บทที่ 1 ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากจะทำให้เจ้าฟื้นขึ้นมาได้!!
“อ้ากกกก!!! เจ้า...เจ้า” ...
หยางซีซีกระอักเลือดออกมาเป็นสาย นางพยายามที่จะชี้หน้าของเจียงกุ้ยเฟย ทว่าร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนล้าสิ้นเรียวแรงราวกับใบไม้เหี่ยวเฉาด้วยพิษร้ายแรงที่ร่างของนางได้รับ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองไปยังใบหน้าของเจียงกุ้ยเฟยที่เต็มไปด้วยความชิงชังเคียดแค้น ใบหน้าที่เคยเป็นเพื่อนรักของนางมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งทั้งคู่ได้แต่งเข้าวังหลวงด้วยกัน
เจียงกุ้ยเฟยเดินเข้ามาช้าๆ เสียงหัวเราะเย้ยหยันของนางดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
"เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปได้อย่างนั้นรึ หยางซีซี! ฮ่าๆๆ"
จากนั้นนางก็หยิบมีดสั้นขึ้นมาช้าๆ มีดสั้นเล่มนั้น เล่มที่นางเห็นว่าฮ้องเต้เป็นคนมอบให้เจียงกุ่ยเฟย นางจำอัญมณีตรงด้ามมันได้ เพราะเจียงกุ้ยเฟยนั้นมักนำมาให้นางดูตลอดเพราะว่านางชอบมีดเล่มนี้มาก
นางเลื่อนมีดสั้นเล่มนั้นไปมาใกล้กับหัวใจของหยางซีซีอีกครั้ง หยางซีซีกัดริมฝีปากแน่นพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เสียงที่ออกมาได้เพียงเสียงครางแผ่วเบา
"ข้า...ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าชนะง่ายๆ หรอก เจียงกุ้ยเฟย"
เสียงของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินจากนั้นนางก็กระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่ ลมหายใจตอนนี่ถือได้ว่ารวยรินมากแล้ว แต่เจียงกุ้ยเฟยกลับได้ยินชัดเจน นางหัวเราะออกมาดังลั่น จากนั้นมีดสั้นเล่มเล็กแต่ว่าอาบไปด้วยอาคมชั่วร้ายก็ถูกแทงลงไปอีกครั้ง....และอีกครั้ง พร้อมกับความเกลียดชังอย่างถึงที่สุดที่เจียงกุ้ยเฟยได้ใส่ลงไป
นางแทงมีดลงไปอีกหลายครั้งจนแน่ใจว่าเพื่อนรักไม่รอดแน่แล้วจากนั้น เจียงกุ้ยเฟยค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ตามร่างของหยางฮองเฮาผู้เย่อหยิ่งแห่งแคว้นต้าโจว ไหนจะมีดสั้นเล่มเล็กเล่มนั้นที่แทงเข้าที่ตำแหน่งหัวใจของนางพอดี ตอนนี้ไม่เหลือสภาพของฮองเฮาผู้สง่างามผู้นั้นแล้ว...เจียงกุ้ยเฟยก้มหน้ามองหน้าของหยางซีซีอีกครั้งก่อนจะยิ้มที่มุมปาก หากว่ามองดีๆ จะเห็นถึงความวิปริตในดวงตาสวยเฉี่ยวคู่นั้นของนาง...
“ฮึ...ข้าว่าตอนนี้ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากที่จะทำให้เจ้าฟื้นขึ้นมาได้แล้วล่ะ...ศึกครั้งนี้...เป็นข้าที่ชนะ!!! ฮาฮาฮา”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณหน้าผาที่สูงชันหยางฮองเฮากระอักเลือดออกมาและกระตุก2-3 ครั้ง ร่างกายของนางสั่นเทา ความเจ็บปวดทรมานแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ภาพความทรงจำต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัว นางนึกถึงวันวานที่เคยมีความสุขกับครอบครัว นึกถึงวันที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮานั่งอยู่เคียงข้างกับองค์ฮ่องเต้ นึกถึงอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักของนางก่อนที่จะมาเป็นฮองเฮา นึกถึงเหล่าขุนนางที่เคารพนับถือนางในฐานมารดาผู้เก่งกาจของแผ่นดิน นึกถึงหงส์ขาวคู่ใจที่คอยเป็นเพื่อน...แต่ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วพร้อมกับสติและวิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างของหยางฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นต้าโจว
ลมหนาวพัดกระหน่ำพัดเอาเส้นผมของเจียงกุ้ยเฟยปลิวไสว พร้อมกับร่างของหยางซีซีถูกโยนลงจากหน้าผาที่สูงชันลงไปในหุบเหวลึก ราวกับโยนของไร้ค่าบรรยากาศเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัดผ่านเท่านั้นที่ดังก้องกังวาน
ฉับพลันบรรยากาศบริเวณหน้าผาก็บิดเบี้ยวขึ้นมาพร้อมกับพลังมหาศาลได้แหกอากาศบริเวณนั้นออกมาพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ...
“อย่า!!!!”
ทันใดนั้นพลังจากฝ่ามือของปรมาจารย์หัตถ์เทวะก็ถูกซัดอย่างแรงไปที่หน้าอกของเจียงกุ้ยเฟยจนหน้าอกของนางทะลุ ร่างของนางถูกแรงฝ่ามือก็ปลิวลงสู่หุบเหวตามร่างของหยางฮองเฮาทันที!!!
ปรมาจารย์หัตถ์เทวะกระโดดลงไปในเหวลึกอย่างไม่ลังเล ดวงตาคมกริบส่องประกายด้วยความโกรธแค้นและความเศร้าโศก ท่ามกลางความมืดมิด เขาใช้เวทมนตร์ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบร่างของศิษย์รักแม้แต่เงา เสียงสะท้อนของความเงียบดังก้องไปทั่วเหวลึกราวกับเย้ยหยันความพยายามของเขา…..
ณ. เมืองฉูโจว ทางใต้ของเซียงไฮ้ ประเทศจีนปี1975
หยางซีซีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาในห้องเล็กๆ บนเตียงเตาแข็งๆ ในห้องที่ค่อนข้างที่อับชื้น นางหันมองไปรอบๆ ห้อง ฉับพลันสายตาก็ตกลงที่ก้อนเล็ก 2 ก้อนที่นอนขดเบียดอยู่ข้างกายของนางพร้อมกับผ้าห่มผืนบางที่คลุมพวกเขาเอาไว้...หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองเพดานอีกครั้ง นางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางในตอนนี้ และไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนกันแน่ ร่างกายของนางหนักอึ้งราวกับภูเขาความทรงจำไหลย้อนไปที่การวางยาพิษของกุ้ยเฟย การตามล่าตามล้างนางเพื่อจะเข่นฆ่านางให้ตายด้วยความเกลียดชัง ความเจ็บปวดทรมานก่อนที่นางจะสิ้นใจภายใต้คมมีดสั้นเล่มนั้น
ฉับพลันหยางซีซีก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงจากนั้นความทรงจำสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในหัวของนางเช่นกัน….เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดหยางซีซิก็ค่อยลืมตาขึ้นมา นางกะพริบตา 2-3 ครั้ง เพื่อเรียกสติของตัวเองพลางถอนหายใจเบาๆ … หยางซีซีพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ร่างกายกลับปวดเมื่อยไปหมด เธอเหลือบมองไปที่เด็กน้อยทั้งสองคนอีกครั้ง เห็นท่านอนที่แสนจะน่ารักของพวกเขา เธอจึงหยิบผ้าห่มของตัวเองห่มทับให้อีกครั้ง หยางซีซีเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กน้อยคนหนึ่งเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เหมือนกับว่าตอนนี้นางจำต้องยอมรับชะตากรรมในครั้งนี้แล้วและยอมรับความจริงอีกหนึ่งประการนั้นคือ…นางทะลุมิติมาในโลกอนาคตเป็นพันปี ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่านางได้ทะลุมิติมาอยู่ในยุค 70 นั้นเอง…..
***มาแบบเจ็บๆ เลยน้องซีซี***
บทที่ 2 หยางซีซีเหตุใดนางถึงได้ทะลุมิติมาในยุคอนาคตตั้งไกลถึง 1000 กว่าปีเช่นนี้? ในเมื่อนางก็ถูกฆ่าตายแล้วเหตุใดนางถึงไม่ได้ลงนรกหรือไม่ก็ขึ้นสวรรค์เหมือนคนอื่น? มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในหัวของหยางซีซีในตอนนี้ นางพยายามนึกถึงความทรงจำที่ร่างเดิมทิ้งเอาไว้ให้เกี่ยวกับร่างนี้และครอบครัวนี้รวมทั้งในยุคสมัยนี้ด้วย หยางซีซีค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งได้ในที่สุด จากความเจ็บปวดตามร่างกายทำให้นางนั้นทราบว่าร่างนี้นั้นป่วยหนัก ไข้ขึ้นสูงจนกระทั่งเสียชีวิตลงอย่างเงียบคนเดียว โดยที่คนในบ้านนั้นไม่ทราบเลย นางมองไปรอบๆ ห้องเล็กๆ เก่าโทรมนี้ทำให้นางทราบได้ทันทีว่าชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้นั้นยากจนมาก ไหนจะผ้าห่มเก่าบางที่มีเพียง 2 ผืนที่ห่มเด็กน้อย2คนนี้อยู่ที่แทบจะไม่สามารถป้องกันความหนาวเหน็บได้เลยก็ว่าได้ หยางซีซีหลับตานิ่งอีกครั้งจากนั้นก็นึกถึงความทรงจำต่างๆ เกี่ยวกับร่างนี้ทันที..เธอคนนี้คือหลิวซีซียุวชนหญิงผู้มีการศึกษาที่ถูกส่งมาทำงานจากปักกิ่ง เธอและน้องสาว (อายุ8 ขวบ) อาศัยอยู่กับลุงและป้าซึ่งครอบครัวที่ปักกิ่ง ซึ่งก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก และในสังคมที่ผู้หญิงไม่มีค่าเธอจึงถูกครอบครัวของป้าส
บทที่ 3 ฝ่ามือหัตถ์เทวะหยางซีซียังคงมองฝ่ามือของตนเองด้วยความความดีใจ ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น นางค่อยๆ ยกมือขึ้นมาแนบแก้มเบาๆ เพื่อสัมผัสความรู้สึกนี้และให้แน่ใจว่าวิชาหัตถ์เทวะอันแสนวิเศษนั้นได้ตามนางมาสู่ยุคนี้ด้วยจริงๆทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงลมหนาวพัดกระหน่ำผ่านบ้านไม้หลังเก่า ผนังบ้านสั่นไหวและครางเบาๆ เมื่อรับแรงลม หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ผนังบ้านที่เก่าที่แทบจะบังแดดลมไม่ได้ สีหน้าของนางแสดงความเป็นห่วง ก่อนจะก้มหน้าลงมองเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้งเด็กๆ กำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงเตาและขยับเข้าหาร่างของเธอ แต่ทว่าความหนาวเย็นจากลมหนาวที่รุนแรงก็ทำให้พวกเขาเหมือนจะสู้ไม่ไหว ริมฝีปากของเด็กน้อยทั้งคู่เริ่มซีดและสั่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความหนาวเหน็บที่พวกเขาต้องทน หยางซีซีรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นภาพนั้น นางค่อยๆ ลูบใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน ราวกับกลัวว่าพวกเขาจะตื่นจากการหลับเมื่อเห็นว่าผิวหน้าของเด็กๆ เริ่มผ่อนคลายลง นางใช้ฝ่ามือที่ตอนนี้มีพลังของหัตถ์เทวะวิ่งวนอยู่ ลูบไปที่เสื้อผ้าของเด็กๆ อย่างเบามือ ทันใดนั้น เสื้อผ้าที่เคยเ
บทที่ 4 ตระกูลหยางเมื่อแสงสีขาวค่อยๆ ดับลง นางรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากกว่าที่เคย ตอนนี้หลังจากที่นางได้รับพลังการเยียวยาจะหัตถ์เทวะแล้ว ราวกับว่าร่างกายของตัวเองคล้ายจะสามารถเปล่งแสงออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น หยางซีซีรู้สึกดีมากทีเดียว ตอนนี้นางมีฝ่ามือหัตถ์เทวะนางจะกลัวอะไรกับความลำบากยากแค้นกันเล่า…เอาหล่ะ!!! ทีนี้ก็มาดูกันว่าสวรรค์เตรียมอะไรให้นางบ้าง หลังจากที่ส่งนางมาอยู่ในยุคที่ยากลำบากเช่นนี้….หยางซีซีลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าต่างบานเก่า เธอค่อยๆ เปิดมันออกทันทีที่หน้าต่างเปิดเสียงลมหนาวพัดหวือหวาจนหน้าต่างไม้สั่นสะท้าน เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆสีเทา หิมะสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วทุ่งนาจนกลายเป็นสีขาวโพลนราวกับผืนผ้าใบขนาดใหญ่ เกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาเบาๆ เหมือนกับขนนกที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้า ลมหนาวพัดกระหน่ำเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับเกล็ดหิมะเล็กๆ ที่ปลิวว่อนไปมา เธอเบือนหน้าหนีลมหนาว แล้วมองออกไปยังทุ่งนาที่อยู่ด้านนอก บ้านเรือนของชาวบ้านส่วนใหญ่สร้างด้วยอิฐดินเผาหลังคาปูกระเบื้องสีเทา ดูเก่าแก่และทรุดโทรม ผนังบ้านหลายหลังเริ่มแตกร้าวเพราะสภาพอากาศที่
บทที่ 5 ครอบครัวนี้ยากจนเกินไปหยางซีซีค่อยๆ เปิดประตูห้องและเดินออกไปตามเสียง เสียงกุกกักกระทบกันของหม้อไหดังมาจากห้องครัว เธอเห็นหยางชิงหลิงพี่สะใภ้ใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า ในกระทะขนาดใหญ่กำลังมีควันลอยฟุ้งออกมา กลิ่นหอมของโจ๊กเจือปนกับกลิ่นผักดองลอยมาในอากาศ ทำให้หยางซีซีรู้สึกหิวขึ้นมาทันที อาจจะเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารมาทั้งคืนทำให้ตอนนี้แม้ได้กลิ่นอาหารเธอก็รู้สึกน้ำลายสอแล้ว เมื่อหยางชิงหลินเห็นว่าคนที่เดินมาคือสะใภ้สามเธอเอ่ยทักเบาๆว่า“น้องสะใภ้สามอาการดีขึ้นแล้วหรือ หากว่ายังไม่สบายอยู่ก็ยังไม่ต้องออกมาช่วยพี่หรอกนะ เดียวสะใภ้รองจะออกมาช่วยพี่เอง”น้ำเสียงของพี่สะใภ้ใหญ่ฟังดูอบอุ่น และแฝงเอาไว้ด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ หยางซีซีรีบเดินเข้ามายืนข้างและมองไปที่ของที่วางอยู่บนโต๊ะที่พี่สะใภ้ใหญ่เตรียมเพื่อจะทำอาหารเช้า ขณะเดียวกันหยางชิงหลิงมองสำรวจร่างกายที่ผอมแห้งของหยางซีซี เธอพบว่าวันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าในตอนที่น้องสะใภ้สามเดินเข้ามาเธอเหมือนจะเห็นประกายออร่าออกมาจากร่างของน้องสะใภ้สาม ไหนจะท่าเดินที่ดูเหมือนจะสง่างามราวกับจะลอยมาเหมือนพวกองค์หญิงองค์ชา
บทที่ 6 มันจะต้องเป็นความลับของครอบครัวเราตลอดไป“สะใภ้สามเธอทำได้อย่างไร!!!!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นสั่นเทาด้วยความตกใจและตื่นตะลึงวันนี้คุณแม่หยางเม่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า เมื่อเดินมาใกล้ห้องครัวเธอได้ยินเสียงของลูกสะใภ้คุยกันที่ห้องครัวเรื่องการทำอาหาร เลยคิดจะออกไปเก็บไข่มาเพิ่มให้พวกเขาเสียหน่อยเพราะจากที่ได้ยินแว่วๆ รายการอาหารนั้นไม่มีเนื้อสัตว์หรือไข่เลย ไหนๆ วันนี้เธอก็เห็นว่าลูกสะใภ้สามนั้นลุกจากเตียงมาได้แล้ว เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้สามได้กินของดีเสียหน่อย เพราะหลายวันที่ผ่านมานั้นสะใภ้สามนอนป่วยมาตลอดกินได้น้อยด้วย ยิ่งเธอเป็นคนขี้โรคเอะอะอะไรนิดหน่อยก็ปวดหัว ก็เป็นไข้ หยางเม่ยจึงอยากจะให้เธอได้กินไข่บำรุงร่างกาย ความรู้สึกเอ็นดูลูกสะใภ้ของหยางเม่ยนั้นมีที่มาจากอดีตอันขมขื่นของเธอเอง เมื่อครั้งยังสาวเธอถูกครอบครัวขายให้กับตาเฒ่าหยางของเธอ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความเจ็บปวดจากอดีตได้ฝังรากลึกอยู่ในใจของเธอถึงแม้ว่าเมื่อเธอมาอยู่ที่ตระกูลหยางพวกเขาจะดูแลเธออย่างดี แต่ความฝังใจมันก็ยากที่จะสลัดให้หลุดได้ง่ายๆ ดังนั้นเมื่อมีลูกสะใภ้แต่งเข้ามาเธอจึงดูแลเอาใจใส่พวกเธอทั้งสามมาก มา
บทที่ 7 กินเนื้อ กินเนื้อ กินเนื้อ“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณพ่อคุณแม่!!”หลังจากที่ทุกคนมากันครบและอาการตื่นเต้นจากการเห็นสวนผักเก่าๆ โทรมๆ ของพวกเขากลายเป็นเหมือนสวนสวรรค์ทุเลาลงบ้างแล้ว หยางซีซีก็เริ่มแต่งเรื่อง เออ...เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือวิเศษของเธอให้กับครอบครัวได้รู้กัน“คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องสะใภ้สามที่ตายไปหลายปีแล้วมาเข้าฝันและให้พรวิเศษอย่างนั้นหรือ?”เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวที่หยางซีซีเล่าเอ่ยถามออกมา และคำถามของเธอก็แทนใจของทุกคนในบ้านเลยทีเดียวหยางซีซีพยายามเล่าเรื่องราวของตนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความศรัทธาและความอัศจรรย์ใจ อย่าลืมว่าเธอคือฮองเฮามาก่อนนะ การเล่าเรื่องให้คนเชื่อถือจะไปอยากอะไร..จริงไหม!!“พวกพี่ก็ทราบว่าฉันนอนป่วยอยู่หลายวัน ในตอนนั้นวิญญาณของฉันได้หลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็เห็นแสงสีทองสว่างอยู่ข้างหน้า ฉันเลยเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ แสงสีทองนั้นสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ มันดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนถูกมันดูดกลืนเข้าไป ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงเรี
บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้านบรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามากเมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พ
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้านบรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามากเมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พ
บทที่ 7 กินเนื้อ กินเนื้อ กินเนื้อ“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณพ่อคุณแม่!!”หลังจากที่ทุกคนมากันครบและอาการตื่นเต้นจากการเห็นสวนผักเก่าๆ โทรมๆ ของพวกเขากลายเป็นเหมือนสวนสวรรค์ทุเลาลงบ้างแล้ว หยางซีซีก็เริ่มแต่งเรื่อง เออ...เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือวิเศษของเธอให้กับครอบครัวได้รู้กัน“คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องสะใภ้สามที่ตายไปหลายปีแล้วมาเข้าฝันและให้พรวิเศษอย่างนั้นหรือ?”เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวที่หยางซีซีเล่าเอ่ยถามออกมา และคำถามของเธอก็แทนใจของทุกคนในบ้านเลยทีเดียวหยางซีซีพยายามเล่าเรื่องราวของตนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความศรัทธาและความอัศจรรย์ใจ อย่าลืมว่าเธอคือฮองเฮามาก่อนนะ การเล่าเรื่องให้คนเชื่อถือจะไปอยากอะไร..จริงไหม!!“พวกพี่ก็ทราบว่าฉันนอนป่วยอยู่หลายวัน ในตอนนั้นวิญญาณของฉันได้หลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็เห็นแสงสีทองสว่างอยู่ข้างหน้า ฉันเลยเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ แสงสีทองนั้นสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ มันดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนถูกมันดูดกลืนเข้าไป ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงเรี