เฮือก!!!
เจิ้งซิงอีลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่เสิ่นหนิงหลงถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตาทำให้เธอหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
หญิงสาวรีบกวาดตามองหาร่างของชายหนุ่มที่เธอเห็นว่าเขานอนจมกองเลือดอยู่หน้าหลุมศพของเธออย่างร้อนรน แต่สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้กลับทำให้เธอต้องนิ่งงัน
เมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่บนเตียงเตาในห้องที่คุ้นเคย ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอในบ้านเจิ้ง หาใช่สุสานบนหุบเขาในหมู่บ้าน
ไม่มีร่างไร้วิญญาณของเสิ่นหนิงหลง ไม่มีแม้แต่รอยเลือดสักหยด มีเพียงข้าวของที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบ สภาพเตียงเตาที่เธอนั่งอยู่ดูยุ่งเหยิง ภายในห้องราวกับสมรภูมิรบ
แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือเสียงเสียงหนึ่งที่เธอไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลับกำลังดังขึ้นอีกครั้ง
ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ
เธอได้ยินเสียงและรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงอยู่ภายในอก นั่นทำให้เธอรู้สึกตื่นตะลึงจนต้องยกมือขึ้นทาบลงไปตรงตำแหน่งนั้น เธอมีหัวใจ และมันก็กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน"
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง นี่คือห้องนอนของเธอไม่ผิดแน่ เมื่อลองหยิกเนื้อตัวเองดูก็รู้สึกเจ็บ
หรือเธอได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สวรรค์กำลังให้โอกาสเธอกลับมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดใช่หรือไม่
ความคิดนี้ทำให้เจิ้งซิงอีรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอสำรวจเนื้อตัวของตัวเองอย่างลนลาน
ปรากฏว่าตอนนี้เธอมีเลือดมีเนื้อจริงๆ หาใช่ร่างโปร่งแสงที่เป็นดวงวิญญาณอีกต่อไปแล้ว
โอ้ ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสวรรค์
เจิ้งซิงอีลุกพรวดขึ้น ขยับตัวลงจากเตียงเตาด้วยความยินดี แต่ก็ต้องสูดปากร้องออกมาเพราะความปวดหน่วงที่ช่องท้องและเจ็บจุกตรงจุดกลางกาย
เมื่อก้มลงมองดู ก็เห็นสายน้ำขาวขุ่นสายหนึ่งไหลออกมาตามเรียวขา นั่นทำให้ใบหน้างามแดงก่ำ เพราะรู้ดีว่านั่นคือน้ำอะไร
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าแข้งขาทั้งสองข้างนั้นอ่อนแรงและสั่นเทา รู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ราวกับว่าร่างกายของเธอผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก จนต้องทรุดกายลงนั่งบนเตียงเตา มองสำรวจตัวเองอย่างละเอียด
เมื่อครู่เพราะมัวแต่ดีใจที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งจึงไม่ทันสังเกตว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนกายนั้นหลุดลุ่ย ตามเนื้อตัวก็มีร่องรอยสีกุหลาบจากการร่วมรักอยู่เต็มไปหมด
เจิ้งซิงอียกสองมือขึ้นตบเบาๆ บนสองข้างแก้ม เรียกสติของตัวเอง พยายามสงบจิตสงบใจคิดใคร่ครวญว่าตอนนี้เธอย้อนกลับมาในช่วงเวลาไหน
แน่นอนว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ เธอย่อมย้อนกลับมาในตอนที่แต่งให้กับเสิ่นหนิงหลงแล้ว
แต่ก็สามารถเบาใจได้ว่าการที่เธอยังอยู่ที่บ้านเจิ้ง นั่นแสดงว่าเธอนั้นย้อนกลับมาในช่วงเวลาที่ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก อย่างน้อยเธอก็ยังไม่ตั้งครรภ์และคบชู้
และสาเหตุที่เธอยังอาศัยอยู่บ้านเจิ้งหลังจากที่แต่งงานแล้ว นั่นเพราะเธอไม่ยินยอมที่จะแยกจากบ้านเดิม ยังคงใช้ชีวิตเหมือนกับตอนที่ยังไม่แต่งงาน
ส่วนเสิ่นหนิงหลงก็ดูเหมือนจะยินดีให้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาเองก็ต้องกลับไปประจำการในค่ายทหาร และไม่มีความคิดที่จะให้เธอไปอาศัยอยู่บ้านเสิ่นที่ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ แต่ในทุกๆ เดือนอีกฝ่ายจะส่งเงินเดือนทั้งหมดของเขามาให้ผู้เป็นภรรยา
