แสงอรุณรุ่งมาเยือน เสียงไพเราะเสนาะโสตของเหล่าสกุณาประสานเสียงขับขานดังไปทั่ว บ่งบอกเวลาแห่งเช้าวันใหม่มาเยือน
โม๋เอ๋อร์จึงได้สติแล้วตื่นลืมตาในที่สุด นางกลอกตาสำรวจไปทั่วห้องอยู่อึดใจ พบว่าตนเองนอนร่างเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่เพียงผู้เดียว มีผ้าห่มปกปิดให้อย่างดี
เมื่อเบนสายตาไปข้างเตียง ไล่มองห่างออกไป จึงเห็นนางกำนัลสามคนยืนหน้าแดงก่ำก้มหน้าหลุบตา
คนแรกถือถาดอาภรณ์หรูหรา คนที่สองถือเครื่องประดับละลานตา คนที่สามถืออาหารเช้าหอมกรุ่นชุดชงชาประณีตวิจิตร
หญิงสาวให้นึกตกตะลึงมากโข พลันระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา แล้วประมวลทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง
เมื่อคืนสามีของนางมิได้เข้าหอกับนาง แต่พานางมากินอาหารรสเลิศอยู่ค่อนคืน จากนั้นเขาเมาเหล้า นางพาเขาเข้าห้องเพื่อจัดการครอบครองเขา ทว่านางกลับพึงใจในสมบัติของเขา มากกว่าตัวเขาที่เป็นสามี
เฮ่อ!
โม๋เอ๋อร์รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่สนใจอะไรเยี่ยงนั้นไปเสียได้ สามีของนางช่างน่าเห็นใจที่มีภรรยาเช่นนี้
แต่ว่า ทุกสิ่งในห้องของเขาน่าหลงใหลมากๆ นี่นา
โดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งนางก็พอจะมองออกว่าเขาหวงแหนบ่อน้ำส่วนตัวนั้นมากมายปานใด
ของรักของใคร คนผู้นั้นก็ต้องขุ่นเคืองใช่หรือไม่?
หลังจากที่นางดื้อดึงแช่น้ำต่อโดยไม่สนใจเขาผู้เป็นเจ้าของ นางกลับจมน้ำเพราะเก็บพลังเทพเอาไว้ดีจนเกินไป
และทั้งๆ ที่เขาโกรธกรุ่นยิ่งนัก แต่กระนั้นเขากลับใจดี ช่วยเหลือนางจากการจมน้ำ
ชั่วจังหวะที่นางกำลังขาดอากาศหายใจ ก็มีมือใหญ่ทะลวงม่านน้ำมาฉุดดึงนาง อุ้มนางด้วยท่อนแขนเปี่ยมพลัง พามานอนบนเตียงอุ่น ห่มผ้าให้ ทั้งยังไม่คิดร้ายหรือระบายโทสะใส่นางยามหลับใหล เขาหาใช่พวกเสือร้ายหมายขย้ำเหยื่อยามเผลอไผลไม่ เช้ามายังมอบของแทนใจมากมาย
ทันใดนั้น ดวงเนตรงามพลันรื้นชื้นไปด้วยม่านน้ำตา โม๋เอ๋อร์รู้สึกปลื้มปริ่มในตัวรัชทายาทหมิงเฉิงเหลือเกิน สำนึกในบุญคุณยิ่งนัก สามีของนางเป็นคนแสนดีจริงๆ
หญิงสาวหลับตาซาบซึ้งแล้วค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าน้อยๆ ยกยิ้มละมุนไปถึงดวงตา อนุญาตให้นางกำนัลเข้ามาปรนนิบัติรับใช้แต่งหน้าแต่งกาย จากนั้นก็กินอาหารเช้าอย่างว่าง่าย ไม่ว่านางกำนัลจะแนะนำสิ่งใดล้วนตอบรับเสียงใส
“โจ๊กถ้วยนี้นอกจากเนื้อที่คัดสรรมาอย่างดียังมีธัญพืชบำรุงสุขภาพด้วยเพคะ” นางกำนัลผู้รับผิดชอบอาหารเช้าเอ่ยอย่างพินอบพิเทา
“อืม...ข้าเชื่อเจ้า” โม๋เอ๋อร์เอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมไมตรี
“ชานี้เป็นชาชั้นเลิศหายาก คัดแยกเฉพาะที่สดใหม่ บำรุงเลือดลมอย่างดีนะเพคะ”
“อืม...ข้าเชื่อเจ้า”
เสียงพูดคุยอ่อนหวานชวนให้บรรยากาศยามเช้าภายในห้องบรรทมของรัชทายาทหมิงเฉิงช่างแสนดียิ่งนัก
ภายในห้องชั้นในแห่งนี้ ที่ไม่เคยมีสตรีนางใดได้รับอนุญาตให้เข้ามาเลยสักครา และลักษณะการนอนหลับสนิทคล้ายสลบในสภาพไร้เรี่ยวแรงไร้อาภรณ์ของพระชายาโหว ทำเอาเหล่านางกำนัลไม่กล้าส่งเสียงรบกวนแม้แต่น้อย ได้แต่ยืนก้มหน้าขวยเขินเกินจะกล่าว สิ่งของพระราชทานจากรัชทายาทยังต้องยืนนิ่ง เกร็งข้อมือเพื่อถือรั้งรออยู่เนิ่นนาน
ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เพื่อปรนนิบัติรับใช้ จึงไม่มีใครกล้ารอช้าให้พระชายาขุ่นเคือง
ทว่ากิริยาของพระชายาเอกในยามนี้ นอกจากจะไม่ถือตนว่าฐานะสูงสุดในตำหนักรัชทายาทและเป็นที่โปรดปรานเหนือใคร ยังไร้ท่าทีหยิ่งยโสถือตัว หรือยกตนว่าสูงส่งเหนือน่านฟ้าแต่อย่างใด เหล่าบ่าวไพร่ให้นึกเปิดหูเปิดตายิ่งนัก
พวกนางชอบพระชายาผู้นี้เสียจริง
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม...โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์แสนวิจิตรก็เยื้องกรายออกจากห้องบรรทมส่วนพระองค์ของรัชทายาท นางเดินนวยนาดแช่มช้อยมาตามทาง กิริยานุ่มนวลสูงส่ง ยกยิ้มปลื้มปริ่มตลอดเวลาเมื่อพ้นหัวมุมเฉลียงก็เห็นเป็นด้านหน้าตำหนักโล่งกว้าง ในครรลองสายตาจึงปรากฏร่างสูงงามสง่าในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายมังกรทองอันน่าเกรงขามของรัชทายาทหมิงเฉิงเขากำลังยืนสนทนากับมหาขันทีเฒ่าหวังกงกง ผู้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทั้งคืน ไม่หลับไม่นอนและทันทีที่เขาผินใบหน้าอันหล่อเหลามามองนาง รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏในครรลองสายตา โม๋เอ๋อร์ถึงกับตาพร่าในบัดดล คนอะไรรูปงามปานศิลาดำ ทั้งทรงพลังแลดูทมิฬตรึงใจเหลือเกินเมื่อเดินมาถึงร่างสูง มือหนาพลันยื่นส่งให้ตรงหน้า หญิงสาวพลันเบิกตาโตมองเหม่อที่ฝ่ามือเขา ชั่วภาวะตะลึงนั้น นางรับรู้เพียงมือนุ่มของตนถูกกอบกุมด้วยมืออุ่นของเขาชั่วครู่ต่อมาชายผู้เป็นสามีก็พานางเดินไปด้วยกันตามทางเดินแผ่นศิลาอย่างแช่มช้า แสงแดดยามเช้าช่างสว่างเจิดจ้า พาม่านตามองเห็นทุกสิ่งเจิดจรัสยิ่งนัก ร่างระหงจึงคล้ายกับล่องลอยอยู่กลางสายหมอก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือม่านมายาพรางใจ จริงเท็จเท่าใดล้วนไม่สำคั
ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วทั่วตำหนักบูรพาว่ารัชทายาททรงทุ่มเทเพื่อพระชายาเพียงใด โปรดปรานแค่ไหน กระทั่งได้เข้าบรรทมด้วยกันยังเรือนหลักอย่างคาดไม่ถึง เช้ามายังส่งสายตาให้กันอย่างลึกซึ้งตรงทางเดินเท่านั้นยังไม่พอ พระชายานางน้อยผู้งดงามยังมอบจุมพิตที่ข้างแก้มให้รัชทายาทหนุ่มต่อสายตาข้าราชบริพาร…ภายในห้องโถงโอ่อ่าของเรือนชิงเยว่เบื้องหน้าของบรรดาอนุชายาคือชายาเอกจากสกุลโหวผู้อยู่ในข่าวลือแพร่สะพัดโม๋เอ๋อร์นั่งยกยิ้มหวานฉ่ำลามไปถึงดวงตาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบเสริมข่าวที่มีได้มากโข เรียกสายตาร้อนเร่าที่สุมด้วยเปลวเพลิงแห่งริษยาจากเหล่าอนุชายาทั้งห้องโถงดวงตาที่คล้ายจะพ่นไฟได้ของบรรดาสตรีด้านหน้าไม่อาจสะกิดโสตประสาทของโม๋เอ๋อร์ให้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ด้วยในจิตใจยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าตรงกลางทางเดินหินอ่อนภายใต้แสงแดดเจิดจรัสตรงนั้น หญิงสาวเห็นสามีมองนางนิ่งนาน สายตาคมของเขาจ้องมองนางปานกลืนกิน แน่นอนว่ากำลังหลงเสน่ห์ในความงามของนางอย่างไม่ต้องสงสัยนางจึงถือวิสาสะแห่งความเป็นเจ้าของในตัวเขา ยื่นหน้าหอมแก้มของเขาไปหนึ่งทีอย่างอดใจมิได้ ก่อนจะเดินจากมา เพื่อทำหน้าที่ชายาเอกให้เขาภาย
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น โม๋เอ๋อร์กลับมาพักผ่อนยังเรือนนอนของตนเองอย่างชื่นมื่นทันทีที่เข้าห้องมาก็เห็นหยูเสวี่ยนั่งหน้าแดงก่ำเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ในใจให้นึกสงสัยขึ้นมาจึงถามตามตรง“เจ้าเป็นอะไรหรือ? เป็นไข้หรือไร? ไยหน้าแดงนัก!”หยูเสวี่ยได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นกุมแก้มตนเอง ไม่พูดไม่จา ไม่ตอบคำใดโม๋เอ๋อร์ยิ่งมองยิ่งฉงน กลอกตาไปมา ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยชั่วครู่ต่อมา ผู้ถูกถามพยายามกดเก็บอาการทั้งหลายให้หายไปแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคิดว่าองครักษ์จินเป็นอย่างไร?”ครานี้โม๋เอ๋อร์ยิ่งงุนงงอย่างหนัก องครักษ์จิน! ใครหนอ?หยูเสวี่พลันถอนหายใจปลดปลง เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยจะเห็นใครอยู่ในสายตานอกจากคนที่เห็นความสำคัญโม๋เอ๋อร์มักเป็นเช่นนั้น หยูเสวี่ยย่อมรู้ดี หญิงสาวจึงยังไม่คิดที่จะเล่าอันใดให้โม๋เอ๋อร์ฟัง เพียงระลึกอยู่คนเดียวเงียบๆเมื่อคืนยามที่ต้องยืนมองรัชทายาทกับพระชายาเล่นละครตบตาขันทีส่วนพระองค์ หยูเสวี่ยที่ต้องพิษยังไม่หายสนิท จึงแพ้พ่ายแก่ลมเย็นยามราตรี จนหน้ามืดวูบหลับไปนางได้องครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงแอบช่วยเหลือเอาไว้ เขาพานางไปรักษายังที่พักของเขา เพราะไม่อาจอุ้ม
หลังจากจัดการอวี่เยียนกับสาวใช้เสี่ยวเถาโดยไร้มลทินอันใด โม๋เอ๋อร์ก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่คิดรังแกผู้ใดอีก เพราะยังไม่มีผู้ใดกล้ามารังแกนางหรือคนของนางวันนี้อากาศยังคงสดใส โม๋เอ๋อร์ในตำแหน่งพระชายาเอกยังคงรับการคารวะจากชายารองและอนุชายาด้วยกิริยาแช่มช้อยท่าทีสุขุมสีหน้าเยือกเย็น พูดคุยกับบรรดาภรรยาของสามีอย่างนุ่มนวลเอาใจใส่โม๋เอ๋อร์แต่งงานเข้าตำหนักบูรพามา นับวันได้ก็วันที่สาม มีสตรีของสามีหายไปสองนาง ที่มิได้มาคารวะน้ำชายามเช้าหนึ่งคือฉีซิ่ว ผู้ถูกคำสั่งกักขังมิให้ออกเรือนด้วยสาเหตุคลุมเครือ และสองคืออวี่เยียนถูกขับออกจากตำหนักไปไม่กลับมา เพราะเจ็บป่วยด้วยสาเหตุไม่แน่ชัดถึงแม้สตรีสองนางที่หายไปจะเป็นคำสั่งเฉียบขาดของ รัชทายาทหมิงเฉิง หาได้เกี่ยวข้องกับพระชายาเอกไม่แต่ทว่ามิรู้เพราะอันใด บรรดาชายาทั้งหลายถึงรู้สึกอยู่ในอกลึกๆ อย่างสามัคคี ว่าไม่อาจดูเบาชายาเอกได้ ดูเถิด...