เพราะบุตรสาวของอนุผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสตรี ซ้ำยังชอบแต่งกายผิดจารีตประเพณีไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางจึงถูกส่งไปสำนึกตนยังชานเมืองทุรกันดาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบ้านเดิมที่หญิงสาวถูกส่งตัวไปเป็นเผ่าบูชาจอมมารวิหคทอง ทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการส่งตัวเจ้าสาวบรรณาการให้แก่จอมมารในดินแดนลึกลับ คาดไม่ถึงว่าชะตาเกิดของนางจะขึ้นตรงกับเนตรหายนะของปีที่สิบนี้เข้าอย่างพอดี ทั้งหมู่บ้านล้วนร่ำลือว่า บุตรีเสนาบดีใหญ่และอนุที่สิ้นใจไปแล้วล้วนเป็นที่ชิงชัง แม้นางหายตัวไปคงไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ
ในคืนที่เกิดพายุลมฝนกรรโชกอย่างหนัก ร่างบอบบางกลับนอนขดกายอยู่บนแคร่ไม้เก่าในห้องเก็บฟืน นางเป็นคุณหนูรองลูกของเสนาบดีก็จริงอยู่ ทว่าเมื่อถูกส่งเข้ามาเพื่อสำนึกตนยังสถานที่แห่งนี้ กลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวไพร่สารพัด ผู้คนเหล่านี้หาได้เกรงกลัวคุณหนูรองเช่นนาง ซ้ำยังประณามว่านางคือ บุตรีนอกคอกผู้ที่บิดาแสนเกลียดชัง การที่ถูกส่งมายังสถานที่เช่นนั้นหมายถึงว่านางได้โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว
ปัง!
เสียงบานประตูถูกกระแทกจนเปิดออก นัยน์ตาคู่งามเปิดกว้างมองผ่านความมืดสลัว นางชินและชากับเหตุการณ์เช่นนี้เสียแล้ว ริมฝีปากสีกุหลาบแสยะยิ้ม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง
"นำตัวนางไป" หญิงชราผู้หนึ่งกล่าวแทรกเสียงฝนพรำ
บรรดาชายฉกรรจ์ต่างดาหน้าเข้ามาฉุดกระชากลากถูร่างสตรีผอมบางลงจากแคร่ไม้ ชายร่างกำยำผู้หนึ่งยกนางขึ้นพาดบ่า หญิงสาวไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด ภาพที่นางเห็นล้วนกลับด้านไปเสียหมด บรรดาชาวบ้านต่างรายล้อมสตรีตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่งเอาไว้ท่ามกลางสายฝนที่หลั่งริน ดั่งสวรรค์กำลังย้ำเตือนความสิ้นหวังภายในใจของหญิงสาว นัยน์ตากลมหลับลงเชื่องช้า เธอหวังว่านี่จะเป็นความเจ็บปวดและความสิ้นหวังสุดท้าย อีกไม่นานนางคงต้องถูกลอยแพกลางสายน้ำเย็นเยียบเพื่อส่งมอบให้กับราชามารผู้ชั่วร้าย หญิงสาวแค่นยิ้มหนึ่งหน จากนั้นสติของนางพลันดับวูบลงในที่สุด
เฮือก!
"เหยาเหยาเป็นอะไร เราปลุกอยู่ตั้งนานเธอก็ไม่ยอมตื่น" เสี่ยวผิงตื่นตระหนกเมื่อเธอพยายามปลุกลี่เหยาเหยาอยู่นานสองนาน แต่ทว่าเพื่อนของเธอก็เอาแต่ส่ายศีรษะและขมวดคิ้วไปมาบนโต๊ะหนังสือ นับว่าโชคยังดีที่อาจารย์ไม่ว่างเข้าสอน เพื่อนร่วมห้องต่างทยอยเดินออกไปจนดูบางตาลงแล้ว เวลานี้ภายในห้องจึงเหลือพวกเธอเพียงสองคนเท่านั้น
ลี่เหยาเหยาพยายามปรับลมหายใจของตนให้เป็นปกติ หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดผุดขึ้นบนกรอบหน้างาม "ขอโทษทีเสี่ยวผิง เราแค่ฝันนิดหน่อย"
"ฝันเหรอ ฝันเรื่องอะไร ดูเครียดขนาดนั้น ไม่สบายหรือเปล่า"
"เอ่อ...เราคงเครียดเรื่องบทบาทที่ได้รับเกินไปจนเก็บไปฝันน่ะ ไม่เป็นไร" ลี่เหยาเหยาคลี่ยิ้มบาง
"เหยาเหยา ไม่ต้องคิดมาก ละครก็คือละคร เธอแค่แสดงออกมาตามหน้าที่ สิ้นสุดลงแล้วก็ไม่มีอะไร อีกไม่กี่วันจะถึงงานแสดงของมหาลัยแล้ว ทำใจให้สบาย" เสี่ยวผิงกล่าวปลอบใจ
เสี่ยวผิงรู้ดีว่าบทบาทที่ลี่เหยาเหยาได้รับน่ากังวลเพียงใด นับได้ว่าต้องเข้าใจตัวละครอย่างมากที่สุด คาดไม่ถึงว่าเพื่อนของเธอจะนำกลับไปฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ ซ้ำจากหญิงสาวร่าเริงกลับต้องคอยเคร่งเครียดกดดัน การแสดงละครเวทีหนนี้เป็นเส้นตัดสินโปรเจกต์จบการศึกษาของพวกเธอ ลี่เหยาเหยาลุกขึ้น พลันยื่นมือให้กับเสี่ยวผิง เสี่ยวผิงจึงเอื้อมมือตอบ พลางลุกขึ้นตามแรงดึงของอีกฝ่าย
"มีเรื่องใดบ้างที่คุณหนูเหยาเหยาผู้นี้จัดการไม่ได้ แค่จัดการกับความรู้สึกนิดเดียวสบายน่า"
ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือโอบไหล่ของเสี่ยวผิง ปลายนิ้วตบบ่าเพื่อนรักเปาะแปะ พลางก้าวเดินไปพร้อมกัน
"จ๊ะ! ยัยคุณหนูขี้เซา ขอให้มันจริงเถอะ แต่ถ้าวันไหนไม่สบายใจหรือรู้สึกป่วยตรงไหนต้องรีบบอกเรานะ" เสี่ยวผิงกล่าวพลางเขี่ยปลายจมูกเพื่อนรักเล่นอย่างนึกมันเขี้ยว
"จ้า ๆ รู้แล้วน่า นี่เพื่อนหรือแม่กันคะเนี่ย"
ลี่เหยาเหยาและเสี่ยวผิงเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่อนุบาล พวกเธอทั้งสองตัวติดกันราวกับตังเม ไปไหนไปกันอยู่เสมอ ลี่เหยาเหยาเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาโดดเด่นทรงเสน่ห์ ซ้ำนิสัยน่ารักน่าเอ็นดูและกล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ๆ โตมาเธอจึงเลือกเรียนในคณะนิเทศศาสตร์เพื่อต่อยอดความสามารถของตน แม้ตอนนี้อาจยังไม่ใช่นักแสดงเด่นดังเช่นรุ่นใหญ่ แต่ก็มีงานโฆษณาเข้ามาอยู่ไม่ขาด ส่วนเสี่ยวผิงก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับลี่เหยาเหยา พวกเธอเรียนคณะเดียวกัน อาศัยอยู่หอด้วยกัน เนื่องจากที่บ้านของทั้งสองล้วนห่างไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
ณ หอพัก
ลี่เหยาเหยานั่งมองหน้าของตนผ่านกระจกพลางกะพริบดวงตาปริบ ๆ เธอสำรวจมองใบหน้าตัวเองซ้ายขวา แล้วจึงเหลียวหลังมองไปยังเพื่อนของตนซึ่งกำลังง่วนอยู่กับแท็บเล็ตบนมือหน้าเคร่งเครียด
"เสี่ยวผิง เธอว่าเป็นไปได้ไหมที่ตัวละครบางตัวอาจเคยมีชีวิตจริง ๆ"
เสี่ยวผิงละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำ นัยน์ตากลมหรี่ลงเล็กน้อย "อืม...แบบนั้นมันก็มีนะเหยาเหยา เช่นละครที่อิงประวัติศาสตร์ไง"
"ไม่ใช่ เราหมายถึง ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่อิงอะไรเลย แต่สร้างขึ้นจากจินตนาการผู้เขียนล้วน ๆ"
"เหยาเหยาเธอกำลังคิดมากกับบทชายาจอมมารที่ได้รับเหรอ เธอกังวลว่านางจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ คิดมากน่า" เสี่ยวผิงยิ้มอ่อนพลางส่ายหน้าไปหนึ่งหน
"อืม...ดูเหมือนเราจะคิดมากเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ ละครก็ได้รับมาตั้งเยอะแยะ มาคิดมากอะไรกับโปรเจกต์ละครเวทีเรื่องเดียวกัน"
"นั่นสิ ๆ รีบมาสก์หน้า แล้วก็มานอนได้แล้วค่ะ คุณนักแสดงสาวสวย" เสี่ยวผิงกล่าวหยอกล้อเชิงไม่จริงจังนัก
"โอเคค่า คุณผู้จัดการคนสวย รีบแล้ว ๆ"
งานละครเวทีของมหาวิทยาลัยได้เดินทางมาถึง ลี่เหยาเหยาอยู่ในเครื่องแต่งกายคล้ายชุดฮั่นฝูสีแดงสด เรียกอีกอย่างคงเป็นชุดวิวาห์ซะมากกว่า
"อู้หู ชายาจอมมารผู้นี้สวยจังแฮะ มีแต่ตาทึ่มนั่นแหละที่ฆ่าเมียตัวเองตาย" เสี่ยวผิงกล่าวพลางหมุนกายของเพื่อนรักซ้ายขวา หัวเราะคิกคัก
"เสี่ยวผิง" ลี่เหยาเหยายกปลายนิ้วชี้เชิงบอกให้สหายของตนเงียบ ๆ เหตุเพราะเพื่อนร่วมกลุ่มที่คิดบทละครนี้ขึ้นมาก็อยู่ด้านในเช่นกัน
อยู่ ๆ สาวแว่นหนาเตอะยอดนักเขียนก็เดินเข้ามาใกล้พวกเธอ พลางสำรวจมองเสี่ยวผิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และเหลียวมองลี่เหยาเหยาเช่นเดียวกัน เธอขยับแว่นสี่เหลี่ยมบนดวงตาเล็กน้อย
"รู้จักหรือเปล่า แบดเอนอะ แฮปปี้เอนมันน่าเบื่อแล้ว ถ้าอยากให้ผัวรักผัวหลงก็ลองไปเปลี่ยนชะตาเอาเองเลยซิ" เด็กแว่นตัวสูงระดับไหล่แหงนใบหน้ามองลี่เหยาเหยาสลับกับเสี่ยวผิง พลันยกสองนิ้วขึ้นชี้ดวงตาของตัวเองและกลับด้านไปมาระหว่างพวกเธอทั้งสอง ราวต้องการบ่งบอกว่า ฉันจับตาดูพวกเธออยู่นะ
"เหยาเหยา เธอแสดงให้ดีล่ะ ฉันตั้งใจเขียนมันมาก"
ลี่เหยาเหยาไม่เอ่ยสิ่งใด เธอยืนตัวแข็งทื่อพยักหน้าตอบรับ เพียงแวบหนึ่งราวกับเห็นรอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นบนใบหน้าใสซื่อนั่น ก่อนจากไปเจียลี่ตบฝ่ามือลงบนไหล่ของลี่เหยาเหยาสองสามแปะ เอ่ยกระซิบ "อยากลองช่วยชายาจอมมารหรือเปล่าล่ะ"
เจียลี่ทิ้งท้ายประโยคไว้เพียงเท่านั้นจึงสาวเท้าเดินห่างออกไป ลี่เหยาเหยามองตามเด็กแว่นร่างท้วมจนลับสายตา หัวใจของเธอกลับเต้นกระหน่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
"ยัยแว่นเด็กประหลาด แค่พูดถึงบทที่เขียนนิดเดียวไม่ได้หรือไง ชิ!" เสี่ยวผิงเอ่ยไล่หลัง
"เอาน่า ช่างเถอะเสี่ยวผิง นี่ก็ถึงเวลาแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปแสตนบายหลังเวทีก่อนนะ"
"อือ...สู้ ๆ นะ" เสี่ยวผิงยิ้มให้กำลังใจ
ลี่เหยาเหยายิ้มตอบ พลางชูแขนพร้อมกำปั้น "สู้ สู้"
ละครเวทีดำเนินมาจนถึงกลางเรื่องแล้ว เสี่ยวผิงลุ้นกับบทบาทของเหยาเหยามาโดยตลอด ด้านข้างของเธอกลับมีนักเขียนตัวดีมายืนขนาบกายตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ "เจียลี่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกอกตกใจหมด" เสี่ยวผิงสะดุ้งโหยง
"ขวัญอ่อน" เจียลี่กล่าวหน้าตาย พลางดันกรอบแว่นให้เข้าที่เข้าทาง
เสี่ยวผิงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกเธอจึงเหลียวหน้ามองไปยังเวทีด้านหน้า เจียลี่ก็เช่นเดียวกัน เสี่ยวผิงเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของลี่เหยาเหยา คิ้วของเธอจึงเริ่มเคลื่อนเข้าหากัน
"เหยาเหยา" เสี่ยวผิงกล่าวน้ำเสียงเบาหวิว ภายในใจเริ่มเต้นโครมคราม เสี่ยวผิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลนัก
อยู่ ๆ นักแสดงนำเช่นลี่เหยาเหยาพลันทรุดฮวบลง นัยน์ตาของเธอมองตรงมายังเสี่ยวผิงและเจียลี่ ลี่เหยาเหยาเริ่มรู้สึกว่าตนหายใจไม่ออก ผู้คนทั้งฮอลล์ต่างแตกตื่นโกลาหล บ้างรีบมาดูอาการ บ้างโทรเรียกรถพยาบาลจ้าละหวั่น เสี่ยวผิงเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งรุดขึ้นไปบนเวทีอย่างเร่งร้อน พร่ำเรียกเพื่อนสนิทของตนด้วยอาการตื่นตระหนก
"เหยาเหยา! เหยาเหยา!"
ภาพสุดท้ายที่ลี่เหยาเหยามองเห็นคือรอยยิ้มเย็นยะเยือกของเจียลี่ ทันใดนั้นสติสัมปชัญญะของเธอก็หายไปพร้อมกับลมหายใจที่ขาดสะบั้นลง
"เอ๋…นี่มันที่ไหนนะ" ลี่เหยาเหยาลืมตาขึ้นท่ามกลางความสลัว ใบหูของเธอคล้ายได้ยินเสียงคลื่นกำลังซัดสาด ร่างกายแข็งทื่อเสียจนไม่อาจขยับ"เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือว่านี่คือโรงพยาบาล" ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ทว่ากลับยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้าของตนมีบางสิ่งมาบดบังเสียจนน่าอึดอัด "อะไรเนี่ย? เสี่ยวผิง""…""เสี่ยวผิง""…"มีเพียงเสียงเงียบสงัดตอบรับกลับมา ลี่เหยาเหยาจึงถอดใจ พลางพ่นลมหายใจออกเชื่องช้า หลับดวงตาลงอีกหน"สงสัยเรากำลังฝันแหง ปวดหัวจัง นอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว ช่างเถอะ" ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ลี่เหยาเหยาจึงผล็อยหลับลงในที่สุด เรือลำเล็กเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความอนธการโดยรอบ ร่างหญิงสาวนอนทอดกายอยู่ด้านใน ลมหายใจของนางเข้าออกสม่ำเสมอ ห่างออกไปไม่กี่ลี้[1] มีสายตาสองคู่กำลังกวาดมองมายังตัวเรือที่ลอยแล่นอยู่บนผิวน้ำด้วยความสนอกสนใจ "เถียนชีเจ้าเห็นแล้วหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยพลางเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าท้องน้ำอันไกลโพ้น "ข้าเห็นแล้ว สายตาของเจ้าช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก เราไปรับพระชายา
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งโหยง พยายามกล่อมใจตัวเองต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ อาจเป็นกองถ่ายละครแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าภายในใจของนางกลับร้องตะโกนเสียงดังระงม ลี่เหยาเหยาเธอตายไปนานแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ลี่เหยาเหยาพยายามสลัดความคิดสับสนมึนงงนั้นทิ้งไป พลางแหงนหน้ามองคนร่างสูงที่ยืนขึงดวงตาสีแดงฉานมองมาที่ตน น้ำเสียงที่พยายามเอ่ยออกมาจึงดูกระท่อนกระแท่นอยู่ไม่น้อย "ฉันอยากอาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่า" "หืม…" "อะ…เอ่อ คือว่าตอนนี้ฉันตัวเหม็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนจะหมดสตินอนไม่รู้สึกตัวหลายวัน แค่ขออาบน้ำแป๊บเดียว หลังจากนั้นนายจะสอบสวน หรือจะฆ่าจะแกงก็ตามใจ" ลี่เหยาเหยาพยายามอธิบาย และกดข่มความขลาดกลัวพลางกล่าววาจาละมุนละม่อมแท้จริงแล้วลี่เหยาเหยาอยากรู้ยิ่งนักว่าที่แห่งนี้คือที่ใด อย่างน้อย ๆ หากได้ออกไปสำรวจด้านนอกอาจจะพอหาหนทางหลบหนีออกไปได้คงไม่ใช่พวกขบวนการค้ามนุษย์หรอกนะ"มากความเสียจริง แค่นำโลหิตเจ้ามาแล้วไสหัวออกจากเมืองของข้าก็พอ" ลี่เหยาเหยาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย "แล้วจะกลับยังไง ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน"นัยน์ตาคมกริบกวาดมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขร
สตรีใบหน้าหวานสวมเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว แดนมาร กลิ่นกายหอมกรุ่นล่องลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกผู้ที่นั่งเคร่งขรึมอยู่มุมห้อง เขาจึงแหงนเงยใบหน้าของตนขึ้นเชื่องช้า เพียงแวบเดียวที่ความรู้สึกภายในใจราวเต้นกระหน่ำ ทว่าครู่ถัดมาอาการเช่นนั้นพลันมลายหายไป ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเบื้องหน้าเชื่องช้า ดวงตาดุดันเพ่งมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด"แต่งกายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่า ข้าจะรับเป็นชายาจริง ๆ ใช่หรือไม่" เสียงทุ้มกล่าวลอดไรฟัน ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังลำคอระหงลี่เหยาเหยากระอักไอออกมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ร่างบอบบางถูกอีกฝ่ายยกขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวพยายามดีดแข้งดีดขาของตนเพื่อเอาตัวรอด สีหน้าของนางตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นตบตี ตะปบแกะให้อีกฝ่ายผ่อนปรนแรงลงราว ลูกแมวขาดอากาศหายใจ"ปะ...ปล่อยนะ"ประมุขแดนมารเห็นว่าลี่เหยาเหยาเริ่มไม่ไหว เขาจึงเหวี่ยงกายคนตัวเล็กในชุดเจ้าสาวลงบนเตียงนอน อย่างไม่สนใจไยดี พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงหยิบชุดนี้ขึ้นมาใส่""ฉัน.
"เป็นเช่นไรเล่าเถียนชี นางอยู่ที่นี่นานกว่าสองชั่วยาม เจ้าแพ้แล้ว" เถียนหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดิมพันกับเถียนชีแล้วเป็นฝ่ายชนะ คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้สามารถอยู่กับจอมมารฮวาเทียนจิ้งนานกว่าสตรีนางอื่น เดิมทีหากเจ้าสาวบรรณาการใดถูกส่งเข้ามา แทบไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำพวกนางก็ถูกส่งตัวกลับ เถียนหยาเกรงว่าคุณหนูลี่เหยาเหยาผู้นี้คงมีสิ่งน่าสนใจไม่มากก็น้อยเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นว่าผู้เป็นนายเก็บสตรีนางใดไว้ข้างกายสักราย"แพ้ก็แพ้สิ เอาไปผลึกแก้วห้วงเวลาสามชิ้น"เถียนหยาเอื้อมมือเข้ารับของวิเศษจากสหายด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง "ขอบใจ"เถียนชี "นายท่านให้เจ้าเป็นฝ่ายส่งนาง อีกเดี๋ยวข้าจะตามนายท่านไปยังหอฝึกปราณ นางฟื้นแล้วก็เร่งพานางออกไปเล่า"เถียนหยา "ข้ารู้แล้วนา เดี๋ยวนี้เจ้าช่างขี้บ่นอย่างกับมารดาของข้า""ชิ เจ้ามารปากดี"เถียนชีจึงหมุนกายพลันหายวับออกจากหอนอนชั่วพริบตา"อื้อ...ปวดหัวจัง" เสียงเล็กเอ่ยกระท่อนกระแท่นดังเบาหวิว&n
"อ้าว เถียนชีนี่เจ้าจะไปที่ใดเล่า" เถียนหยาเพิ่งกลับมาถึงเห็นว่าเถียนชีเร่งร้อนเดินดุ่ม ๆ ออกจากหอฝึกปราณจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง"มาก็ดี เจ้าเอาคุณหนูลี่เหยาเหยาคนนั้นไปส่งไว้ที่ใดกันเล่า""ข้าก็ส่งนางไว้ที่เดิมนั่นแหละ เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด""นายท่านเผลอไปทำพันธผูกจิตกับนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยามนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปตามหานางเร็วเข้า!""ห้ะ!! มิน่าเล่า ปกติข้าไม่เคยเห็นนายท่านสัมผัสร่างกายผู้ใดเลย แต่เมื่อสักครู่ข้าเห็น เอ่อ..." เถียนหยากล่าวกระอักกระอ่วน"เห็นอะไรเล่า ไยมัวอมพะนำ" เถียนชีเอ่ยด้วยความหงุดหงิด"ก็รอยที่คอของนาง...""อย่างนี้นี่เอง แต่โดยปกติหากไม่มีอาคมร่วมด้วย หากเพียงแค่สัมผัสต้นคอเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน คุณหนูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันเล่า"บุรุษทั้งสองสนทนากันอย่างพะว้าพะวัง พลันหายวับออกจากคฤหาสน์วิหคทองด้วยความเร่งร้อนลี่เหยาเหยาถูกแบกขึ้นบ่า ภาพเบื้องหน้าของนางกลับด้านเสียจนน่าเวียนศีรษะ จาก
นัยน์ตาคู่งามเปิดปรือขึ้นท่ามกลางความสลัว ลี่เหยาเหยารู้สึกว่ากายของตนปวดหนึบไปเสียหมดที่ไหนนะ เราตายอีกรอบแล้วหรือเปล่า"ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ"ลี่เหยาเหยาพยายามกวาดสายตามองไปยังต้นเสียงที่เอ่ยขึ้น นางกะพริบดวงตาถี่เอ๋...หมอนี่อีกแล้วเหรอ"ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามัวนอนกินบ้านกินเมือง""นะ...น้ำ" เสียงเล็กพยายามร้องขอ ลี่เหยาเหยารู้สึกว่าตอนนี้ลำคอช่างแห้งผากเหลือเกินฮวาเทียนจิ้งจึงลุกขึ้น และหยิบป้านชาลายวิจิตรพลางรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงไปอย่างไม่เร่งร้อน "ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม"เอาอีกแล้ว เจอหน้าทีไรเป็นต้องมีเรื่องโน่นนี่ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือเพื่อรับจอกน้ำชาด้วยอาการสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น จึงยอบกายลงเชื่องช้า และพยุงร่างของสตรีด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา แม้จะแตะเนื้อต้องตัวกัน หรืออยู่ในห้องเพียงลำพังคงไม่เกิดความเสียหายใดแก่นางมากไปกว่านี้หรอกกระมัง
นัยน์ตาคู่งามเปิดปรือขึ้นท่ามกลางความสลัว ลี่เหยาเหยารู้สึกว่ากายของตนปวดหนึบไปเสียหมดที่ไหนนะ เราตายอีกรอบแล้วหรือเปล่า"ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ"ลี่เหยาเหยาพยายามกวาดสายตามองไปยังต้นเสียงที่เอ่ยขึ้น นางกะพริบดวงตาถี่เอ๋...หมอนี่อีกแล้วเหรอ"ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามัวนอนกินบ้านกินเมือง""นะ...น้ำ" เสียงเล็กพยายามร้องขอ ลี่เหยาเหยารู้สึกว่าตอนนี้ลำคอช่างแห้งผากเหลือเกินฮวาเทียนจิ้งจึงลุกขึ้น และหยิบป้านชาลายวิจิตรพลางรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงไปอย่างไม่เร่งร้อน "ข้าจะถามเจ้าเพียงหนึ่งคำถาม"เอาอีกแล้ว เจอหน้าทีไรเป็นต้องมีเรื่องโน่นนี่ลี่เหยาเหยาเอื้อมมือเพื่อรับจอกน้ำชาด้วยอาการสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น จึงยอบกายลงเชื่องช้า และพยุงร่างของสตรีด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของเขา แม้จะแตะเนื้อต้องตัวกัน หรืออยู่ในห้องเพียงลำพังคงไม่เกิดความเสียหายใดแก่นางมากไปกว่านี้หรอกกระมัง
"อ้าว เถียนชีนี่เจ้าจะไปที่ใดเล่า" เถียนหยาเพิ่งกลับมาถึงเห็นว่าเถียนชีเร่งร้อนเดินดุ่ม ๆ ออกจากหอฝึกปราณจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง"มาก็ดี เจ้าเอาคุณหนูลี่เหยาเหยาคนนั้นไปส่งไว้ที่ใดกันเล่า""ข้าก็ส่งนางไว้ที่เดิมนั่นแหละ เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด""นายท่านเผลอไปทำพันธผูกจิตกับนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยามนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปตามหานางเร็วเข้า!""ห้ะ!! มิน่าเล่า ปกติข้าไม่เคยเห็นนายท่านสัมผัสร่างกายผู้ใดเลย แต่เมื่อสักครู่ข้าเห็น เอ่อ..." เถียนหยากล่าวกระอักกระอ่วน"เห็นอะไรเล่า ไยมัวอมพะนำ" เถียนชีเอ่ยด้วยความหงุดหงิด"ก็รอยที่คอของนาง...""อย่างนี้นี่เอง แต่โดยปกติหากไม่มีอาคมร่วมด้วย หากเพียงแค่สัมผัสต้นคอเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน คุณหนูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันเล่า"บุรุษทั้งสองสนทนากันอย่างพะว้าพะวัง พลันหายวับออกจากคฤหาสน์วิหคทองด้วยความเร่งร้อนลี่เหยาเหยาถูกแบกขึ้นบ่า ภาพเบื้องหน้าของนางกลับด้านเสียจนน่าเวียนศีรษะ จาก
"เป็นเช่นไรเล่าเถียนชี นางอยู่ที่นี่นานกว่าสองชั่วยาม เจ้าแพ้แล้ว" เถียนหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดิมพันกับเถียนชีแล้วเป็นฝ่ายชนะ คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้สามารถอยู่กับจอมมารฮวาเทียนจิ้งนานกว่าสตรีนางอื่น เดิมทีหากเจ้าสาวบรรณาการใดถูกส่งเข้ามา แทบไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำพวกนางก็ถูกส่งตัวกลับ เถียนหยาเกรงว่าคุณหนูลี่เหยาเหยาผู้นี้คงมีสิ่งน่าสนใจไม่มากก็น้อยเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นว่าผู้เป็นนายเก็บสตรีนางใดไว้ข้างกายสักราย"แพ้ก็แพ้สิ เอาไปผลึกแก้วห้วงเวลาสามชิ้น"เถียนหยาเอื้อมมือเข้ารับของวิเศษจากสหายด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง "ขอบใจ"เถียนชี "นายท่านให้เจ้าเป็นฝ่ายส่งนาง อีกเดี๋ยวข้าจะตามนายท่านไปยังหอฝึกปราณ นางฟื้นแล้วก็เร่งพานางออกไปเล่า"เถียนหยา "ข้ารู้แล้วนา เดี๋ยวนี้เจ้าช่างขี้บ่นอย่างกับมารดาของข้า""ชิ เจ้ามารปากดี"เถียนชีจึงหมุนกายพลันหายวับออกจากหอนอนชั่วพริบตา"อื้อ...ปวดหัวจัง" เสียงเล็กเอ่ยกระท่อนกระแท่นดังเบาหวิว&n
สตรีใบหน้าหวานสวมเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว แดนมาร กลิ่นกายหอมกรุ่นล่องลอยเข้ามาแตะโพรงจมูกผู้ที่นั่งเคร่งขรึมอยู่มุมห้อง เขาจึงแหงนเงยใบหน้าของตนขึ้นเชื่องช้า เพียงแวบเดียวที่ความรู้สึกภายในใจราวเต้นกระหน่ำ ทว่าครู่ถัดมาอาการเช่นนั้นพลันมลายหายไป ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเบื้องหน้าเชื่องช้า ดวงตาดุดันเพ่งมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด"แต่งกายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่า ข้าจะรับเป็นชายาจริง ๆ ใช่หรือไม่" เสียงทุ้มกล่าวลอดไรฟัน ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังลำคอระหงลี่เหยาเหยากระอักไอออกมาเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ร่างบอบบางถูกอีกฝ่ายยกขึ้นเหนือพื้น หญิงสาวพยายามดีดแข้งดีดขาของตนเพื่อเอาตัวรอด สีหน้าของนางตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก ฝ่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นตบตี ตะปบแกะให้อีกฝ่ายผ่อนปรนแรงลงราว ลูกแมวขาดอากาศหายใจ"ปะ...ปล่อยนะ"ประมุขแดนมารเห็นว่าลี่เหยาเหยาเริ่มไม่ไหว เขาจึงเหวี่ยงกายคนตัวเล็กในชุดเจ้าสาวลงบนเตียงนอน อย่างไม่สนใจไยดี พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง "เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงหยิบชุดนี้ขึ้นมาใส่""ฉัน.
ลี่เหยาเหยาสะดุ้งโหยง พยายามกล่อมใจตัวเองต้องไม่มีอะไรเป็นแน่ อาจเป็นกองถ่ายละครแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าภายในใจของนางกลับร้องตะโกนเสียงดังระงม ลี่เหยาเหยาเธอตายไปนานแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ลี่เหยาเหยาพยายามสลัดความคิดสับสนมึนงงนั้นทิ้งไป พลางแหงนหน้ามองคนร่างสูงที่ยืนขึงดวงตาสีแดงฉานมองมาที่ตน น้ำเสียงที่พยายามเอ่ยออกมาจึงดูกระท่อนกระแท่นอยู่ไม่น้อย "ฉันอยากอาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำหรือเปล่า" "หืม…" "อะ…เอ่อ คือว่าตอนนี้ฉันตัวเหม็นจริง ๆ นั่นแหละ ดูเหมือนจะหมดสตินอนไม่รู้สึกตัวหลายวัน แค่ขออาบน้ำแป๊บเดียว หลังจากนั้นนายจะสอบสวน หรือจะฆ่าจะแกงก็ตามใจ" ลี่เหยาเหยาพยายามอธิบาย และกดข่มความขลาดกลัวพลางกล่าววาจาละมุนละม่อมแท้จริงแล้วลี่เหยาเหยาอยากรู้ยิ่งนักว่าที่แห่งนี้คือที่ใด อย่างน้อย ๆ หากได้ออกไปสำรวจด้านนอกอาจจะพอหาหนทางหลบหนีออกไปได้คงไม่ใช่พวกขบวนการค้ามนุษย์หรอกนะ"มากความเสียจริง แค่นำโลหิตเจ้ามาแล้วไสหัวออกจากเมืองของข้าก็พอ" ลี่เหยาเหยาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย "แล้วจะกลับยังไง ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน"นัยน์ตาคมกริบกวาดมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขร
"เอ๋…นี่มันที่ไหนนะ" ลี่เหยาเหยาลืมตาขึ้นท่ามกลางความสลัว ใบหูของเธอคล้ายได้ยินเสียงคลื่นกำลังซัดสาด ร่างกายแข็งทื่อเสียจนไม่อาจขยับ"เราตายแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือว่านี่คือโรงพยาบาล" ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ทว่ากลับยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้าของตนมีบางสิ่งมาบดบังเสียจนน่าอึดอัด "อะไรเนี่ย? เสี่ยวผิง""…""เสี่ยวผิง""…"มีเพียงเสียงเงียบสงัดตอบรับกลับมา ลี่เหยาเหยาจึงถอดใจ พลางพ่นลมหายใจออกเชื่องช้า หลับดวงตาลงอีกหน"สงสัยเรากำลังฝันแหง ปวดหัวจัง นอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวตื่นขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว ช่างเถอะ" ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ลี่เหยาเหยาจึงผล็อยหลับลงในที่สุด เรือลำเล็กเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความอนธการโดยรอบ ร่างหญิงสาวนอนทอดกายอยู่ด้านใน ลมหายใจของนางเข้าออกสม่ำเสมอ ห่างออกไปไม่กี่ลี้[1] มีสายตาสองคู่กำลังกวาดมองมายังตัวเรือที่ลอยแล่นอยู่บนผิวน้ำด้วยความสนอกสนใจ "เถียนชีเจ้าเห็นแล้วหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยพลางเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าท้องน้ำอันไกลโพ้น "ข้าเห็นแล้ว สายตาของเจ้าช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก เราไปรับพระชายา
เพราะบุตรสาวของอนุผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสตรี ซ้ำยังชอบแต่งกายผิดจารีตประเพณีไม่เคารพกฎเกณฑ์ นางจึงถูกส่งไปสำนึกตนยังชานเมืองทุรกันดาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบ้านเดิมที่หญิงสาวถูกส่งตัวไปเป็นเผ่าบูชาจอมมารวิหคทอง ทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการส่งตัวเจ้าสาวบรรณาการให้แก่จอมมารในดินแดนลึกลับ คาดไม่ถึงว่าชะตาเกิดของนางจะขึ้นตรงกับเนตรหายนะของปีที่สิบนี้เข้าอย่างพอดี ทั้งหมู่บ้านล้วนร่ำลือว่า บุตรีเสนาบดีใหญ่และอนุที่สิ้นใจไปแล้วล้วนเป็นที่ชิงชัง แม้นางหายตัวไปคงไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ในคืนที่เกิดพายุลมฝนกรรโชกอย่างหนัก ร่างบอบบางกลับนอนขดกายอยู่บนแคร่ไม้เก่าในห้องเก็บฟืน นางเป็นคุณหนูรองลูกของเสนาบดีก็จริงอยู่ ทว่าเมื่อถูกส่งเข้ามาเพื่อสำนึกตนยังสถานที่แห่งนี้ กลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งจากบ่าวไพร่สารพัด ผู้คนเหล่านี้หาได้เกรงกลัวคุณหนูรองเช่นนาง ซ้ำยังประณามว่านางคือ บุตรีนอกคอกผู้ที่บิดาแสนเกลียดชัง การที่ถูกส่งมายังสถานที่เช่นนั้นหมายถึงว่านางได้โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว ปัง! เสียงบานประตูถูกกระแทกจนเปิดออก นัยน์ตาคู่งามเปิดกว้างมองผ่านความมืดสลัว นางชินและชากับเหตุการณ์เช่นนี้เสีย