แต่สภาพภายในห้องและสภาพร่างกายของเธอที่ยับเยินจนแทบดูไม่ได้ในตอนนี้ทำให้เธอคิดหนัก ภาพเหตุการณ์อันคุ้นหูคุ้นตานี้ทำให้หัวคิ้วเรียวสวยค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
เจิ้งซิงอีถึงกับยกมือขึ้นนวดขมับที่กำลังปวดตุบๆ เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเธอย้อนกลับมาในช่วงเวลาที่เรื่องราวยังไม่เลวร้ายจนเกินไปแน่หรือ
เพราะดูเหมือนว่าเธอจะย้อนกลับมาในตอนที่แต่งให้เสิ่นหนิงหลงได้ครึ่งปี แต่ครึ่งปีนี้เธอก็สร้างเรื่องและบาดแผลให้ผู้เป็นสามีไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้เธอมีสภาพไม่น่ามองเช่นตอนนี้
นี่ย่อมเป็นเหตุการณ์ตอนที่เธอถูกตำรวจจับในข้อหาเล่นการพนัน จนเสิ่นหนิงหลงต้องมาประกันตัวเธอออกจากห้องขัง
และเรื่องนี้ยังทำให้เขาต้องลาออกจากการเป็นทหาร ออกจากหน้าที่การงานที่กำลังรุ่งโรจน์ ตำแหน่งงานที่กำลังจะได้เลื่อนขั้นตามที่หวังถูกเธอดับฝันจนมอดสนิท
หลังจากที่ทำให้อีกฝ่ายออกจากการเป็นทหารได้สมใจ ทั้งที่เธอเป็นคนผิดแท้ๆ แต่เธอก็ยังใช้ถ้อยคำทำร้ายเขาเพื่อขับไล่ไสส่งเขาออกจากบ้านเจิ้ง
'คนไร้ประโยชน์แบบพี่ คงจะไม่อยู่ให้พ่อแม่ของฉันเลี้ยงดูตลอดชีวิตหรอกนะ'
เธอถนัดนักกับการฆ่าเขาด้วยคำพูด
และแน่นอนการกระทำในครั้งนี้ของเธอย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ไม่ว่าเธอจะทำตัวร้ายกาจมากเพียงใดเสิ่นหนิงหลงก็ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ทุบตีหรือด่าทอต่อว่าเธอ แต่การเอาคืนของเขานั้นเจ็บแสบเสียยิ่งกว่า และทำให้เธอเจ็บจุกจนร้องไห้ได้เหมือนกัน
เรื่องนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอจะทำเลวเสียยิ่งกว่าเดิมจนกู่ไม่กลับ เธอจำได้ว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายลง
หลังจากที่กำราบคนปากดีเช่นเธอจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง เสิ่นหนิงหลงย่อมทำตามความต้องการของเธอ
ตอนนี้อีกฝ่ายคงจะอยู่ที่บ้านเสิ่น บ้านที่เขาเกลียดและไม่อยากจะเหยียบเข้าไป
เจิ้งซิงอีถึงกับน้ำตาตกกับการกระทำแสนร้ายกาจและโง่เขลาของตัวเอง เธอทำลายอนาคตของเสิ่นหนิงหลงเพียงเพราะต้องการให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งพอใจ
ช่างโง่งมนัก
เธอจะต้องชดใช้ให้เขาในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดและเธอจะไม่ยอมผิดพลาดเป็นครั้งที่สองอีกเด็ดขาด
แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องเร่งจัดการกับตัวเองและจัดการกับข้าวของที่กระจัดกระจายภายในห้องเสียก่อน
แน่นอนว่าการที่ห้องเละเทะเช่นนี้ย่อมต้องเป็นฝีมือการอาละวาดของเธอ
หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยดีแล้ว เจิ้งซิงอีจึงได้เดินออกมาจากห้อง หญิงสาวกวาดตามองและเดินสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านด้วยความคิดถึง ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะทุกคนต่างก็ออกไปทำงานกันหมด ภายในบ้านจึงค่อนข้างที่จะเงียบ เวลานี้ทั้งพ่อ แม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่คงจะกำลังตากแดดตากลมทำงานอยู่ในแปลงนา พี่รองและพี่สะใภ้รองคงวุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านค้าจนหัวหมุน พี่สามก็คงประจำการอยู่ในค่ายทหารทำหน้าที่ที่เขารักและภาคภูมิใจ ส่วนหลานชายทั้งสองของเธอก็คงกำลังมีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน เจิ้งซิงอียิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงทุกคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างดี แม้จะเหนื่อยแต่พวกเขาก็มีรอยยิ้มและมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีจริงๆ ที่เธอได้มีโอกาสได้ย้อนกลับมาในตอนที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และการได้กลับมาในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้ความสุขและรอยยิ้มของพวกเขาต้องหายไปอีกตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อเตรียมหุงหาอาหารให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่ในชีวิตก่อนเธอไม่เคยคิดที่จะทำ หากเป็นเมื่อก่อน หน้าที่นี้คงจะเป็นของผู้เป็นแม่ พอใกล้จะเที่ยงแม่เจิ้งที่ทำ
"พี่คะ ฉันเอาอาหารมาให้ค่ะ""พี่หนิงหลง อาหารสำหรับพี่ค่ะ""สามี ฉันเอาอาหารมาให้คุณค่ะ"แค๊ก! แค๊ก!เจิ้งซิงอีสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดง รีบยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหน้าลูบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเพราะความกระดากอาย เมื่อลองเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาตลอดเส้นทางที่เดินมาบ้านเสิ่น เธอเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยกับสามีเอาไว้มากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี ไม่คิดว่าการพูดประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคจะยากเย็นถึงเพียงนี้ด้วยทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามี เธอไม่เคยที่จะเอ่ยกับเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าย่อมไม่เคยที่จะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากจะพูดด้วยก็มีเพียงแค่คำด่าทอ พูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะคำพูดของเธอนั้นจะมีเพียงคำถากถาง จิกกัดและคำต่อว่าเท่านั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เลยสักครั้ง คิดๆ ดูแล้วเธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ในตอนที่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ล้วนแต่เสแสร้งหาความจริงใจไม่เจอและท่าทีของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีก็มักจะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจ เมินเฉย และมักจะหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ มาเดินเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังทำอาหารไปให้ อี
"มาทำอะไรที่นี่"น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจิ้งซิงอีสะดุ้ง รู้ดีว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นคือผู้ใดโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง หัวใจของเธอพลันเต้นแรงขึ้นราวกับจะทะลุออกมานอกอก เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจริงๆเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนอยากจะแทรกกายหายไปจากตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็ขอไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างใจคิด จึงตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่กำยำเฉกเช่นชายชาติทหารภาพที่ปรากฏสู่สายตาทันทีที่หันกลับไปมองคือแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย เสื้อเนื้อบางสีเทาหม่นที่ชื้นเหงื่อ เปียกจนแนบเนื้อ มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแผงอกกำยำและยอดอกเด่นชัด จนอดไม่ได้ที่จะหลุบสายตามองต่ำลงไปกว่านั้นมัดกล้ามเนื้ออันทรงพลังของบุรุษเพศที่เรียงตัวสวยทำลมหายใจคนมองสะดุด ลำคอถึงกับแห้งผาก จนต้องรีบดึงสายตากลับขึ้นมาด้านบน แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยอันใดมากนัก เมื่อไล่สายตาไปตามลำคอแกร่ง และสันกรามคมชัดที่สื่อถึงความมั่นคง ริมฝีปากบางได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน จนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีสนิมเข้มดั่งดวงดาวในยามราตรี แฝงไว้ด้ว
เจิ้งซิงอีอ้าปากค้าง มองค้อนอีกฝ่ายตาแทบพลิกก่อนจะคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเหล่านั้นเข้าปาก"ทีนี้จะกินได้หรือยัง"เสิ่นหนิงหลงมองสตรีที่ขึงตามองเขา ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับปรากฏประกายแง่งอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะทำให้หัวใจคันยุบยิบ กระนั้นความคลางแคลงสงสัยก็ยังคงไม่จางหาย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเป็นภรรยา หากในยามปกติคาดว่าถ้อยคำแสลงหูคงได้หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั่น และอาหารบนโต๊ะคงได้ถูกเก็บกลับไปตั้งแต่เขาเอ่ยจบประโยคแล้วแต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภรรยามีจุดประสงค์ใดที่มาทำดีด้วย เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกขุ่นเคืองและอารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก เพราะอาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ไหว วาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ต้องระเห็จมาที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังทำให้ใจเจ็บและจุกไม่หาย หากถูกภรรยาแสดงฤทธิ์เดชใส่อีกรอบเขาคงได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่ จึงยอมเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามภรรยาแต่โดยดี แต่ภาพอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้งเจิ้งซิงอีขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองอาหารนิ่งไม่ยอมขยับตะเกียบเสียท
หลังจากมื้อเที่ยงที่ไม่เคยได้มีร่วมกันมาก่อนกับภรรยาจบลง เสิ่นหนิงหลงที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของภรรยาคนงามก็ยิ่งเกิดความระแวงสงสัย เพราะเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปจนเขาคิดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาของเขา เธอไม่ใช่เจิ้งซิงอีผู้หญิงเอาแต่ใจที่เขารู้จักถึงแม้ว่าท่าทางจะดูเหมือนปั้นปึ่ง ไม่ใส่ใจ นิ่งๆ เงียบๆ แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมา ดังคำกล่าวที่ว่า สายตาหลอกกันไม่ได้ตลอดมื้ออาหารสายตาของภรรยาที่มักจะเผลอไผลมองมานั้น มันทั้งรอคอยและเต็มไปด้วยความคาดหวังแม้ปากเล็กๆ นั้นจะปิดเงียบ แต่ดวงตาพราวระยับของเธอกลับกำลังส่งเสียงดังอร่อยใช่หรือไม่ ชมฉันสิ ชมฉันสิถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็ทำเพียงกินอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ถึงมันจะอร่อยมากๆ ก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากชมให้เธอได้ใจหรอกเพราะรู้ดีว่าเธอมีจุดประสงค์แอบแฝง ภรรยามีบางอย่างในใจแน่ แต่เมื่อไม่อาจบังคับให้อีกฝ่ายพูดออกมาได้ในตอนนี้ว่าต้องการสิ่งใดจากเขา จึงได้แต่นิ่งเฉยเสีย ความอดทนของอีกฝ่ายใช่ว่าจะมีมากเสียเมื่อไหร่ ยิ่งการต้องมาทำดีกับเขา อีกฝ่ายไม่เคยที่จะฝืนใจทำได้นานเสียด้วยซ้ำ อีกไ
เสิ่นหนิงหลงมองใบหน้างามของภรรยาที่อยู่ห่างเพียงฝ่ามือกั้นอย่างเผลอไผล คล้ายดังภาพตรงหน้าเป็นความฝันอันเลือนราง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าภรรยาจะอ่อนโยนต่อเขาถึงเพียงนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่เหนือเมฆหมอกนุ่มละมุน หัวใจของเขาเต้นระรัวกับความชิดใกล้และใส่ใจของภรรยาสายตาคู่งามของเธอกำลังกวาดมองไปทั่วใบหน้าของเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นหอมหวาน กลิ่นเฉพาะตัวของเธอที่เขาชื่นชอบ บรรจงเช็ดไปตามใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ สัมผัสนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมอ่อนๆ ที่ไล้ไปบนผิวเนื้อ ให้ความรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลาย หากว่ากำลังฝัน นี่คงเป็นความฝันที่เขาไม่อยากตื่นเสิ่นหนิงหลงราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ จ้องมองริมฝีปากอิ่มที่ขยับเอื้อนเอ่ยราวกับต้องมนต์สะกด"สะอาดแล้วค่ะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกคนที่เอาแต่จ้องมองเธอเสียงแผ่วเพราะความกระดากอายกับเรื่องน่าขายหน้าที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ สายตาที่มองมาก็คล้ายจะอ่อนลง ภายในใจก็เกิดความคาดหวังขึ้นมา คิดใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับผู้เป็นสามีเธอรวบรวมความกล้าใช้มือข้างหนึ่งที่สั่นน้อยๆ เพราะความตื่นเต้น คล้องลำคอแกร่งให้โน้มต่ำลงมา มืออีกข้
"ขอบคุณนะคะ สามี"เจิ้งซิงอีอุบอิบบอกเจ้าของอ้อมแขนด้วยรอยยิ้มขัดเขินกับคำเรียกขานที่ตนใช้ ซุกใบหน้าที่แดงก่ำกับแผงอกกว้าง ถูไถปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายที่เธอพึ่งจะค้นพบว่าเธอชอบมาก กระชับอ้อมแขนกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น ซึมซับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยของอ้อมกอดของสามี"อืม"เสิ่นหนิงหลงหลับตาลงกดจมูกโด่งลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มขานรับในลำคอ หัวใจของเขาเต้นระรัว อิ่มเอมไปด้วยความยินดี ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่แต่กับคนในอ้อมแขนหญิงสาวผู้ที่อยู่ในใจของเขามาเนิ่นนาน ภรรยาของเขา"มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม"ชายหนุ่มกระซิบถามแผ่วเบาราวกับละเมอ แขนแข็งแรงกอดรัดร่างเล็กที่สูงแค่อกของเขาแน่นขึ้น ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่วเบากับแผ่นหลังบอบบาง สัมผัสร่างนุ่มนิ่มหอมละมุนของภรรยาที่ขยับกายแนบชิดกับอกแกร่งของเขา สูดดมความหอมละมุนของเส้นผมดำขลับ และซึมซับถึงการเต้นของหัวใจที่ใกล้ชิดกัน เจิ้งซิงอีคลี่ยิ้มน้ำตาคลอเธอรู้ดีว่าสามีกำลังรู้สึกอย่างไร เธอไม่ได้ตอบเขาในทันทีหญิงสาวคลายอ้อมแขนออกจากเอวสอบของสามีแล้วเปลี่ยนเป็นยกขึ้นคล้องลำคอของเขาเอาไว้แทน แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองปลายคางแกร่งด้วย
ริมฝีปากที่บดเบียดลงมาอย่างเร่าร้อน ปลายลิ้นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาในโพรงปากอย่างกะทันหันทำให้เจิ้งซิงอีรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่มันก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกวาบหวาม เธอปล่อยให้สามีตักตวงความหวานฉ่ำตามใจปรารถนาจูบนั้นยาวนานจนเจิ้งซิงอีแทบขาดใจเสิ่นหนิงหลงผละริมฝีปากออกจากเรียวปากนุ่มนิ่มอย่างเชื่องช้า หลังจากที่กวาดต้อนความหวานละมุนจนพอใจ สองมือใหญ่ยกขึ้นประคองใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำของคนที่กำลังหายใจหอบหนักเพราะถูกเขาช่วงชิงลมหายใจเอาไว้ มองสบนัยน์ตาหวานฉ่ำเยิ้มของภรรยา ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดใบหน้างาม ปลายนิ้วโป้งใหญ่เกลี่ยริมฝีปากบวมเจ่อฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใสแผ่วเบา "อีอี"เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเอ่ยเรียกคนเป็นภรรยาอย่างหลงใหลเขายอมรับจากใจเลยว่าทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งคลั่งไคล้เธอ ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น"ขา สามี"นิ้วมือสากร้อนลากไล้ผิวแก้มของคนที่คลี่รอยยิ้มหวานส่งให้เขา ทั้งยังขานรับเสียงอ่อนหวาน กดปลายจมูกโด่งบนแก้มนุ่มกับความน่ารักน่าเอ็นดูนั้นไอร้อนผ่าวจากคนตัวสูงและแววตาลุ่มลึกของเขาทำให้เจิ้งซิงอีตัวสั่น สองแขนเรียวเกาะเกี่ยวไหล่กว้างของสามีเอาไว้แน่นเผยอปากรับ
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล
หลังจากที่ช่วยให้สามีคลายความหม่นเศร้า ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ วันนี้เจิ้งซิงอีกับสามีจึงจูงมือกันเข้าเมืองมาตั้งแต่เช้า เพื่อมาดูความคืบหน้าและตรวจตราดูความเรียบร้อยในการสร้างตลาด ซึ่งในตอนนี้ตัวอาคารนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตลาดของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ทุกอย่างราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าอีกไม่เกินสิบวันการก่อสร้างก็คงจะแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการได้ในทันที"อีกไม่นานตลาดของเราก็จะสร้างเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกสามีพร้อมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ดวงตาคู่งามส่องประกายระยิบระยับ มองสำรวจอาคารเปิดโล่งเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกไม่นานความฝันความหวังของเธอก็จะเป็นจริง ชีวิตของเธอและครอบครัวจะต้องดีขึ้น เธอเชื่อเต็มหัวใจว่าตลาดแห่งนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"ครับ ภรรยาเก่งมากๆ"เสิ่นหนิงหลงยิ้มกว้างเอ่ยชื่นชมภรรยา ก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายเดินเข้าไปยังตัวอาคารขนาดกว้างขวาง สายตามองคนข้างกายอย่างภาคภูมิใจ ภรรยาของเขาช่างเก่งกาจและมีความสามารถ วางแผนทุกอย่างได้อย่างรอบคอบ รูปแบบการก่อสร้างเหล่านี้ล้วนเป็นภรรยาของเขาที่ออกแบบตัว
ฝ่ามืออ่อนนุ่มถูกคนเป็นสามีดึงรั้งให้เลื่อนลงไปเบื้องล่าง สัมผัสกับความแข็งขึงที่ร้อนผ่าวของเขา มันกร้าวแกร่งและดุดันจนหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เจิ้งซิงอีจ้องมองสามีตาโตอย่างตื่นตะลึง หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ ภายใต้มวลน้ำอุ่นร้อนมือของเธอกำลังสัมผัสกับสิ่งที่ร้อนเสียยิ่งกว่า มันแข็ง มันร้อนผ่าว และสู้มือเธอ จนต้องเกร็งมือหนีแต่คนไร้ยางอายกลับไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้น พอเธอจะขยับมือหนี เขากลับรั้งมือของเธอเอาไว้ กุมกระชับให้มือน้อยๆ ของเธอกอบกุมท่อนเนื้อขนาดใหญ่ที่แทบจะกำไม่รอบ โดยมีฝ่ามือใหญ่ของเขาคอยควบคุมขยับมันขึ้นลงเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายลงคอ หลุบตาลงมองความใหญ่โตใต้ผืนน้ำที่ขยับไหวเลือนราง ระดับน้ำที่ปริ่มอยู่ตรงเอวสอบของสามี ทำให้เธอมองเห็นสิ่งนั้นวับๆ แวมๆสิ่งนี้น่ะหรือที่เข้าไปในร่างกายของเธอ เข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มที่แสนจะเปราะบางของเธอ มิน่าเล่าทุกครั้งที่ร่วมรักกันเธอถึงได้เจ็บจุกจนหน่วงท้องน้อยไปหมดผ่านมาสองชีวิตบอกอย่างไม่อายเลยว่า ครั้งนี้เธอพึ่งจะได้สัมผัสตัวตนของเขาด้วยมือและตาตัวเอง ชีวิตแรกเพราะไม่เต็มใจ เธอจึงไม่เคยที่จะลืมตามองเขาเลยสักครั้งส่วนชีวิตนี้ แม้จะผ่านการร่วมร
"สามี มาล้างไม้ล้างมือได้แล้วค่ะ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเดินออกมาชะโงกหน้าด้านหลังประตูห้องครัว ร้องบอกคนเป็นสามีที่กำลังพรวนดินอยู่ในแปลงผักที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าขาหมูตุ๋นที่เธอตุ๋นมาหลายชั่วโมงเริ่มที่จะเปื่อยได้ที่แล้ว"ครับๆ พี่ขอรดน้ำผักอีกนิด ไม่นานก็เสร็จแล้วครับ"เสิ่นหนิงหลงขานตอบภรรยาก่อนจะวางจอบในมือลง แล้วคว้าบัวรดน้ำที่วางอยู่ข้างกัน เร่งรดน้ำผักในแปลงที่ตอนนี้เขียวชอุ่ม เติบโตอวบอ้วน ใกล้จะเก็บมากินได้แล้ว หลังจากที่รดน้ำผักเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาล้างไม้ล้างมือและหน้าตาที่เปื้อนดินโคลนจนสะอาดสะอ้านเตรียมกินมื้อเย็นแสนอร่อยกับภรรยา"เหนื่อยไหมคะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยถามสามีด้วยรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในครัว เธอวางจานผัดเห็ดป่าในมือลง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดหน้าเช็ดตาที่เปียกน้ำให้เขาอย่างใส่ใจ"เหนื่อยมากๆ เลยครับภรรยา"เสิ่นหนิงหลงเอ่ยตอบภรรยา สีหน้าและแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหอมแก้มนุ่มนิ่มฟอดใหญ่"แต่ตอนนี้หายเหนื่อยแล้วครับ"ลำแขนแกร่งโอบกอดภรรยาเข้ามาแนบชิด กระซิบบอกเสียงแหบพร่า ปลายจมูกโด่งกดหอมกดจูบไปทั่