ก่อนหน้าที่หมิงเฉิงจะได้สมรสพระราชทานให้แต่งงานกับสตรีสกุลโหวเป็นชายาเอก
พี่ชายทั้งสองของเขาก็ได้สมรสพระราชทานกับสตรีสกุลใหญ่มากอำนาจไม่แพ้กัน
ยามนี้พี่ชายของหมิงเฉิงยังขยันสร้างทายาทกันอย่างคึกคัก ในตำหนักยังมีสนมชายามากกว่าตัวเขาที่เป็นรัชทายาทเสียอีก
น้ำพระทัยของฮ่องเต้ช่างยากแท้หยั่งถึง ความคิดล้ำลึกยิ่งกว่าก้นบึ้งของมหาสมุทรอันเวิ้งว้างลึกลับ แม้จะทรงให้หมิงเฉิงได้ครอบครองตำแหน่งรัชทายาท ผู้เป็นใต้เพียงหนึ่งแต่เหนือคนนับแสน กระนั้นกลับมอบอำนาจหนุนหลังให้พี่ชายทั้งสองได้อย่างน่าหวั่นเกรง ทั้งยังคานกันได้อย่างน่าชม
หมิงเฉิงจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจักต้องผูกไมตรีกับสกุลโหวให้ดี ถึงแม้ในใจจะเบื่อหน่ายอยากหลีกหนีเหลือเกิน หากมิใช่เพื่อหมิงจินผู้เป็นน้องชาย เขาจะย้ายตัวเองไปอยู่ในป่า ตามหาใครบางคนอย่างจริงจัง
มิรู้ได้ว่า ป่านนี้มีสามีไปแล้วหรือยัง?
หรือต่อให้มีแล้ว เขาก็จะฆ่าสามีนาง แล้วฉุดคร่านางมาเป็นภรรยาของตนเองให้จงได้!
รัชทายาทหนุ่มครุ่นคิดอย่างชั่วร้ายไม่สร่างซา ขณะกำลังมอมเมาพระชายาของตนอย่างต่อเนื่อง
ประโยคที่ว่า ใบไม้บังตา ไม่เห็นเขาไท่ซาน[1] กำลังเกิดขึ้นกับบุรุษเช่นหมิงเฉิงอย่างแท้จริง
หากความจริงได้ประจักษ์ ว่าสตรีที่เฝ้าคะนึงและตามหาคือคนเดียวกับสตรีข้างกายที่เขากำลังวางแผนขจัดให้ไกลห่าง
เกรงว่าหมิงเฉิงคงต้องกัดลิ้นตัวเองสักครา...
ทั้งยังอาจจะนอนตายตาไม่หลับเลยทีเดียว
ท่ามกลางราตรีเย็นฉ่ำ ในศาลาริมบึงมีบรรยากาศหวานล้ำโอบล้อมตบตาผู้คนของสามีภรรยาพระราชทาน
ชายหนุ่มยังคงบรรจงส่งจอกเหล้าให้หญิงสาวข้างกายไม่ขาดสาย หวังเพียงนางเมาแล้วหลับใหลไปเสีย เขาจะได้พานางไปโยนทิ้งในเรือนชิงเยว่ แล้วตัวเขาก็จะได้กลับไปแช่น้ำร้อนเพื่อระลึกถึงแน่งน้อย
ทว่าเนิ่นนานค่อนราตรีแล้ว สตรีข้างกายร่างสูงยังปราศจากท่าทีมึนเมาให้ได้เห็น หากแต่เป็นตัวหมิงเฉิงเองที่เริ่มประคองสติได้ยากเย็น
สุราพระราชทานมีค่าสูงส่ง มีรสเลิศล้ำ ทั้งยังมีฤทธิ์รุนแรง เหมาะแก่การแสร้งเมา
รัชทายาทหนุ่มจึงไม่อยากเสียเวลากับพระชายาข้างกายผู้มีลำคอประหนึ่งเหล็กไหลอีกต่อไป จึงก้มหน้ากระซิบเสียงกดต่ำ สายตากดดันเข้มลึกว่า
“เจ้าควรเมาได้แล้ว ชายาข้า”
โม๋เอ๋อร์ผู้กำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนหวานฉ่ำและอาหารรสล้ำพลันเบิกตาโตกระจ่างสดใส หาความเมาไม่เจอ
“ข้าอยากอยู่กับท่านทั้งคืน...”
นางกระซิบใส่หน้าสามีเสียงอ่อนเสียงหวาน เหม่อมองริมฝีปากสีแดงสดของเขา ไล่เลียด้วยสายตาลงมาที่ลำคอแกร่งหนาน่าหลงใหล เลื่อนเนตรงามไปทางไหล่กว้างบึกบึน แล้วถือโอกาสเอียงศีรษะซบไหล่หนาเสียเลย
อบอุ่นเหลือเกิน...
เรียวคิ้วหมิงเฉิงกระตุกวูบ ไหล่หนาล่ำสันแข็งเกร็งทันที
ชายหนุ่มเป็นคนหวงตัวมาแต่ไหนแต่ไร มิใคร่ให้สตรีฉาบฉวยชิดใกล้โดยพละการ แต่นาง...
อีกคราที่รัชทายาทหนุ่ม มิทราบว่าจะต่อท้ายประโยคที่จะกล่าวถึงชายาเอกของตนว่าอย่างไรดี
เหล่าบ่าวรับใช้ที่ได้รับอนุญาตติดตามเฉพาะกิจแห่งค่ำคืนส่วนพระองค์ ยังคงยืนนิ่งห่างออกไป ใบหน้าทุกผู้คนก้มต่ำ ไม่อาจมองเจ้านายได้ มีเพียงขันทีเฒ่าเท่านั้น ที่ลอบชำเลืองมอง แล้วเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ
ชั่วขณะที่โม๋เอ๋อร์กำลังหลับตาพริ้มซึมซับไออุ่นจากสามี โดยไม่รู้สึกรู้สาอันใดกับบรรยากาศที่โอบล้อมตัวเองที่คล้ายเข้าสู่จุดเยือกแข็ง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่เคร่งขรึมของหมิงเฉิงก็เริ่มแดงก่ำลามไปถึงลำคอ
ดวงตาคมปลาบที่มักจะสาดประกายคมกริบดุจกริชแหลมพร้อมทิ่มแทงเริ่มหรี่ปรือ มุมปากลอบยกโค้งบางเบาผุดรอยยิ้มชั่วร้ายแวบหนึ่ง
รัชทายาทหนุ่มพลันเปลี่ยนแผนเป็นฝ่ายเมามายเสียเอง เพื่อหลีกหนีสตรีหน้าไม่อายให้ห่างไกลได้อย่างนุ่มนวลแนบเนียน หมายจบค่ำคืนแห่งงิ้วเสีย
เมื่อหางตาแลเห็นชายหนุ่มเจ้าของร่างแกร่งแสนอบอุ่นเริ่มทรงตัวไม่อยู่ ทั้งสีหน้าและแววตาแสดงออกชัดเจน หญิงสาวพลันเหยียดยิ้มพร่างพราวสมใจ
เขาเมาแล้ว...
โม๋เอ๋อร์ซ่อนความคิดลึกล้ำ เอาไว้ในดวงตากลมโตพิสุทธิ์ใสซื่อ ก่อนเอ่ยเสียงหวานกับบ่าวไพร่ที่รอรับใช้ด้านนอกว่า
“ดึกแล้ว ข้าจะพารัชทายาทกลับเรือนด้วยตนเอง พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
หญิงสาวจงใจไล่ทุกคนออกไปให้หมด เพื่อที่นางจะได้ทำอะไรๆ กับสามีได้โดยสะดวก
อีกครั้งที่เรียวคิ้วของหมิงเฉิงต้องกระตุก ผิดคาดไปหมด
เพราะหากเขาเมา ควรเป็นขันทีและบ่าวชายที่ต้องดูแล หาใช่งานของสตรีผู้บอบบางไม่ นางย่อมไร้เรี่ยวแรงช่วยพยุงอันใด
เป็นความจริงที่ไม่มีใครรู้ว่าโม๋เอ๋อร์มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะอุ้มร่างหนาใหญ่ของหมิงเฉิงพาดบ่าได้ด้วยซ้ำ นางจึงโอบประคองไหล่กว้างเอาไว้ด้วยวงแขนเรียวเล็ก ทำท่าจะอุ้มสามีอย่างทะนุถนอม
ดวงตาคมพลันเบิกกว้าง
ช้าก่อน!
รัชทายาทหนุ่มเอ่ยคำห้ามปรามพระชายาอยู่ในใจ
ถึงแม้ว่าหมิงเฉิงจะไม่ล่วงรู้ว่าคนงามมีเรี่ยวแรงมหาศาลปานใด หากแต่ท่าทางพร้อมช้อนร่างขึ้นกระนั้นได้อย่างไร!นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ หมายปฏิเสธสตรีข้างกายอย่างเด็ดขาด แล้วส่งสัญญาณสายตาเรียกราชองครักษ์คู่ใจทว่ากลับไร้เงาร่างของหมิงจินที่ควรยืนอยู่ในตำแหน่งประจำเสียแล้ว...เมื่อรับรู้ได้ว่าผิดแผนไปหมด ความหงุดหงิดพลันบังเกิดทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมเคร่งขรึม ซ่อนความเย็นชาเยือกเย็นมิดชิด หาได้มีผู้ใดสัมผัสได้ไม่หมิงเฉิงพลันเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่คิดสลัดคนงามอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม เขาจะพานางไปกำราบในเรือนตน ให้พ้นหูพ้นตาคนนอกเหล่านี้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างสูงจึงโบกมือไล่บรรดาบ่าวรับใช้ให้พากันถอยห่างออกไปไกลตามคำสั่งของพระชายารัชทายาทหนุ่มซึ่งเมามายเพียงลุกขึ้นยืนแสร้งโซเซออกจากเรียวแขนเสลาแล้วเดินเองทว่าโม๋เอ๋อร์ไหนเลยจักปล่อยไปโดยง่าย นางจึงเอื้อมฝ่ามือเล็กนุ่มจับพยุงร่างใหญ่แล้วประคับประคองพากลับเรือนหลักอย่างมีน้ำใจทว่าการถูกสตรีจับประคองย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ หมิงเฉิงจึงตวัดวงแขนออกกว้าง แล้วโอบนางข้างกายเอาไว้แน่น เพื่อเป็นฝ่ายควบค
ห่างออกมาจากศาลาริมสระบัวลึกเข้าไปภายในห้องพักของราชองครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงหมิงจินอาศัยความมืดแห่งราตรี อุ้มร่างระหงที่หมดสติเข้ามาในห้องพักของตนเองโดยสัญชาตญาณ ด้วยไม่อาจอุ้มนางออกไปด้านหน้าเรือนพระชายาจนถูกพบเห็น ซึ่งย่อมจะนำความเสื่อมเสียให้นางหยูเสวี่ยตกอยู่ในอ้อมแขนอุ่นสบายจึงหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว นางแค่ชอบความอบอุ่นนี้ก็เท่านั้นเมื่อถึงเตียงนอน หมิงจินก็วางร่างอรชรลงอย่างแผ่วเบา เห็นนางหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดูก็แค่นั่งเฝ้า จับชีพจรให้นางบางครา เห็นนางมีสัญญาณชีพปกติดีก็เบาใจผ่านไปครึ่งค่อนคืน หมิงจินจึงมีโอกาสได้พิจารณาสตรีนางนี้ให้พิศมองอย่างไร ก็น่าค้นหาผิวพรรณของนางมีสีขาวบริสุทธิ์ทอประกายผุดผาดราวหิมะ นุ่มเนียนละเอียดดุจหยกขาวสลักเนื้อดี สัมผัสที่ได้โอบกอดอ่อนละมุน ทั้งเย็นสบายอย่างประหลาดผิวแก้มนางก็อ่อนนุ่มมาก ทั้งนวลเนียน ทั้งอิ่มน้ำ ยามไล้ปลายนิ้วให้ความรู้สึกดีเหลือเกินยิ่งได้จับมือยิ่งให้รู้สึกนุ่มนิ่มไม่หยาบกร้านเลยสักนิด มองมุมใดไม่คล้ายสาวใช้เลยแม้แต่น้อยฝ่ามือแกร่งไล่สำรวจคนงามบนเตียงนอนอย่างเผลอไผล หมิงจินไม่รู้ตัวเลยว่า เขากำลังล่วงเกินหยูเสว
ร่างสูงย่างกรายก้าวเท้าจากขอบบ่อ ท่อนขาลดต่ำ กดบั้นท้ายแกร่งลงน้ำ ชั่วครู่ก็เหลือเพียงกล้ามหน้าอกหนาแน่นงดงามที่โผล่พ้นผิวน้ำ ใต้คิ้วเรียวยาว ดวงตาดำขลับคมกริบค่อยๆ ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกตาหมิงเฉิงกดตัวเองให้จมดิ่งลงน้ำจนมิดศีรษะ ซึมซับไออุ่นเกือบร้อนของน้ำพุให้โอบรอบกายกำยำ กำซ่านแสงจันทร์งามผ่านม่านน้ำเสมือนมายา เพื่อระลึกถึงแน่งน้อยปริศนาเหมือนที่ชอบทำทว่าเพียงลืมตาใต้น้ำ แววตาคมปลาบพลันตะลึง ในบ่อน้ำมิใช่มีเพียงเขาหนึ่งเดียว เบื้องหน้ายังมีเงาร่างอรชร ดำน้ำอยู่ในระยะสายตาแม้มีม่านน้ำกางกั้น ทั้งยังมืดสลัว ทว่ายังเห็นความงามพิลาศล้ำ ผิวขาวนวลผ่องส่องประกายเจิดจ้า คล้ายเรืองแสงสีทองรำไรสีทองเรืองรองกระนั้นหรือ?ก้อนเนื้อในอกแกร่งพลันเต้นตึกตัก นึกตระหนกตกใจ แววตื่นตะลึงฉายวาบผ่านม่านตาดำหมิงเฉิงลุกพรวดขึ้นผิวน้ำ จับจ้องไปเบื้องหน้าไม่วางตา เป็นจังหวะเดียวกับสตรีอีกคน ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเช่นกัน“เจ้า! ไยยังอยู่?”“ท่าน! ไยไม่หลับแล้ว?”“...”ทั้งสองตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ดวงตาสองคู่จ้องเขม็ง ปราศจากความสนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าเปิดเผยทุกสิ่งของตนเองและอีกฝ่ายโม๋เอ๋อร์อุทานในใจว่า แย่แ
บนเตียงนอนกว้างลวดลายวิจิตร ปรากฏร่างงามอรชรหยดน้ำเกาะพราวนอนหลับตาพริ้มโม๋เอ๋อร์ถูกหมิงเฉิงอุ้มขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อนในสภาพเปลือยเปล่า ไร้กระทั่งเอี๊ยมบังทรงและกางเกงผ้าชั้นในปกปิด เผยความงดงามพิลาศล้ำเกินพรรณนา เปิดเผยเรือนร่างขาวเนียนละเอียดลออดั่งหยกสลักชั้นยอด เปิดเผยเนินเนื้ออวบอูมเต่งตึงยอดถันชูชันและผิวผ่องนวลเสลาเรียวขางามซ้ายขวา ทั้งเนื้อตัวอมชมพูระเรื่อไปทั่ว ใบหน้าเห่อแดง แต่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกลับซีดเซียวเขียวคล้ำหญิงสาวจมน้ำจริงอย่างไม่น่าเชื่อนางดีใจจนเกินไปที่ได้แช่น้ำพุร้อนใต้แสงเดือนฉายที่ห่างหายมานานหลายปี กักเก็บพลังเทพปีศาจเอาไว้แทบไม่ทันเมื่อหมิงเฉิงลงน้ำมา โม๋เอ๋อร์จึงรีบเก็บปราณเทพจนสิ้น กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาปราศจากกระทั่งลมปราณ เหลือเพียงลมหายใจของสตรีเพศผู้บอบบางอ่อนแอ ก่อนจะกดร่างอ้อนแอ้นดำดิ่งแช่น้ำอย่างดื้อดึงและนานจนเกินไป ความอุ่นสบายที่คิดถึงโอบล้อมเรือนร่างชวนให้ลุ่มหลงเผลอไผล กอปรกับดื่มเหล้าไปหลายจอก แม้ไม่เมามายแต่ก็มึนงงจนง่วงงุนไม่น้อยสุดท้ายก็หลับใหลอยู่ใต้น้ำอย่างไม่น่าให้อภัย...ที่ข้างเตียงนอน...หมิงเฉิงยืนนิ่งพินิจจ้องชายาแห่งตนเงียบเชียบ จ้
แสงอรุณรุ่งมาเยือน เสียงไพเราะเสนาะโสตของเหล่าสกุณาประสานเสียงขับขานดังไปทั่ว บ่งบอกเวลาแห่งเช้าวันใหม่มาเยือนโม๋เอ๋อร์จึงได้สติแล้วตื่นลืมตาในที่สุด นางกลอกตาสำรวจไปทั่วห้องอยู่อึดใจ พบว่าตนเองนอนร่างเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่เพียงผู้เดียว มีผ้าห่มปกปิดให้อย่างดีเมื่อเบนสายตาไปข้างเตียง ไล่มองห่างออกไป จึงเห็นนางกำนัลสามคนยืนหน้าแดงก่ำก้มหน้าหลุบตาคนแรกถือถาดอาภรณ์หรูหรา คนที่สองถือเครื่องประดับละลานตา คนที่สามถืออาหารเช้าหอมกรุ่นชุดชงชาประณีตวิจิตรหญิงสาวให้นึกตกตะลึงมากโข พลันระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา แล้วประมวลทุกสิ่งอย่างระมัดระวังเมื่อคืนสามีของนางมิได้เข้าหอกับนาง แต่พานางมากินอาหารรสเลิศอยู่ค่อนคืน จากนั้นเขาเมาเหล้า นางพาเขาเข้าห้องเพื่อจัดการครอบครองเขา ทว่านางกลับพึงใจในสมบัติของเขา มากกว่าตัวเขาที่เป็นสามีเฮ่อ!โม๋เอ๋อร์รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่สนใจอะไรเยี่ยงนั้นไปเสียได้ สามีของนางช่างน่าเห็นใจที่มีภรรยาเช่นนี้แต่ว่า ทุกสิ่งในห้องของเขาน่าหลงใหลมากๆ นี่นาโดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งนางก็พอจะมองออกว่าเขาหวงแหนบ่อน้ำส่วนตัวนั้นมากมายปานใดของรักของใคร คนผู้นั้นก็ต
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม...โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์แสนวิจิตรก็เยื้องกรายออกจากห้องบรรทมส่วนพระองค์ของรัชทายาท นางเดินนวยนาดแช่มช้อยมาตามทาง กิริยานุ่มนวลสูงส่ง ยกยิ้มปลื้มปริ่มตลอดเวลาเมื่อพ้นหัวมุมเฉลียงก็เห็นเป็นด้านหน้าตำหนักโล่งกว้าง ในครรลองสายตาจึงปรากฏร่างสูงงามสง่าในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายมังกรทองอันน่าเกรงขามของรัชทายาทหมิงเฉิงเขากำลังยืนสนทนากับมหาขันทีเฒ่าหวังกงกง ผู้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทั้งคืน ไม่หลับไม่นอนและทันทีที่เขาผินใบหน้าอันหล่อเหลามามองนาง รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏในครรลองสายตา โม๋เอ๋อร์ถึงกับตาพร่าในบัดดล คนอะไรรูปงามปานศิลาดำ ทั้งทรงพลังแลดูทมิฬตรึงใจเหลือเกินเมื่อเดินมาถึงร่างสูง มือหนาพลันยื่นส่งให้ตรงหน้า หญิงสาวพลันเบิกตาโตมองเหม่อที่ฝ่ามือเขา ชั่วภาวะตะลึงนั้น นางรับรู้เพียงมือนุ่มของตนถูกกอบกุมด้วยมืออุ่นของเขาชั่วครู่ต่อมาชายผู้เป็นสามีก็พานางเดินไปด้วยกันตามทางเดินแผ่นศิลาอย่างแช่มช้า แสงแดดยามเช้าช่างสว่างเจิดจ้า พาม่านตามองเห็นทุกสิ่งเจิดจรัสยิ่งนัก ร่างระหงจึงคล้ายกับล่องลอยอยู่กลางสายหมอก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม่านมายาพรางใจ จริงเท็จเท่าใดล้วนไม่สำคั
ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วทั่วตำหนักบูรพาว่ารัชทายาททรงทุ่มเทเพื่อพระชายาเพียงใด โปรดปรานแค่ไหน กระทั่งได้เข้าบรรทมด้วยกันยังเรือนหลักอย่างคาดไม่ถึง เช้ามายังส่งสายตาให้กันอย่างลึกซึ้งตรงทางเดินเท่านั้นยังไม่พอ พระชายานางน้อยผู้งดงามยังมอบจุมพิตที่ข้างแก้มให้รัชทายาทหนุ่มต่อสายตาข้าราชบริพาร…ภายในห้องโถงโอ่อ่าของเรือนชิงเยว่เบื้องหน้าของบรรดาอนุชายาคือชายาเอกจากสกุลโหวผู้อยู่ในข่าวลือแพร่สะพัดโม๋เอ๋อร์นั่งยกยิ้มหวานฉ่ำลามไปถึงดวงตาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบเสริมข่าวที่มีได้มากโข เรียกสายตาร้อนเร่าที่สุมด้วยเปลวเพลิงแห่งริษยาจากเหล่าอนุชายาทั้งห้องโถงดวงตาที่คล้ายจะพ่นไฟได้ของบรรดาสตรีด้านหน้าไม่อาจสะกิดโสตประสาทของโม๋เอ๋อร์ให้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ด้วยในจิตใจยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าตรงกลางทางเดินหินอ่อนภายใต้แสงแดดเจิดจรัสตรงนั้น หญิงสาวเห็นสามีมองนางนิ่งนาน สายตาคมของเขาจ้องมองนางปานกลืนกิน แน่นอนว่ากำลังหลงเสน่ห์ในความงามของนางอย่างไม่ต้องสงสัยนางจึงถือวิสาสะแห่งความเป็นเจ้าของในตัวเขา ยื่นหน้าหอมแก้มของเขาไปหนึ่งทีอย่างอดใจมิได้ ก่อนจะเดินจากมา เพื่อทำหน้าที่ชายาเอกให้เขาภาย
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น โม๋เอ๋อร์กลับมาพักผ่อนยังเรือนนอนของตนเองอย่างชื่นมื่นทันทีที่เข้าห้องมาก็เห็นหยูเสวี่ยนั่งหน้าแดงก่ำเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ในใจให้นึกสงสัยขึ้นมาจึงถามตามตรง“เจ้าเป็นอะไรหรือ? เป็นไข้หรือไร? ไยหน้าแดงนัก!”หยูเสวี่ยได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นกุมแก้มตนเอง ไม่พูดไม่จา ไม่ตอบคำใดโม๋เอ๋อร์ยิ่งมองยิ่งฉงน กลอกตาไปมา ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยชั่วครู่ต่อมา ผู้ถูกถามพยายามกดเก็บอาการทั้งหลายให้หายไปแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคิดว่าองครักษ์จินเป็นอย่างไร?”ครานี้โม๋เอ๋อร์ยิ่งงุนงงอย่างหนัก องครักษ์จิน! ใครหนอ?หยูเสวี่พลันถอนหายใจปลดปลง เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเห็นใครอยู่ในสายตานอกจากคนที่เห็นความสำคัญโม๋เอ๋อร์มักเป็นเช่นนั้น หยูเสวี่ยย่อมรู้ดี หญิงสาวจึงยังไม่คิดที่จะเล่าอันใดให้โม๋เอ๋อร์ฟัง เพียงระลึกอยู่คนเดียวเงียบๆเมื่อคืนยามที่ต้องยืนมองรัชทายาทกับพระชายาเล่นละครตบตาขันทีส่วนพระองค์ หยูเสวี่ยที่ต้องพิษยังไม่หายสนิท จึงแพ้พ่ายแก่ลมเย็นยามราตรี จนหน้ามืดวูบหลับไปนางได้องครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงแอบช่วยเหลือเอาไว้ เขาพานางไปรักษายังที่พักของเขา เพราะไม่อาจอุ้ม
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย