เมื่อทุกคนออกไปแล้วเว่ยเซียวหยางก็ลุกขึ้นก่อนจะคว้าลำคอระหงของซ่งจื่อเหยียนที่หลับอยู่เพราะความเพลียขึ้นมา นางตื่นทันทีหายใจไม่ออกก่อนจะดิ้นรน
“ปะ ปล่อย แค่กๆๆข้า”
“ใครใช้เจ้ามา บอกมาเผื่อข้าจะไว้ชีวิตเจ้า หรือว่าเจ้าจะได้ตายไม่ทรมารมากนัก”
“ไม่มี น้องสาวของข้านางๆให้คนพาข้ามาที่นี่ แค่กกๆๆๆๆๆ”
ร่างบางดิ้นรนเริ่มตาเหลือกโพลง เว่ยเซียวหยางเหวี่ยงนางลงไปกลางห้องก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้าชื่ออะไร”
ซ่งจื่อเหยียนที่ตอนนี้หวาดกลัวบุรุษตรงหน้ายิ่งนักนางเอ่ยตะกุกตะกัก
“ข้าแซ่ซ่ง ซ่งจื่อเหยียนเจ้าค่ะ คะ คุณชายเรื่องเมื่อคืนข้าไม่ อุ๊บ!!!!”
ร่างบางถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับเตียงอีกรอบ เว่ยเซียวหยางสะบัดฝ่ามือใส่นางก่อนจะเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
“อย่าเอ่ยถึงเรื่องอัปยศที่เจ้าเป็นคนก่ออีก แซ่ซ่งหรือ เจ้าเป็นอะไรกับซ่งฮั่นเหลียง”
“เขาเป็นบิดาของข้าเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้ไหมข้าเป็นใคร”
“มะ ไม่ ไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ใส่เสื้อผ้าซะ ซ่งฮั่นเหลียงเจ้าเลี้ยงบุตรสาวได้ดีจริงๆ”
เว่ยเซียวหยางออกไปแล้ว ซ่งจื่อเหยียนใส่เสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกมา นางถูกเขาย่ำยีถาโถมจนกลางกายสาวมีแต่ความปวดหนึบ ยามที่ก้าวเดินนางเจ็บตรงกลางจนน้ำตาร่วง
ดึกมากแล้วนี่ยามโฉ่ว(01.00-02.59) นางค่อยๆพาตนเองกลับบ้าน รถม้าไม่มีแล้วออกจากตำหนักก็ไม่ได้ ซ่งจื่อเหยียนร้องไห้ออกมา มารดาทิ้งนางไปมีเพียงเย่วเล่อกับเย่วหลีสองคนที่ภักดี วันนี้พวกนางถูกสั่งห้ามตามมาด้วย
“ฮือๆๆท่านแม่ มารับข้าทีข้ามิอยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วฮือๆๆ ว้าย”
ร่างบางถูกมือหนากระชากขึ้นก่อนจะเหวี่ยงขึ้นรถม้าทันที ซ่งจื่อเหยียนนั่งตัวลีบอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า เขาน่ากลัวมากนางกลัวเขา รถม้าวิ่งมาจนถึงจวนซ่ง ไม่มีคนรอรับมีเพียงสาวใช้สองคนที่พอเห็นเจ้านายของตนก็พากันร้องไห้ออกมา
ไฟในเรือนถูกจุด ซ่งฮั่นเหลียงไม่รู้คนที่มาส่งบุตรสาวเป็นใคร มาถึงก็ตบหน้านางทันที ซ่งจื่อเหยียนทรุดลงไปกอง
“สารเลว แพศยาไปนอนแก้ผ้ากอดก่ายบุรุษ เจ้ามันไร้คนอบรมสั่งสอนจริงๆ”
“ท่านพ่อ น้องรองกับแม่รองพาข้าไปพักที่นั่น ข้าไม่รู้ว่าโอ๊ย”
ซ่งฮั่นเหลียงตบหน้าบุตรสาวซ้ำอีกที เขากำลังจะเงื้อมือตบซ้ำแต่กลับได้ยินเสียงออกมาจากรถม้า
“ข้าไม่สนใจเรื่องของเจ้ากับบุตรสาวคนนี้ แต่ที่ข้าอยากรู้บุตรสาวคนรองของเจ้ากล้าดีอย่างไรใช้ห้องพักของข้าเพื่อทำเรื่องสกปรกเล่นงานพี่สาวตนเอง ที่อื่นไม่มีให้พวกเจ้าลงมือหรอกหรือ ซ่งฮั่นเหลียง”
เสียงนี้เขารู้ว่าใคร ซ่งฮั่นเหลียงเข่าทรุดทันที บุตรสาวคนรองของเขาหรือ หากนางทำจริงๆเขาก็ไม่คิดจะติดใจ แต่นางกลับไปทำในที่ๆไม่สมควรทำนี่สิ
“ชินอ๋องเมตตาด้วย เรื่องนี้ซยาอวิ๋นไม่ได้ทำอันใดผิดนางมิได้วางแผนร้ายให้พี่สาวนางแต่อย่างใด แต่นางลูกชั่วคนนี้ต่างหากที่ทำพระองค์มัวหมองพ่ะย่ะค่ะ”
"ท่านพ่อ ท่านผ่านมาข้ามีตัวตนในสายตาของท่านหรือไม่เจ้าคะ"
"หุบปาก เจ้าทำท่านอ๋องขุ่นเคืองแล้ว เอ่อท่านอ๋องเรื่องท่านกับนางคือว่า..."
“หึ อย่าคิดว่าจะมีเกี้ยวมารับนางเล่า ข้ามิส่งโลงศพมาให้ก็นับว่าดีแล้ว เหวินเปียวไปได้แล้ว”
เมื่อเว่ยเซียวหยางไปแล้วซ่งอั่นเหลียงก็โบยบุตรสาวสิบทีแล้วไล่ไปอยู่ที่เรือนร้าง ข้าวน้ำมิให้ส่งไป มีเพียงแผ่นแป้งแข็งๆเท่านั้น นางถูกทิ้งไว้เรือนร้างหลังจวนมาสามเดือนแล้ว จนกระทั่งวันนี้น้องรองของนางซ่งซยาอวิ่นมาเยี่ยมก่อนจะเอ่ย
“ใบหน้าจิ้งจอกของเจ้าทำร้ายตัวเจ้าเอง ซ่งจื่อเหยียนเจ้ามันก็แค่ขยะไร้ค่า ขนาดบิดายังไม่สนใจเจ้าเลยฮ่าๆๆๆ”
“น้องรอง เหตุใดต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้”
“หึ ใครใช้ให้องค์ชายห้าลุ่มหลงใบหน้าจิ้งจอกของเจ้า อ้อได้ข่าวว่ามีคนที่ไม่ชอบเว่ยเซียวหยางไปทูลฟ้องชินอ๋องข่มเหงสตรี จนฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาแต่งเจ้าเข้าจวน ชินอ๋องรังเกียจสตรีมากนัก เจ้าจะมีชีวิตรอดได้ถึงเจ็ดวันหรือไม่เล่าพี่ใหญ่ ฮ่าๆๆ”
ซ่งซยาอวิ๋นไปแล้ว ซ่งจื่อเหยียนร้องไห้ออกมาจนเย่วเล่อปลอบใจ
“อย่าร้องเลยเจ้าค่ะคุณหนู บางทีท่านอ๋องอาจไม่ใจร้ายเพียงนั้น อย่างไรแม้ว่าจะเพียงสัมพันคืนเดียวก็ถือเป็นผัวเมียนะเจ้าคะ”
“พี่เย่วเล่อกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูท่านต้องเข้มแข็งนะเจ้าคะ”
“อืม ไปจากที่นี่บางทีอาจดีกว่าก็ได้”
สามคนนายบ่าวได้แต่ให้กำลังใจต่อกัน รุ่งเช้าเมื่อถึงยามซื่อรถม้าของจวนอ๋องก็มารับพวกนางแต่ไม่ได้ไปตำหนักชินอ๋องแต่อย่างใด รถม้าเคลื่อนออกไปนอกเมือง เหวินเปียวเอ่ยกับพวกนางด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“ท่านอ๋องให้ไปส่งพวกเจ้าที่จวนร้างนอกเมือง หวังสูงนักก็ไปเป็นนายหญิงที่จวนร้างโน้น”
เย่วเล่อทนไม่ไหวจึงได้ตวาดขึ้นมา
“หวังสูงหรือ ข้าจะบอกเจ้าให้นะทั้งนี้ทั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะเจ้านายของเจ้ามีสันดานดิบอยู่แล้วเรื่องนี้จะเกิดหรือ”
“เจ้าพูดอีกทีสิ แค่สาวใช้คนหนึ่งกล้าดีอย่างไรมากล่าวหาท่านอ๋องอยากตายหรือ”
เย่วหลีกระตุกแขนเสื้อพี่สาวแต่เย่วเล่อไม่สนใจแล้วนางเหลืออดจริงๆตั้งแต่ออกมาจากจวน องครักษ์คนนี้กล่าววาจาเชือดเฉือนไม่หยุด
“เป็นบุรุษแต่เอาแต่กล่าวโทษสตรี เจ้าอยู่บ้านใส่กระโปรงหรือ องครักษ์เหวินสินะ ได้ยินคนขับรถม้าเรียกเจ้าเช่นนั้น”
เหวินเปียวหันกลับมามองหน้าเย่วเล่อด้วยสายตาอาฆาตแต่ซ่งจื่อเหยียนกลับบอกให้หยุด
“เย่วเล่อหยุดเถอะ อุ๊บ อื้อ ข้าอยากอาเจียนน่ะ เหมือนจะเมารถ ท่านองครักษ์ช่วยชะลอได้หรือไม่”
“อีกไม่ถึงสิบลี้ก็ถึงแล้ว อดทนหน่อยคุณหนูซ่ง”
“ทั้งนายทั้งบ่าวจิตใจไม่เหมือนมนุษย์ ขอร้องพวกเขาสู้ไปขอร้องสุนัขยังดีกว่า”
เย่วเล่อเอ่ยจบก็ไปนั่งกับคุณหนูของนาง ไม่นานก็มาถึงจวนร้างนอกเมือง ทันทีที่ส่งพวกนางเสร็จรถม้าก็กลับทันที สามคนนายบ่าวเข้าไปด้านใน จวนนับว่ากว้างมากนักมีเรือนหลักถึงสามเรือน และเรือนเล็กอีกหลายหลัง พื้นที่กว้างขวาง เพียงแต่เก่ามากต้องบทำความสะอาดครั้งใหญ่
เย่วหลีปิดประตูจวนจากนั้นสามนายบ่าวก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่โดยไม่มีใครรู้ จนกระทั่งได้เจอกับป้าหูที่สามีนางมีอาชีพหาของป่ามาขาย ซ่งจื่อเหยียนเพิ่งรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จนกระทั่งท้องของนางใหญ่ขึ้นและเด็กในท้องเริ่มดิ้น สามคนนายบ่าวไม่มีเงินทอง มีเพียงสินเดิมของฮูหยินที่เป็นหยกเนื้อดีสามชิ้น ขายไปแล้วชั้นหนึ่งได้มาแปดร้อยตำลึง เหลืออีกสองชิ้น คุณหนูบอกว่าให้ถึงที่สุดค่อยขายอีกชิ้น อีกไม่นานก็คลอดแล้ว คนจากตำหนักอ๋องไม่เคยมาดูดำดูดีเลยนั้นแต่เอาพวกนางมาทิ้ง
ซ่งจื่อเหยียนกับสาวใช้ทั้งสองคนใช้ชีวิตในจวนกันอย่างอัตคัดไม่น้อย ไม่เคยมีเงินทองมามอบให้ บ้านเดิมยิ่งแล้วใหญ่ มีครั้งหนึ่งที่ซ่งซยาอวิ๋นกับมารดาเลี้ยงของนางมาหาเพื่อเยาะเย้ยถึงที่ แต่ทั้งสามคนนายบ่าวก็ยังทำใจไม่ตอบโต้ พวกนางจะทำอันใดได้ในเมื่อเจ้าของจวนยังทอดทิ้งพวกนางไม่ไยดีป้าหูกับสามีเป็นครอบครัวเดียวที่อยู่บริเวณนี้ พวกเขาสงสารสามคนจึงมักมอบอาหารให้บ่อยๆ ซ่งจื่อเหยียนขายหยกได้มาก็มอบไว้ให้สองสามีภรรยาสิบตำลึงเพื่อเป็นค่าอาหารของพวกนาง หากวันใดพวกเขาเข้าเมืองก็จะมาถามว่าต้องการสิ่งใด ในที่สุดวันที่ถึงกำหนดคลอดก็มาถึงซ่งจื่อเหยียนเจ็บท้องมานานกว่าสามชั่วยามแล้ว"อ๊าย..เจ็บจังเลย เมื่อไหร่จะคลอดสักที ฮือๆๆเด็กดีอย่าทรมานแม่นักเลย""คุณหนูเจ้าคะ ป้าหูกำลังมา อดทนหน่อยนะเจ้าคะ""ฮือๆๆ พี่เย่วเล่อ ข้าเจ็บอ๊ายย โอย เจ็บเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว"เสียงร้องไห้อย่างทรมานของซ่งจื่อเหยียนทำเอาจางเย่วเล่อถึงกับปาดนน้ำตา นางเป็นสินเดิมของมารดาคุณหนู เลี้ยงและเล่นกันมาตั้งแต่คุณหนูอายุห้าขวบ บัดนี้นางสิบเจ็ดแล้ว แต่กับต้องมาเจอชะตากรรมเลวร้าย ซ่งจื่อเหยียนร้องไห้ไม่หยุด นางเจ็บมากเหลือเกิน ป้าหูมาถ
เสียงเกือกม้ากระทบกันมาแต่ไกลๆ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมานาง ซ่งจื่อเหยียนบังคับม้าเข้าข้างทาง นางต้องหลบให้เขาไปก่อน ดูท่าทางทหารเหล่านั้นเกรงใจพวกที่มาใหม่มากนัก ซ่งจื่อเหยียนนั่งก้มหน้า นางไม่อยากให้ผิดสังเกต แต่กลับไม่พ้นสายตาดุจเหยี่ยวของคนบนหลังม้าไปได้ เขากระตุกบังเหียนมาทางนางก่อนจะเอ่ย"เจ้าเป็นคนที่ไหน มาในเมืองแต่เช้าเช่นนี้"ซ่งจื่อเหยียนเงยหน้าขึ้นก่อนจะนึกออก นี่มันไอ้อ๋องสุนัขเว่ยเซียวหยางนี่นา คนที่ทำให้ร่างเดิมตั้งครรภ์และคลอดลูกจนตาย หืมไอ้สารเลวนี่ อยากข่วนหน้านักเชียว ก่อนจะเอ่ยเบาๆ"ข้าน้อยมาส่งผักขอรับ ท่านพ่อป่วยจึงจะรีบมาส่งและรีบซื้อยากลับไป มิทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องอันใดสงสัยในตัวข้าน้อยหรือไม่ขอรับ"เว่ยเซียวหยางพยักหน้า คนของเขาไปตรวจดูรถม้าค้นจนข้าวของกระจาย แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ ซ่งจื่อเหยียนจึงเอ่ยถามเขาที่กำลังจะไป"ใต้เท้าท่านนี้ คนของท่านรื้อข้าวของๆข้าน้อยจนเละเทะ นี่เป็นเงินที่จะไปซื้อยามาต่อลมหายใจบิดาข้าน้อย พวกท่านจะไม่รับผิดชอบหรือขอรับ แม้จะแค่สิบตำลึงแต่ก็เป็นชีวิตคนนะขอรับ"เว่ยเซียวหยางหันกลับมาสบตากับบุรุษที่เมื่อสักครู่ยังเอาแต่ก้มหน้าอยู่เลย
ซ่งจื่อเหยียนที่นอนกอดบุตรชายอยู่แต่นางยังไม่หลับ อยากรู้จังว่าถ้าไอ้บ้านั่นรู้ว่าหยกหายไปจะทำเช่นไร นางไม่สนใจหรอกหลานชายเปิดบ่อน มีคนเอาหยกของท่านอามาจำนำที่อ เรื่องนี้คงบันเทิงซ่งจื่อเหยียนวางแผนจะออกจากเมืองหลวงในอีกไม่กี่เดือน ตอนนี้บุตรชายได้หกเดือนแล้ว อีกสักสองเดือนค่อยหาทางไปนางเคยแอบไปดูลาดเลาเอาไว้ ตอนที่นางไปที่กรมที่ดินก็ได้ดูแผนที่และแผนผังของเมืองต่างๆ ด้วย เมืองจ้านกั๋วเหมาะที่สุดสำหรังลงหลักปักฐาน อยู่ไกลจากเมืองหลวงหนึ่งพันแปดร้อยลี้ เดินทางด้วยรถม้าไปจนถึงท่าเรือเมืองป๋าย นั่งเรือต่ออีกสิบวันก็ถึงที่สำคัญที่ดินยังไม่ค่อยมีคนจับจอง หากบอกว่ากันดารก็อาจจะจริง ไปถึงค่อยวางแผน เงินสองแสนตำลึงน่าจะพอให้ใช้จ่ายจนตาย แต่ว่านางยังอยากมีเงินมากกว่านี้อีกซ่งจื่อเหยียนนอนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา เธออายุยี่สิบสามก็เข้าฝึกทางการทหาร ได้อยู่หน่อยข่าวกรองห้าปี อยู่น้องชายก้ได้ไปเป็นCEOต้องไปดูแลงานที่ต่างประเทศ หลี่จื่อเหมาไปอยู่อังกฤษกับภรรยา หลานๆ อายุเพิ่งจะสี่ขวบกับห้าขวบ ทำให้เธอต้องลาออกจากหน่วยงานแล้วมาเลี้ยงหลานหลี่จื่อเหยียนจึงได้สมัครเป็นครูพละที่โรงเรียนประถมที่หลานๆ เร
ทางด้านเว่ยเซียวหยางที่กำลังรอองครักษ์สองพี่น้องมารายงานเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้นก็กำลังวางแผนงาน มีผู้อพยพหนีน้ำท่วมเดินทางเข้ามาเมืองหลวงมากขึ้น เขาหารือกับฮ่องเต้และบรรดาขุนนางแล้วว่าจะ จัดหาสถานที่ให้พวกเขาพำนักชั่วคราว อีกอย่างต้องสร้างที่พักให้กับบรรดาหมอและขุนนางที่ไปดูแลอีกด้วยเหวินเปียวและเหวินชางขี่ม้ามาถึงก็ให้คนดูแลรับเอาไป จากนั้นทั้งคู่ก็ไปเขาเฝ้าชินอ๋อง ใบหน้าของน้องชายบวมใช่น้อย แม่หนูเย่วเล่อนี่มือหนักจริงๆ เหวินเปียวก็เหลือเกิน ตัวเองอายุสามสิบแล้วยังไปหาเรื่องเด็กน้อยอีก นางอายุสิบแปดสิบเก้าเองกระมัง ให้เด็กสั่งสอนได้ข้าล่ะเชื่อเจ้าเลย ทั้งคู่มาหยุดที่หน้าห้องหนังสือก่อนจะรายงาน“ท่านอ๋องกระหม่อมองครักษ์เหวินชางกับองครักษ์เหวินเปียวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เข้ามาได้” เสียงตอบกลับจากผู้เป็นนายดังมาจากด้านใน องค์รักษ์สองพี่น้องจึงเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นท่านอ๋องของพวกเขากำลังดูแผนที่รอบเมืองหวงอยู่เหวินชาวคำนับก่อนจะเอ่ยรายงาน“ทูลท่านอ๋อง....พวกเรากลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งถามหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ปรากฏว่าท่านลุงแซ่หูคนนั้นบอกว่า เด็กหนุ่มมักจะมากับบิดาเพื่อมาซื้อยา สองพ่อ
จวนนอกเมืองซ่งจื่อเหยียนที่ตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้นางเก็บผักกับไข่ส่งเหลาอาหารตามเดิม เย็นนี้จะมีรถม้าของทางเหลาต่างๆ มารับเอง นางไม่อยากเสี่ยวเข้าเมืองหลวงอีก จังหวะเจอไอ้อ๋องสุนัขนั้นอีกจะรอดยาก ดูท่าฉลาดไม่น้อย เย่วเล่อเดินมาหานางก็ยามซื่อแล้วเพื่อเรียกไปกินข้าว“คุณหนู..ไปทานมื้อเช้าได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวกำลังจะพาคุณชายไปบ้านป้าหู คุณหนูบอกว่ะขึ้นเขามิใช่หรือเจ้าคะ”“อืม....พี่เย่วเล่อเราสามคนไม่มีนายบ่าวหรอก ต่อไปใช้ชีวิตกันเช่นพี่น้องทั่วๆ ไปเถอะ ว่าแต่เย่วหลีล่ะ”“เมื่อวานได้รวงข้าวมาเยอะ นางก็เลยไปเก็บอีก นันไงมาแล้วแบกหลังแอ่นมาเชียว”“รถม้าคันเก่าข้าขายไปแล้ว อีพักหนึ่งรถม้าคันใหม่จะมาส่งน่ะ เห้นท่านลุงหุบอกว่าเมื่อวานมีคนมาถามหาข้า ดีที่บุตรชายของเขาเอารถม้าไปในเมือง มิฉะนั้นหากคนสองคนนั้นจำได้ถูกเปิดโปง”เย่วหลีเดินเข้ามา เหงื่อซึมใบหน้าน้อยๆ ซ่งจื่อเหยียนใช้แขนเสื้อตนเอเงซับเหงื่อให้นางอย่างเบามือ ก่อนจะใช้มือเรียวสวยจับปอยผมทัดหูให้เด็กน้อยตรงหน้า เย่วหลียิ้มให้นางทั้งสามคนนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันหลังจากที่อิ่มแล้ว ซ่งจื่อเหยียนก็ให้นมบุตรชายจนอิ่ม เมื่อเจ้าตัวน้อยหลับ
ด้านหลังของเขาตามมาด้วยบุรุษอีกหลายคน บุรุษคนหนึ่งสวมอาภร์สีม่วง เป็นผ้าไหมชั้นดีศีรษะสวมกว๊านหยกสีขาวเนื้อดีแกะลวดลายกิเลน หยกห้อยเอวคือชิ้นที่นางขโมยมันไปจำนำเมื่อวันก่อน เขาคือเว่ยเซียวหยางคนสารเลวที่ทำลายร่างเดิม ซ่งจื่อเหยียนเดินไปหาเย่วหลีก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ยอดอกเหวินเปียวทันที จนเขาเซไปหลายก้าวเว่ยเซียวหยางตาลุกทันทีที่คนของตนถูกทำร้าย เขาเดินเข้ามาหานางจับคางบบีบอย่างแรง แต่ซ่งจื่อเหยียนไม่หวาดกลัวนางสบสายตาอย่างไม่ยอมแพ้ เว่ยเซียวหยางเอ่ยเสียงเข้ม“กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนของข้า ซ่งจื่อเหยียน” ”แล้วเจ้าเล่า เว่ยเซียวหยาง เลี้ยงสุนัขเช่นไรปล่อยกันคนไปทั่ว หรือว่าเจ้าเองก็ไม่ต่างจากสุนัขของตน”“ซ่งจื่อเหยีน..กล้าเรียกชื่ออ๋องเช่นข้าตรงๆ ใครให้ความกล้าเจ้ากัน”“ต้องมีใครให้ความกล้าข้าด้วยหรือ คนเช่นท่านมีอันใดให้น่าเคารพหรือ ก็แค่ตำแหน่งติดตัวมาตอนเกิด อยากฆ่าข้าก็ควรลงมือเลย ทางที่ดีอย่าให้ข้าเป็นฝ่ายลงมือก่อน”เว่ยเซียวหยางเหวี่ยงนางไปข้างๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง เขามองเห็นตะกร้าใบใหญ่ มีมีดเล่มใหญ่ใส่เอาไว้ นางแต่ตัวผิดไปมิได้ใส่ชุดสวยงามเช่นคืนนั้นที่เขาเจอ นางแต่งก
แคว้นเป่ยฉีงานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิงหก ผู้คนมาร่วมงานกันมากมาย ทั้งขุนนางและคุณหนูรวมถึงฮูหยินจากหลายๆจวน ซ่งจื่อเหยียนที่เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนรองเจ้ากรมโยธา วันนี้นางถูกแม่เลี้ยงและน้องสาวพามาด้วย เดิมทีซ่งจื่อเหยียนไม่ได้สาวเท้าออกจากเรือน เพราะฮูหยินรองหลิวซื่อเหมยและน้องสาวของนางซ่งซย่าอวิ๋นกดขี่นางเอาไว้ในเรือน มารดาจากไปแล้วบิดาก็ไร้ใจซ่งจื่อเหยียนที่ไม่มีคนรู้จักเท่าไหร่และไม่มีใครคุยด้วยได้แต่นั่งรออยู่ที่ศาลาริมน้ำ ซ่งซยาอวิ๋นเห็นพี่สาวต่างแม่นั่งอยู่ก็เดินมาหาก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงอ่อนหวาน“พี่ใหญ่ ท่านมานั่งทำอันใดตรงนี้กันเจ้าคะ ท่านแม่บอกว่าให้ท่านไปรอที่ห้องรับรองด้านข้างก่อน ตอนนี้ท่านหญิงเสด็จมาแล้ว ท่านแม่เกรงว่าท่านที่ไม่เคยได้ออกงานจะทำเรื่องให้ตนเองขายหน้าได้”“น้องรอง..พี่อยากกลับจวนแล้ว งานนี้ความจริงไม่มีพี่ก็ได้ บอกแม่รองว่าพี่ขอกลับก่อนได้หรือไม่”“พี่รองกล่าวอันใดเช่นนั้นกัน มาด้วยกันจะกลับก่อนได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านไปพักเถอะ”ซ่งจื่อเหยียนไม่รู้ว่าน้องสาวกับแม่เลี้ยงวางแผนร้ายใส่ตนเองจึงเดินตามสาวใช้ไป ซ่งซยาอวิ๋นยิ้มร้ายตามแผ่นหลังที่เดินจากไป นางเตรียมคนขับรถ