จวบจนเวลาล่วงเลยจนกลางดึก...
ทั้งสองยังคงนั่งดื่มกินด้วยกันอย่างชื่นมื่น ประหนึ่งคู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปานกลืนกิน
โดยฝ่ายหญิงมีแต่ความมุ่งมาดปรารถนา หวังปีนเตียงชายตรงหน้า ให้กำเนิดทายาทและได้รับความรักใคร่โปรดปราน ผสานกลิ่นอายบุรุษเข้ากับกลิ่นอายสตรี ประสานเลือดเนื้อเชื้อไขให้ก่อเกิดเผ่าพันธุ์หายากสืบไป
นางซ่อนความเจ้าเล่ห์เหลือร้ายเอาไว้ เผยเพียงดวงตาพิสุทธิ์กระจ่างใส หลงใหลสามีล้นเหลือ ออดอ้อนฉอเลาะประหนึ่งดอกหลีฮวาชุ่มฝน
ส่วนฝ่ายชายซ่อนความคิดชั่วร้ายกักเก็บกลิ่นอายอันตรายเอาไว้ยากเย็นทว่ามิดชิด เผยเพียงแววตาอบอุ่น รอยยิ้มมุมปากมากเสน่ห์ให้แก่ภรรยาตน
คนสองคนยังคงดื่มด่ำกับค่ำคืนอันยาวนาน ท่ามกลางบรรยากาศแสนดี มีแสงโคมสีแดงมงคลเป็นใจ กลิ่นดอกไม้ราตรีหอมกรุ่นลอยวนอยู่ในอากาศ
รอบด้านยังเป็นเหล่าบริพารห้อมล้อมรอรับใช้ทว่าตรวจสอบในที โดยมีขันทีเฒ่าจ้องเขม็งไม่วางตา พาให้ขันทีผู้น้อยและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ไม่กล้ากะพริบตา แม้ง่วงมากแต่ยังไม่กล้าสัปหงกแม้จังหวะเดียว
ถัดจากมหาขันที มีบ่าวรับใช้ยืนในตำแหน่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ทว่าห่างออกไปอีกระยะหนึ่ง กลับมีเงาร่างสองสายยืนอยู่อย่างไร้ระเบียบ คล้ายผู้ร้ายซุ่มตามมุมมืดกระนั้น
เงาร่างที่ว่าก็คือหมิงจินในชุดราชองครักษ์ และหยูเสวี่ยในอาภรณ์สาวใช้คนสนิท ทั้งสองแอบมองคู่สามีภรรยาโดยมิได้นัดหมาย โดยหมิงจินอยู่บนต้นไม้ ที่เบื้องล่างลำต้นคือหยูเสวี่ย
ล่วงเข้ายามดึกมากแล้ว แต่ดูเหมือนสองชายหญิงในศาลายังคงต่อสู้กันด้วยละครฉากใหญ่อย่างไม่มีฝ่ายใดออมมือ
หยูเสวี่ยรับรู้ได้เช่นนั้น นางรับรู้ว่ารัชทายาทมิได้เอ็นดูโม๋เอ๋อร์อย่างแท้จริงเลยสักนิด
ถึงแม้ว่าโม๋เอ๋อร์จะเก่งกาจ ทว่าความใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ทำหยูเสวี่ยนึกห่วงใยไม่น้อย
หญิงสาวประคับประคองร่างกายที่อ่อนแรงเฝ้าดูแลสาวใช้คนสนิทกึ่งสหายไม่ผละจาก นางไม่อาจวางใจให้อีกฝ่ายฝ่ามรสุมเพื่อนางอยู่เพียงลำพัง
ยิ่งได้เห็นละครฉากใหญ่ที่แสนจะร้ายกาจของรัชทายาทหนุ่ม ก็ยิ่งกังวลใจแทนโม๋เอ๋อร์ผู้อ่อนต่อโลกยิ่งนัก ชายผู้นี้จะรู้ไหมหนอว่ากำลังทำร้ายสาวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าอยู่
มิใช่เพียงหยูเสวี่ยที่เห็นความจริงได้ฝ่ายเดียว หมิงจินเองก็รู้ได้เช่นกัน ทว่าเขากลับเห็นต่าง
พี่ชายของเขามิใคร่ชอบพอสตรีนางใดอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เนื่องจากมีสตรีที่ปักใจในห้วงฝัน แต่กระนั้นที่แต่งงานเข้ามานับสิบครั้ง ก็เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น กับพระชายาผู้เลอโฉมนางนี้จึงไม่นับว่าเป็นอันใด
ทว่าหลังจากที่เฝ้าพินิจมองดูอยู่เนิ่นนาน หมิงจินกลับพบว่า สตรีข้างกายของพี่ชายในยามนี้ มิได้รับมือได้โดยง่ายสักเท่าใด
กลิ่นอายกดข่มรุนแรงแฝงอันตรายบีบเค้นที่แผ่ทั่วร่างพี่ชาย ไม่อาจทำให้สตรีนางน้อยผู้เป็นชายาสะท้านสะเทือนได้เลยสักครา
เป็นไปได้ว่านางอาจจะโง่เขลาเบาปัญญาจนดูไม่ออก หรืออีกนัยหนึ่งนางดูออกจนเห็นแจ้ง แต่กลับไม่สะทกสะท้านจนน่าหวาดหวั่น
เห็นทีราตรีนี้คงอีกยาวนาน สงครามระหว่างสามีภรรยาบนเส้นทางความรักจอมปลอมคงรัดรึงมิอาจผละจากได้โดยง่าย
หมิงจินรู้สึกห่วงใยพี่ชายผู้มีฉายาพยัคฆ์ร้ายขึ้นมาทันใด
ในขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดตน สายตาคมพลันเหลือบไปเห็นคนสนิทของพระชายาโหวที่เบื้องล่าง
ในครรลองสายตาคู่คมฝ่าความมืดสลัวที่ใต้ต้นไม้
หมิงจินเห็นสาวใช้ผู้มีกิริยาสง่างามนุ่มลึกเกินฐานะ คล้ายพยายามประคองร่างอ่อนแรงเอาไว้สุดกำลัง ใบหน้างดงามซีดขาวราวกับคนป่วย มือเรียวงามยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อตรงหน้าผากมนเบาๆ แล้ววางลงอย่างสำรวมที่ด้านหน้า
กิริยาการกระทำล้วนแช่มช้อยงดงาม สูงส่งโดยธรรมชาติ
ความละมุนละไมเยี่ยงสตรีชั้นสูงแผ่กำจายออกมาแม้อยู่ในมุมมืด
ร่างระหงแม้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่กลับยืนนิ่งอย่างสงบสุขุม ไม่หลุดกิริยาเลยสักเสี้ยวจริตเดียว
ท่าทางของนางเหมือนคุณหนูในห้องหอผู้อ่อนแอมาก ไม่คล้ายสาวใช้เลยสักนิด
หมิงจินยิ่งมองยิ่งเหม่อไม่อาจละสายตาไป
เขามองหยูเสวี่ยอยู่เนิ่นนานคล้ายถูกตรึงโดยไม่รู้ตัว
ที่ใต้ต้นไม้ห่างออกมาจากศาลาริมบึงบัว ยามนี้หยูเสวี่ยเริ่มง่วงงุนเต็มที
แม้ในใจจะยังคงจดจ่ออยู่ที่โม๋เอ๋อร์สุดกำลัง เป็นห่วงอีกฝ่ายหนักหนา ทว่าร่างกายนี้โดนพิษร้ายเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา หลังขับพิษยังพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ ดึกดื่นกระทั่งยามนี้ จึงเริ่มฝืนร่างกายเอาไว้ได้ยากเย็น
ระหงสมส่วนในอาภรณ์สาวใช้เนื้อบาง จึงออกอาการหนาวสะท้าน เนื้อนวลสั่นเทายากระงับ กลีบปากสีชมพูสดเริ่มเม้มแน่น เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพรายรอบวงหน้า สายตาเริ่มพร่ามัว ลำตัวเริ่มเบาหวิวพร้อมปลิดปลิว
ชั่วจังหวะที่ร่างอรชรเริ่มโอนเอน พลันมีมือหนาเอื้อมมาประคองเอาไว้ทันใด หยูเสวี่ยยังไม่ทันได้เหลือบมอง กลับรู้สึกหน้ามืด สติลอยล่อง รอบด้านดับวูบ ปราศจากทุกความรับรู้ไปจนสิ้น
[1] 1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว
ก่อนหน้าที่หมิงเฉิงจะได้สมรสพระราชทานให้แต่งงานกับสตรีสกุลโหวเป็นชายาเอกพี่ชายทั้งสองของเขาก็ได้สมรสพระราชทานกับสตรีสกุลใหญ่มากอำนาจไม่แพ้กันยามนี้พี่ชายของหมิงเฉิงยังขยันสร้างทายาทกันอย่างคึกคัก ในตำหนักยังมีสนมชายามากกว่าตัวเขาที่เป็นรัชทายาทเสียอีกน้ำพระทัยของฮ่องเต้ช่างยากแท้หยั่งถึง ความคิดล้ำลึกยิ่งกว่าก้นบึ้งของมหาสมุทรอันเวิ้งว้างลึกลับ แม้จะทรงให้หมิงเฉิงได้ครอบครองตำแหน่งรัชทายาท ผู้เป็นใต้เพียงหนึ่งแต่เหนือคนนับแสน กระนั้นกลับมอบอำนาจหนุนหลังให้พี่ชายทั้งสองได้อย่างน่าหวั่นเกรง ทั้งยังคานกันได้อย่างน่าชมหมิงเฉิงจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจักต้องผูกไมตรีกับสกุลโหวให้ดี ถึงแม้ในใจจะเบื่อหน่ายอยากหลีกหนีเหลือเกิน หากมิใช่เพื่อหมิงจินผู้เป็นน้องชาย เขาจะย้ายตัวเองไปอยู่ในป่า ตามหาใครบางคนอย่างจริงจังมิรู้ได้ว่า ป่านนี้มีสามีไปแล้วหรือยัง?หรือต่อให้มีแล้ว เขาก็จะฆ่าสามีนาง แล้วฉุดคร่านางมาเป็นภรรยาของตนเองให้จงได้!รัชทายาทหนุ่มครุ่นคิดอย่างชั่วร้ายไม่สร่างซา ขณะกำลังมอมเมาพระชายาของตนอย่างต่อเนื่องประโยคที่ว่า ใบไม้บังตา ไม่เห็นเขาไท่ซาน[1] กำลังเกิดขึ้นกับบุรุษเช่นหมิงเฉิงอย่
ถึงแม้ว่าหมิงเฉิงจะไม่ล่วงรู้ว่าคนงามมีเรี่ยวแรงมหาศาลปานใด หากแต่ท่าทางพร้อมช้อนร่างขึ้นกระนั้นได้อย่างไร!นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ หมายปฏิเสธสตรีข้างกายอย่างเด็ดขาด แล้วส่งสัญญาณสายตาเรียกราชองครักษ์คู่ใจทว่ากลับไร้เงาร่างของหมิงจินที่ควรยืนอยู่ในตำแหน่งประจำเสียแล้ว...เมื่อรับรู้ได้ว่าผิดแผนไปหมด ความหงุดหงิดพลันบังเกิดทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมเคร่งขรึม ซ่อนความเย็นชาเยือกเย็นมิดชิด หาได้มีผู้ใดสัมผัสได้ไม่หมิงเฉิงพลันเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่คิดสลัดคนงามอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม เขาจะพานางไปกำราบในเรือนตน ให้พ้นหูพ้นตาคนนอกเหล่านี้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างสูงจึงโบกมือไล่บรรดาบ่าวรับใช้ให้พากันถอยห่างออกไปไกลตามคำสั่งของพระชายารัชทายาทหนุ่มซึ่งเมามายเพียงลุกขึ้นยืนแสร้งโซเซออกจากเรียวแขนเสลาแล้วเดินเองทว่าโม๋เอ๋อร์ไหนเลยจักปล่อยไปโดยง่าย นางจึงเอื้อมฝ่ามือเล็กนุ่มจับพยุงร่างใหญ่แล้วประคับประคองพากลับเรือนหลักอย่างมีน้ำใจทว่าการถูกสตรีจับประคองย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ หมิงเฉิงจึงตวัดวงแขนออกกว้าง แล้วโอบนางข้างกายเอาไว้แน่น เพื่อเป็นฝ่ายควบค
ห่างออกมาจากศาลาริมสระบัวลึกเข้าไปภายในห้องพักของราชองครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงหมิงจินอาศัยความมืดแห่งราตรี อุ้มร่างระหงที่หมดสติเข้ามาในห้องพักของตนเองโดยสัญชาตญาณ ด้วยไม่อาจอุ้มนางออกไปด้านหน้าเรือนพระชายาจนถูกพบเห็น ซึ่งย่อมจะนำความเสื่อมเสียให้นางหยูเสวี่ยตกอยู่ในอ้อมแขนอุ่นสบายจึงหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว นางแค่ชอบความอบอุ่นนี้ก็เท่านั้นเมื่อถึงเตียงนอน หมิงจินก็วางร่างอรชรลงอย่างแผ่วเบา เห็นนางหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดูก็แค่นั่งเฝ้า จับชีพจรให้นางบางครา เห็นนางมีสัญญาณชีพปกติดีก็เบาใจผ่านไปครึ่งค่อนคืน หมิงจินจึงมีโอกาสได้พิจารณาสตรีนางนี้ให้พิศมองอย่างไร ก็น่าค้นหาผิวพรรณของนางมีสีขาวบริสุทธิ์ทอประกายผุดผาดราวหิมะ นุ่มเนียนละเอียดดุจหยกขาวสลักเนื้อดี สัมผัสที่ได้โอบกอดอ่อนละมุน ทั้งเย็นสบายอย่างประหลาดผิวแก้มนางก็อ่อนนุ่มมาก ทั้งนวลเนียน ทั้งอิ่มน้ำ ยามไล้ปลายนิ้วให้ความรู้สึกดีเหลือเกินยิ่งได้จับมือยิ่งให้รู้สึกนุ่มนิ่มไม่หยาบกร้านเลยสักนิด มองมุมใดไม่คล้ายสาวใช้เลยแม้แต่น้อยฝ่ามือแกร่งไล่สำรวจคนงามบนเตียงนอนอย่างเผลอไผล หมิงจินไม่รู้ตัวเลยว่า เขากำลังล่วงเกินหยูเสว
ร่างสูงย่างกรายก้าวเท้าจากขอบบ่อ ท่อนขาลดต่ำ กดบั้นท้ายแกร่งลงน้ำ ชั่วครู่ก็เหลือเพียงกล้ามหน้าอกหนาแน่นงดงามที่โผล่พ้นผิวน้ำ ใต้คิ้วเรียวยาว ดวงตาดำขลับคมกริบค่อยๆ ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกตาหมิงเฉิงกดตัวเองให้จมดิ่งลงน้ำจนมิดศีรษะ ซึมซับไออุ่นเกือบร้อนของน้ำพุให้โอบรอบกายกำยำ กำซ่านแสงจันทร์งามผ่านม่านน้ำเสมือนมายา เพื่อระลึกถึงแน่งน้อยปริศนาเหมือนที่ชอบทำทว่าเพียงลืมตาใต้น้ำ แววตาคมปลาบพลันตะลึง ในบ่อน้ำมิใช่มีเพียงเขาหนึ่งเดียว เบื้องหน้ายังมีเงาร่างอรชร ดำน้ำอยู่ในระยะสายตาแม้มีม่านน้ำกางกั้น ทั้งยังมืดสลัว ทว่ายังเห็นความงามพิลาศล้ำ ผิวขาวนวลผ่องส่องประกายเจิดจ้า คล้ายเรืองแสงสีทองรำไรสีทองเรืองรองกระนั้นหรือ?ก้อนเนื้อในอกแกร่งพลันเต้นตึกตัก นึกตระหนกตกใจ แววตื่นตะลึงฉายวาบผ่านม่านตาดำหมิงเฉิงลุกพรวดขึ้นผิวน้ำ จับจ้องไปเบื้องหน้าไม่วางตา เป็นจังหวะเดียวกับสตรีอีกคน ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเช่นกัน“เจ้า! ไยยังอยู่?”“ท่าน! ไยไม่หลับแล้ว?”“...”ทั้งสองตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ดวงตาสองคู่จ้องเขม็ง ปราศจากความสนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าเปิดเผยทุกสิ่งของตนเองและอีกฝ่ายโม๋เอ๋อร์อุทานในใจว่า แย่แ
บนเตียงนอนกว้างลวดลายวิจิตร ปรากฏร่างงามอรชรหยดน้ำเกาะพราวนอนหลับตาพริ้มโม๋เอ๋อร์ถูกหมิงเฉิงอุ้มขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อนในสภาพเปลือยเปล่า ไร้กระทั่งเอี๊ยมบังทรงและกางเกงผ้าชั้นในปกปิด เผยความงดงามพิลาศล้ำเกินพรรณนา เปิดเผยเรือนร่างขาวเนียนละเอียดลออดั่งหยกสลักชั้นยอด เปิดเผยเนินเนื้ออวบอูมเต่งตึงยอดถันชูชันและผิวผ่องนวลเสลาเรียวขางามซ้ายขวา ทั้งเนื้อตัวอมชมพูระเรื่อไปทั่ว ใบหน้าเห่อแดง แต่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกลับซีดเซียวเขียวคล้ำหญิงสาวจมน้ำจริงอย่างไม่น่าเชื่อนางดีใจจนเกินไปที่ได้แช่น้ำพุร้อนใต้แสงเดือนฉายที่ห่างหายมานานหลายปี กักเก็บพลังเทพปีศาจเอาไว้แทบไม่ทันเมื่อหมิงเฉิงลงน้ำมา โม๋เอ๋อร์จึงรีบเก็บปราณเทพจนสิ้น กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาปราศจากกระทั่งลมปราณ เหลือเพียงลมหายใจของสตรีเพศผู้บอบบางอ่อนแอ ก่อนจะกดร่างอ้อนแอ้นดำดิ่งแช่น้ำอย่างดื้อดึงและนานจนเกินไป ความอุ่นสบายที่คิดถึงโอบล้อมเรือนร่างชวนให้ลุ่มหลงเผลอไผล กอปรกับดื่มเหล้าไปหลายจอก แม้ไม่เมามายแต่ก็มึนงงจนง่วงงุนไม่น้อยสุดท้ายก็หลับใหลอยู่ใต้น้ำอย่างไม่น่าให้อภัย...ที่ข้างเตียงนอน...หมิงเฉิงยืนนิ่งพินิจจ้องชายาแห่งตนเงียบเชียบ จ้
แสงอรุณรุ่งมาเยือน เสียงไพเราะเสนาะโสตของเหล่าสกุณาประสานเสียงขับขานดังไปทั่ว บ่งบอกเวลาแห่งเช้าวันใหม่มาเยือนโม๋เอ๋อร์จึงได้สติแล้วตื่นลืมตาในที่สุด นางกลอกตาสำรวจไปทั่วห้องอยู่อึดใจ พบว่าตนเองนอนร่างเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่เพียงผู้เดียว มีผ้าห่มปกปิดให้อย่างดีเมื่อเบนสายตาไปข้างเตียง ไล่มองห่างออกไป จึงเห็นนางกำนัลสามคนยืนหน้าแดงก่ำก้มหน้าหลุบตาคนแรกถือถาดอาภรณ์หรูหรา คนที่สองถือเครื่องประดับละลานตา คนที่สามถืออาหารเช้าหอมกรุ่นชุดชงชาประณีตวิจิตรหญิงสาวให้นึกตกตะลึงมากโข พลันระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา แล้วประมวลทุกสิ่งอย่างระมัดระวังเมื่อคืนสามีของนางมิได้เข้าหอกับนาง แต่พานางมากินอาหารรสเลิศอยู่ค่อนคืน จากนั้นเขาเมาเหล้า นางพาเขาเข้าห้องเพื่อจัดการครอบครองเขา ทว่านางกลับพึงใจในสมบัติของเขา มากกว่าตัวเขาที่เป็นสามีเฮ่อ!โม๋เอ๋อร์รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่สนใจอะไรเยี่ยงนั้นไปเสียได้ สามีของนางช่างน่าเห็นใจที่มีภรรยาเช่นนี้แต่ว่า ทุกสิ่งในห้องของเขาน่าหลงใหลมากๆ นี่นาโดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งนางก็พอจะมองออกว่าเขาหวงแหนบ่อน้ำส่วนตัวนั้นมากมายปานใดของรักของใคร คนผู้นั้นก็ต
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม...โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์แสนวิจิตรก็เยื้องกรายออกจากห้องบรรทมส่วนพระองค์ของรัชทายาท นางเดินนวยนาดแช่มช้อยมาตามทาง กิริยานุ่มนวลสูงส่ง ยกยิ้มปลื้มปริ่มตลอดเวลาเมื่อพ้นหัวมุมเฉลียงก็เห็นเป็นด้านหน้าตำหนักโล่งกว้าง ในครรลองสายตาจึงปรากฏร่างสูงงามสง่าในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายมังกรทองอันน่าเกรงขามของรัชทายาทหมิงเฉิงเขากำลังยืนสนทนากับมหาขันทีเฒ่าหวังกงกง ผู้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทั้งคืน ไม่หลับไม่นอนและทันทีที่เขาผินใบหน้าอันหล่อเหลามามองนาง รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏในครรลองสายตา โม๋เอ๋อร์ถึงกับตาพร่าในบัดดล คนอะไรรูปงามปานศิลาดำ ทั้งทรงพลังแลดูทมิฬตรึงใจเหลือเกินเมื่อเดินมาถึงร่างสูง มือหนาพลันยื่นส่งให้ตรงหน้า หญิงสาวพลันเบิกตาโตมองเหม่อที่ฝ่ามือเขา ชั่วภาวะตะลึงนั้น นางรับรู้เพียงมือนุ่มของตนถูกกอบกุมด้วยมืออุ่นของเขาชั่วครู่ต่อมาชายผู้เป็นสามีก็พานางเดินไปด้วยกันตามทางเดินแผ่นศิลาอย่างแช่มช้า แสงแดดยามเช้าช่างสว่างเจิดจ้า พาม่านตามองเห็นทุกสิ่งเจิดจรัสยิ่งนัก ร่างระหงจึงคล้ายกับล่องลอยอยู่กลางสายหมอก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม่านมายาพรางใจ จริงเท็จเท่าใดล้วนไม่สำคั
ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วทั่วตำหนักบูรพาว่ารัชทายาททรงทุ่มเทเพื่อพระชายาเพียงใด โปรดปรานแค่ไหน กระทั่งได้เข้าบรรทมด้วยกันยังเรือนหลักอย่างคาดไม่ถึง เช้ามายังส่งสายตาให้กันอย่างลึกซึ้งตรงทางเดินเท่านั้นยังไม่พอ พระชายานางน้อยผู้งดงามยังมอบจุมพิตที่ข้างแก้มให้รัชทายาทหนุ่มต่อสายตาข้าราชบริพาร…ภายในห้องโถงโอ่อ่าของเรือนชิงเยว่เบื้องหน้าของบรรดาอนุชายาคือชายาเอกจากสกุลโหวผู้อยู่ในข่าวลือแพร่สะพัดโม๋เอ๋อร์นั่งยกยิ้มหวานฉ่ำลามไปถึงดวงตาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบเสริมข่าวที่มีได้มากโข เรียกสายตาร้อนเร่าที่สุมด้วยเปลวเพลิงแห่งริษยาจากเหล่าอนุชายาทั้งห้องโถงดวงตาที่คล้ายจะพ่นไฟได้ของบรรดาสตรีด้านหน้าไม่อาจสะกิดโสตประสาทของโม๋เอ๋อร์ให้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ด้วยในจิตใจยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าตรงกลางทางเดินหินอ่อนภายใต้แสงแดดเจิดจรัสตรงนั้น หญิงสาวเห็นสามีมองนางนิ่งนาน สายตาคมของเขาจ้องมองนางปานกลืนกิน แน่นอนว่ากำลังหลงเสน่ห์ในความงามของนางอย่างไม่ต้องสงสัยนางจึงถือวิสาสะแห่งความเป็นเจ้าของในตัวเขา ยื่นหน้าหอมแก้มของเขาไปหนึ่งทีอย่างอดใจมิได้ ก่อนจะเดินจากมา เพื่อทำหน้าที่ชายาเอกให้เขาภาย
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย