เสียงเกือกม้ากระทบกันมาแต่ไกลๆ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมานาง ซ่งจื่อเหยียนบังคับม้าเข้าข้างทาง นางต้องหลบให้เขาไปก่อน ดูท่าทางทหารเหล่านั้นเกรงใจพวกที่มาใหม่มากนัก ซ่งจื่อเหยียนนั่งก้มหน้า นางไม่อยากให้ผิดสังเกต แต่กลับไม่พ้นสายตาดุจเหยี่ยวของคนบนหลังม้าไปได้ เขากระตุกบังเหียนมาทางนางก่อนจะเอ่ย
"เจ้าเป็นคนที่ไหน มาในเมืองแต่เช้าเช่นนี้"
ซ่งจื่อเหยียนเงยหน้าขึ้นก่อนจะนึกออก นี่มันไอ้อ๋องสุนัขเว่ยเซียวหยางนี่นา คนที่ทำให้ร่างเดิมตั้งครรภ์และคลอดลูกจนตาย หืมไอ้สารเลวนี่ อยากข่วนหน้านักเชียว ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
"ข้าน้อยมาส่งผักขอรับ ท่านพ่อป่วยจึงจะรีบมาส่งและรีบซื้อยากลับไป มิทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องอันใดสงสัยในตัวข้าน้อยหรือไม่ขอรับ"
เว่ยเซียวหยางพยักหน้า คนของเขาไปตรวจดูรถม้าค้นจนข้าวของกระจาย แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ ซ่งจื่อเหยียนจึงเอ่ยถามเขาที่กำลังจะไป
"ใต้เท้าท่านนี้ คนของท่านรื้อข้าวของๆข้าน้อยจนเละเทะ นี่เป็นเงินที่จะไปซื้อยามาต่อลมหายใจบิดาข้าน้อย พวกท่านจะไม่รับผิดชอบหรือขอรับ แม้จะแค่สิบตำลึงแต่ก็เป็นชีวิตคนนะขอรับ"
เว่ยเซียวหยางหันกลับมาสบตากับบุรุษที่เมื่อสักครู่ยังเอาแต่ก้มหน้าอยู่เลย มาตอนนี้กล้าเงยหน้าสบตาเขาแล้วหรือ ก่อนจะกระตุกม้ามาใกล้ๆ
"เจ้าว่าของเหล่านี้ถึงสิบตำลึงเชียว ไม่แพงไปหน่อยหรือ"
"ใต้เท้าผักกาดนั่นท่านปลูกเองได้ไหมขอรับ ไข่ไก่นั่นท่านเบ่งออกมาเองได้ไหมขอรับ"
เหวินเปียวเห็นคนน่าตายบังอาจถามเจ้านายตนเองก็ชักกระบี่มาพาดที่คอของเขาทันที ซ่งจื่อเหยียนยังคงไม่หลบสายตาจากเว่ยเซียวหยาง เขาบอกให้เหวินเปียวเอากระบี่ลงก่อนจะเอ่ยกับนาง
"แน่นอนผักกาดข้าปลูกไม่ได้ ไข่ไก่ข้าก็เบ่งออกมาเองไม่ได้ แล้วอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องสิบตำลึงเช่นไร"
"ใต้เท้าหากท่านทำได้ย่อมไม่แพง แต่ว่าอะไรที่ตนเองทำไม่ได้ย่อมมีราคา วันนี้ข้าน้อยต้องการแค่ค่าเสียหายจากสินค้าสิบตำลึง และค่าปรับที่จะถูกทางร้านอาหารปรับเนื่องจากส่งสินค้าไม่ได้อีกสิบห้าตำลึง มิทราบว่าท่านจะชดใช้อย่างไรดี"
"บังอาจ..ใต้เท้าคือท่านผู้ตรวจการ ต้องมาชดใช้ให้เจ้าด้วยหรือ"
ซ่งจื่อเหยียนมองหน้าองครักษ์ของเขา ไอ้ปากดีนี่ด่าร่างเดิมกับสาวใช้ของนางไว้เยอะเชียว จดเข้าบัญชีหนังหมาอีกคนแล้วกัน จากนั้นก็เอ่ยต่อ
"ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับอาหาร ราษฎรอดอยากแต่คนของท่านผู้ตรวจการกลับเหยียบย่ำอาหารเหล่านี้ ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่าขุนนางพระองค์นั้นไม่เห็นทุกข์สุขของราษฎรในสายตา"
เว่ยเซียวหยางหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมาส่งให้บุรุษตรงหน้า ซ่งจื่อเหยียนรับเอามาพร้อมกับหาเงินทอนแต่เขาไปไกลแล้ว นางจึงไม่สนใจ วันนี้ทำเขาสงสัยแล้วตอนกลับต้องระวังตัวสักหน่อย ไม่เช่นนั้นหากเขาให้คนตามไปอาจเปิดเผยตัวเองได้
เมื่อได้เงินก็เข้าร้านธัญพืชทันที นางต้องตกลงกับร้านอาหารทั้งในเมืองและนอกเมืองใหม่เสียแล้ว ลดราคาลงให้พวกเขาสักหน่อย แต่ให้ไปรับของเอง หากออกมาบ่อยๆจะเสี่ยงไม่น้อย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เข้าไปยังร้านผ้าที่นางเป็นพันธมิตรออกแบบลายผ้าให้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษรูปงาม ถือพัดโบกไปมา
"เจ้าแต่งเช่นนี้แล้วรูปงามนักอาเหยียน"
"ขอบคุณพี่ฟ่านหลินเจ้าค่ะ ข้าต้องไปธุระฝากท่านให้คนขับรถม้ากลับบ้านข้าด้วย"
ฟ่านหลินพยักหน้า นางรู้จักเด็กคนนี้ได้สามเดือนกว่าแล้ว ลายผ้าที่นางออกแบบมาให้ล้วนงดงาม จนตอนนี้การค้าของสกุลซ่งกำลังเดือดร้อน พวกเขาหาตัวคนออกแบบของานนางอยู่แทบจะพลิกแผ่นดิน ไม่รู้ว่าสตรีคนนี้มีความแค้นอันใดกับตระกูลซ่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่นางต้องไปรู้ แค่ค้าขายปกติก็พอ
ซ่งจื่อเหยียนให้รถม้าไปที่บ้านป้าหู เพราะห่างจากตำหนักถึงสามลี้และมีเพียงหลังเดียว นางเดาถูกเว่ยเซียวหยางให้คนตามรถม้าไปจริงๆแต่ขากลับไปนั้นเหตุใดมีรถม้าสองคัน พวกเขาเจรจากันคนในบ้านไม่นานก็กลับออกมา เห็นบุรุษวัยกลางคนที่กำลังไออย่างหนัก แปลว่าป่วยจริงๆจึงกลับมารายงาน
ซ่งจื่อเหยียนนั่งรออยู่ที่หน้าบ่อน บ่อนนี้เป็นขององค์ชายห้าจอมเจ้าชู้ น้องสาวอยากเป็นชายาของเขาจึงได้คิดแผนการทำลายพี่สาวคนนี้ นี่คือไอ้สารตั้งต้นของเรื่องราวทั้งหมด วันนี้เบาๆสักหน่อยแล้วกัน ซ่งจื่อเหยียนขายหยกที่มารดาร่างเดิมมอบให้ครั้งก่อนที่เข้าเมืองนางได้มาสามพันตำลึง แต่กลับเอามาลงแค่หนึ่งพัน เล่นได้บ้างเสียบ้างเพื่อไม่ให้ใครสงสัย สุดท้ายจากสามพันนางก็มีถึงเจ็ดหมื่นตำลึง ลงทีละสามหมื่นจนกระทั่งวันนี้นางต้องการจัดการบ่อนองค์ชายพร้อมกับจัดการตระกูลซ่งอีกด้วย ให้พวกเขาตีกันเองดูสิงานแต่งยังจะมีไหม จากนั้นสาวเท้าเข้าบ่อนด้วยชาติก่อนเวลาไม่มีงานหลี่จื่อเหยียนคนก่อนก็มักเล่นฆ่าเวลากับเพื่อนๆในหน่วยเสมอ เมื่อนางเข้ามาคนดุแลบ่อนก็ทักทันที
"นี่ๆคุณชายเหยียนจื่อ เจ้าไม่มาเสียนานเลยนะ"
"ท่านพี่เกาวันนี้ข้าแอบท่านพ่อนำเงินมาได้นิดหน่อยน่ะ"
"ได้ข่าวว่าพี่สาวเจ้า ซ่งซยาอวิ๋นกำลังจะได้เป็นพระชายาแล้วหรือ"
ซ่งจื่อเหยียนยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะพยักหน้าพลางๆ จากนั้นก็เริ่มเล่นพนัน นางเล่นได้เกือบแปดหมื่นตำลึงแล้ว แต่หากเลิกต้องถูกตามแน่ๆซ่งจื่อเหยียนจึงปล่อยให้เสียบ้าง จากสามหมื่นตำลึงเหลือเพียงห้าร้อยตำลึง
"เงินข้าหมดแล้ว พี่เกาขอรับ ข้าอยากยืมเงินสักหน่อย หากไม่มีคืนท่านพ่อเอาข้าตายแน่ๆ"
"ใต้เท้าซ่งคงไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า ว่ามายืมเท่าไหร่ เจ้ามีหลักประกันอะไรมาค้ำ"
"นี่ท่านพี่เกา พรุ่งนี้พี่สาวข้าก็จะขึ้นเกี้ยวไปจวนองค์ชายห้าแล้ว ท่านให้ข้าสักสองแสนตำลึงได้หรือไม่ แต่ไม่ต้องห่วงข้ามีของมาวางประกันแน่นอน"
ซ่งจื่อเหยียนมือไวคว้าหยกจากเว่ยเซียวหยางมาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว หากไปขายอาจถูกจับได้จึงเอามันวางประกันไว้ที่บ่อน แล้วกู้เงินมาสองแสนตำลึง จากนั้นก็ทำสัญญาว่าพรุ่งนี้จะกลับมาเล่นอีกเพื่อไถ่หยกคืน ซ่งจื่อเหยียนกลับไปที่ร้านผ้าเปลี่ยนชุดเป็นสตรีชาวบ้านก่อนจะจ้างรถม้ากลับจวนร้างนอกเมือง
"หึ..มาไถ่คืนหรือไม่มีทางหรอก เงินสองแสนตำลึงเจ๊จะใช้อย่างดีเลย ขอบใจนะองค์ชายห้าเรื่องทุกอย่างมาจากเจ้านั่นแหละไอ้ลูกหมา เมื่อรถม้ามาถึงซ่งจื่อเหยียนก็ว่าจ้างให้ไปส่งที่บ้านป้าหู จ่ายเงินเสร็จก็เดินกลับจวนตนเอง แม้จะไกลแต่ดีกว่าให้คนอื่นรู้ที่อยู่
เจ้าตัวน้อยนอนหลับมารดากลับมายังไม่ตื่น ลูกสะใภ้ป้าหูเพิ่งจะคลอดบุตร นางจึงเป็นแม่นมให้จื่อห่าวไปในตัวเวลาที่นางไม่อยู่ เมื่อมาถึงเปลี่ยเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เอาตั๋วเงินที่เว่ยเซียวหยางให้มาออกดู
"คุณหนูเจ้าคะ.บ่าวเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ"
"เข้ามาสิ"
"คุณหนูวันนี้ท่านไปนานนัก คงไม่ถูกใครพบเข้านะเจ้าคะ"
"ไม่มีหรอก จริงสิพี่เย่วเล่อข้าอยากพาพวกท่านไปอยู่ที่อื่น นี่ก็ปีครึ่งแล้วคนของตำหนักอ๋องคงไม่สนใจพวกเราอีกแล้วล่ะ พวกเราไปกันดีกว่าไหม"
"เราไม่มีเงินตำลึงนะเจ้าค่ะ หยกที่ฮูหยินทิ้งไว้ก็ขายไปแล้ว"
"อย่าห่วงเลย..ข้าหาเงินได้ ท่านไปนอนเถอะ" สาวใช้ไปแล้ว ซ่งฃจื่อเหยียนรวบรวมเงินที่หามาได้วันนี้รวมกับของเก่าทั้งหมดสองแสนแปดหมื่นตำลึง ต้องไปค้าขายที่อื่น เมืองหลวงไปไม่ได้อีกแล้ว
ทางด้านเว่ยเซียวหยางที่ให้ตั๋วเงินบุรุษผู้นั้นไปรอฟังรายงานได้ยินว่า
"รถม้าไปหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง มีชายวัยกลางคนออกมา อีกทั้งยังป่วยจริงๆ แต่กลับไม่เห็นบุรุษที่ต่อปากต่อคำกับท่านอ๋องหน้าประตูเมืองแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ"
เว่ยเซียวหยางจึงบอกคนของเขาให้ออกไป พรุ่งนี้ต้องเข้าเฝ้าเสด็จพี่เรื่องปัญหาน้ำท่วม เรื่องพวกนี้เอาไว้ค่อยหาความจริงทีหลังก็แล้วกัน
ซ่งจื่อเหยียนที่นอนกอดบุตรชายอยู่แต่นางยังไม่หลับ อยากรู้จังว่าถ้าไอ้บ้านั่นรู้ว่าหยกหายไปจะทำเช่นไร นางไม่สนใจหรอกหลานชายเปิดบ่อน มีคนเอาหยกของท่านอามาจำนำที่อ เรื่องนี้คงบันเทิงซ่งจื่อเหยียนวางแผนจะออกจากเมืองหลวงในอีกไม่กี่เดือน ตอนนี้บุตรชายได้หกเดือนแล้ว อีกสักสองเดือนค่อยหาทางไปนางเคยแอบไปดูลาดเลาเอาไว้ ตอนที่นางไปที่กรมที่ดินก็ได้ดูแผนที่และแผนผังของเมืองต่างๆ ด้วย เมืองจ้านกั๋วเหมาะที่สุดสำหรังลงหลักปักฐาน อยู่ไกลจากเมืองหลวงหนึ่งพันแปดร้อยลี้ เดินทางด้วยรถม้าไปจนถึงท่าเรือเมืองป๋าย นั่งเรือต่ออีกสิบวันก็ถึงที่สำคัญที่ดินยังไม่ค่อยมีคนจับจอง หากบอกว่ากันดารก็อาจจะจริง ไปถึงค่อยวางแผน เงินสองแสนตำลึงน่าจะพอให้ใช้จ่ายจนตาย แต่ว่านางยังอยากมีเงินมากกว่านี้อีกซ่งจื่อเหยียนนอนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา เธออายุยี่สิบสามก็เข้าฝึกทางการทหาร ได้อยู่หน่อยข่าวกรองห้าปี อยู่น้องชายก้ได้ไปเป็นCEOต้องไปดูแลงานที่ต่างประเทศ หลี่จื่อเหมาไปอยู่อังกฤษกับภรรยา หลานๆ อายุเพิ่งจะสี่ขวบกับห้าขวบ ทำให้เธอต้องลาออกจากหน่วยงานแล้วมาเลี้ยงหลานหลี่จื่อเหยียนจึงได้สมัครเป็นครูพละที่โรงเรียนประถมที่หลานๆ เร
ทางด้านเว่ยเซียวหยางที่กำลังรอองครักษ์สองพี่น้องมารายงานเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้นก็กำลังวางแผนงาน มีผู้อพยพหนีน้ำท่วมเดินทางเข้ามาเมืองหลวงมากขึ้น เขาหารือกับฮ่องเต้และบรรดาขุนนางแล้วว่าจะ จัดหาสถานที่ให้พวกเขาพำนักชั่วคราว อีกอย่างต้องสร้างที่พักให้กับบรรดาหมอและขุนนางที่ไปดูแลอีกด้วยเหวินเปียวและเหวินชางขี่ม้ามาถึงก็ให้คนดูแลรับเอาไป จากนั้นทั้งคู่ก็ไปเขาเฝ้าชินอ๋อง ใบหน้าของน้องชายบวมใช่น้อย แม่หนูเย่วเล่อนี่มือหนักจริงๆ เหวินเปียวก็เหลือเกิน ตัวเองอายุสามสิบแล้วยังไปหาเรื่องเด็กน้อยอีก นางอายุสิบแปดสิบเก้าเองกระมัง ให้เด็กสั่งสอนได้ข้าล่ะเชื่อเจ้าเลย ทั้งคู่มาหยุดที่หน้าห้องหนังสือก่อนจะรายงาน“ท่านอ๋องกระหม่อมองครักษ์เหวินชางกับองครักษ์เหวินเปียวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เข้ามาได้” เสียงตอบกลับจากผู้เป็นนายดังมาจากด้านใน องค์รักษ์สองพี่น้องจึงเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นท่านอ๋องของพวกเขากำลังดูแผนที่รอบเมืองหวงอยู่เหวินชาวคำนับก่อนจะเอ่ยรายงาน“ทูลท่านอ๋อง....พวกเรากลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งถามหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ปรากฏว่าท่านลุงแซ่หูคนนั้นบอกว่า เด็กหนุ่มมักจะมากับบิดาเพื่อมาซื้อยา สองพ่อ
จวนนอกเมืองซ่งจื่อเหยียนที่ตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้นางเก็บผักกับไข่ส่งเหลาอาหารตามเดิม เย็นนี้จะมีรถม้าของทางเหลาต่างๆ มารับเอง นางไม่อยากเสี่ยวเข้าเมืองหลวงอีก จังหวะเจอไอ้อ๋องสุนัขนั้นอีกจะรอดยาก ดูท่าฉลาดไม่น้อย เย่วเล่อเดินมาหานางก็ยามซื่อแล้วเพื่อเรียกไปกินข้าว“คุณหนู..ไปทานมื้อเช้าได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวกำลังจะพาคุณชายไปบ้านป้าหู คุณหนูบอกว่ะขึ้นเขามิใช่หรือเจ้าคะ”“อืม....พี่เย่วเล่อเราสามคนไม่มีนายบ่าวหรอก ต่อไปใช้ชีวิตกันเช่นพี่น้องทั่วๆ ไปเถอะ ว่าแต่เย่วหลีล่ะ”“เมื่อวานได้รวงข้าวมาเยอะ นางก็เลยไปเก็บอีก นันไงมาแล้วแบกหลังแอ่นมาเชียว”“รถม้าคันเก่าข้าขายไปแล้ว อีพักหนึ่งรถม้าคันใหม่จะมาส่งน่ะ เห้นท่านลุงหุบอกว่าเมื่อวานมีคนมาถามหาข้า ดีที่บุตรชายของเขาเอารถม้าไปในเมือง มิฉะนั้นหากคนสองคนนั้นจำได้ถูกเปิดโปง”เย่วหลีเดินเข้ามา เหงื่อซึมใบหน้าน้อยๆ ซ่งจื่อเหยียนใช้แขนเสื้อตนเอเงซับเหงื่อให้นางอย่างเบามือ ก่อนจะใช้มือเรียวสวยจับปอยผมทัดหูให้เด็กน้อยตรงหน้า เย่วหลียิ้มให้นางทั้งสามคนนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันหลังจากที่อิ่มแล้ว ซ่งจื่อเหยียนก็ให้นมบุตรชายจนอิ่ม เมื่อเจ้าตัวน้อยหลับแ
ด้านหลังของเขาตามมาด้วยบุรุษอีกหลายคน บุรุษคนหนึ่งสวมอาภร์สีม่วง เป็นผ้าไหมชั้นดีศีรษะสวมกว๊านหยกสีขาวเนื้อดีแกะลวดลายกิเลน หยกห้อยเอวคือชิ้นที่นางขโมยมันไปจำนำเมื่อวันก่อน เขาคือเว่ยเซียวหยางคนสารเลวที่ทำลายร่างเดิม ซ่งจื่อเหยียนเดินไปหาเย่วหลีก่อนจะยกเท้าถีบไปที่ยอดอกเหวินเปียวทันที จนเขาเซไปหลายก้าวเว่ยเซียวหยางตาลุกทันทีที่คนของตนถูกทำร้าย เขาเดินเข้ามาหานางจับคางบบีบอย่างแรง แต่ซ่งจื่อเหยียนไม่หวาดกลัวนางสบสายตาอย่างไม่ยอมแพ้ เว่ยเซียวหยางเอ่ยเสียงเข้ม“กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนของข้า ซ่งจื่อเหยียน” ”แล้วเจ้าเล่า เว่ยเซียวหยาง เลี้ยงสุนัขเช่นไรปล่อยกันคนไปทั่ว หรือว่าเจ้าเองก็ไม่ต่างจากสุนัขของตน”“ซ่งจื่อเหยีน..กล้าเรียกชื่ออ๋องเช่นข้าตรงๆ ใครให้ความกล้าเจ้ากัน”“ต้องมีใครให้ความกล้าข้าด้วยหรือ คนเช่นท่านมีอันใดให้น่าเคารพหรือ ก็แค่ตำแหน่งติดตัวมาตอนเกิด อยากฆ่าข้าก็ควรลงมือเลย ทางที่ดีอย่าให้ข้าเป็นฝ่ายลงมือก่อน”เว่ยเซียวหยางเหวี่ยงนางไปข้างๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง เขามองเห็นตะกร้าใบใหญ่ มีมีดเล่มใหญ่ใส่เอาไว้ นางแต่ตัวผิดไปมิได้ใส่ชุดสวยงามเช่นคืนนั้นที่เขาเจอ นางแต่งกา
หลังจากที่ซ่งจื่อเหยียนให้เย่วหลีลักลอบออกไปส่งสัญญาณให้ทางบ้านป้าหูเรียบร้อยนางก็เริ่มทยอยเก็บข้าวของ ดีที่รถม้าคันใหม่นั้นใหญ่กว่าคันเดิมถึงสองเท่า นางไม่ได้อยากขนข้าวของอันใดไปมาก ซ่งจื่อเหยียนเก็บข้าวของบุตรชายเอาไว้ในห่อผ้าอย่างดี ห่อหลายๆ ชั้นเพื่อไม่ให้พวกเขาจับได้ ก่อนจะซุกห่อผ้าบุตรชายไว้ใต้ล่างของไหผักดองนางเตรียมของเรียบร้อยก็นำใส่รถม้าตนเองทันที เว่ยเซียวหยางยืนมองสตรีที่กำลังเก็บข้าวของอย่างแคลงใจ หากเป็นสตรีคนอื่นคงร้องไห้อ้อนวอนเขาแล้ว แต่ซ่งจื่อเหยียนทำเหมือนต้องการจะไปอยู่แล้วนางดูไม่เหมือนคนอ่อนแอเช่นเมื่อสองปีก่อนสักนิดเว่ยเซียวหยางยืนมองร่างบางระหงที่กำลังขนข้าวของใส่รถ นางงามจริงๆ มิน่าน้องสาวถึงได้ริษยาจนวางแผนชั่วร้าย เหมือนนางจะงามกว่าเก่าอีกด้วย เขากำลังสังเกตคนตรงหน้าอยู่ๆ ก็มีองครักษ์เงาของฝ่าบาทมาหา จากนั้นเว่ยเซียวหยางก็เรียกหาเหวินชาง“เหวินชางเจ้าจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย ข้าจะเข้าวังฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าด่วน ให้คนดูแลความปลอดภัยส่งนางให้ถึงอี้โจว"เหิวนชางรับคำสั่งก่อนจะไปทำตาม เว่ยเซียวหยางควบม้ากลับเข้าเมืองพร้อมองครักษ์ทันที เหวินเปียวด
เมื่อพูดคุยกันไปก็ดื่มกันไปจนกระทั่งยามจื่อจึงพากันแยกย้าย เหวินชางแวะมาหาซ่งจื่อเหยียนก่อนเข้านอน เขาเคาะประตูก่อนจะเอ่ยเรียก ก๊อก ก๊อก ก๊อก"คุณหนูใหญ่ข้าน้อยเหวินชางขอรับ""ใต้เท้าเหวินมีเรื่องอันใดหรือ นี่ดึกมากแล้ว""ท่านอ๋องฝากของเอาไว้ให้ท่าน ข้าน้อยเกรงว่าพรุ่งนี้อาจจะยุ่งจนลืมน่ะขอรับ"ซ่งจื่อเหยียนเปิดประตูออกมา เห็นองครักษ์ยืนหน้าแดงเพราะฤทธิ์สุรา เหวินชางส่งกล่องไม้ให้นางก่อนที่จะเอ่ยปาก"นี่เป็นของที่ท่านอ๋องฝากไว้ให้ท่าน เสร็จธุระแล้วข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ"เหวินชางส่งกล่องไม้เล็กๆ ให้กับซ่งจื่อเหยียน จากนั้นเขาก็เดินเซกลับไปยังเรือนพักตนเอง ซ่งจื่อเหยียนกลับเข้าห้องปิดประตู ก่อนจะเปิดออกดู เห็นจดหมายม้วนไว้นางจึงหยิบมาอ่าน มีตั๋วเงินม้วนอยู่หยิบออกมาคลี่ดูมากเพียงนี้เชียว ใจกว้างไม่เบานะตาเฒ่านี่ จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แต่นอนไม่หลับเท่าไหร่ เคยนอนกอดบุตรชายทุกคืนวันนี้ต้องไปฝากคนอื่นไว้นางคิดถึงลูกจริงๆส่วนเย่วหลีที่ไปนอนบ้านป้าหูเพื่อช่วยลูกสะใภ้ป้าหูคอยดูแลซ่งจื่อห่าว เย่วเล่อจัดของขึ้นรถม้าเสร็จเมื่อตอนเย็นแต่นางกลับลืมเอาของสำคัญไปด้วย พอนึกได้ก็ลุกไปหยิบห่อเมล็ดพันธุ
เขานอนไม่หลับมานานแล้ว เนื่องจากวรยุทธที่เขาฝึกฝนทำให้เขากลายเป็นคนนอนยาก บางวันสามคืนไม่หลับก็มี แต่เมื่อคืนเขาหลับสนิท เป็นเพราะนางหรือเพราะห้องนี้กันแน่ที่ทำให้เขานอนหลับได้สนิทในรอบหลายปี นางไม่อยู่เขาจะนอนห้องนี้บางทีสาเหตุการที่เขานอนหลับอาจมาจากห้องนี้ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นเขาจะขอท่านอ๋องย้ายมาพักที่นี่ถาวรซ่งจื่อเหยียนตื่นมาทำมื้อเช้าช่วยกันกับเย่วเล่อ นางทำขนมหลายอย่างที่สามารถกินกับน้ำชาตอนเดินทางได้ บุตรชายยังเล็กการเข้าพักโรงเตี๊ยมบ่อยๆ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนางจึงจะหาเช่าบ้านนอนระหว่างเดินทางเมื่อทำอาหารเสร็จก็ปลายยามเฉิน สองคนนายบ่าวพากันขึ้นรถม้าเดินทางไปรับซ่งจื่อห่าว กับเย่วหลีที่บ้านป้าหูทันที เมื่อคืนพวกเขาเมากันหนักมาก อีกอย่างวันนี้ต้องรอคำสั่งท่านอ๋องก่อนจึงได้ตื่นสาย เหวินชางกับเหวินเปียวได้รับคำสั่งจึงออกเดินทางเข้าเมืองหลวงแต่เช้าแล้ว จึงไม่รู้ว่าซ่งจื่อเหยียนกับสาวใช้ส่วนตัวของนางออกเดินทางไปแล้วเมื่อมาถึงบ้านป้าหูก็รีบลงไปรับบุตรชายทันที ป้าหูไม่ได้ถามว่าพวกนางจะไปไหน เพราะปกติถ้าสินค้าขายดีก็จะไปกันทั้งบ้าน ลูกสะใภ้ป้าหูอุ้มซ่งจื่อห่าวมาส่ง ซ่งจื่อเหยียนรับบ
หลังจากที่ซ่งจื่อเหยียนไปแล้วเว่ยเซียวหยางก็กลับมาถึงจวนปลายยามอู่ เขาไม่เห็นนางกับสาวใช้จึงคิดว่าพ่อบ้านมารับนางไปแล้ว ส่วนเหวินเปียวได้แต่แอบคิดถึงร่างนุ่มนิ่มที่นอนกอดมาตลอดทั้งคืนหากเสร็จเรื่องเขาจะไปอี้โจว เว่ยเซียวหยางเรียกหาเหวินชางมาพูดคุยเพียงลำพัง"นางว่าอย่างไรบ้าง""มิได้เอ่ยอันใดพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเหตุใดไล่นางไปกระหม่อมอยากรู้เหตุผล ที่จริงนางอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เกะกะ ขอเพียงสั่งไม่ให้พวกนางมาเพ่นพ่านก็ไม่น่ามีปัญหา""ซ่งชุนท่านอาของนางติดต่อซื้อขายแร่เหล็กกับต่างแคว้น เหวินชางข้าไม่ได้แต่งงานกับนาง หากสกุลซ่งได้รับผลจากเรื่องนี้นางจะรอดหรือในเมื่อนางแซ่ ข้าแค่อยากชดเชยที่เคยล่วงเกินนางจึงปล่อยนางไป""แล้วน้องสาวนางคุณหนูรองคนนั้น""นางแต่เข้าตำหนักองค์ชายห้าแล้ว ที่สำคัญหยางหมิงเป็นคนเช่นไรมิใช่เจ้าไม่รู้ หลานชายข้าผู้นี้งามเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เขาเห็นแก่ตัวเพียงใดสะสมอนุไว้เต็มจวน ซ่งซยาอวิ๋นคนนั้นเกรงว่าทางที่เดินคงมีแต่น้ำตาเสียแล้ว"สามคนนายบ่าวนั่งทำงานกันไปจนเลยมื้อเที่ยงไปแล้ว เสียงเอะอะจากด้านนอกดังเข้ามาจนถึงข้างในจวน"นี่ๆ ท่านขุนนางข้ามาหาอาซ้อซ่งนางกลับมาจากค้
หลี่ผิงอันมาส่งเหวินเมิ่งหรูกลับจวนเหวิน สวนทางกับขบวนของราชครูหยางที่มาสู่ขอเว่ยซูหนีว์ให้กับหยางตงหยาง ทั้งสี่คนหมั้นหมายจ้าวสาวของตนเองเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวทั้งสี่ถูกเข้มงวดให้เรียนการเรือน และการปกครองเรือนเพราะอีกสองเดือนพวกเขาจะต้องแต่งงานแล้วทั้งสี่ตระกูลตกลงแต่งงานพร้อมกันวันเดียวกัน ทางด้านนักพรตทำนายฤกษ์ให้แล้วเรียบร้อย เว่ยเซียวหยางที่ปรับปรุงจวนนอกเมืองอยู่ก็กอดเมียรักที่ตามมาดูด้วย จวนกว้างกว่าพันหมู่จางจื่อเหยียนนำผลไม้มาลงปลูก ตามหาต้นชาชั้นดีบนภูเขามาปลูก ดอกไม่หลากหลายพันธุ์ เหมยกุ้ยสายพันธุ์เลื้อยบ่าวทำค่างให้เกาะเกี่ยวไปตามชอบรั้วยิ่งมองยิ่งงามมากนัก ด้านหลังสุดทำโรงเรือนเพราะอยู่ใกล้เชิงเขา เว่ยเซียวหยางตามใจพระชายาของตน นางเปิดโรงเรียนสอนเด็กๆมิได้ต้องการเงินทอง แต่เพื่อให้บิดามารดาเด็กเหล่านั้นได้ไปทำมาหากินสะดวกไม่ต้องกังวลเรื่องบุตร"เสี่ยวเหยียน..อยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่""ไม่เพคะ..เด็กๆเล่าไปเที่ยวเล่นบนเขายังไม่กลับมาอีกหรือ""ปล่อยพวกเขาเถอะ อีกสองเดือนก็แต่งงานกันแล้ว พวกเขาแปดคนคงรู้ตัวว่าต้องทำอย่างไร ว่าแต่เมียพี่เหนื่อยหรือไม่""ไม่เหนื่อยเพคะ กล่
ยามเฉินเหวินเมิ่งหรูตื่นมาล้างหน้าบ้วนปาก วันนี้นางมิต้องไปสำนักศึกษาท่านแม่บอกว่าจะมีเรื่องสำคัญให้นางอยู่บ้าน ทางด้านเหวินลี่ซินเองก็อยู่บ้านเช่นกัน สองคนพี่น้องได้แต่มองหน้ากันไปมา"ชิงชิงไปสืบมาหน่อยวันนี้ที่จวนมีเรื่องอันใด""คุณหนู..ท่านแม่คาดโทษท่านอยู่นะเจ้าคะ""หึ..ไม่สนใจหรอก อยู่ๆจะให้ข้าแต่งกับตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้ ข้าจะไปหาพี่เมิ่งหรู""เจ้าจะไปทำไมหรือ""ข้าจะหนีออกจากบ้าน หึ"เหวินลี่ซินชะงักเพราะเสียงที่ถามนางกลับมามิใช่เสียงของชิงชิง เหวินลี่ซินหันกลับไปก็เจอกับเว่ยจื่อห่าวยืนอยู่ ชิงชิงไปไหนแล้ว ดรุณีน้อยลุกขึ้นทันที นางไม่อยากมองหน้าคนใจร้ายคนนี้ เพราะเขามาฟ้องนางจึงถูกลงโทษคุกเข่าสามวัน ท่านแม่ยังให้สวดมนต์กินเจอีกเพื่อให้จิตใจสงบ หึ..สงบกับผีบรรพบุรุษน่ะสิ นางหิวจนแทบจะจับพี่สาวกินได้อยู่แล้ว เหวินลี่ซินเอ่ยอย่างไม่พอใจทันที"ท่านมาทำไมอาจารย์เว่ย""โอ้ว..สรรพนามเปลี่ยนไวจังลูกศิษย์ของข้า มิเรียกพี่จื่อห่าวแล้วหรือ""ไม่ล่ะ เราไม่ได้สนิทกันถึงเพียงนั้น"เว่ยจื่อห่าวอมยิ้มก่อนจะเดินมาหาคนตัวเล็กที่นั่งหน้างอแก้มป่องอยู่ เขานั่งลงข้างๆก่อนจะโอบไหล่บางมาหา บรรจงหอมแก้ม
ในห้องเหวินเมิ่งหรูนอนพลิกกายไปมา นางไม่อยากคิดถึงคนใจร้ายคนนั้นอีก หลี่ผิงอันคนใจดำเสียแรงที่นางทุ่มเทนางรักเขาแต่เขา ต่อไปอย่าหวัง แต่งงานกับเขาหรือไม่มีทางเสียหรอก นางจะไปให้เขายกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้"หึ..แต่งให้ท่านหรือไม่มีทาง ครั้งก่อนท่านผลักไสข้ามิใช่หรือ คนใจดำ"คนตัวเล็กข่มตาหลับไปแล้วแต่คนตัวโตยังไม่นอนเขากำลังคิดถึงเรื่องเมื่อสามเดือนก่อน ที่แม่ตัวดีก่อเรื่องขึ้นมาสามเดือนก่อนหน้าเหลาสุราเถาจิ่วจางเย่วหลีที่เปิดเหลาสุรากำลังนั่งนับเงินอยู่ วันนี้ต้องไปจัดการคิดบัญชีคำนวณส่วนแบ่งกับร้านย่อยต่างๆที่มารับสุราของนางไปขาย มีบางร้านเบี้ยวไม่จ่าย ร้านไหนกำไรน้อยนางให้ทยอย แต่ถ้าใครเบี้ยวนางก็ไม่เอาไว้เช่นกัน จางเย่วหลีเลี้ยงคนของตนเองไว้พอสมควรนางไม่ออยากใช้คนของสามี เหวินชางเป็นเจ้ากรมกลาโหม ทุกก้าวต้องระมัดระวัง นางไม่อยากให้พวกหัวเก่าเอาเรื่องเหล่านี้ไปหาเรื่องสามีในท้องพระโรงได้ เจ้าตัวดีเหวินเมิ่งหรูวันนี้ไม่ไปเรียนหนังสือ ขอนอนอยู่ที่จวนแต่ตกบ่ายกลับมาเสนอหน้าที่ร้านน่าตียิ่งนักหลี่ผิงอันพาลูกน้องที่ทำผลงานได้ดีครั้งที่แล้วปราบปรามพวกโจรขโมยเด็กและค้ามนุษย์ได้ยกกลุ่
เด็กทั้งสี่คนถูกลงโทษให้คุกเข่าที่หอบรรพบุรุษของแต่ละจวนเป็นเวลาสามวัน จากนั้นพวกนางต้องคัดกฎสกุลของตนเอง เหวินชางที่กำลังกลับมาจากไปทำงานให้ฝ่าบาทมาถึงเมืองหลวงก็นั่งที่โรงน้ำชา เขาสวมหมวกฟางเอาไว้ยังไม่ได้ถอดออกมาเสี่ยวเอ้อรีบมารับหน้าก่อนจะถามเขาว่ารับสิ่งใด เขาสั่งน้ำชาหนึ่งกาพร้อมกับอาหารสามสี่จาน แม้จะคิดถึงจางเย่วหลีกับบุตรสาวและบุตรชายแต่ลูกน้องยังไม่ได้กินข้าวจำต้องหยุดรั้งที่ร้านอาหาร กระทั่งมีบางอย่างเข้าหูเขา"นี่เจ้ารู้ไหม..ผู้ตรวจการหลี่สามวันก่อนอุ้มสตรีงดงามออกมาจากตรอกหลังตลาดด้วยล่ะ""หา..ได้ยินว่าที่บ้านเขาไร้สาวใช้ข้ายังนึกว่าเขาจะชอบบุรุษด้วยกันเสียอีก""ได้ยินว่าสตรีคนนั้นอ่อนระโหยโรยแรงจนเดินไม่ไหว ไม่รู้เข้าไปทำอันใดในตรอกแห่งนั้นกัน ฮ่าๆๆๆ""ชู่..จุ๊ๆๆ...อย่าเสียงดังไป สตรีที่ใต้เท้าหลี่อุ้มออกมาคือคุณหนูเหวินบุตรสาวคนโตเจ้ากรมกลาโหมเหวินชาง คุณหนูเหวินเมิ่งหรูน่ะ""ห๊า..จุ๊ๆๆ เช่นนั้นอาจไม่มีอะไรพวกเขาเป็นน้าหลานกัน""น้าหลานอันใด พวกเขาไม่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดสักหน่อย""ฺฮ่าๆๆ เรื่องนี้คนซุบซิบกันทั่วเมืองหลวง เกรงว่าคุณหนูเหวินคนนั้นคงได้แต่แต่งกับชายแก่หร
เหวินเมิ่งหรูวิ่งแยกออกมาอีกทาง ตอนนี้นางแทบจะถอดรองเท้าวิ่งด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงตรอกทางแยกนางจึงเลือกตรอกที่ไปคนละทางกับสำนักศึกษา วิ่งจนมาเกือบพ้นปากตรอกก็ขนเข้ากับอะไรบ้างอย่างที่แข็งๆ เหวินเมิ่งหรูเจ็บจนแทบน้ำตาร่วง นางตวาดออกมาทันที"โอ๊ย เดินดูทางสิวะ ข้ารีบไม่เห็นหรือไง"ร่างเล็กคลำจมูกตนเองนางเจ็บมาก คนตัวสูงที่ยืนมองนางอยู่ก็ข่มอารมณ์ก่อนจะเอ่ยออกมา"โอ่ว..รีบมากไหมเหวินเมิ่งหรู เรียนหนักจนหัวหูมีแต่เศษดินเศษหญ้าเชียวหรือ อีกอย่างทางนี้คนละทางกับสำนักศึกษานี่"เหวินเมิ่งหรูจำเสียงเขาได้ทันที ให้ตายสิเขาไม่ได้อยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนั้นบนเขาหรือ นางถึงกับลอบกลืนน้ำลายก่อนจะเงยหน้า นางเอ่ยตะกุกตะกัก"ทะ ท่านน้าคือว่าข้าๆ ว้าย" หลี่ผิงอันจับสาวน้อยแบกขึ้นบ่าทันที"ท่านน้าท่านทำอะไร แบกข้าทำไม่ปล่อยข้าลงนะ ตาเฒ่าหลี่ โอ๊ยยย เจ็บนะท่านตีก้นข้าทำไมเพียะ เพียะ เพียะ หลี่ผิงอันฟาดก้นนางไม่นับเลยทีเดียว ปากคอเราะรายวาจาน่าเกลียดเหลือทน เหวินเมิ่งหรูร้องไห้ออกมา นางถูกเขาแบกจนห้อยหัวลงมา สายตามองเห็นแต่พื้นอิฐของถนนในเมืองหลวง ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีกเลย เขาใจร้ายท่านพ่อกับท่านแม่ยังไม่เคยตีนาง
ทั้งสี่สาวเข้าเรียนปกติ จนกระทั่งพักกลางวันเมื่อกินข้าวกันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มกระซิบกระซาบกันปากต่อปาก เว่ยซูหนีว์เดินออกไปก่อนตามด้วยน้องสาว เหวินเมิ่งหรูไปหาท่านลุงที่ตรอกตรงข้ามกับสำนักศึกษาก่อนจะรับเอากระบอกไม้ไผ่มาสี่อันไม่นานเด็กในสำนักศึกษากว่าสามสิบคนก็มาอยู่บนเนินเขาหลังสำนัก โจวผิงบุตรชายคหบดีของเมืองหลวงเอากระบอกไม้ไผ่ของตนเองออกมา จากนั้นเด็กๆก็เริ่มวางเดิมพัน"พวกเจ้าพนันข้างไหนกันมาๆข้าวางข้างคุณชายโจว""ข้าวางข้างท่านหญิง""มาๆวางๆเริ่มที่สองร้อยอีแปะพวกเจ้าวางเท่าไหร่""ข้าห้าร้อยอีแปะ""ข้าแปดร้อย""ข้าหนึ่งตำลึง""ข้าลงสองร้อยตำลึง"เมื่อวางเดิมพันเรียบร้อยทั้งสองคนก็เริ่มเปิดกระบอกไม้ไผ่ที่เจาะรูเอาไว้เทเอาจิ้งหรีดออกมาลงในสนามที่พวกเขาสร้างวเอาไว้ เมื่อทั้งสองตัวลงมาเจอก็นก็เริ่มสู้กันเอาเป็นเอาตาย เด็กๆส่งเสียงฌอลั่น จิ้งหรีดของเว่ยซูถิงกำลังจะแพ้ พวกนางลุ้นจนตัวเกร็ง สุดท้ายโจวผิงก็ชนะ"เอาใหม่ ตานี้เอาของข้า โจวผิงเจ้าจะลงอีกไหมกลัวหรือเปล่า""เหอะคุณหนูเหวิน ท่านดูถูกใครกันมาสิเอาของท่านออกมา""หึข้าไม่เอาเปรียบเจ้าจะเปลี่ยนตัวไหม"เหวินเมิ่งหรูกอดอกยืนเดาะปาก
ใบไม้ผลัดเปลี่ยนฤดูกาลหมุนเวียน บัดนี้รัชทายาทมีอายุยี่สิบเอ็ดชันษาแล้ว ฮ่องเต้มักให้พระองค์ทรงว่าราชการแทนในบางครั้งเพื่อฝึกปรือเขา เช่นเรื่องเกี่ยวกับการออกข้อสอบเพื่อหาขุนนางน้ำดีในอนาคต วันนี้รัชทายาทอยู่ที่จวนหลี่เพื่อหารือกับหลี่ผิงอันเว่ยจื่อห่าวเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษาหลวง หูเกอเป็นรองผู้พิพากษาศาลปกครอง ทั้งสี่คนนับว่าเป็นสหายร่วมเรียนด้วยกันมา ท่านย่าหลี่ยังแข็งแรงดี หลี่ผิงอันจากรองผู้ตรวจการตอนนี้เขากลายเป็นผู้ตรวจการในวัยเพียงสามสิบห้าปีเท่านั้นด้วยความเถรตรงและเป็นขุนนางที่ซื่อตรงบรรดาขุนนางด้วยกันยังไม่กล้ามีเรื่องกับเขา ท่านย่าทำขนมเพื่อมาเลี้ยงบรรดาคนที่มาหารืองาน เว่ยเซียวหยางปล่อยให้บุตรชายได้เติบโตจัดการเรื่องราวต่างๆเอง"ท่านน้าขอรับ ได้ข่าวว่าพักนี้ลูกศิษย์สำนักศึกษามักจะพากันหนีเรียนอยู่เรื่อยๆ"จางจื่อห่าวเอ่ยแก่หลี่ผิงอัน เขาถอนหายใจเรื่องนี้ทางสำนักศึกษาแจ้งแก่หน่วยเขามาหลายครั้งแล้ว เว่ยจื่อห่าวแม้ว่าจะเข้มงวดแต่อีกสถานะหนึ่งเขาคือรองผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ จะมาสอนสัปดาห์ละสามวันเท่านั้น รอจนกว่าสำนักศึกษาจะได้อาจารย์มาเพิ่ม ซึ่งท่านมหาราชครูกำลังเฟ้นหาบัณฑิต
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนจางจื่อเหยียนให้กำเนิดบุตรชายคนสุดท้องออกมา นางขอร้องให้หมอหลวงฝังเข็มคุมกำเนิดให้นาง เพราะเลี้ยงไม่ไหวแล้วลูกดกเกินไปแล้ว เว่ยเซียวหยางเดินเข้ามาในห้องอยู่เดือนก่อนจะนั่งลงข้างๆบนเตียง เห็นเมียนอนหลับอยู่ก็ห่มผ้าให้นางแล้วจุมพิตหน้าผากเปียกชื้นเบาๆ"เด็กดีของพี่ขอบคุณเจ้ามากที่ให้กำเนิดของขวัญล้ำค่าทั้งเจ็ดคนให้พี่""อืม.."จางจื่อเหยียนรู้สึกตัวจึงลืมตาขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้สามี"ท่านอ๋อง...ทรงกลับมาจากเข้าเฝ้าแล้วหรือเพคะ เหนื่อยหรือไม่""ไม่หรอก วันนี้เป็นเช่นไรบ้างอีกเจ็ดวันก็ออกเดือนแล้วอยากไปเที่ยวไหนหรือไม่""ไม่เพคะ อีกสองเดือนต้องไปอี้โจวแล้วทรงเตรียมตัวหรือยังเพคะ""เรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเหยียนของพี่เจ้าไม่ได้ไปอี้โจวมาสามปีแล้ว อยากไปหมู่บ้านปิงเหอหรือไม่ พี่จะพาไป""เพคะ ลำบากพระองค์แล้ว""เว่ยเซียวหยางไม่สนใจเรื่องกฎเกณฑ์เขาทอดกายลงข้างๆนางกอดนางแล้วลูบหลังให้ จางจื่อเหยียนหลับไปเพราะความเพลียกระทั่งถึงมื้อค่ำบ่าวจึงมาตามท่านอ๋องและนำโจ๊กมาให้พระชายา เว่ยเซียวหยางออกไปรับโจ๊กมาเอง ก่อนจะนั่งป้อนภรรยาตนเองจางจื่อเหยียนก็ยอมให้เขาป้อนแต่โดยดีเด็กๆดีใจที่จ
สิบสองปีผ่านไปเว่ยเซียวหยางในวัยห้าสิบเอ็ดปีจางจื่อเหยียนในวัยยี่สิบแปดปีที่นับวันยิ่งงามมากนักเว่ยซูหนีว์กับเว่ยซูถิงตอนนี้เจ็ดขวบแล้ว เว่ยลู่เสียนห้าขวบเว่ยซิงอีกับเว่ยซีฮวนสามขวบ และจางจื่อเหยียนกำลังท้องคนที่เจ็ดอยู่ ซึ่งก็ใกล้คลอดแล้วเช่นกัน เว่ยเซียวหยางไม่ผิดคำพูดเขารับขวัญลูกคนละสองล้านตำลึงทองเท่ากับสิบล้านตำเงินซึ่งมากกว่าที่เคยบอกไว้ ตอนนี้พระชายาถือว่าเป็นภรรยาขุนนางที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้น ยังไม่รวมเงินทองที่นางทำการค้าอีกนับไม่ถ้วนจางเย่วหลีเองก็อายุยี่สิบห้าปีนางกับเหวินชางในวัยห้าสิบสามปีมีบุตรสาวสองคนบุตรชายสองคน นางเปิดเหลาสุราอย่างที่ตั้งใจ ทางด้านสกุลจ้าวมาทำการค้าที่เมืองหลวงเป็นคู่ค้ากับนาง เดือนหนึ่งจางเย่วหลีมีรายได้กว่าเจ็ดหมื่นถึงหนึ่งแสนตำลึง เหวินชางที่มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้ากรมไม่อยากให้เมียทำงานมากนัก แต่นางหรือจะฟังยิ่งนานวันจากสตรีอ่อนหวานที่ขี้อายตั้งแต่คุมเหลาสุรานางก็แกร่งขึ้น ใครมาอาละวาดนางก็ตีกลับจนหมดส่วนจางเย่วเล่อนั้นไม่ต้องกังวลใดๆเดิมก็ตาต่อตาฟันต่อฟันอยู่แล้ว นางแกกว่าจางจื่อเหยียนหนึ่งปีวัยยี่สิบเก้าสามีเหวินเปียวอายุปีนี้ก็ห้าสิบพอดี สามคนพี