หญิงสาวรีบขยับกายระเหิดระหงเดินตามแผ่นหลังกว้างด้วยใจไม่คิดจะยอมแพ้ ไม่สนใจกระทั่งบ่าวรับใช้ที่เดินขบวนติดตามเป็นพรวน
“ท่านควรเข้าหอกับข้าได้แล้ว”
นางกระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ตรงแผ่นหลังผู้เป็นสามี ก่อนจะรีบสืบเท้าขึ้นเคียงข้างไหล่หนา พร้อมส่งสายตากดดันเข้มข้น จนเรียวคิ้วเข้มของผู้ฟังถึงกับกระตุกเล็กน้อย
ปลายเท้าใหญ่ของหมิงเฉิงหยุดกึกทันใด สายตาคมดำหรี่เล็กแคบยามปรายมองผู้พูดด้วยประกายสังหารแวบหนึ่ง
เมื่อคนตัวโตหยุดเดิน คนตัวเล็กจึงหยุดตาม ยังผลให้รูปขบวนบริวารหยุดเท้ากันทั้งหมด
บรรดาบ่าวไพร่เอาแต่ก้มหน้าหลุบตามองเม็ดดินใต้แสงจันทร์เพ็ญไม่กล้าเงยเลยสักคน
มีเพียงหยูเสวี่ยที่แอบเดินตามมาในระยะสายตา ต้องลอบชำเลืองมองโม๋เอ๋อร์อย่างเป็นห่วงเหลือเกิน
พระชายาโปรดเก็บอาการหน่อยเพคะ!
หมิงเฉิงอยากจะหัวเราะเย้ยหยันให้เต็มเสียงสักครา
ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าพระชายานางนี้จะอยากขึ้นเตียงกับเขาจนไม่อาจเก็บข่มอารมณ์อันใด มิอาจเก็บได้กระทั่งอาการกะสันด้วยการเปล่งวาจาน่าอาย
แน่นอนว่าหมิงเฉิงเจอมามากมายนัก กับสตรีที่ต้องการปีนเตียงของเขา และสตรีทุกนางล้วนแล้วแต่ร่ายมารยาเพื่อหวังจะมัดใจเขาให้ลุ่มหลงต่างๆ นานา
เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของเหล่าสตรีมิใช่ว่ารัชทายาทหนุ่มจะไม่เคยเจอ แต่ตรงกันข้าม เขาเจอมาแล้วจนนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ยังไม่ทันแตกเนื้อหนุ่มด้วยซ้ำ จักนับประสาอันใดกับสตรี ผู้เป็นพระชายาที่พยายามโปรยเสน่ห์ให้เขาอย่างเต็มที่ในยามนี้
ทว่าสายตาคมพลันปรากฏแววชะงักงันวูบผ่าน เมื่อคนงามสะกิดแขนยิกๆ กระซิบอีกประโยคว่า
“ข้าอยากเข้าหอกับท่านใจจะขาดแล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาแฝงแววเยาะหยันผุดวูบหนึ่ง
วาจากดดันให้เข้าหอแบบตรงไปตรงมาคืออันใด?
หมิงเฉิงหมุนกายสูงเข้าหาพระชายาของตนช้าๆ แล้วเอื้อมมือกระชับเสื้อคลุมที่ลำคอนางด้วยท่าทางนุ่มนวลใส่ใจ
แต่สายตากลับจ้องมองด้วยความหมายพร้อมสังหารพลางก้มหน้าคล้ายจะหอมแก้มนุ่มแต่กลับกระซิบเสียงต่ำว่า
หากพูดอีกประโยคเดียว ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายเสีย...
อีกคราที่โม๋เอ๋อร์ต้องเงยหน้ามองสามีตาปริบๆ รู้สึกร้อนวาบที่แก้มตน แต่กระนั้นก็ยังเข้าใจความนัยทางสายตาคมกล้าได้ไม่ยาก เพราะเขาจับเชือกที่ลำคอนางแล้วกระชับเสียแรงประหนึ่งจะผูกคอนางให้แดดิ้นเสียตรงนี้
มิคาดว่าสามีจะหยอกล้อภรรยาได้รุนแรงเหลือเกิน...
เมื่อคิดเช่นนั้น รอยยิ้มงดงามพลันปรากฏ โม๋เอ๋อร์เหยียดมุมปากยกโค้งอย่างนึกสนุก ดวงตากลมโตสุกใสส่องประกายแวววาวดุจดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนเดือนมืด แม้แต่แสงจันทร์ในยามนี้ยังไม่อาจสุกสกาวเทียบเท่าได้
อีกครั้งที่หางคิ้วของหมิงเฉิงต้องกระตุกวูบ รู้สึกแสบตาวาบโดยไม่คาดคิด ด้วยเสน่หาปานมนตราไร้สิ้นสุดของอีกฝ่าย
โม๋เอ๋อร์ยืดตัวขึ้นแล้วกระซิบกระซาบที่ข้างหูของชายตรงหน้า พ่นลมอุ่นร้อนหอมกรุ่นใส่ติ่งหูเฉียดใบหน้าสามีว่า
“ข้าอยากสร้างทายาทกับท่าน”
“...”
หญิงสาวแจ้งความมุ่งมาดปรารถนาของตนออกไปตามตรงอย่างใสซื่อไร้เดียงสา นางบอกเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ รอยยิ้มที่ส่งให้ก็สัตย์ซื่อเช่นกัน
ถึงแม้จะรู้สึกเสียวซ่านเกินยับยั้ง เมื่อคนงามพ่นลมร้อนใส่ใบหูซึ่งเป็นจุดอ่อนไหว ทว่าหมิงเฉิงกลับยกมุมปากเหยียดหยันที่ฉาบทับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไม ก้มหน้าถามนางเสียงทุ้มเบาว่า
“อยากเข้าหอกับข้าปานนั้นเชียว”
โม๋เอ๋อร์พยักหน้ายอมรับ ช้อนตามองหยาดเยิ้มชวนเคลิบเคลิ้มยิ่ง
หมิงเฉิงคลี่ยิ้มกว้างแล้วก้มหน้าต่ำอีกนิดกระซิบเสียงเบา
“ฝันไปเถิด”
“...”
หญิงสาวหุบยิ้มโดยพลันแล้วทำปากยื่นหน้ายู่ยับย่น รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
บ่มเพาะก็แล้ว แต่งงานก็แล้ว เหตุใดการสมสู่กับสามีถึงได้ยากเย็นเหลือเกิน หนทางการเป็นมนุษย์เพศเมียช่างยากเย็น
นางบ่นยาวเหยียดในใจ ปล่อยสีหน้าตามธรรมชาติได้น่ารักเป็นอย่างมาก
ท่ามกลางแสงสีนวลของดวงจันทร์ที่สาดส่อง ตรงกลางทางเดินระหว่างตำหนัก รัชทายาทหนุ่มจ้องมองคนงามผู้เป็นชายาด้วยสายตาฉงน
เรียวคิ้วคมถึงกับขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อนางตรงหน้าทำกิริยาคล้ายเด็กน้อย ความอ่อนใสไร้เดียงสาแผ่ซ่านไปทั่วร่างนางให้ได้เห็น เสน่ห์รัญจวนใจผสานความสดใสตามธรรมชาติได้อย่างลงตัว
หมิงเฉิงจึงหรี่ตา คิดในใจว่าควรทำข้อตกลงกับนาง อย่างน้อยต้องสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดกว่านี้
และต้องไม่ทำกิริยาน่ารักเด็ดขาด!
“สำรวมหน่อย” เขาเตือนเสียงต่ำหรี่ตามองอย่างตำหนิ ทว่าในหัวใจกลับคันยุบยิบอย่างไม่อาจควบคุม
บรรดาบ่าวรับใช้แม้จะก้มหน้าทว่าสายตายังแอบชำเลืองมองและเงี่ยหูฟังเจ้านายคุยกันอย่างใคร่รู้เป็นที่สุด ประหนึ่งไม่กลัวโทษทัณฑ์แม้แต่น้อย
โม๋เอ๋อร์รับรู้ได้ไม่ยากถึงสายตาประหนึ่งสายลับคอยจับผิดของเหล่าข้าราชบริพาร นางย่อมเชื่อฟัง รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยืดตัวเชิดคางเล็กน้อยตามจริตที่พึงมี
หญิงสาวหาใช้สตรีดื้อดึงหรือหัวรั้น แต่ตรงกันข้าม นางเป็นคนหัวอ่อน ยากหาใครเปรียบ
ชั่วขณะนั้น หมิงเฉิงรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาบางเบา เมื่อมองเห็นกิริยาว่าง่ายของคนงามผู้เป็นชายา จึงเอื้อมวงแขนโอบรอบไหล่บาง แล้วพาเดินไปตามทางเกล็ดศิลาด้วยท่าทางรักใคร่โปรดปรานเป็นอย่างมากต่อสายตาบริวารรายรอบ
ผู้ถูกความร้อนอุ่นโอบล้อมรอบกายพลันเบิกตากว้าง รู้สึกแปลกประหลาดไม่ทราบอาการ ยิ่งถูกฝ่ามือใหญ่วงแขนแกร่งเสื้อผ้าเสียดสีเนื้อสัมผัสเนื้อผ่านอาภรณ์ชั้นดี ยิ่งสร้างความรู้สึกอุ่นซ่านแล่นพล่านไปทั่วร่างบาง
ไยนางรู้สึกดี?
โม๋เอ๋อร์เดินตามเจ้าของกล้ามแขนอย่างเหม่อลอย
ยามนี้นางถูกมนุษย์เพศผู้ล่อลวงเข้าให้แล้ว...
หมิงเฉิงพาโม๋เอ๋อร์เดินมาตามทางได้ระยะหนึ่งหางตาคมกริบของเขาลอบมองไปทางศาลาริมบึงบัว ซึ่งมีบรรดาบ่าวรับใช้จากตำหนักส่วนพระองค์ฮ่องเต้และขันทีเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ ที่ถูกส่งมาพร้อมอาหารมื้อค่ำพระราชทาน เพื่อสอดส่องเขากับพระชายาเอกจากตระกูลโหวโดยเฉพาะเป็นความจริงที่ว่า การสร้างความระหองระแหงกับพระชายาจากตระกูลใหญ่ มิใช่การกระทำที่ฉลาดนักนั่นคือสาเหตุที่รัชทายาทหมิงเฉิงต้องลงทุนเดินทางไปรับพระชายาด้วยตนเองถึงเรือนชิงเยว่ พร้อมทั้งต้องแสดงท่าทีว่าโปรดปรานรักใคร่ทะนุถนอมอีกฝ่ายเพื่อตบตาข้าราชบริพารเรื่องนี้โม๋เอ๋อร์หาได้รับรู้อันใดไม่ นางจึงคลี่ยิ้มงดงาม รู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับสามีที่ประคองนางให้เดินไปในศาลา รับรู้เพียงฝ่ามืออุ่นหนาและไอร้อนจากกายแกร่งที่อบอุ่นไม่ต่างจากบิดาผู้ล่วงลับ นางซึมซับความรู้สึกดีเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มองเห็นอาหารหน้าตาน่ากินเต็มไปหมด!ดวงตาคู่งามพลันสว่างวาบอย่างไม่อาจควบคุมได้เรื่องนี้น่ายินดียิ่งกว่าการเข้าหอกับสามีเสียอีก!แสงโคมสีแดงมงคลประหนึ่งยกห้องหอในงานแต่งงานเมื่อคืนวาน มาวางเอาไว้ในศาลาริมบึงคืนนี้อาหารก็เช่นกัน ทุกจานล้วนมงคล จะแตกต่างก็ตรงที
จวบจนเวลาล่วงเลยจนกลางดึก...ทั้งสองยังคงนั่งดื่มกินด้วยกันอย่างชื่นมื่น ประหนึ่งคู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปานกลืนกินโดยฝ่ายหญิงมีแต่ความมุ่งมาดปรารถนา หวังปีนเตียงชายตรงหน้า ให้กำเนิดทายาทและได้รับความรักใคร่โปรดปราน ผสานกลิ่นอายบุรุษเข้ากับกลิ่นอายสตรี ประสานเลือดเนื้อเชื้อไขให้ก่อเกิดเผ่าพันธุ์หายากสืบไปนางซ่อนความเจ้าเล่ห์เหลือร้ายเอาไว้ เผยเพียงดวงตาพิสุทธิ์กระจ่างใส หลงใหลสามีล้นเหลือ ออดอ้อนฉอเลาะประหนึ่งดอกหลีฮวาชุ่มฝนส่วนฝ่ายชายซ่อนความคิดชั่วร้ายกักเก็บกลิ่นอายอันตรายเอาไว้ยากเย็นทว่ามิดชิด เผยเพียงแววตาอบอุ่น รอยยิ้มมุมปากมากเสน่ห์ให้แก่ภรรยาตนคนสองคนยังคงดื่มด่ำกับค่ำคืนอันยาวนาน ท่ามกลางบรรยากาศแสนดี มีแสงโคมสีแดงมงคลเป็นใจ กลิ่นดอกไม้ราตรีหอมกรุ่นลอยวนอยู่ในอากาศรอบด้านยังเป็นเหล่าบริพารห้อมล้อมรอรับใช้ทว่าตรวจสอบในที โดยมีขันทีเฒ่าจ้องเขม็งไม่วางตา พาให้ขันทีผู้น้อยและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ไม่กล้ากะพริบตา แม้ง่วงมากแต่ยังไม่กล้าสัปหงกแม้จังหวะเดียวถัดจากมหาขันที มีบ่าวรับใช้ยืนในตำแหน่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ทว่าห่างออกไปอีกระยะหนึ่ง กลับมีเงาร่างสองสายยืนอยู่อย่างไร้ระเบ
ก่อนหน้าที่หมิงเฉิงจะได้สมรสพระราชทานให้แต่งงานกับสตรีสกุลโหวเป็นชายาเอกพี่ชายทั้งสองของเขาก็ได้สมรสพระราชทานกับสตรีสกุลใหญ่มากอำนาจไม่แพ้กันยามนี้พี่ชายของหมิงเฉิงยังขยันสร้างทายาทกันอย่างคึกคัก ในตำหนักยังมีสนมชายามากกว่าตัวเขาที่เป็นรัชทายาทเสียอีกน้ำพระทัยของฮ่องเต้ช่างยากแท้หยั่งถึง ความคิดล้ำลึกยิ่งกว่าก้นบึ้งของมหาสมุทรอันเวิ้งว้างลึกลับ แม้จะทรงให้หมิงเฉิงได้ครอบครองตำแหน่งรัชทายาท ผู้เป็นใต้เพียงหนึ่งแต่เหนือคนนับแสน กระนั้นกลับมอบอำนาจหนุนหลังให้พี่ชายทั้งสองได้อย่างน่าหวั่นเกรง ทั้งยังคานกันได้อย่างน่าชมหมิงเฉิงจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจักต้องผูกไมตรีกับสกุลโหวให้ดี ถึงแม้ในใจจะเบื่อหน่ายอยากหลีกหนีเหลือเกิน หากมิใช่เพื่อหมิงจินผู้เป็นน้องชาย เขาจะย้ายตัวเองไปอยู่ในป่า ตามหาใครบางคนอย่างจริงจังมิรู้ได้ว่า ป่านนี้มีสามีไปแล้วหรือยัง?หรือต่อให้มีแล้ว เขาก็จะฆ่าสามีนาง แล้วฉุดคร่านางมาเป็นภรรยาของตนเองให้จงได้!รัชทายาทหนุ่มครุ่นคิดอย่างชั่วร้ายไม่สร่างซา ขณะกำลังมอมเมาพระชายาของตนอย่างต่อเนื่องประโยคที่ว่า ใบไม้บังตา ไม่เห็นเขาไท่ซาน[1] กำลังเกิดขึ้นกับบุรุษเช่นหมิงเฉิงอย่
ถึงแม้ว่าหมิงเฉิงจะไม่ล่วงรู้ว่าคนงามมีเรี่ยวแรงมหาศาลปานใด หากแต่ท่าทางพร้อมช้อนร่างขึ้นกระนั้นได้อย่างไร!นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ หมายปฏิเสธสตรีข้างกายอย่างเด็ดขาด แล้วส่งสัญญาณสายตาเรียกราชองครักษ์คู่ใจทว่ากลับไร้เงาร่างของหมิงจินที่ควรยืนอยู่ในตำแหน่งประจำเสียแล้ว...เมื่อรับรู้ได้ว่าผิดแผนไปหมด ความหงุดหงิดพลันบังเกิดทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมเคร่งขรึม ซ่อนความเย็นชาเยือกเย็นมิดชิด หาได้มีผู้ใดสัมผัสได้ไม่หมิงเฉิงพลันเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่คิดสลัดคนงามอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม เขาจะพานางไปกำราบในเรือนตน ให้พ้นหูพ้นตาคนนอกเหล่านี้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างสูงจึงโบกมือไล่บรรดาบ่าวรับใช้ให้พากันถอยห่างออกไปไกลตามคำสั่งของพระชายารัชทายาทหนุ่มซึ่งเมามายเพียงลุกขึ้นยืนแสร้งโซเซออกจากเรียวแขนเสลาแล้วเดินเองทว่าโม๋เอ๋อร์ไหนเลยจักปล่อยไปโดยง่าย นางจึงเอื้อมฝ่ามือเล็กนุ่มจับพยุงร่างใหญ่แล้วประคับประคองพากลับเรือนหลักอย่างมีน้ำใจทว่าการถูกสตรีจับประคองย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ หมิงเฉิงจึงตวัดวงแขนออกกว้าง แล้วโอบนางข้างกายเอาไว้แน่น เพื่อเป็นฝ่ายควบค
ห่างออกมาจากศาลาริมสระบัวลึกเข้าไปภายในห้องพักของราชองครักษ์คนสนิทของรัชทายาทหมิงเฉิงหมิงจินอาศัยความมืดแห่งราตรี อุ้มร่างระหงที่หมดสติเข้ามาในห้องพักของตนเองโดยสัญชาตญาณ ด้วยไม่อาจอุ้มนางออกไปด้านหน้าเรือนพระชายาจนถูกพบเห็น ซึ่งย่อมจะนำความเสื่อมเสียให้นางหยูเสวี่ยตกอยู่ในอ้อมแขนอุ่นสบายจึงหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว นางแค่ชอบความอบอุ่นนี้ก็เท่านั้นเมื่อถึงเตียงนอน หมิงจินก็วางร่างอรชรลงอย่างแผ่วเบา เห็นนางหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดูก็แค่นั่งเฝ้า จับชีพจรให้นางบางครา เห็นนางมีสัญญาณชีพปกติดีก็เบาใจผ่านไปครึ่งค่อนคืน หมิงจินจึงมีโอกาสได้พิจารณาสตรีนางนี้ให้พิศมองอย่างไร ก็น่าค้นหาผิวพรรณของนางมีสีขาวบริสุทธิ์ทอประกายผุดผาดราวหิมะ นุ่มเนียนละเอียดดุจหยกขาวสลักเนื้อดี สัมผัสที่ได้โอบกอดอ่อนละมุน ทั้งเย็นสบายอย่างประหลาดผิวแก้มนางก็อ่อนนุ่มมาก ทั้งนวลเนียน ทั้งอิ่มน้ำ ยามไล้ปลายนิ้วให้ความรู้สึกดีเหลือเกินยิ่งได้จับมือยิ่งให้รู้สึกนุ่มนิ่มไม่หยาบกร้านเลยสักนิด มองมุมใดไม่คล้ายสาวใช้เลยแม้แต่น้อยฝ่ามือแกร่งไล่สำรวจคนงามบนเตียงนอนอย่างเผลอไผล หมิงจินไม่รู้ตัวเลยว่า เขากำลังล่วงเกินหยูเสว
ร่างสูงย่างกรายก้าวเท้าจากขอบบ่อ ท่อนขาลดต่ำ กดบั้นท้ายแกร่งลงน้ำ ชั่วครู่ก็เหลือเพียงกล้ามหน้าอกหนาแน่นงดงามที่โผล่พ้นผิวน้ำ ใต้คิ้วเรียวยาว ดวงตาดำขลับคมกริบค่อยๆ ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกตาหมิงเฉิงกดตัวเองให้จมดิ่งลงน้ำจนมิดศีรษะ ซึมซับไออุ่นเกือบร้อนของน้ำพุให้โอบรอบกายกำยำ กำซ่านแสงจันทร์งามผ่านม่านน้ำเสมือนมายา เพื่อระลึกถึงแน่งน้อยปริศนาเหมือนที่ชอบทำทว่าเพียงลืมตาใต้น้ำ แววตาคมปลาบพลันตะลึง ในบ่อน้ำมิใช่มีเพียงเขาหนึ่งเดียว เบื้องหน้ายังมีเงาร่างอรชร ดำน้ำอยู่ในระยะสายตาแม้มีม่านน้ำกางกั้น ทั้งยังมืดสลัว ทว่ายังเห็นความงามพิลาศล้ำ ผิวขาวนวลผ่องส่องประกายเจิดจ้า คล้ายเรืองแสงสีทองรำไรสีทองเรืองรองกระนั้นหรือ?ก้อนเนื้อในอกแกร่งพลันเต้นตึกตัก นึกตระหนกตกใจ แววตื่นตะลึงฉายวาบผ่านม่านตาดำหมิงเฉิงลุกพรวดขึ้นผิวน้ำ จับจ้องไปเบื้องหน้าไม่วางตา เป็นจังหวะเดียวกับสตรีอีกคน ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเช่นกัน“เจ้า! ไยยังอยู่?”“ท่าน! ไยไม่หลับแล้ว?”“...”ทั้งสองตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ดวงตาสองคู่จ้องเขม็ง ปราศจากความสนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าเปิดเผยทุกสิ่งของตนเองและอีกฝ่ายโม๋เอ๋อร์อุทานในใจว่า แย่แ
บนเตียงนอนกว้างลวดลายวิจิตร ปรากฏร่างงามอรชรหยดน้ำเกาะพราวนอนหลับตาพริ้มโม๋เอ๋อร์ถูกหมิงเฉิงอุ้มขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อนในสภาพเปลือยเปล่า ไร้กระทั่งเอี๊ยมบังทรงและกางเกงผ้าชั้นในปกปิด เผยความงดงามพิลาศล้ำเกินพรรณนา เปิดเผยเรือนร่างขาวเนียนละเอียดลออดั่งหยกสลักชั้นยอด เปิดเผยเนินเนื้ออวบอูมเต่งตึงยอดถันชูชันและผิวผ่องนวลเสลาเรียวขางามซ้ายขวา ทั้งเนื้อตัวอมชมพูระเรื่อไปทั่ว ใบหน้าเห่อแดง แต่ริมฝีปากจิ้มลิ้มกลับซีดเซียวเขียวคล้ำหญิงสาวจมน้ำจริงอย่างไม่น่าเชื่อนางดีใจจนเกินไปที่ได้แช่น้ำพุร้อนใต้แสงเดือนฉายที่ห่างหายมานานหลายปี กักเก็บพลังเทพปีศาจเอาไว้แทบไม่ทันเมื่อหมิงเฉิงลงน้ำมา โม๋เอ๋อร์จึงรีบเก็บปราณเทพจนสิ้น กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาปราศจากกระทั่งลมปราณ เหลือเพียงลมหายใจของสตรีเพศผู้บอบบางอ่อนแอ ก่อนจะกดร่างอ้อนแอ้นดำดิ่งแช่น้ำอย่างดื้อดึงและนานจนเกินไป ความอุ่นสบายที่คิดถึงโอบล้อมเรือนร่างชวนให้ลุ่มหลงเผลอไผล กอปรกับดื่มเหล้าไปหลายจอก แม้ไม่เมามายแต่ก็มึนงงจนง่วงงุนไม่น้อยสุดท้ายก็หลับใหลอยู่ใต้น้ำอย่างไม่น่าให้อภัย...ที่ข้างเตียงนอน...หมิงเฉิงยืนนิ่งพินิจจ้องชายาแห่งตนเงียบเชียบ จ้
แสงอรุณรุ่งมาเยือน เสียงไพเราะเสนาะโสตของเหล่าสกุณาประสานเสียงขับขานดังไปทั่ว บ่งบอกเวลาแห่งเช้าวันใหม่มาเยือนโม๋เอ๋อร์จึงได้สติแล้วตื่นลืมตาในที่สุด นางกลอกตาสำรวจไปทั่วห้องอยู่อึดใจ พบว่าตนเองนอนร่างเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่เพียงผู้เดียว มีผ้าห่มปกปิดให้อย่างดีเมื่อเบนสายตาไปข้างเตียง ไล่มองห่างออกไป จึงเห็นนางกำนัลสามคนยืนหน้าแดงก่ำก้มหน้าหลุบตาคนแรกถือถาดอาภรณ์หรูหรา คนที่สองถือเครื่องประดับละลานตา คนที่สามถืออาหารเช้าหอมกรุ่นชุดชงชาประณีตวิจิตรหญิงสาวให้นึกตกตะลึงมากโข พลันระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา แล้วประมวลทุกสิ่งอย่างระมัดระวังเมื่อคืนสามีของนางมิได้เข้าหอกับนาง แต่พานางมากินอาหารรสเลิศอยู่ค่อนคืน จากนั้นเขาเมาเหล้า นางพาเขาเข้าห้องเพื่อจัดการครอบครองเขา ทว่านางกลับพึงใจในสมบัติของเขา มากกว่าตัวเขาที่เป็นสามีเฮ่อ!โม๋เอ๋อร์รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่สนใจอะไรเยี่ยงนั้นไปเสียได้ สามีของนางช่างน่าเห็นใจที่มีภรรยาเช่นนี้แต่ว่า ทุกสิ่งในห้องของเขาน่าหลงใหลมากๆ นี่นาโดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งนางก็พอจะมองออกว่าเขาหวงแหนบ่อน้ำส่วนตัวนั้นมากมายปานใดของรักของใคร คนผู้นั้นก็ต
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย