สตรีใบหน้าหวานสวมเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว
แดนมาร กลิ่นกายหอมกรุ่นล่องลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกผู้ที่นั่งเคร่งขรึมอยู่มุมห้อง เขาจึงแหงนเงยใบหน้าของตนขึ้นเชื่องช้า เพียงแวบเดียวที่ความรู้สึกภายในใจราวเต้นกระหน่ำ ทว่าครู่ถัดมาอาการเช่นนั้นพลันมลายหายไป ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเบื้องหน้าเชื่องช้า ดวงตาดุดันเพ่งมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด"แต่งกายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่า
ข้าจะรับเป็นชายาจริง ๆ ใช่หรือไม่" เสียงทุ้มกล่าวลอดไรฟัน ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังลำคอระหงลี่เหยาเหยากระอักไอออกมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำ
ร่างบอบบางถูกอีกฝ่ายยกขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวพยายามดีดแข้งดีดขาของตนเพื่อเอาตัวรอด สีหน้าของนางตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นตบตี ตะปบแกะให้อีกฝ่ายผ่อนปรนแรงลงราว ลูกแมวขาดอากาศหายใจ"ปะ...ปล่อยนะ"
ประมุขแดนมารเห็นว่าลี่เหยาเหยาเริ่มไม่ไหว
เขาจึงเหวี่ยงกายคนตัวเล็กในชุดเจ้าสาวลงบนเตียงนอน อย่างไม่สนใจไยดี พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงหยิบชุดนี้ขึ้นมาใส่""ฉัน...เอ่อ...ข้าเปล่านะ!"
ลี่เหยาเหยาพยายามควบคุมสติและการสนทนาเพื่อให้ชายแปลกหน้าผู้นี้เข้าใจตนมากที่สุด จากที่เธอได้พูดคุยกับคุณหนูอวี่หนานเมื่อสักครู่ นางบอกว่าพี่ชายของนางชอบสตรีนอบน้อม ซ้ำยังชอบผู้ที่กลิ่นกายหอม แต่งตัวงดงาม นางจึงหยิบชุดนี้ให้กับตน คาดไม่ถึงลี่เหยาเหยาเดินเข้ามายังไม่ทันได้ปริปากกล่าวสิ่งใดด้วยซ้ำกลับถูกอีกฝ่ายต่อว่า ทั้งยังทำร้ายร่างกายเสียจนหน้าชา คุณหนูอวี่หนานผู้นี้ไว้ใจไม่ได้เสียจริง
"เปล่าหรือ เจ้าจงใจยั่วยุข้าใช่หรือไม่ ข้าให้เจ้าเดินร่อน
ไปมาใช่ว่าข้าจะใจดีด้วย ถอดออก!""ห้ะ! นายจะบ้าเหรอ" ลี่เหยาเหยาตื่นตกใจเบิกดวงตากว้าง ฝ่ามือทั้งสองยกขึ้นป้องเรือนร่างของตนด้วยความหวาดหวั่น
หมอนี่จะทำมิดีมิร้ายเราอย่างนั้นเหรอ พ่อคะแม่คะช่วยเหยาเหยาด้วย
นัยน์ตาคู่งามสั่นระริก ลี่เหยาเหยาพยายามรวบรวมสติและหาทางออก ทว่าอีกฝ่ายช่างดูน่าเกรงกลัวเสียจนต้องเบือนหน้าหนี ลี่เหยาเหยากลืนน้ำลายลงคอดังอึก อยู่ ๆ ร่างที่นั่ง
สั่นเทาอยู่บนเตียงนอนพลันลอยหวือเข้าไปในฝ่ามือแกร่ง"ข้าบอกให้เจ้าถอดออก หรืออยากให้ข้าเป็นฝ่ายถอดให้เจ้า!" ในดวงตาคมเข้มคล้ายมีเปลวไฟลุกโชนบ่งบอกว่าชายหนุ่มเริ่มขุ่นมัวแล้ว
"...อื้อ ถอดค่ะถอด"
ลี่เหยาเหยาพยายามเปล่งเสียงทั้งที่ลำคอของเธอยังคงถูกบีบรัดอยู่เช่นนั้น เมื่อชายหนุ่มได้ยินลี่เหยาเหยาตกปากรับคำ เขาจึงคลายฝ่ามือออกเชื่องช้า ร่างของสตรีทรุดฮวบลงทันใด
คนเผด็จการ ป่าเถื่อน
ช่างเถอะเหยาเหยา ถึงชุดด้านในมันจะบางไปหน่อย แต่ก็คงไม่น่าเกลียดจนเกินไป
ลี่เหยาเหยาพยายามหยัดกายยืนขึ้น คนร่างสูงหาได้
ถอยห่างออกไป เขายังจับจ้องทุกอิริยาบถของนางเขม็ง"นี่นาย!"
"นาย?" คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
"เอ่อ...นี่นายท่าน ช่วยหันหลังหน่อยได้ไหม ยืนจ้องแบบนี้ข้าไม่กล้าถอด"
"มากเรื่อง หากเจ้าไม่กล้า ข้าจะถอดให้เจ้าเอง"
ฝ่ามือกว้างยื่นมาเบื้องหน้าอย่างนึกรำคาญ ลี่เหยาเหยาตื่นตกใจ ไม่คิดว่าบุรุษผู้นี้จะเอาจริง เธอจึงรีบควานหาที่ปลดเข็มขัดทองออกจากเอวคอดด้วยท่าทีละล้าละลัง
"ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าถอดเองก็ได้"
ลี่เหยาเหยาถอดชุดคลุมเนื้อดี สีดำแถบแดงแซมด้วยเครื่องประดับทอง โยนลงไปบนที่นอนเบื้องหลัง ยามนี้บนกายของหญิงสาวมีเพียงอาภรณ์สีขาวบางปกปิดเรือนร่างเอาไว้เท่านั้น
"พอใจหรือยัง!" ลี่เหยาเหยากล่าวหน้าคว่ำ
"..."
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุรุษตรงหน้า ทว่านัยน์ตาคม
กลับมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พลันขว้างบางอย่างลงบนที่นอน ลี่เหยาเหยาจึงเหลียวหน้ามองตามด้วยความงุนงง"อะไร"
"..."
ฝ่ามือเรียวเอื้อมคว้าสิ่งนั้นขึ้นมา เมื่อเธอลองดึงด้าม
เล็ก ๆ ออกจากฝัก ลี่เหยาเหยาพลันทำตาโตด้วยความหวาดเกรง"นะ...นี่ท่านจะฆ่าข้าหรือ"
"เหลวไหล แต่หากช้ากว่านี้ ข้าจะฆ่าเจ้าจริง ๆ แน่"
"แล้วที่โยนมาหมายความว่าอย่างไร"
"กรีดโลหิตเจ้าออกมา แล้วจากนั้นก็ไสหัวออกไปซะ"
"ห้ะ...เพื่อ!" ลี่เหยาเหยาทำหน้างุนงง
"กล่าวมากความ จะให้ข้าทำให้หรือเจ้าจะจัดการตัวเอง เพียงกรีดลงบนข้อมือของเจ้าแล้วเค้นโลหิตให้เต็มถ้วยใบนี้เป็นพอ อย่าทำให้ข้าหมดความอดทน"
ลี่เหยาเหยาพยายามควบคุมสติ เหตุใดตนจึงต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ การกรีดเลือดออกจากกายนั่นช่างน่ากลัวยิ่งนัก หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดผุดพรายขึ้นบนกรอบหน้างาม ฝ่ามือซึ่งถือของ
มีคมเอาไว้สั่นระริก ลี่เหยาเหยาจรดปลายแหลมคมลงบนท้องแขนเชื่องช้า นางพ่นลมหายใจออกมาเพื่อระงับความหวาดหวั่นเอาน่าเหยาเหยา แค่นี้ไม่ตายหรอกกรีดเบา ๆ
"เอ่อ...ข้าขอถามท่านก่อนได้หรือไม่"
"เจ้านี่ช่างข้อต่อรองมากมายเสียจริง" ชายหนุ่มกล่าวอย่างนึกรำคาญ
"ท่านมีนามว่าอะไรหรือ" ลี่เหยาเหยาพยายามประวิงเวลา อย่างน้อย ๆ ก็ยืดความเจ็บปวดที่กำลังจะมีถึงได้ชั่วคราว
"รู้ไปเจ้าจะได้ประโยชน์อันใด นามของข้าไม่เคยมีผู้ใดกล่าวถึงมานานมากแล้ว"
"ก็...ข้ามาอยู่กับท่านเกือบหนึ่งวันแล้วนี่นา ขอถามชื่อแซ่ไม่ได้หรืออย่างไร อย่างน้อย ๆ รู้ชื่อกันไว้ก็หาได้เสียหาย"
ชายหนุ่มหรี่ดวงตาลงด้วยความคลางแคลง "เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กระมัง"
"ข้าเปล่า" ลี่เหยาเหยาส่งยิ้มเหือดแห้ง แต่เมื่อนึกว่า
การถามชื่อผู้อื่นโดยไม่บอกชื่อตัวเองก่อนช่างดูเสียมารยาทอยู่ ไม่น้อย นางจึงโพล่งออกมาอีกหน "ข้าชื่อลี่เหยาเหยา""ข้ารู้แล้ว" ชายหนุ่มตอบหน้าตาย
"อะ...อ้าว รู้ได้ไง เป็นสตอล์กเกอร์เหรอ" ลี่เหยาเหยากะพริบดวงตาถี่
"สะ...สะ อะไรของเจ้า พูดจาไม่รู้ความ น่ารำคาญยิ่งนัก" จอมมารพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่เคยสนทนากับเจ้าสาวบรรณาการคนใดมาก่อน นี่ช่างดูเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่าหงุดหงิดของตนยิ่งนัก เขาจึงตอบหญิงสาวกลับเพื่อตัดรำคาญ
"ฮวาเทียนจิ้ง"
"อะ...อ้อ นายท่านฮวา ข้าว่า...ท่านพอมีวิธีอื่นหรือไม่คะ...เอ๊ย...เจ้าคะ" ลี่เหยาเหยาส่งยิ้มฝืดเฝื่อน
ภาษาอะไรยากเย็นแสนเข็ญ
"วิธีใด?"
"คือว่า ข้า ข้า กลัวมีด หากกรีดลงไปต้องเจ็บมากแน่ ๆ ว่าแต่ท่านจะเอาเลือดไปทำอะไรเหรอ บริจาคโลหิตทำนองนี้หรือเปล่าเจ้าคะ"
ความอดทนของฮวาเทียนจิ้งขาดผึง เหตุใดสตรีนางนี้จึงกล่าวมากความ วาจาราวหญิงวิปลาส ซ้ำยังดูไม่เกรงกลัวเขาเช่นหญิงอื่น ๆ ที่ถูกส่งเข้ามา ร่างสูงสาวเท้าไปเบื้องหน้า คว้าร่างหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอด
"อ๊ะ...ไร้มารยาท ท่านกำลังทำอะไร"
"วิธีอื่นอย่างไรเล่า การที่เจ้ากล้าต่อว่าสามีไร้มารยาทดูจะขัดแย้งไปเสียหน่อย ถึงข้าไม่อยากยอมรับการเป็นเจ้าสาวบรรณาการของเจ้าก็ตาม"
"แต่..."
ลี่เหยาเหยาแหงนเงยใบหน้ามองคนตัวสูงที่กอดรัดเอวของนางไว้แน่น ทว่ายังไม่ทันจบประโยค เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาพลันโน้มลง และฝังเขี้ยวแหลมคมบนลำคอขาวผ่องโดยไม่ทันตั้งตัว
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งเฮือก พลางดิ้นรนขลุกขลัก กริชเล่มเล็กในมือร่วงลงสู่พื้น
เคร้ง!!
ดวงตากลมเบิกค้าง ใบหน้างามเหยเกด้วยความเจ็บปวด โลหิตในกายของนางกำลังถูกสูบออกไปเรื่อย ๆ ดั่งสายธารากำลังหลั่งริน
อึ้ก!
"อื้อ...จะเจ็บ"
เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่ริมฝีปากอุ่นร้อนและเขี้ยวแหลมคมฝังลงบนลำคอของลี่เหยาเหยา ดวงตากลมเริ่มปริ่มปรือลงเชื่องช้า
ไม่ไหวแล้ว
กายนุ่มนิ่มอ่อนปวกเปียกภายใต้อ้อมแขนแกร่ง
ฮวาเทียนจิ้งจึงปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ ลี่เหยาเหยาทรุดฮวบ ราชามารจึงรวบกายบอบบางนั้นขึ้น พลางสาวเท้าไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว ฮวาเทียนจิ้งวางร่างสตรีลงบนที่นอนหนานุ่มส่ง ๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดบริเวณริมฝีปากของตนโดยไม่แยแส พลันหมุนกายไปทางเบื้องหน้าธรณีทางเข้า"เถียนหยา หลังจากนางฟื้นแล้ว เจ้าก็พาตัวนางออกไป"
"ขอรับนายท่าน"
"เป็นเช่นไรเล่าเถียนชี นางอยู่ที่นี่นานกว่าสองชั่วยาม เจ้าแพ้แล้ว" เถียนหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดิมพันกับเถียนชีแล้วเป็นฝ่ายชนะ คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้สามารถอยู่กับจอมมารฮวาเทียนจิ้งนานกว่าสตรีนางอื่น เดิมทีหากเจ้าสาวบรรณาการใดถูกส่งเข้ามา แทบไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำพวกนางก็ถูกส่งตัวกลับ เถียนหยาเกรงว่าคุณหนูลี่เหยาเหยาผู้นี้คงมีสิ่งน่าสนใจไม่มากก็น้อยเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นว่าผู้เป็นนายเก็บสตรีนางใดไว้ข้างกายสักราย"แพ้ก็แพ้สิ เอาไปผลึกแก้วห้วงเวลาสามชิ้น"เถียนหยาเอื้อมมือเข้ารับของวิเศษจากสหายด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง "ขอบใจ"เถียนชี "นายท่านให้เจ้าเป็นฝ่ายส่งนาง อีกเดี๋ยวข้าจะตามนายท่านไปยังหอฝึกปราณ นางฟื้นแล้วก็เร่งพานางออกไปเล่า"เถียนหยา "ข้ารู้แล้วนา เดี๋ยวนี้เจ้าช่างขี้บ่นอย่างกับมารดาของข้า""ชิ เจ้ามารปากดี"เถียนชีจึงหมุนกายพลันหายวับออกจากหอนอนชั่วพริบตา"อื้อ...ปวดหัวจัง" เสียงเล็กเอ่ยกระท่อนกระแท่นดังเบาหวิว&n
"อ้าว เถียนชีนี่เจ้าจะไปที่ใดเล่า" เถียนหยาเพิ่งกลับมาถึงเห็นว่าเถียนชีเร่งร้อนเดินดุ่ม ๆ ออกจากหอฝึกปราณจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง"มาก็ดี เจ้าเอาคุณหนูลี่เหยาเหยาคนนั้นไปส่งไว้ที่ใดกันเล่า""ข้าก็ส่งนางไว้ที่เดิมนั่นแหละ เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด""นายท่านเผลอไปทำพันธผูกจิตกับนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยามนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปตามหานางเร็วเข้า!""ห้ะ!! มิน่าเล่า ปกติข้าไม่เคยเห็นนายท่านสัมผัสร่างกายผู้ใดเลย แต่เมื่อสักครู่ข้าเห็น เอ่อ..." เถียนหยากล่าวกระอักกระอ่วน"เห็นอะไรเล่า ไยมัวอมพะนำ" เถียนชีเอ่ยด้วยความหงุดหงิด"ก็รอยที่คอของนาง...""อย่างนี้นี่เอง แต่โดยปกติหากไม่มีอาคมร่วมด้วย หากเพียงแค่สัมผัสต้นคอเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน คุณหนูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันเล่า"บุรุษทั้งสองสนทนากันอย่างพะว้าพะวัง พลันหายวับออกจากคฤหาสน์วิหคทองด้วยความเร่งร้อนลี่เหยาเหยาถูกแบกขึ้นบ่า ภาพเบื้องหน้าของนางกลับด้านเสียจนน่าเวียนศีรษะ จาก
นัยน์ตาคู่งามเปิดปรือขึ้นท่ามกลางความสลัว ลี่เหยาเหยารู้สึกว่ากายของตนปวดหนึบไปเสียหมดที่ไหนนะ เราตายอีกรอบแล้วหรือเปล่า"ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ"ลี่เหยาเหยาพยายามกวาดสายตามองไปยังต้นเสียงที่เอ่ยขึ้น นางกะพริบดวงตาถี่เอ๋...หมอนี่อีกแล้วเหรอ"ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามัวนอนกินบ้านกินเมือง""นะ...น้ำ" เสียงเล็กพยายามร้องขอ ลี่เหยาเหยารู้สึกว่าตอนนี้ลำคอช่างแห้งผากเหลือเกินฮวาเทียนจิ้งจึงลุกขึ้น และหยิบป้านชาลายวิจิตรพลางรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงไปอย่างไม่เร่งร้อน "ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม"เอาอีกแล้ว เจอหน้าทีไรเป็นต้องมีเรื่องโน่นนี่ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือเพื่อรับจอกน้ำชาด้วยอาการสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น จึงยอบกายลงเชื่องช้า และพยุงร่างของสตรีด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา แม้จะแตะเนื้อต้องตัวกัน หรืออยู่ในห้องเพียงลำพังคงไม่เกิดความเสียหายใดแก่นางมากไปกว่านี้หรอกกระมัง
เพราะบุตรสาวของอนุผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสตรี ซ้ำยังชอบแต่งกายผิดจารีตประเพณีไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางจึงถูกส่งไปสำนึกตนยังชานเมืองทุรกันดาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบ้านเดิมที่หญิงสาวถูกส่งตัวไปเป็นเผ่าบูชาจอมมารวิหคทอง ทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการส่งตัวเจ้าสาวบรรณาการให้แก่จอมมารในดินแดนลึกลับ คาดไม่ถึงว่าชะตาเกิดของนางจะขึ้นตรงกับเนตรหายนะของปีที่สิบนี้เข้าอย่างพอดี ทั้งหมู่บ้านล้วนร่ำลือว่า บุตรีเสนาบดีใหญ่และอนุที่สิ้นใจไปแล้วล้วนเป็นที่ชิงชัง แม้นางหายตัวไปคงไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ในคืนที่เกิดพายุลมฝนกรรโชกอย่างหนัก ร่างบอบบางกลับนอนขดกายอยู่บนแคร่ไม้เก่าในห้องเก็บฟืน นางเป็นคุณหนูรองลูกของเสนาบดีก็จริงอยู่ ทว่าเมื่อถูกส่งเข้ามาเพื่อสำนึกตนยังสถานที่แห่งนี้ กลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวไพร่สารพัด ผู้คนเหล่านี้หาได้เกรงกลัวคุณหนูรองเช่นนาง ซ้ำยังประณามว่านางคือ บุตรีนอกคอกผู้ที่บิดาแสนเกลียดชัง การที่ถูกส่งมายังสถานที่เช่นนั้นหมายถึงว่านางได้โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว ปัง! เสียงบานประตูถูกกระแทกจนเปิดออก นัยน์ตาคู่งามเปิดกว้างมองผ่านความมืดสลัว นางชินและชากับเหตุการณ์เช่นนี้เสีย
"เอ๋…นี่มันที่ไหนนะ" ลี่เหยาเหยาลืมตาขึ้นท่ามกลางความสลัว ใบหูของเธอคล้ายได้ยินเสียงคลื่นกำลังซัดสาด ร่างกายแข็งทื่อเสียจนไม่อาจขยับ"เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือว่านี่คือโรงพยาบาล" ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ทว่ากลับยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้าของตนมีบางสิ่งมาบดบังเสียจนน่าอึดอัด "อะไรเนี่ย? เสี่ยวผิง""…""เสี่ยวผิง""…"มีเพียงเสียงเงียบสงัดตอบรับกลับมา ลี่เหยาเหยาจึงถอดใจ พลางพ่นลมหายใจออกเชื่องช้า หลับดวงตาลงอีกหน"สงสัยเรากำลังฝันแหง ปวดหัวจัง นอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว ช่างเถอะ" ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ลี่เหยาเหยาจึงผล็อยหลับลงในที่สุด เรือลำเล็กเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความอนธการโดยรอบ ร่างหญิงสาวนอนทอดกายอยู่ด้านใน ลมหายใจของนางเข้าออกสม่ำเสมอ ห่างออกไปไม่กี่ลี้[1] มีสายตาสองคู่กำลังกวาดมองมายังตัวเรือที่ลอยแล่นอยู่บนผิวน้ำด้วยความสนอกสนใจ "เถียนชีเจ้าเห็นแล้วหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยพลางเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าท้องน้ำอันไกลโพ้น "ข้าเห็นแล้ว สายตาของเจ้าช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก เราไปรับพระชายา
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งโหยง พยายามกล่อมใจตัวเองต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ อาจเป็นกองถ่ายละครแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าภายในใจของนางกลับร้องตะโกนเสียงดังระงม ลี่เหยาเหยาเธอตายไปนานแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ลี่เหยาเหยาพยายามสลัดความคิดสับสนมึนงงนั้นทิ้งไป พลางแหงนหน้ามองคนร่างสูงที่ยืนขึงดวงตาสีแดงฉานมองมาที่ตน น้ำเสียงที่พยายามเอ่ยออกมาจึงดูกระท่อนกระแท่นอยู่ไม่น้อย "ฉันอยากอาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่า" "หืม…" "อะ…เอ่อ คือว่าตอนนี้ฉันตัวเหม็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนจะหมดสตินอนไม่รู้สึกตัวหลายวัน แค่ขออาบน้ำแป๊บเดียว หลังจากนั้นนายจะสอบสวน หรือจะฆ่าจะแกงก็ตามใจ" ลี่เหยาเหยาพยายามอธิบาย และกดข่มความขลาดกลัวพลางกล่าววาจาละมุนละม่อมแท้จริงแล้วลี่เหยาเหยาอยากรู้ยิ่งนักว่าที่แห่งนี้คือที่ใด อย่างน้อย ๆ หากได้ออกไปสำรวจด้านนอกอาจจะพอหาหนทางหลบหนีออกไปได้คงไม่ใช่พวกขบวนการค้ามนุษย์หรอกนะ"มากความเสียจริง แค่นำโลหิตเจ้ามาแล้วไสหัวออกจากเมืองของข้าก็พอ" ลี่เหยาเหยาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย "แล้วจะกลับยังไง ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน"นัยน์ตาคมกริบกวาดมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขร
นัยน์ตาคู่งามเปิดปรือขึ้นท่ามกลางความสลัว ลี่เหยาเหยารู้สึกว่ากายของตนปวดหนึบไปเสียหมดที่ไหนนะ เราตายอีกรอบแล้วหรือเปล่า"ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ"ลี่เหยาเหยาพยายามกวาดสายตามองไปยังต้นเสียงที่เอ่ยขึ้น นางกะพริบดวงตาถี่เอ๋...หมอนี่อีกแล้วเหรอ"ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามัวนอนกินบ้านกินเมือง""นะ...น้ำ" เสียงเล็กพยายามร้องขอ ลี่เหยาเหยารู้สึกว่าตอนนี้ลำคอช่างแห้งผากเหลือเกินฮวาเทียนจิ้งจึงลุกขึ้น และหยิบป้านชาลายวิจิตรพลางรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงไปอย่างไม่เร่งร้อน "ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม"เอาอีกแล้ว เจอหน้าทีไรเป็นต้องมีเรื่องโน่นนี่ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือเพื่อรับจอกน้ำชาด้วยอาการสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น จึงยอบกายลงเชื่องช้า และพยุงร่างของสตรีด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา แม้จะแตะเนื้อต้องตัวกัน หรืออยู่ในห้องเพียงลำพังคงไม่เกิดความเสียหายใดแก่นางมากไปกว่านี้หรอกกระมัง
"อ้าว เถียนชีนี่เจ้าจะไปที่ใดเล่า" เถียนหยาเพิ่งกลับมาถึงเห็นว่าเถียนชีเร่งร้อนเดินดุ่ม ๆ ออกจากหอฝึกปราณจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง"มาก็ดี เจ้าเอาคุณหนูลี่เหยาเหยาคนนั้นไปส่งไว้ที่ใดกันเล่า""ข้าก็ส่งนางไว้ที่เดิมนั่นแหละ เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด""นายท่านเผลอไปทำพันธผูกจิตกับนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยามนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปตามหานางเร็วเข้า!""ห้ะ!! มิน่าเล่า ปกติข้าไม่เคยเห็นนายท่านสัมผัสร่างกายผู้ใดเลย แต่เมื่อสักครู่ข้าเห็น เอ่อ..." เถียนหยากล่าวกระอักกระอ่วน"เห็นอะไรเล่า ไยมัวอมพะนำ" เถียนชีเอ่ยด้วยความหงุดหงิด"ก็รอยที่คอของนาง...""อย่างนี้นี่เอง แต่โดยปกติหากไม่มีอาคมร่วมด้วย หากเพียงแค่สัมผัสต้นคอเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน คุณหนูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันเล่า"บุรุษทั้งสองสนทนากันอย่างพะว้าพะวัง พลันหายวับออกจากคฤหาสน์วิหคทองด้วยความเร่งร้อนลี่เหยาเหยาถูกแบกขึ้นบ่า ภาพเบื้องหน้าของนางกลับด้านเสียจนน่าเวียนศีรษะ จาก
"เป็นเช่นไรเล่าเถียนชี นางอยู่ที่นี่นานกว่าสองชั่วยาม เจ้าแพ้แล้ว" เถียนหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดิมพันกับเถียนชีแล้วเป็นฝ่ายชนะ คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้สามารถอยู่กับจอมมารฮวาเทียนจิ้งนานกว่าสตรีนางอื่น เดิมทีหากเจ้าสาวบรรณาการใดถูกส่งเข้ามา แทบไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำพวกนางก็ถูกส่งตัวกลับ เถียนหยาเกรงว่าคุณหนูลี่เหยาเหยาผู้นี้คงมีสิ่งน่าสนใจไม่มากก็น้อยเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นว่าผู้เป็นนายเก็บสตรีนางใดไว้ข้างกายสักราย"แพ้ก็แพ้สิ เอาไปผลึกแก้วห้วงเวลาสามชิ้น"เถียนหยาเอื้อมมือเข้ารับของวิเศษจากสหายด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง "ขอบใจ"เถียนชี "นายท่านให้เจ้าเป็นฝ่ายส่งนาง อีกเดี๋ยวข้าจะตามนายท่านไปยังหอฝึกปราณ นางฟื้นแล้วก็เร่งพานางออกไปเล่า"เถียนหยา "ข้ารู้แล้วนา เดี๋ยวนี้เจ้าช่างขี้บ่นอย่างกับมารดาของข้า""ชิ เจ้ามารปากดี"เถียนชีจึงหมุนกายพลันหายวับออกจากหอนอนชั่วพริบตา"อื้อ...ปวดหัวจัง" เสียงเล็กเอ่ยกระท่อนกระแท่นดังเบาหวิว&n
สตรีใบหน้าหวานสวมเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว แดนมาร กลิ่นกายหอมกรุ่นล่องลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกผู้ที่นั่งเคร่งขรึมอยู่มุมห้อง เขาจึงแหงนเงยใบหน้าของตนขึ้นเชื่องช้า เพียงแวบเดียวที่ความรู้สึกภายในใจราวเต้นกระหน่ำ ทว่าครู่ถัดมาอาการเช่นนั้นพลันมลายหายไป ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเบื้องหน้าเชื่องช้า ดวงตาดุดันเพ่งมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด"แต่งกายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่า ข้าจะรับเป็นชายาจริง ๆ ใช่หรือไม่" เสียงทุ้มกล่าวลอดไรฟัน ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังลำคอระหงลี่เหยาเหยากระอักไอออกมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ร่างบอบบางถูกอีกฝ่ายยกขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวพยายามดีดแข้งดีดขาของตนเพื่อเอาตัวรอด สีหน้าของนางตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นตบตี ตะปบแกะให้อีกฝ่ายผ่อนปรนแรงลงราว ลูกแมวขาดอากาศหายใจ"ปะ...ปล่อยนะ"ประมุขแดนมารเห็นว่าลี่เหยาเหยาเริ่มไม่ไหว เขาจึงเหวี่ยงกายคนตัวเล็กในชุดเจ้าสาวลงบนเตียงนอน อย่างไม่สนใจไยดี พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงหยิบชุดนี้ขึ้นมาใส่""ฉัน.
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งโหยง พยายามกล่อมใจตัวเองต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ อาจเป็นกองถ่ายละครแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าภายในใจของนางกลับร้องตะโกนเสียงดังระงม ลี่เหยาเหยาเธอตายไปนานแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ลี่เหยาเหยาพยายามสลัดความคิดสับสนมึนงงนั้นทิ้งไป พลางแหงนหน้ามองคนร่างสูงที่ยืนขึงดวงตาสีแดงฉานมองมาที่ตน น้ำเสียงที่พยายามเอ่ยออกมาจึงดูกระท่อนกระแท่นอยู่ไม่น้อย "ฉันอยากอาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่า" "หืม…" "อะ…เอ่อ คือว่าตอนนี้ฉันตัวเหม็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนจะหมดสตินอนไม่รู้สึกตัวหลายวัน แค่ขออาบน้ำแป๊บเดียว หลังจากนั้นนายจะสอบสวน หรือจะฆ่าจะแกงก็ตามใจ" ลี่เหยาเหยาพยายามอธิบาย และกดข่มความขลาดกลัวพลางกล่าววาจาละมุนละม่อมแท้จริงแล้วลี่เหยาเหยาอยากรู้ยิ่งนักว่าที่แห่งนี้คือที่ใด อย่างน้อย ๆ หากได้ออกไปสำรวจด้านนอกอาจจะพอหาหนทางหลบหนีออกไปได้คงไม่ใช่พวกขบวนการค้ามนุษย์หรอกนะ"มากความเสียจริง แค่นำโลหิตเจ้ามาแล้วไสหัวออกจากเมืองของข้าก็พอ" ลี่เหยาเหยาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย "แล้วจะกลับยังไง ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน"นัยน์ตาคมกริบกวาดมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขร
"เอ๋…นี่มันที่ไหนนะ" ลี่เหยาเหยาลืมตาขึ้นท่ามกลางความสลัว ใบหูของเธอคล้ายได้ยินเสียงคลื่นกำลังซัดสาด ร่างกายแข็งทื่อเสียจนไม่อาจขยับ"เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือว่านี่คือโรงพยาบาล" ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ทว่ากลับยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้าของตนมีบางสิ่งมาบดบังเสียจนน่าอึดอัด "อะไรเนี่ย? เสี่ยวผิง""…""เสี่ยวผิง""…"มีเพียงเสียงเงียบสงัดตอบรับกลับมา ลี่เหยาเหยาจึงถอดใจ พลางพ่นลมหายใจออกเชื่องช้า หลับดวงตาลงอีกหน"สงสัยเรากำลังฝันแหง ปวดหัวจัง นอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว ช่างเถอะ" ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ลี่เหยาเหยาจึงผล็อยหลับลงในที่สุด เรือลำเล็กเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความอนธการโดยรอบ ร่างหญิงสาวนอนทอดกายอยู่ด้านใน ลมหายใจของนางเข้าออกสม่ำเสมอ ห่างออกไปไม่กี่ลี้[1] มีสายตาสองคู่กำลังกวาดมองมายังตัวเรือที่ลอยแล่นอยู่บนผิวน้ำด้วยความสนอกสนใจ "เถียนชีเจ้าเห็นแล้วหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยพลางเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าท้องน้ำอันไกลโพ้น "ข้าเห็นแล้ว สายตาของเจ้าช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก เราไปรับพระชายา
เพราะบุตรสาวของอนุผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสตรี ซ้ำยังชอบแต่งกายผิดจารีตประเพณีไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางจึงถูกส่งไปสำนึกตนยังชานเมืองทุรกันดาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบ้านเดิมที่หญิงสาวถูกส่งตัวไปเป็นเผ่าบูชาจอมมารวิหคทอง ทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการส่งตัวเจ้าสาวบรรณาการให้แก่จอมมารในดินแดนลึกลับ คาดไม่ถึงว่าชะตาเกิดของนางจะขึ้นตรงกับเนตรหายนะของปีที่สิบนี้เข้าอย่างพอดี ทั้งหมู่บ้านล้วนร่ำลือว่า บุตรีเสนาบดีใหญ่และอนุที่สิ้นใจไปแล้วล้วนเป็นที่ชิงชัง แม้นางหายตัวไปคงไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ในคืนที่เกิดพายุลมฝนกรรโชกอย่างหนัก ร่างบอบบางกลับนอนขดกายอยู่บนแคร่ไม้เก่าในห้องเก็บฟืน นางเป็นคุณหนูรองลูกของเสนาบดีก็จริงอยู่ ทว่าเมื่อถูกส่งเข้ามาเพื่อสำนึกตนยังสถานที่แห่งนี้ กลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวไพร่สารพัด ผู้คนเหล่านี้หาได้เกรงกลัวคุณหนูรองเช่นนาง ซ้ำยังประณามว่านางคือ บุตรีนอกคอกผู้ที่บิดาแสนเกลียดชัง การที่ถูกส่งมายังสถานที่เช่นนั้นหมายถึงว่านางได้โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว ปัง! เสียงบานประตูถูกกระแทกจนเปิดออก นัยน์ตาคู่งามเปิดกว้างมองผ่านความมืดสลัว นางชินและชากับเหตุการณ์เช่นนี้เสีย