นัยน์ตาคู่งามเปิดปรือขึ้นท่ามกลางความสลัว ลี่เหยาเหยารู้สึกว่ากายของตนปวดหนึบไปเสียหมด
ที่ไหนนะ เราตายอีกรอบแล้วหรือเปล่า
"ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ"
ลี่เหยาเหยาพยายามกวาดสายตามองไปยังต้นเสียงที่เอ่ยขึ้น นางกะพริบดวงตาถี่
เอ๋...หมอนี่อีกแล้วเหรอ
"ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามัวนอนกินบ้านกินเมือง"
"นะ...น้ำ" เสียงเล็กพยายามร้องขอ ลี่เหยาเหยารู้สึกว่าตอนนี้ลำคอช่างแห้งผากเหลือเกิน
ฮวาเทียนจิ้งจึงลุกขึ้น และหยิบป้านชาลายวิจิตรพลางรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงไปอย่างไม่เร่งร้อน "ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม"
เอาอีกแล้ว เจอหน้าทีไรเป็นต้องมีเรื่องโน่นนี่
ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือเพื่อรับจอกน้ำชาด้วยอาการสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น จึงยอบกายลงเชื่องช้า และพยุงร่างของสตรีด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา แม้จะแตะเนื้อต้องตัวกัน หรืออยู่ในห้องเพียงลำพังคงไม่เกิดความเสียหายใดแก่นางมากไปกว่านี้หรอกกระมัง
ฮวาเทียนจิ้งพยายามป้อนน้ำชาเข้าไปยังริมฝีปากบาง ทว่าดูเหมือนนางจะอ้าเผยอเพื่อรับเอาน้ำในถ้วยได้ไม่ถูกใจเขาเท่าใดนัก มืออีกด้านที่ยังว่างอยู่จึงบีบไปยังปลายคางโค้งมนเพื่อให้คนในอ้อมแขนนั้นอ้าริมฝีปากให้กว้างมากยิ่งขึ้น พลันกรอกน้ำอุ่นร้อน ลงไปยังริมฝีปากของนางเสียจนบริเวณรอบปากและปลายคางแดงก่ำ
แค่ก แค่ก
"โอ๊ย ระ...ร้อน ร้อน" ลี่เหยาเหยาช้อนดวงตามอง ชายร่างสูงที่ประคองกายตนอยู่ ซ้ำยังป้อนน้ำให้อย่างไม่ปรานีอีกด้วย
ตาทึ่มทำบ้าอะไรกันเนี่ย
"อ่อนแอยิ่งนัก สตรีเช่นเจ้านี่ช่างน่ารำคาญ บอกข้ามาว่าเจ้าสามารถทำพันธผูกจิตกับข้าได้อย่างไร"
"หมายถึงเรื่องใด ข้าไม่รู้เรื่อง" ลี่เหยาเหยากล่าวปฏิเสธ
พูดเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย
"เจ้าอย่ามาทำไขสือ"
ฮวาเทียนจิ้งลุกพรวดขึ้นเมื่อได้รับคำตอบที่ตนไม่พึงใจนัก จากร่างกายที่พิงอกหนั่นแน่นเอาไว้ก็เอนไปด้านหลัง พลันกระแทกเข้ากับผนังโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
"โอ๊ย! เจ็บนะ ทำไมชอบใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง หน้าไม่อาย"
"หน้าไม่อาย?" คิ้วเข้มเลิกขึ้น
"หญิงมารยาร้อยเล่มเกวียนเช่นเจ้า ข้าจำเป็นต้องปฏิบัติด้วยดีเช่นนั้นหรือ ตอบข้ามาเท่านั้น ว่าเจ้าทำได้อย่างไร แล้วจะแก้ไขเช่นไร" ฮวาเทียนจิ้งขึงดวงตามองอีกฝ่าย ราวกับว่ามีประกายเปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมาอย่างน่าหวาดเกรง
"ก็บอกว่าไม่รู้ยังไงเล่า งี่เง่าเอาแต่ใจ"
"ไม่รู้หรือ"
ฮวาเทียนจิ้งกัดฟันกรอด พลางเอื้อมมือบีบคอบอบบางนั้นเอาไว้
คนนะไม่ใช่กระสอบทราย ป่าเถื่อนสิ้นดี ผู้ชายที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดนะ
เมื่อรู้สึกว่าแรงบีบรัดของตนดูเหมือนจะรุนแรงจนเกินไป ฮวาเทียนจิ้งจึงคลายฝ่ามือออก และจากท่าทีของลี่เหยาเหยาเมื่อสักครู่ นางคงไม่ทราบสิ่งใดจริง ๆ เช่นนั้นเขาคงทำได้เพียงเก็บสตรีผู้นี้เอาไว้ข้างกายไม่ให้คลาดสายตาเสียแล้ว
ยามนี้ชีวิตของจอมมารวิหคทองล้วนขึ้นอยู่กับลี่เหยาเหยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คงมีใครบางคนต้องการกำจัดเขาโดยใช้เจ้าสาวบรรณาการเป็นเครื่องมือ เช่นนั้นเขาไม่มีทางเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสมปรารถนาเป็นแน่
"เถียนชี"
"ขอรับ"
"เอาตัวนางไป ให้ไปอยู่ที่หอซักล้าง หากข้าไม่สั่งอย่าให้นางออกมาพบหน้าข้า"
หอซักล้างงั้นเหรอ
"รับทราบขอรับ"
เถียนชีเดินเข้ามาช่วยพยุงกายของลี่เหยาเหยา ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไร้เรี่ยวแรงอยู่ไม่น้อย
"เอ่อ...นายท่านดูเหมือนคุณหนูจะยังไม่แข็งแรงนะขอรับ"
"เจ้าอยากไปอยู่แทนนางหรืออย่างไร" ฮวาเทียนจิ้งกล่าวเสียงแข็ง
"ขอรับ ขอรับ"
เถียนชีเร่งตอบรับอย่างกระวีกระวาด ลี่เหยาเหยาเองก็ทำได้เพียงจำใจลุกออกจากเตียงนอนโดยไร้ซึ่งกำลัง พลางมองค้อนอีกฝ่ายด้วยความจงเกลียดจงชัง ก่อนเดินผ่านหน้า ริมฝีปากบางกล่าวขมุบขมิบ
"คนใจแคบ ใจดำอำมหิต"
"หึ!"
ฮวาเทียนจิ้งไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงมองตามร่างของสตรีค่อย ๆ เดินจากไปจนลับสายตา พลางเหลียวมองไปยังเถียนหยา
"เถียนหยา"
"ขอรับนายท่าน"
"เจ้าจับตาดูนางเอาไว้ หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลรีบมาแจ้งข้าในทันที"
ลี่เหยาเหยาถูกส่งตัวมายังหอซักล้าง นางถูกใช้งานสารพัดทั้ง ๆ ที่ยังคงเจ็บป่วยอยู่ ส่วนฮวาเทียนจิ้งรอฟังเรื่องราวในชีวิตประจำวันของนางอยู่เสมอ ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดที่เผยพิรุธว่าลี่เหยาเหยาคือคนของผู้ไม่ประสงค์ดีแม้แต่น้อย แต่ละวันเขาได้ยินเพียงเรื่องที่นางถูกกลั่นแกล้ง
"ซักให้สะอาดเล่า มนุษย์ตัวเหม็นเช่นเจ้า โดนนายท่านเฉดหัวมาก็สมควรแล้ว" เสียงสตรีวัยกลางคนเอ่ยวาจาดุดัน ในมือโยนอาภรณ์พะเนินเทินทึกลงไปใกล้ลี่เหยาเหยาซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่ปริปากสักคำ
ซักก็ซักสิ ทำไมต้องมาโวยวายใส่ด้วยเนี่ย คนที่นี่เป็นประสาทจริง ๆ
"โอ๊ย!"
ไม้ที่ใช้ซักผ้าดันทุบพลาดไปโดนปลายนิ้วตน ลี่เหยาเหยาร้องเสียงหลง พลางทำสีหน้าเหยเก
"เหอะ! สำออย เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก ซักต่อ"
ลี่เหยาเหยาแหงนเงยใบหน้ามองผู้ที่ยืนสั่งตนพลางบ่นไม่ขาดปากด้วยแววตาขึงขัง
เย็นไว้ลี่เหยาเหยา เย็นไว้
"คุณแม่บ้านคะ ฉันไปทำอะไรให้พวกคุณ ทำไมต้องมารังแกกันด้วย"
"ทำไมหรือ พูดจาก็ราวพวกวิปลาส แค่นี้ทนไม่ไหวแล้วหรือ เป็นคุณหนูแล้วอย่างไร คุณหนูอาภัพเช่นเจ้าถูกส่งมาทำงานก็ดีถมไปแล้ว" สตรีร่างท้วมยืนเท้าเอว พลางขึงดวงตามองลี่เหยาเหยา นางดึงไม้จากมือลี่เหยาเหยา ฟาดลงปลายนิ้วงามสองสามที
"โอ๊ย! เจ็บ"
"เจ็บสิดีจะได้จำ ชายาท่านจอมมารอะไร ก็แค่หมาหัวเน่าตัวหนึ่ง"
เสียงหัวเราะดังระงมไปทั่วหอซักล้าง ลี่เหยาเหยาทำได้เพียงกัดฟันกรอด และก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไปด้วยสภาพสุดแสนบอบช้ำ
ฮวาเทียนจิ้ง จอมมารใจแคบ
อยู่ ๆ ปลายนิ้วของฮวาเทียนจิ้งก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด "เถียนหยา เจ้าไปดูนาง"
"ขอรับ"
เถียนหยาเร่งฝีเท้าเข้าไปยังหอซักล้าง บรรดาสตรีทั้งหลายต่างแตกตื่น รวมถึงหัวหน้าหอ พวกนางหลุบดวงตามองพื้นแทบไม่กล้าแหงนมองร่างสูงที่เดินย่างกรายเข้ามา โดยปกติแล้วเรื่องหอซักล้างล้วนเป็นหน้าที่ของสตรี ซ้ำองครักษ์มือซ้ายและมือขวาของจอมมารไม่เคยเหยียบเยือนหอซักล้างมาก่อน เหงื่อเย็นเริ่มผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้า ภายในใจเต้นระรัวเร็ว
นัยน์ตาของเถียนหยาเหลือบมองไปเห็นร่างเล็กของสตรีซึ่งยังคงทำหน้าที่ซักล้างกับกองอาภรณ์ที่พะเนินเทินทึกอยู่ผู้เดียวด้วยความขะมักเขม้น และดูเหมือนนางจะถูกใช้งานอย่างหนัก เถียนหยาเดินเข้าไปใกล้พลางมองที่ปลายนิ้วเรียวอันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็สกปรกเลอะเทอะจนแทบดูไม่ได้
"คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" เถียนหยาเอ่ยเสียงแผ่ว นางช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ลี่เหยาเหยาแหงนเงยใบหน้าขึ้นตามเสียงที่ร้องเรียกตน "ยังไม่ตาย"
จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนต่อไปโดยไม่คิดสนใจเถียนหยาแม้แต่น้อย
"ท่านอย่าได้ทำงานหนักจนเกินไป หากท่านบาดเจ็บ ท่านจอมมารก็จะเจ็บไปด้วย"
"เหอะ เกี่ยวอะไรกัน นี่เป็นความประสงค์ของเขาไม่ใช่หรือ สาแก่ใจจอมมารของท่านแล้วหรือไม่"
"เอ่อ..."
ลี่เหยาเหยายกมือขึ้นปราม กล่าววาจาด้วยสีหน้าขึงขัง
"ข้าจะทำงานอย่ามารบกวน ฝากไปบอกนายของท่านด้วย"
ลี่เหยาเหยาแหงนมองเถียนหยา เถียนหยาเลิกคิ้วด้วยความฉงน
"ฮวาเทียนจิ้งข้าไม่กลัวจอมมารไร้หัวใจเช่นท่านหรอก คนใจดำ ใจแคบ ไร้ศีลธรรม ไร้มโนธรรม!"
"นางเป็นอย่างไร" ฮวาเทียนจิ้งเอ่ยถาม เมื่อเถียนหยากลับออกมาเรียบร้อยแล้ว
"ดูเหมือนว่า นางจะขยันขันแข็งอยู่ไม่น้อย นางยังเอ่ยว่า..."
"ว่า...?" คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน
"เอ่อ...ข้าสามารถรายงานคำนี้ได้ด้วยหรือขอรับ" เถียนหยารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง
ทว่าเถียนชีที่ยืนขนาบข้างพลันกระทุ้งข้อศอกไปยังหน้าท้องหนั่นแน่นของสหาย
"เจ้ามัวอ้ำอึ้งด้วยสิ่งใดกัน นายท่านให้เจ้าจับตาดูนาง ก็เร่งรายงานออกมา" เถียนชีเอ่ยเสียงดุ
"กะ...ก็ได้"
เถียนหยาจึงค้อมศีรษะลงพลางประสานท่อนแขนเข้าด้วยกัน กระแอมไอออกมาหนึ่งหน และกล่าวเลียนเสียงสตรี "นางบอกว่า ฮวาเทียนจิ้งข้าไม่กลัวจอมมารไร้หัวใจเช่นท่านหรอก คนใจดำ ใจแคบ ไร้ศีลธรรม ไร้มโนธรรม!"
ทันทีที่กล่าวจบ เถียนชีซึ่งอยู่ด้านข้างพลอยเบิกดวงตากว้าง ทว่ากลับเผลอหลุดรอยยิ้มออกมา เมื่อถูกผู้เป็นนายเหลียวมองหน้าขวับด้วยแววตาขมึงทึง เถียนชีจึงหุบรอยยิ้มลงทันควัน
นานมากแล้วที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อว่าราชามารเช่นนี้ ใจเด็ดเสียจริง นางช่างน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ฮวาเทียนจิ้งกัดฟันกรอด พลางเอ่ยลอดไรฟัน "ลี่ เหยา เหยา...ไปเอาตัวนางมาพบข้า!"
ลี่เหยาเหยาถูกนำตัวมาพบฮวาเทียนจิ้งยังหอฝึกปราณ นัยน์ตาคมกวาดมองร่างสตรีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อาภรณ์ที่นางสวมใส่ช่างดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ซ้ำปลายนิ้วมือทั้งสิบกลับเต็มไปด้วยบาดแผล ท่อนแขนซึ่งโผล่พ้นใยผ้าล้วนปรากฏร่องรอยฟกช้ำเป็นจ้ำเต็มไปหมด มิน่าเล่าหลายวันมานี้ฮวาเทียนจิ้งรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวยิ่งนัก แท้จริงนางถูกข่มเหงถึงเพียงนี้ ทว่ากลับไม่ยอมปริปากหรือโต้กลับคนเหล่านั้นแม้แต่น้อยลี่เหยาเหยาไม่ได้กริ่งเกรงสายตาดุดันเบื้องหน้าเพียงรู้สึกวางท่าไม่ถูกก็เท่านั้นนางยืนตัวตรงแน่วพลางจ้องไปยังบัลลังก์ยกสูงท่วมหัวของตน บรรยากาศด้านในเริ่มแดดันอึดอัด"เถียนชี เถียนหยา พวกเจ้าออกไปก่อน""ขอรับ"องครักษ์ทั้งสองจึงหายวับจากไปในพริบตาพวกเขาดูจะประหลาดใจไม่น้อย คราก่อนเหตุสุดวิสัยจากที่นางได้รับบาดเจ็บยังพอเข้าใจได้ ทว่ามาหนนี้จอมมารต้องการพบหญิงสาวผู้หนึ่ง กลับให้นางเข้าพบในหอฝึกปราณ ซึ่งไม่เคยมีสตรีนางใดได้รับอนุญาตให้เข้าด้านในมาก่อน แม้กระทั่งคุณหนูอวี่หนาน ผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของฮวาเทียนจิ้งเองก็ตาม
ลี่เหยาเหยาไม่ได้กลับไปยังหอซักล้างแล้ว ฮวาเทียนจิ้งให้นางอาศัยอยู่ที่ห้องของตน และให้เถียนหยาคอยจับตาดูนางอยู่ไม่ห่าง จอมมารไม่ได้กลับห้องเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาขลุกตัวอยู่ภายในหอตำราและหอฝึกปราณเท่านั้น ส่วนห้องนอนถูกยกให้ลี่เหยาเหยาไปโดยปริยายฮวาเทียนจิ้งพยายามค้นหาตำราที่สามารถถอนพันธผูกจิต แต่ดูเหมือนเขาค้นหาจนแทบหมดทุกเล่มกลับไม่พบวิธีแก้ไขแต่อย่างใด ผู้ใดมันช่างกล้าเล่นตุกติกกับเขาเช่นนี้กัน"นายท่านขอรับ เจอแล้วขอรับ" เถียนชีกล่าวสีหน้าตื่นเต้น"ขอข้าดูหน่อย"เถียนชีจึงยื่นตำราไปเบื้องหน้านายของตน พลางกล่าวว่า"ทว่าดูเหมือนสามารถสยบความเจ็บปวดจากอีกฝ่ายแต่ไม่อาจสยบความตายได้ หากวิธีตัดขาดเลยยังหาไม่พบขอรับ""อืม...ชั่วคราวก็ยังดี"ฮวาเทียนจิ้งกวาดสายตามองตัวอักษรทีละตัว "กำไลสยบสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ"เถียนชีพยักหน้าหงึกหงัก "เช่นนั้นจะเริ่มเมื่อใดหรือขอรับ""เริ่มตอนนี้เลย""ฮือ…เถียนหยานายจะทำอะไร" ลี่เหยาเหยาวิ่งให้วุ่นไปทั่วท
เพราะบุตรสาวของอนุผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสตรี ซ้ำยังชอบแต่งกายผิดจารีตประเพณีไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางจึงถูกส่งไปสำนึกตนยังชานเมืองทุรกันดาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบ้านเดิมที่หญิงสาวถูกส่งตัวไปเป็นเผ่าบูชาจอมมารวิหคทอง ทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการส่งตัวเจ้าสาวบรรณาการให้แก่จอมมารในดินแดนลึกลับ คาดไม่ถึงว่าชะตาเกิดของนางจะขึ้นตรงกับเนตรหายนะของปีที่สิบนี้เข้าอย่างพอดี ทั้งหมู่บ้านล้วนร่ำลือว่า บุตรีเสนาบดีใหญ่และอนุที่สิ้นใจไปแล้วล้วนเป็นที่ชิงชัง แม้นางหายตัวไปคงไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ในคืนที่เกิดพายุลมฝนกรรโชกอย่างหนัก ร่างบอบบางกลับนอนขดกายอยู่บนแคร่ไม้เก่าในห้องเก็บฟืน นางเป็นคุณหนูรองลูกของเสนาบดีก็จริงอยู่ ทว่าเมื่อถูกส่งเข้ามาเพื่อสำนึกตนยังสถานที่แห่งนี้ กลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวไพร่สารพัด ผู้คนเหล่านี้หาได้เกรงกลัวคุณหนูรองเช่นนาง ซ้ำยังประณามว่านางคือ บุตรีนอกคอกผู้ที่บิดาแสนเกลียดชัง การที่ถูกส่งมายังสถานที่เช่นนั้นหมายถึงว่านางได้โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว ปัง! เสียงบานประตูถูกกระแทกจนเปิดออก นัยน์ตาคู่งามเปิดกว้างมองผ่านความมืดสลัว นางชินและชากับเหตุการณ์เช่นนี้เสีย
"เอ๋…นี่มันที่ไหนนะ" ลี่เหยาเหยาลืมตาขึ้นท่ามกลางความสลัว ใบหูของเธอคล้ายได้ยินเสียงคลื่นกำลังซัดสาด ร่างกายแข็งทื่อเสียจนไม่อาจขยับ"เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือว่านี่คือโรงพยาบาล" ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ทว่ากลับยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้าของตนมีบางสิ่งมาบดบังเสียจนน่าอึดอัด "อะไรเนี่ย? เสี่ยวผิง""…""เสี่ยวผิง""…"มีเพียงเสียงเงียบสงัดตอบรับกลับมา ลี่เหยาเหยาจึงถอดใจ พลางพ่นลมหายใจออกเชื่องช้า หลับดวงตาลงอีกหน"สงสัยเรากำลังฝันแหง ปวดหัวจัง นอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว ช่างเถอะ" ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ลี่เหยาเหยาจึงผล็อยหลับลงในที่สุด เรือลำเล็กเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความอนธการโดยรอบ ร่างหญิงสาวนอนทอดกายอยู่ด้านใน ลมหายใจของนางเข้าออกสม่ำเสมอ ห่างออกไปไม่กี่ลี้[1] มีสายตาสองคู่กำลังกวาดมองมายังตัวเรือที่ลอยแล่นอยู่บนผิวน้ำด้วยความสนอกสนใจ "เถียนชีเจ้าเห็นแล้วหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยพลางเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าท้องน้ำอันไกลโพ้น "ข้าเห็นแล้ว สายตาของเจ้าช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก เราไปรับพระชายา
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งโหยง พยายามกล่อมใจตัวเองต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ อาจเป็นกองถ่ายละครแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าภายในใจของนางกลับร้องตะโกนเสียงดังระงม ลี่เหยาเหยาเธอตายไปนานแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ลี่เหยาเหยาพยายามสลัดความคิดสับสนมึนงงนั้นทิ้งไป พลางแหงนหน้ามองคนร่างสูงที่ยืนขึงดวงตาสีแดงฉานมองมาที่ตน น้ำเสียงที่พยายามเอ่ยออกมาจึงดูกระท่อนกระแท่นอยู่ไม่น้อย "ฉันอยากอาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่า" "หืม…" "อะ…เอ่อ คือว่าตอนนี้ฉันตัวเหม็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนจะหมดสตินอนไม่รู้สึกตัวหลายวัน แค่ขออาบน้ำแป๊บเดียว หลังจากนั้นนายจะสอบสวน หรือจะฆ่าจะแกงก็ตามใจ" ลี่เหยาเหยาพยายามอธิบาย และกดข่มความขลาดกลัวพลางกล่าววาจาละมุนละม่อมแท้จริงแล้วลี่เหยาเหยาอยากรู้ยิ่งนักว่าที่แห่งนี้คือที่ใด อย่างน้อย ๆ หากได้ออกไปสำรวจด้านนอกอาจจะพอหาหนทางหลบหนีออกไปได้คงไม่ใช่พวกขบวนการค้ามนุษย์หรอกนะ"มากความเสียจริง แค่นำโลหิตเจ้ามาแล้วไสหัวออกจากเมืองของข้าก็พอ" ลี่เหยาเหยาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย "แล้วจะกลับยังไง ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน"นัยน์ตาคมกริบกวาดมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขร
สตรีใบหน้าหวานสวมเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว แดนมาร กลิ่นกายหอมกรุ่นล่องลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกผู้ที่นั่งเคร่งขรึมอยู่มุมห้อง เขาจึงแหงนเงยใบหน้าของตนขึ้นเชื่องช้า เพียงแวบเดียวที่ความรู้สึกภายในใจราวเต้นกระหน่ำ ทว่าครู่ถัดมาอาการเช่นนั้นพลันมลายหายไป ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเบื้องหน้าเชื่องช้า ดวงตาดุดันเพ่งมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด"แต่งกายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่า ข้าจะรับเป็นชายาจริง ๆ ใช่หรือไม่" เสียงทุ้มกล่าวลอดไรฟัน ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังลำคอระหงลี่เหยาเหยากระอักไอออกมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ร่างบอบบางถูกอีกฝ่ายยกขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวพยายามดีดแข้งดีดขาของตนเพื่อเอาตัวรอด สีหน้าของนางตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นตบตี ตะปบแกะให้อีกฝ่ายผ่อนปรนแรงลงราว ลูกแมวขาดอากาศหายใจ"ปะ...ปล่อยนะ"ประมุขแดนมารเห็นว่าลี่เหยาเหยาเริ่มไม่ไหว เขาจึงเหวี่ยงกายคนตัวเล็กในชุดเจ้าสาวลงบนเตียงนอน อย่างไม่สนใจไยดี พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงหยิบชุดนี้ขึ้นมาใส่""ฉัน.
"เป็นเช่นไรเล่าเถียนชี นางอยู่ที่นี่นานกว่าสองชั่วยาม เจ้าแพ้แล้ว" เถียนหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดิมพันกับเถียนชีแล้วเป็นฝ่ายชนะ คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้สามารถอยู่กับจอมมารฮวาเทียนจิ้งนานกว่าสตรีนางอื่น เดิมทีหากเจ้าสาวบรรณาการใดถูกส่งเข้ามา แทบไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำพวกนางก็ถูกส่งตัวกลับ เถียนหยาเกรงว่าคุณหนูลี่เหยาเหยาผู้นี้คงมีสิ่งน่าสนใจไม่มากก็น้อยเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นว่าผู้เป็นนายเก็บสตรีนางใดไว้ข้างกายสักราย"แพ้ก็แพ้สิ เอาไปผลึกแก้วห้วงเวลาสามชิ้น"เถียนหยาเอื้อมมือเข้ารับของวิเศษจากสหายด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง "ขอบใจ"เถียนชี "นายท่านให้เจ้าเป็นฝ่ายส่งนาง อีกเดี๋ยวข้าจะตามนายท่านไปยังหอฝึกปราณ นางฟื้นแล้วก็เร่งพานางออกไปเล่า"เถียนหยา "ข้ารู้แล้วนา เดี๋ยวนี้เจ้าช่างขี้บ่นอย่างกับมารดาของข้า""ชิ เจ้ามารปากดี"เถียนชีจึงหมุนกายพลันหายวับออกจากหอนอนชั่วพริบตา"อื้อ...ปวดหัวจัง" เสียงเล็กเอ่ยกระท่อนกระแท่นดังเบาหวิว&n
"อ้าว เถียนชีนี่เจ้าจะไปที่ใดเล่า" เถียนหยาเพิ่งกลับมาถึงเห็นว่าเถียนชีเร่งร้อนเดินดุ่ม ๆ ออกจากหอฝึกปราณจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง"มาก็ดี เจ้าเอาคุณหนูลี่เหยาเหยาคนนั้นไปส่งไว้ที่ใดกันเล่า""ข้าก็ส่งนางไว้ที่เดิมนั่นแหละ เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด""นายท่านเผลอไปทำพันธผูกจิตกับนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยามนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปตามหานางเร็วเข้า!""ห้ะ!! มิน่าเล่า ปกติข้าไม่เคยเห็นนายท่านสัมผัสร่างกายผู้ใดเลย แต่เมื่อสักครู่ข้าเห็น เอ่อ..." เถียนหยากล่าวกระอักกระอ่วน"เห็นอะไรเล่า ไยมัวอมพะนำ" เถียนชีเอ่ยด้วยความหงุดหงิด"ก็รอยที่คอของนาง...""อย่างนี้นี่เอง แต่โดยปกติหากไม่มีอาคมร่วมด้วย หากเพียงแค่สัมผัสต้นคอเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน คุณหนูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันเล่า"บุรุษทั้งสองสนทนากันอย่างพะว้าพะวัง พลันหายวับออกจากคฤหาสน์วิหคทองด้วยความเร่งร้อนลี่เหยาเหยาถูกแบกขึ้นบ่า ภาพเบื้องหน้าของนางกลับด้านเสียจนน่าเวียนศีรษะ จาก
ลี่เหยาเหยาไม่ได้กลับไปยังหอซักล้างแล้ว ฮวาเทียนจิ้งให้นางอาศัยอยู่ที่ห้องของตน และให้เถียนหยาคอยจับตาดูนางอยู่ไม่ห่าง จอมมารไม่ได้กลับห้องเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาขลุกตัวอยู่ภายในหอตำราและหอฝึกปราณเท่านั้น ส่วนห้องนอนถูกยกให้ลี่เหยาเหยาไปโดยปริยายฮวาเทียนจิ้งพยายามค้นหาตำราที่สามารถถอนพันธผูกจิต แต่ดูเหมือนเขาค้นหาจนแทบหมดทุกเล่มกลับไม่พบวิธีแก้ไขแต่อย่างใด ผู้ใดมันช่างกล้าเล่นตุกติกกับเขาเช่นนี้กัน"นายท่านขอรับ เจอแล้วขอรับ" เถียนชีกล่าวสีหน้าตื่นเต้น"ขอข้าดูหน่อย"เถียนชีจึงยื่นตำราไปเบื้องหน้านายของตน พลางกล่าวว่า"ทว่าดูเหมือนสามารถสยบความเจ็บปวดจากอีกฝ่ายแต่ไม่อาจสยบความตายได้ หากวิธีตัดขาดเลยยังหาไม่พบขอรับ""อืม...ชั่วคราวก็ยังดี"ฮวาเทียนจิ้งกวาดสายตามองตัวอักษรทีละตัว "กำไลสยบสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ"เถียนชีพยักหน้าหงึกหงัก "เช่นนั้นจะเริ่มเมื่อใดหรือขอรับ""เริ่มตอนนี้เลย""ฮือ…เถียนหยานายจะทำอะไร" ลี่เหยาเหยาวิ่งให้วุ่นไปทั่วท
ลี่เหยาเหยาถูกนำตัวมาพบฮวาเทียนจิ้งยังหอฝึกปราณ นัยน์ตาคมกวาดมองร่างสตรีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อาภรณ์ที่นางสวมใส่ช่างดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ซ้ำปลายนิ้วมือทั้งสิบกลับเต็มไปด้วยบาดแผล ท่อนแขนซึ่งโผล่พ้นใยผ้าล้วนปรากฏร่องรอยฟกช้ำเป็นจ้ำเต็มไปหมด มิน่าเล่าหลายวันมานี้ฮวาเทียนจิ้งรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวยิ่งนัก แท้จริงนางถูกข่มเหงถึงเพียงนี้ ทว่ากลับไม่ยอมปริปากหรือโต้กลับคนเหล่านั้นแม้แต่น้อยลี่เหยาเหยาไม่ได้กริ่งเกรงสายตาดุดันเบื้องหน้าเพียงรู้สึกวางท่าไม่ถูกก็เท่านั้นนางยืนตัวตรงแน่วพลางจ้องไปยังบัลลังก์ยกสูงท่วมหัวของตน บรรยากาศด้านในเริ่มแดดันอึดอัด"เถียนชี เถียนหยา พวกเจ้าออกไปก่อน""ขอรับ"องครักษ์ทั้งสองจึงหายวับจากไปในพริบตาพวกเขาดูจะประหลาดใจไม่น้อย คราก่อนเหตุสุดวิสัยจากที่นางได้รับบาดเจ็บยังพอเข้าใจได้ ทว่ามาหนนี้จอมมารต้องการพบหญิงสาวผู้หนึ่ง กลับให้นางเข้าพบในหอฝึกปราณ ซึ่งไม่เคยมีสตรีนางใดได้รับอนุญาตให้เข้าด้านในมาก่อน แม้กระทั่งคุณหนูอวี่หนาน ผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของฮวาเทียนจิ้งเองก็ตาม
นัยน์ตาคู่งามเปิดปรือขึ้นท่ามกลางความสลัว ลี่เหยาเหยารู้สึกว่ากายของตนปวดหนึบไปเสียหมดที่ไหนนะ เราตายอีกรอบแล้วหรือเปล่า"ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ"ลี่เหยาเหยาพยายามกวาดสายตามองไปยังต้นเสียงที่เอ่ยขึ้น นางกะพริบดวงตาถี่เอ๋...หมอนี่อีกแล้วเหรอ"ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามัวนอนกินบ้านกินเมือง""นะ...น้ำ" เสียงเล็กพยายามร้องขอ ลี่เหยาเหยารู้สึกว่าตอนนี้ลำคอช่างแห้งผากเหลือเกินฮวาเทียนจิ้งจึงลุกขึ้น และหยิบป้านชาลายวิจิตรพลางรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงไปอย่างไม่เร่งร้อน "ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม"เอาอีกแล้ว เจอหน้าทีไรเป็นต้องมีเรื่องโน่นนี่ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือเพื่อรับจอกน้ำชาด้วยอาการสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น จึงยอบกายลงเชื่องช้า และพยุงร่างของสตรีด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา แม้จะแตะเนื้อต้องตัวกัน หรืออยู่ในห้องเพียงลำพังคงไม่เกิดความเสียหายใดแก่นางมากไปกว่านี้หรอกกระมัง
"อ้าว เถียนชีนี่เจ้าจะไปที่ใดเล่า" เถียนหยาเพิ่งกลับมาถึงเห็นว่าเถียนชีเร่งร้อนเดินดุ่ม ๆ ออกจากหอฝึกปราณจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง"มาก็ดี เจ้าเอาคุณหนูลี่เหยาเหยาคนนั้นไปส่งไว้ที่ใดกันเล่า""ข้าก็ส่งนางไว้ที่เดิมนั่นแหละ เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด""นายท่านเผลอไปทำพันธผูกจิตกับนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยามนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปตามหานางเร็วเข้า!""ห้ะ!! มิน่าเล่า ปกติข้าไม่เคยเห็นนายท่านสัมผัสร่างกายผู้ใดเลย แต่เมื่อสักครู่ข้าเห็น เอ่อ..." เถียนหยากล่าวกระอักกระอ่วน"เห็นอะไรเล่า ไยมัวอมพะนำ" เถียนชีเอ่ยด้วยความหงุดหงิด"ก็รอยที่คอของนาง...""อย่างนี้นี่เอง แต่โดยปกติหากไม่มีอาคมร่วมด้วย หากเพียงแค่สัมผัสต้นคอเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน คุณหนูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันเล่า"บุรุษทั้งสองสนทนากันอย่างพะว้าพะวัง พลันหายวับออกจากคฤหาสน์วิหคทองด้วยความเร่งร้อนลี่เหยาเหยาถูกแบกขึ้นบ่า ภาพเบื้องหน้าของนางกลับด้านเสียจนน่าเวียนศีรษะ จาก
"เป็นเช่นไรเล่าเถียนชี นางอยู่ที่นี่นานกว่าสองชั่วยาม เจ้าแพ้แล้ว" เถียนหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดิมพันกับเถียนชีแล้วเป็นฝ่ายชนะ คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้สามารถอยู่กับจอมมารฮวาเทียนจิ้งนานกว่าสตรีนางอื่น เดิมทีหากเจ้าสาวบรรณาการใดถูกส่งเข้ามา แทบไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำพวกนางก็ถูกส่งตัวกลับ เถียนหยาเกรงว่าคุณหนูลี่เหยาเหยาผู้นี้คงมีสิ่งน่าสนใจไม่มากก็น้อยเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นว่าผู้เป็นนายเก็บสตรีนางใดไว้ข้างกายสักราย"แพ้ก็แพ้สิ เอาไปผลึกแก้วห้วงเวลาสามชิ้น"เถียนหยาเอื้อมมือเข้ารับของวิเศษจากสหายด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง "ขอบใจ"เถียนชี "นายท่านให้เจ้าเป็นฝ่ายส่งนาง อีกเดี๋ยวข้าจะตามนายท่านไปยังหอฝึกปราณ นางฟื้นแล้วก็เร่งพานางออกไปเล่า"เถียนหยา "ข้ารู้แล้วนา เดี๋ยวนี้เจ้าช่างขี้บ่นอย่างกับมารดาของข้า""ชิ เจ้ามารปากดี"เถียนชีจึงหมุนกายพลันหายวับออกจากหอนอนชั่วพริบตา"อื้อ...ปวดหัวจัง" เสียงเล็กเอ่ยกระท่อนกระแท่นดังเบาหวิว&n
สตรีใบหน้าหวานสวมเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว แดนมาร กลิ่นกายหอมกรุ่นล่องลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกผู้ที่นั่งเคร่งขรึมอยู่มุมห้อง เขาจึงแหงนเงยใบหน้าของตนขึ้นเชื่องช้า เพียงแวบเดียวที่ความรู้สึกภายในใจราวเต้นกระหน่ำ ทว่าครู่ถัดมาอาการเช่นนั้นพลันมลายหายไป ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเบื้องหน้าเชื่องช้า ดวงตาดุดันเพ่งมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด"แต่งกายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่า ข้าจะรับเป็นชายาจริง ๆ ใช่หรือไม่" เสียงทุ้มกล่าวลอดไรฟัน ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังลำคอระหงลี่เหยาเหยากระอักไอออกมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ร่างบอบบางถูกอีกฝ่ายยกขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวพยายามดีดแข้งดีดขาของตนเพื่อเอาตัวรอด สีหน้าของนางตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นตบตี ตะปบแกะให้อีกฝ่ายผ่อนปรนแรงลงราว ลูกแมวขาดอากาศหายใจ"ปะ...ปล่อยนะ"ประมุขแดนมารเห็นว่าลี่เหยาเหยาเริ่มไม่ไหว เขาจึงเหวี่ยงกายคนตัวเล็กในชุดเจ้าสาวลงบนเตียงนอน อย่างไม่สนใจไยดี พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงหยิบชุดนี้ขึ้นมาใส่""ฉัน.
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งโหยง พยายามกล่อมใจตัวเองต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ อาจเป็นกองถ่ายละครแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าภายในใจของนางกลับร้องตะโกนเสียงดังระงม ลี่เหยาเหยาเธอตายไปนานแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ลี่เหยาเหยาพยายามสลัดความคิดสับสนมึนงงนั้นทิ้งไป พลางแหงนหน้ามองคนร่างสูงที่ยืนขึงดวงตาสีแดงฉานมองมาที่ตน น้ำเสียงที่พยายามเอ่ยออกมาจึงดูกระท่อนกระแท่นอยู่ไม่น้อย "ฉันอยากอาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่า" "หืม…" "อะ…เอ่อ คือว่าตอนนี้ฉันตัวเหม็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนจะหมดสตินอนไม่รู้สึกตัวหลายวัน แค่ขออาบน้ำแป๊บเดียว หลังจากนั้นนายจะสอบสวน หรือจะฆ่าจะแกงก็ตามใจ" ลี่เหยาเหยาพยายามอธิบาย และกดข่มความขลาดกลัวพลางกล่าววาจาละมุนละม่อมแท้จริงแล้วลี่เหยาเหยาอยากรู้ยิ่งนักว่าที่แห่งนี้คือที่ใด อย่างน้อย ๆ หากได้ออกไปสำรวจด้านนอกอาจจะพอหาหนทางหลบหนีออกไปได้คงไม่ใช่พวกขบวนการค้ามนุษย์หรอกนะ"มากความเสียจริง แค่นำโลหิตเจ้ามาแล้วไสหัวออกจากเมืองของข้าก็พอ" ลี่เหยาเหยาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย "แล้วจะกลับยังไง ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน"นัยน์ตาคมกริบกวาดมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขร
"เอ๋…นี่มันที่ไหนนะ" ลี่เหยาเหยาลืมตาขึ้นท่ามกลางความสลัว ใบหูของเธอคล้ายได้ยินเสียงคลื่นกำลังซัดสาด ร่างกายแข็งทื่อเสียจนไม่อาจขยับ"เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือว่านี่คือโรงพยาบาล" ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ทว่ากลับยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้าของตนมีบางสิ่งมาบดบังเสียจนน่าอึดอัด "อะไรเนี่ย? เสี่ยวผิง""…""เสี่ยวผิง""…"มีเพียงเสียงเงียบสงัดตอบรับกลับมา ลี่เหยาเหยาจึงถอดใจ พลางพ่นลมหายใจออกเชื่องช้า หลับดวงตาลงอีกหน"สงสัยเรากำลังฝันแหง ปวดหัวจัง นอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว ช่างเถอะ" ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ลี่เหยาเหยาจึงผล็อยหลับลงในที่สุด เรือลำเล็กเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความอนธการโดยรอบ ร่างหญิงสาวนอนทอดกายอยู่ด้านใน ลมหายใจของนางเข้าออกสม่ำเสมอ ห่างออกไปไม่กี่ลี้[1] มีสายตาสองคู่กำลังกวาดมองมายังตัวเรือที่ลอยแล่นอยู่บนผิวน้ำด้วยความสนอกสนใจ "เถียนชีเจ้าเห็นแล้วหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยพลางเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าท้องน้ำอันไกลโพ้น "ข้าเห็นแล้ว สายตาของเจ้าช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก เราไปรับพระชายา
เพราะบุตรสาวของอนุผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสตรี ซ้ำยังชอบแต่งกายผิดจารีตประเพณีไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางจึงถูกส่งไปสำนึกตนยังชานเมืองทุรกันดาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบ้านเดิมที่หญิงสาวถูกส่งตัวไปเป็นเผ่าบูชาจอมมารวิหคทอง ทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการส่งตัวเจ้าสาวบรรณาการให้แก่จอมมารในดินแดนลึกลับ คาดไม่ถึงว่าชะตาเกิดของนางจะขึ้นตรงกับเนตรหายนะของปีที่สิบนี้เข้าอย่างพอดี ทั้งหมู่บ้านล้วนร่ำลือว่า บุตรีเสนาบดีใหญ่และอนุที่สิ้นใจไปแล้วล้วนเป็นที่ชิงชัง แม้นางหายตัวไปคงไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ในคืนที่เกิดพายุลมฝนกรรโชกอย่างหนัก ร่างบอบบางกลับนอนขดกายอยู่บนแคร่ไม้เก่าในห้องเก็บฟืน นางเป็นคุณหนูรองลูกของเสนาบดีก็จริงอยู่ ทว่าเมื่อถูกส่งเข้ามาเพื่อสำนึกตนยังสถานที่แห่งนี้ กลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวไพร่สารพัด ผู้คนเหล่านี้หาได้เกรงกลัวคุณหนูรองเช่นนาง ซ้ำยังประณามว่านางคือ บุตรีนอกคอกผู้ที่บิดาแสนเกลียดชัง การที่ถูกส่งมายังสถานที่เช่นนั้นหมายถึงว่านางได้โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว ปัง! เสียงบานประตูถูกกระแทกจนเปิดออก นัยน์ตาคู่งามเปิดกว้างมองผ่านความมืดสลัว นางชินและชากับเหตุการณ์เช่นนี้เสีย