นางแต่งเข้าตำหนักบูรพาได้เพียงสองวัน อนุชายาหายไปสองคน วันนี้เป็นวันที่สาม หวังว่าคงไม่มีผู้ใดถูกลงดาบอีกหรอกนาแววตาพรั่นพรึงระคนคลางแคลงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโฉมสะคราญครบทุกคน โม๋เอ๋อร์หาได้สนใจ นางยังคงเอ่ยคำด้วยน้ำ
ชั่วครู่ต่อมา...เมื่อเจ้านายทั้งสองหายลับเข้าไปในรถม้าส่วนพระองค์ สำหรับเดินทางเฉพาะภายในพระราชวังต้าหมิงอันกว้างใหญ่ ที่ไม่อาจใช้เพียงเกี้ยวคนแบกหามได้ไหว ขบวนทั้งหมดจึงได้เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ม้าตัวไม่เล็กไม่ใหญ่วิ่งเหยาะกำลังดี หาได้เร่งรีบแต่อย่างใดหยูเสวี่ยและหมิงจินในตำแหน่งคนสนิทของเจ้านายแต่ละฝ่าย จึงได้มีโอกาสเดินตามหลังรถม้าท่ามกลางบรรยากาศเป็นใจ ได้พูดคุยกันบ้าง มองตากันบ้าง ไปจนตลอดทางในสายตาของหยูเสยี่ย นางเห็นแจ้งชัดเจน ว่ารัชทายาทช่างไร้ใจได้อย่างถึงที่สุด ปฏิบัติกับโม๋เอ๋อร์อย่างเย็นชายิ่งนักหากนางยังไม่คิดการณ์ช่วยเหลืออันใดเลย แล้วเมื่อไหร่นางจะวางใจปล่อยโม๋เอ๋อร์เอาไว้ แล้วจากไปเพื่อตามหารักแท้ ผู้เป็นสามีของตนเองในภายภาคหน้าได้บ้างกันเมื่อหญิงสาวคิดเช่นนั้น จึงช้อนสายตามองราชองครักษ์คนสนิทของรัชทายาททันที เพราะว่าเขาคือตัวช่วยคนสำคัญในภารกิจพิชิตใจนี้!ในขณะที่หยูเสวี่ยกำลังคิดการณ์ใหญ่ หมิงจินเองก็กำลังคิดการณ์มิได้ด้อยไปกว่า เขาคิดว่าหยูเสวี่ยน่าสนใจลักษณะท่าทางของนางที่เขามองเห็นจากสายตาอันแหลมคม ล้วนบ่งบอกเขาได้เป็นอย่างดีว่านางสามารถเป็นเจ้านายชั้นสู
ภายในรถม้าที่มีเพียงสองสามีภรรยานั่งบนตั่งคนละมุมประหนึ่งเป็นศัตรูกันโม๋เอ๋อร์ย่อมรู้กาลเทศะไม่คิดรบกวน หากอีกฝ่ายทำกิริยาห่างเหินเช่นนั้นนางจึงหันไปสนใจขนมน่ากินและน้ำชาร้อนกรุ่นมากกว่าสามีผู้หล่อเหลาหญิงสาวนั่งกินขนมและจิบชาอยู่เงียบๆ บางครายังแอบเปิดผ้าม่านตรงหน้าต่างรถม้าเพื่อมองดูทิวทัศน์ด้านนอกทันทีที่ภาพเบื้องหน้าเข้าสู่ครรลองสายตา โม๋เอ๋อร์พลันตื่นตะลึง พระราชวังต้าหมิงแห่งนี้นับได้ว่าใหญ่โตยิ่งนัก งดงามมากด้วย อลังการเหลือเกิน มีตำหนักมากมายปลูกสร้างเอาไว้อย่างประณีตและวิจิตรตระการตา ประหนึ่งดั่งกำลังเดินทางท่ามกลางสรวงสวรรค์ชั้นฟ้ากระนั้นโม๋เอ๋อร์กำลังรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้ออกมาข้างนอก ได้เปิดหูเปิดตาให้กว้างขวาง ได้เห็นอะไรๆ งดงามละลานตาเนื่องจากตลอดเวลาที่อยู่จวนโหว นางต้องอยู่แต่ในเรือน ถูกซุกซ่อนเก็บตัวประหนึ่งไข่ในหิน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นอะไรเช่นนี้สาวน้อยเบิกตากลมโตสดใส ทอประกายพร่างพราวราวดวงดาวระยิบระยับ นางสูดปากจิจ๊ะชอบใจส่งเสียงเสียวซ่านแปลกประหลาดเร้าใจคนฟังโดยไม่รู้ตัวเท่านั้นยังไม่พอ ร่างระหงนุ่มนิ่มยังยักย้ายบั้นท้ายไปมา เพื่อเอื้อมมือเปิ
“หากเจ้าทำตัวดีๆ ย่อมเป็นคนของข้าโดยสมบูรณ์”เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงแว่วหวานจึงดังมาอีกครา“สามีควรอนุญาตให้ภรรยามีครัวในเรือนของตนเองนะ ภรรยารู้สึกกลัวเหลือเกิน นี่คือการปกป้องได้ทางหนึ่ง”จบคำก็กะพริบตาเบาๆ เอียงหน้าน้อยๆ แลดูน่ารักน่าชัง แล้วกินขนมจิบชาต่อ ปราศจากวี่แววขลาดกลัวดั่งวาจาอีกคราที่หมิงเฉิงต้องหรี่ตามองพระชายา เขาไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่านางเป็นคนขลาดเขลาอย่างที่กล่าวมา ตรงกันข้ามกลับฉลาดเฉียบคมไม่เบา ทั้งยังเจ้าเล่ห์อีกด้วยแต่กระนั้นเขากลับเอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ตามใจเจ้า...” หลุดปากไปแล้วก็ให้นึกแปลกใจ ว่าเหตุใดเขาถึงไม่คิดขัดใจนางเมื่อได้ยินคำอนุญาต โม๋เอ๋อร์ให้รู้สึกดีใจยิ่งนัก นางจึงนั่งแย้มยิ้มงดงาม สดใสมีชีวิตชีวา ส่งสายตาพราวระยับให้สามีอีกคราที่หมิงเฉิงเลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าบึ้งตึงดำมืด แต่กลับมองนางอย่างมิอาจวางตาโดยไม่รู้ตัวดวงเนตรงามดั่งดาราสะท้อนวารี งามสะอาดพิสุทธิ์สดใส จนผู้มองรู้สึกวาบหวามในใจ ใครได้ยลคงรู้สึกเช่นเดียวกันเนิ่นนานทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะถอนสายตากลับคืนได้สำเร็จ แล้วผินใบหน้าหนีเพื่อหลับตาต่อ แต่กระนั้นกลับมีมือน้อยๆ เอื้อมมากระตุกแขนเสื
รูปโฉมโดดเด่น กอปรกับท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ต่อให้หัวใจเย็นชาปานใด ก็ต้องละลายนี่คือคำจำกัดความอันเป็นเอกลักษณ์ของโม๋เอ๋อร์ โดยที่ตัวของนางเองก็หาได้รู้ตัวไม่ มีเพียงผู้อื่นเท่านั้นที่รู้สึกได้เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าโม๋เอ๋อร์เป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าสะคราญโฉมพิลาศล้ำอย่างแท้จริงทั้งนี้ยังมีนิสัยน่ารัก ปราศจากการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม คิดสิ่งใดก็พูดออกมาตรงๆน้ำเสียงยังอ่อนโยนหวานใส ยามออดอ้อนยิ่งเย้ายวนใจดวงตากลมโตดั่งดวงดาราตกกระทบผิวธารายามตะวันแผดแสงจ้า ยิ่งรบกวนห้วงอารมณ์ สร้างความหงุดหงิดมากมายมหาศาลแก่ผู้จ้องมองนางในยามนี้เป็นอย่างมากหมิงเฉิงที่เผลอลืมตาขึ้นมองนางถึงกับต้องหรี่ตาลงทันใด รู้สึกแสบตาเล็กน้อยยามพินิจนางอย่างเผลอไผล ในหัวใจคล้ายมีมดไต่ไปมาให้รู้สึกคันยุบยิบบางเบาตัวของโม๋เอ๋อร์เองในยามนี้ก็พลั้งเผลอเช่นกัน นางกำลังลืมเสียสิ้นว่าต้องเก็บอาการใดๆ ที่เสียจริตมารยา ลืมกระทั่งว่าต้องทำตัวเจ้าเล่ห์ร่ายเสน่หามนต์มารให้มากเข้าไว้ เพื่อโปรยเสน่ห์ใส่ชายข้างกายผู้เป็นสามีหญิงสาวในยามนี้คิดถึงแต่บ่อน้ำพุร้อนในห้องนอนของชายหนุ่ม ความอุ่นร้อนของน้ำทั้งบ่อ
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย