่งจักรพรรดิที่สามารถหลับนอนกับสตรีในช่วงที่ใกล้กับวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่พลังหยินอันเป็นพลังของอิสตรีแตะระดับสูงสุด และเข้าคู่กับพลังหยางขององค์จักรพรรดิ เพื่อผลิตองค์รัชทายาทที่ดีที่สุดหมายสืบทอดราชวงศ์ต่อไปทว่าใครไหนเลยจักล่วงรู้ ว่าความเชื่อนี้มีผลกับเทพปีศาจ เช่นโม๋กุ่ยเสินโดยตรง การที่นางจักยืนหยัดอยู่ได้ในภพมนุษย์ โดยไม่สลายหายไปคล้ายหมอกควัน ยามราตรีเดือนเพ็ญ มีเพียงต้องสมสู่คู่ยวนยางกับบุรุษที่มีพลังหยางเข้มข้นเท่านั้นและเขาคือผู้ถูกเลือก…หากหยินและหยางมารวมกันจะกลายเป็นจิตวิญญาณที่มีพลังเป็นหนึ่งเดียว***อารัมภบทหมิงเฉิงมองโม๋เอ๋อร์ไม่วางตา เผยความรักใคร่ชัดเจน มองอย่างลึกซึ้งคะนึงหา ไม่คิดเก็บข่มความหลงใหลอันใดทั้งนั้นดวงตาเรียวคมของเขาเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังคล้ายกับมีเปลวเพลิงแห่งปรารถนาไหวระริกไม่หยุดท่าทางของบุรุษผู้เคร่งขรึมเย็นชากลายเป็นอ่อนโยนมาก โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว ทว่ากลับรู้หัวใจของตนเองเป็นอย่างดีนางคือสตรีหนึ่งเดียวที่เขาเฝ้าตามหาและรักสุดหัวใจโม๋กุ่ยเสิน...ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์อันลึกล้ำประดับบนใบ
หมิงเฉิงยิ่งสะกดสายตาคมดำที่พระชายาอย่างลึกล้ำ ฝ่ามือหนารีบจับกระชับมือบางเอาไว้โดยพลัน พลางใช้ท้องนิ้วเขี่ยไล้คลึงเล่นคล้ายหยอกเย้า ทำนางสะดุ้งชะงักงันไปชั่วอึดใจ ทว่าก็ยังพอตั้งสติได้ หญิงสาวค่อยๆ ลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล ระงับอาการสั่นไหวหวาดระแวง จากนั้นก็พยายามบิดมือเพื่อออกจากการเกาะกุม หมายผละไปให้ไกลห่างอย่างแนบเนียนที่สุดการกระทำแค่นี้ มีหรือหมิงเฉิงจะยอม เขายิ่งกุมมือนางเอาไว้แน่น ไม่คิดปล่อยโม๋เอ๋อร์ก็มิใช่ด้อย นางจึงเปลี่ยนจากซับเหงื่อเป็นซับน้ำตาแทน ใบหน้าเรียวเล็กเอียงหลบซ้ายขวา พร้อมผ้าเช็ดหน้าอำพรางดวงตา แล้วทำตัวสั่นเบาๆ เปลี่ยนท่าทีเป็นกลั้นสะอื้นไห้เยี่ยงสตรีอ่อนแอบอบบางผู้กลัวเกรงสามีอย่างที่สุด ให้ใครก็ได้มาหยุดบุรุษผู้มีนิสัยดุร้าย แล้วช่วยนางออกไปทีครานี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มบ้างที่ชะงักนิ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลื่นไหลเหลือเกิน ฝ่ามือหนาจึงจับฝ่ามือนางเอาไว้มั่นแล้วบีบแรงๆ ประหนึ่งคีบเหล็ก พลางก้มหน้าลงต่ำแล้วกระซิบดุดันลากเสียงยาวชวนเสียววาบไปถึงกระดูก“เป็นอะไรไป? หืม...”หมิงเฉิงก้มหน้าลงกระซิบใส่โม๋เอ๋อร์อย่างเย็นชา นัยน์ตาคู่เรียวเฉียบคมจ้องนางใกล้ๆ จับพิ
พระองค์ทรงยืนนิ่งพินิจมองรัชทายาทหนุ่มกับพระชายาที่กำลังยื้อยุดอยู่หน้ารถม้าอีกครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยสุรเสียงเนิบช้า“แต่ที่เราเห็นคือพระชายากำลังร่ำไห้เสียใจ ส่วนโอรสของเรากำลังรังแกนาง ท่าทางหรือก็ข่มขวัญกันจนอีกฝ่ายลนลานไปหมด หรือว่าเมื่อคืนหมิงเฉิงกระทำการอุกอาจหมายประชดประชัน เข้าหอกับธิดาสกุลโหวอย่างไม่เป็นธรรม!”อีกคราที่หวังกงกงต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อนชั่วจังหวะที่ยังมิทันหายใจได้ทั่วท้อง มหาขันทีพลันได้ยินสุรเสียงคมปลาบตรัสอีกว่า “ตระกูลโหวใช่ตระกูลที่ล้อเล่นได้หรือไร?”“...”“เราสู้อุตส่าห์มอบตระกูลใหญ่ที่สุดแห่งราชสำนักให้ แต่กลับไม่เห็นถึงพระเมตตา!”“...”“ให้พวกเขากลับไป เราไม่รับถวายคารวะน้ำชา!”“...”ไม่ถึงชั่วลมหายใจฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วทรงตรัสอีกสองประโยคว่า“ในเมื่อโอรสแห่งเราได้ธิดาบ้านเขาทั้งคืนแล้วเยี่ยงนั้น เราย่อมปล่อยปละละเลยมิได้เด็ดขาด!”“...”“นำคำสั่งเราไป หากพระชายาโหวยังไม่ตั้งครรภ์ รัชทายาทไม่ต้องเข้าประชุม!”“...”เหมันต์ปีนี้ไยอากาศร้อนยิ่งนัก หวังกงกงรีบปาดเหงื่ออันว่าผู้ที่ยากแท้หยั่งถึง ทั้งยังมีความคิดตีพันกันอย่างลึกล้ำเกินเข้าใจ ย่อมต้องเ
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย