ถึงแม้ว่าหมิงเฉิงจะไม่ล่วงรู้ว่าคนงามมีเรี่ยวแรงมหาศาลปานใด หากแต่ท่าทางพร้อมช้อนร่างขึ้นกระนั้นได้อย่างไร!นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ หมายปฏิเสธสตรีข้างกายอย่างเด็ดขาด แล้วส่งสัญญาณสายตาเรียกราชองครักษ์คู่ใจทว่ากลับไร้เงาร่างของหมิงจินที่ควรยืนอยู่ในตำแหน่งประจำเสียแล้ว...เมื่อรับรู้ได้ว่าผิดแผนไปหมด ความหงุดหงิดพลันบังเกิดทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมเคร่งขรึม ซ่อนความเย็นชาเยือกเย็นมิดชิด หาได้มีผู้ใดสัมผัสได้ไม่หมิงเฉิงพลันเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่คิดสลัดคนงามอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม เขาจะพานางไปกำราบในเรือนตน ให้พ้นหูพ้นตาคนนอกเหล่านี้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างสูงจึงโบกมือไล่บรรดาบ่าวรับใช้ให้พากันถอยห่างออกไปไกลตามคำสั่งของพระชายารัชทายาทหนุ่มซึ่งเมามายเพียงลุกขึ้นยืนแสร้งโซเซออกจากเรียวแขนเสลาแล้วเดินเองทว่าโม๋เอ๋อร์ไหนเลยจักปล่อยไปโดยง่าย นางจึงเอื้อมฝ่ามือเล็กนุ่มจับพยุงร่างใหญ่แล้วประคับประคองพากลับเรือนหลักอย่างมีน้ำใจทว่าการถูกสตรีจับประคองย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ หมิงเฉิงจึงตวัดวงแขนออกกว้าง แล้วโอบนางข้างกายเอาไว้แน่น เพื่อเป็นฝ่ายควบค
ห่างออกมาจากศาลาริมสระบัวลึกเข้าไปภายในห้องพักของราชองครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงหมิงจินอาศัยความมืดแห่งราตรี อุ้มร่างระหงที่หมดสติเข้ามาในห้องพักของตนเองโดยสัญชาตญาณ ด้วยไม่อาจอุ้มนางออกไปด้านหน้าเรือนพระชายาจนถูกพบเห็น ซึ่งย่อมจะนำความเสื่อมเสียให้นางหยูเสวี่ยตกอยู่ในอ้อมแขนอุ่นสบายจึงหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว นางแค่ชอบความอบอุ่นนี้ก็เท่านั้นเมื่อถึงเตียงนอน หมิงจินก็วางร่างอรชรลงอย่างแผ่วเบา เห็นนางหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดูก็แค่นั่งเฝ้า จับชีพจรให้นางบางครา เห็นนางมีสัญญาณชีพปกติดีก็เบาใจผ่านไปครึ่งค่อนคืน หมิงจินจึงมีโอกาสได้พิจารณาสตรีนางนี้ให้พิศมองอย่างไร ก็น่าค้นหาผิวพรรณของนางมีสีขาวบริสุทธิ์ทอประกายผุดผาดราวหิมะ นุ่มเนียนละเอียดดุจหยกขาวสลักเนื้อดี สัมผัสที่ได้โอบกอดอ่อนละมุน ทั้งเย็นสบายอย่างประหลาดผิวแก้มนางก็อ่อนนุ่มมาก ทั้งนวลเนียน ทั้งอิ่มน้ำ ยามไล้ปลายนิ้วให้ความรู้สึกดีเหลือเกินยิ่งได้จับมือยิ่งให้รู้สึกนุ่มนิ่มไม่หยาบกร้านเลยสักนิด มองมุมใดไม่คล้ายสาวใช้เลยแม้แต่น้อยฝ่ามือแกร่งไล่สำรวจคนงามบนเตียงนอนอย่างเผลอไผล หมิงจินไม่รู้ตัวเลยว่า เขากำลังล่วงเกินหยูเสว
ร่างสูงย่างกรายก้าวเท้าจากขอบบ่อ ท่อนขาลดต่ำ กดบั้นท้ายแกร่งลงน้ำ ชั่วครู่ก็เหลือเพียงกล้ามหน้าอกหนาแน่นงดงามที่โผล่พ้นผิวน้ำ ใต้คิ้วเรียวยาว ดวงตาดำขลับคมกริบค่อยๆ ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกตาหมิงเฉิงกดตัวเองให้จมดิ่งลงน้ำจนมิดศีรษะ ซึมซับไออุ่นเกือบร้อนของน้ำพุให้โอบรอบกายกำยำ กำซ่านแสงจันทร์งามผ่านม่านน้ำเสมือนมายา เพื่อระลึกถึงแน่งน้อยปริศนาเหมือนที่ชอบทำทว่าเพียงลืมตาใต้น้ำ แววตาคมปลาบพลันตะลึง ในบ่อน้ำมิใช่มีเพียงเขาหนึ่งเดียว เบื้องหน้ายังมีเงาร่างอรชร ดำน้ำอยู่ในระยะสายตาแม้มีม่านน้ำกางกั้น ทั้งยังมืดสลัว ทว่ายังเห็นความงามพิลาศล้ำ ผิวขาวนวลผ่องส่องประกายเจิดจ้า คล้ายเรืองแสงสีทองรำไรสีทองเรืองรองกระนั้นหรือ?ก้อนเนื้อในอกแกร่งพลันเต้นตึกตัก นึกตระหนกตกใจ แววตื่นตะลึงฉายวาบผ่านม่านตาดำหมิงเฉิงลุกพรวดขึ้นผิวน้ำ จับจ้องไปเบื้องหน้าไม่วางตา เป็นจังหวะเดียวกับสตรีอีกคน ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเช่นกัน“เจ้า! ไยยังอยู่?”“ท่าน! ไยไม่หลับแล้ว?”“...”ทั้งสองตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ดวงตาสองคู่จ้องเขม็ง ปราศจากความสนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าเปิดเผยทุกสิ่งของตนเองและอีกฝ่ายโม๋เอ๋อร์อุทานในใจว่า แย่แ
บนเตียงนอนกว้างลวดลายวิจิตร ปรากฏร่างงามอรชรหยดน้ำเกาะพราวนอนหลับตาพริ้มโม๋เอ๋อร์ถูกหมิงเฉิงอุ้มขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อนในสภาพเปลือยเปล่า ไร้กระทั่งเอี๊ยมบังทรงและกางเกงผ้าชั้นในปกปิด เผยความงดงามพิลาศล้ำเกินพรรณนา เปิดเผยเรือนร่างขาวเนียนละเอียดลออดั่งหยกสลักชั้นยอด เปิดเผยเนินเนื้ออวบอูมเต่งตึงยอดถันชูชันและผิวผ่องนวลเสลาเรียวขางามซ้ายขวา ทั้งเนื้อตัวอมชมพูระเรื่อไปทั่ว ใบหน้าเห่อแดง แต่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกลับซีดเซียวเขียวคล้ำหญิงสาวจมน้ำจริงอย่างไม่น่าเชื่อนางดีใจจนเกินไปที่ได้แช่น้ำพุร้อนใต้แสงเดือนฉายที่ห่างหายมานานหลายปี กักเก็บพลังเทพปีศาจเอาไว้แทบไม่ทันเมื่อหมิงเฉิงลงน้ำมา โม๋เอ๋อร์จึงรีบเก็บปราณเทพจนสิ้น กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาปราศจากกระทั่งลมปราณ เหลือเพียงลมหายใจของสตรีเพศผู้บอบบางอ่อนแอ ก่อนจะกดร่างอ้อนแอ้นดำดิ่งแช่น้ำอย่างดื้อดึงและนานจนเกินไป ความอุ่นสบายที่คิดถึงโอบล้อมเรือนร่างชวนให้ลุ่มหลงเผลอไผล กอปรกับดื่มเหล้าไปหลายจอก แม้ไม่เมามายแต่ก็มึนงงจนง่วงงุนไม่น้อยสุดท้ายก็หลับใหลอยู่ใต้น้ำอย่างไม่น่าให้อภัย...ที่ข้างเตียงนอน...หมิงเฉิงยืนนิ่งพินิจจ้องชายาแห่งตนเงียบเชียบ จ้
แสงอรุณรุ่งมาเยือน เสียงไพเราะเสนาะโสตของเหล่าสกุณาประสานเสียงขับขานดังไปทั่ว บ่งบอกเวลาแห่งเช้าวันใหม่มาเยือนโม๋เอ๋อร์จึงได้สติแล้วตื่นลืมตาในที่สุด นางกลอกตาสำรวจไปทั่วห้องอยู่อึดใจ พบว่าตนเองนอนร่างเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่เพียงผู้เดียว มีผ้าห่มปกปิดให้อย่างดีเมื่อเบนสายตาไปข้างเตียง ไล่มองห่างออกไป จึงเห็นนางกำนัลสามคนยืนหน้าแดงก่ำก้มหน้าหลุบตาคนแรกถือถาดอาภรณ์หรูหรา คนที่สองถือเครื่องประดับละลานตา คนที่สามถืออาหารเช้าหอมกรุ่นชุดชงชาประณีตวิจิตรหญิงสาวให้นึกตกตะลึงมากโข พลันระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา แล้วประมวลทุกสิ่งอย่างระมัดระวังเมื่อคืนสามีของนางมิได้เข้าหอกับนาง แต่พานางมากินอาหารรสเลิศอยู่ค่อนคืน จากนั้นเขาเมาเหล้า นางพาเขาเข้าห้องเพื่อจัดการครอบครองเขา ทว่านางกลับพึงใจในสมบัติของเขา มากกว่าตัวเขาที่เป็นสามีเฮ่อ!โม๋เอ๋อร์รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่สนใจอะไรเยี่ยงนั้นไปเสียได้ สามีของนางช่างน่าเห็นใจที่มีภรรยาเช่นนี้แต่ว่า ทุกสิ่งในห้องของเขาน่าหลงใหลมากๆ นี่นาโดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งนางก็พอจะมองออกว่าเขาหวงแหนบ่อน้ำส่วนตัวนั้นมากมายปานใดของรักของใคร คนผู้นั้นก็ต
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม...โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์แสนวิจิตรก็เยื้องกรายออกจากห้องบรรทมส่วนพระองค์ของรัชทายาท นางเดินนวยนาดแช่มช้อยมาตามทาง กิริยานุ่มนวลสูงส่ง ยกยิ้มปลื้มปริ่มตลอดเวลาเมื่อพ้นหัวมุมเฉลียงก็เห็นเป็นด้านหน้าตำหนักโล่งกว้าง ในครรลองสายตาจึงปรากฏร่างสูงงามสง่าในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายมังกรทองอันน่าเกรงขามของรัชทายาทหมิงเฉิงเขากำลังยืนสนทนากับมหาขันทีเฒ่าหวังกงกง ผู้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทั้งคืน ไม่หลับไม่นอนและทันทีที่เขาผินใบหน้าอันหล่อเหลามามองนาง รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏในครรลองสายตา โม๋เอ๋อร์ถึงกับตาพร่าในบัดดล คนอะไรรูปงามปานศิลาดำ ทั้งทรงพลังแลดูทมิฬตรึงใจเหลือเกินเมื่อเดินมาถึงร่างสูง มือหนาพลันยื่นส่งให้ตรงหน้า หญิงสาวพลันเบิกตาโตมองเหม่อที่ฝ่ามือเขา ชั่วภาวะตะลึงนั้น นางรับรู้เพียงมือนุ่มของตนถูกกอบกุมด้วยมืออุ่นของเขาชั่วครู่ต่อมาชายผู้เป็นสามีก็พานางเดินไปด้วยกันตามทางเดินแผ่นศิลาอย่างแช่มช้า แสงแดดยามเช้าช่างสว่างเจิดจ้า พาม่านตามองเห็นทุกสิ่งเจิดจรัสยิ่งนัก ร่างระหงจึงคล้ายกับล่องลอยอยู่กลางสายหมอก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม่านมายาพรางใจ จริงเท็จเท่าใดล้วนไม่สำคั
ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วทั่วตำหนักบูรพาว่ารัชทายาททรงทุ่มเทเพื่อพระชายาเพียงใด โปรดปรานแค่ไหน กระทั่งได้เข้าบรรทมด้วยกันยังเรือนหลักอย่างคาดไม่ถึง เช้ามายังส่งสายตาให้กันอย่างลึกซึ้งตรงทางเดินเท่านั้นยังไม่พอ พระชายานางน้อยผู้งดงามยังมอบจุมพิตที่ข้างแก้มให้รัชทายาทหนุ่มต่อสายตาข้าราชบริพาร…ภายในห้องโถงโอ่อ่าของเรือนชิงเยว่เบื้องหน้าของบรรดาอนุชายาคือชายาเอกจากสกุลโหวผู้อยู่ในข่าวลือแพร่สะพัดโม๋เอ๋อร์นั่งยกยิ้มหวานฉ่ำลามไปถึงดวงตาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบเสริมข่าวที่มีได้มากโข เรียกสายตาร้อนเร่าที่สุมด้วยเปลวเพลิงแห่งริษยาจากเหล่าอนุชายาทั้งห้องโถงดวงตาที่คล้ายจะพ่นไฟได้ของบรรดาสตรีด้านหน้าไม่อาจสะกิดโสตประสาทของโม๋เอ๋อร์ให้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ด้วยในจิตใจยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าตรงกลางทางเดินหินอ่อนภายใต้แสงแดดเจิดจรัสตรงนั้น หญิงสาวเห็นสามีมองนางนิ่งนาน สายตาคมของเขาจ้องมองนางปานกลืนกิน แน่นอนว่ากำลังหลงเสน่ห์ในความงามของนางอย่างไม่ต้องสงสัยนางจึงถือวิสาสะแห่งความเป็นเจ้าของในตัวเขา ยื่นหน้าหอมแก้มของเขาไปหนึ่งทีอย่างอดใจมิได้ ก่อนจะเดินจากมา เพื่อทำหน้าที่ชายาเอกให้เขาภาย
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น โม๋เอ๋อร์กลับมาพักผ่อนยังเรือนนอนของตนเองอย่างชื่นมื่นทันทีที่เข้าห้องมาก็เห็นหยูเสวี่ยนั่งหน้าแดงก่ำเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ในใจให้นึกสงสัยขึ้นมาจึงถามตามตรง“เจ้าเป็นอะไรหรือ? เป็นไข้หรือไร? ไยหน้าแดงนัก!”หยูเสวี่ยได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นกุมแก้มตนเอง ไม่พูดไม่จา ไม่ตอบคำใดโม๋เอ๋อร์ยิ่งมองยิ่งฉงน กลอกตาไปมา ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยชั่วครู่ต่อมา ผู้ถูกถามพยายามกดเก็บอาการทั้งหลายให้หายไปแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคิดว่าองครักษ์จินเป็นอย่างไร?”ครานี้โม๋เอ๋อร์ยิ่งงุนงงอย่างหนัก องครักษ์จิน! ใครหนอ?หยูเสวี่พลันถอนหายใจปลดปลง เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเห็นใครอยู่ในสายตานอกจากคนที่เห็นความสำคัญโม๋เอ๋อร์มักเป็นเช่นนั้น หยูเสวี่ยย่อมรู้ดี หญิงสาวจึงยังไม่คิดที่จะเล่าอันใดให้โม๋เอ๋อร์ฟัง เพียงระลึกอยู่คนเดียวเงียบๆเมื่อคืนยามที่ต้องยืนมองรัชทายาทกับพระชายาเล่นละครตบตาขันทีส่วนพระองค์ หยูเสวี่ยที่ต้องพิษยังไม่หายสนิท จึงแพ้พ่ายแก่ลมเย็นยามราตรี จนหน้ามืดวูบหลับไปนางได้องครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงแอบช่วยเหลือเอาไว้ เขาพานางไปรักษายังที่พักของเขา เพราะไม่อาจอุ้ม
ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้ากระโจมชั่วครู่ ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ เปิดประตูที่ทำจากผ้าเนื้อหนา แล้วเดินเข้าไปช้าๆเมื่อเดินเข้ามาในกระโจมของพระชายา สายตาคมกวาดมองไปที่เตียงนอน เห็นนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลประหนึ่งตายจากอยู่บนฟูกที่พื้นหน้าเตียงเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งขมวดพันกันแน่นคล้ายกลายเป็นปมเชือก เมื่อมองไม่เห็นเงาร่างของใครบางคนนอนอยู่บนเตียงนั่นสายตาคมกล้าจึงกวาดมองไปทั่วกระโจม ทันใดนั้นพลันสะดุดกับสตรีนางหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ตรงมุมอับภายในกระโจมร่างหนานิ่งค้างในบัดดล จ้องมองสตรีนางนั้นนิ่งงันเพราะว่าดึกมากแล้ว แสงเทียนสีทองจึงเริ่มมอดดับ ความสว่างจึงสาดส่องไม่ทั่วสักเท่าไหร่ หมิงเฉิงจึงเห็นสตรีปริศนาแค่เพียงรำไรในครรลองสายตา นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบางเบา แหวกสาบเสื้อเปิดเปลือยเนินเนื้ออวบอิ่มนูนเด่นออกมามากกว่าครึ่งเต้า สร้างความรู้สึกวาบหวามไม่เบาแก่ผู้จ้องมองม่านตาดำพลันหดเล็กแคบ ตรึงมองนางไม่ไหวติงหมิงเฉิงชะงักงันไปชั่วขณะ มิใช่เพราะความเย้ายวนที่เรือนกาย ทว่าเป็นเพราะเมื่อสตรีงดงามนางนี้ค่อยๆ ผินหน้ามา เค้าโครงหน้าตาของนางหาใช่ชายาแห่งเขาไม่!ชายหนุ่มยิ่งขม
เมื่อสิ้นเสียงเหล่าสัตว์ร้าย สิ้นความโกลาหลวุ่นวาย ความสงบจึงกลับเข้ามาอีกครั้งความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าจำนวนมากที่เข้ามาทำร้ายองค์รัชทายาทถูกอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นฮ่องเต้ต้าหมิง ก็ทรงทำได้เพียงเรียกรวมทุกคนเข้าร่วมหารือในกระโจมหลักเหล่าองค์ชาย แม่ทัพใหญ่และทหารกล้าอีกหลายนายเข้าร่วมประชุมเคร่งเครียด เร่งหาสาเหตุต้นตอและวิธีรับมือกับสัตว์ป่าในวันรุ่งในใจทุกคนเริ่มหวาดหวั่นว่าการที่พวกเขามาล่าสัตว์ในครานี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะกลายเป็นฝ่ายถูกสัตว์ล่าเสียมากกว่าหมิงเฉิงที่กำลังยืนนิ่งขรึมอยู่กลางลาน สีหน้าเย็นเยียบ ประหนึ่งวิญญาณลอยไปไกลก่อนหน้า ยังถูกตามตัวมาร่วมหารือเช่นกัน ด้วยตัวเขานั้นคือหัวข้อใหญ่แห่งการประชุม พื้นที่โล่งภายในกระโจมหลัก มีขุนศึกทั้งบุ๋นบู๊กำลังยืนรวมตัวกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด เบื้องหน้าของพวกเขาคือองค์จักรพรรดิต้าหมิงประทับนั่งเหนือสุด ด้านซ้ายและขวาของพระองค์คือองค์ชายทั้งสอง หมิงเหอ และหมิงเฉิงบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดสัตว์ป่ายังคงนั่งนิ่งเงียบงัน ปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ ทั้งๆ ที่หัวข้อหารือของทุกคนในกระโจมคือเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของ
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้