หลังจากที่เธอหมดสิ้นลมหายใจ เจิ้งซิงอีคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นลงแล้วในชาติภพนี้
ต่อจากนี้เธอคงต้องเดินทางไปชดใช้กรรมในสิ่งที่เคยก่อ และวิญญาณชั่วร้ายเช่นเธอคงไม่พ้นต้องตกนรก
แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเธอไม่อาจที่จะไปไหนได้ กลายเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอย วนเวียนอยู่ในภพภูมินั้น
หลังจากหมดลมหายใจไปแล้ว เธอคิดว่าความเจ็บปวดที่ได้รับเหล่านั้นจะจางหาย
แต่เธอกลับยิ่งต้องพบกับความเจ็บปวดทบทวี ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย เพราะเธอต้องทนมองผลของการกระทำของตัวเธอเอง
บิดามารดาที่รักและถนอมเธอที่สุด ต้องอับอายกับคำติฉินนินทาของผู้คน เพราะการกระทำอันน่ารังเกียจของเธอ และตรอมใจกับการตายของเธอจนล้มป่วย ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มเมตตาอยู่เป็นนิจกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหม่นหมอง ร่างกายซูบผอมลงทุกวัน รอเวลาที่จะได้ตายตามบุตรสาวอันเป็นที่รักไป
พี่ชายทั้งสามของเธอที่ต้องการทวงความยุติธรรมกับการตายที่คลุมเครือให้น้องสาวเช่นเธอ กลับถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนแทบจะไร้ที่ซุกหัวนอน
พี่ใหญ่เจิ้งโฮ่ว ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย และพยายามฆ่า เพราะบุกเข้าไปทำร้ายร่างกายของหวังลู่เสียน ทั้งที่ฝ่ายนั้นบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พี่ชายของเธอกลับถูกเรียกค่าเสียหายหลายหมื่นหยวน แลกกับการไม่ต้องถูกดำเนินคดี
พี่รองเจิ้งเอ้อร์ ที่ทำการค้าขาย ถูกกลั่นแกล้งจนร้านค้าต้องถูกปิด หมดสิ้นหนทางในอาชีพค้าขาย
พี่สามเจิ้งซานถูกปลดออกจากการเป็นทหาร อาชีพที่เขารักและภาคภูมิใจ และไม่มีการแต่งงานที่ดี
หลานชายทั้งสองของเธอต้องอยู่อย่างอดอยาก ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกต่อไป
แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่เคยกล่าวโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้นเป็นความผิดของเธอเลย ทุกๆ ปีในวันครบรอบวันตายของเธอทุกคนยังคงโศกเศร้ากับการจากไปของเธอ และยังคงระลึกถึงเธออยู่เสมอ
ส่วนคนชั่วพวกนั้นกลับยังเชิดหน้าชูตาอยู่ในวงสังคม เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น
นั่นทำให้เธอไม่อาจที่จะยอมรับได้
เธอยังจดจำเรื่องราวและความรู้สึกเหล่านั้น จดจำ จนฝังลึกอยู่ภายในใจ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายมากจนยากที่จะทำใจได้ไหว เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้ และไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด
ความผิดที่เธอได้กระทำกับพวกเขา มันกลายเป็นตราบาปที่ทำให้เธอเหมือนกับกำลังตกนรกหมกไหม้ เธอต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต สูญเสียความเป็นคน แม้กระทั่งลมหายใจ
คนที่เธอทำผิดต่อเขามากที่สุดมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ต้องอยู่อย่างทุกข์เข็ญและน่าเวทนา
เสิ่นหนิงหลงที่ถูกทำร้ายร่างกาย เขาต้องกลายเป็นคนพิการ ขาของเขาข้างหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจนผิดรูป ไม่อาจที่จะกลับมาเดินเหิน ใช้งานได้เหมือนปกติอีกต่อไป
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะทำร้ายเขามากมายแค่ไหน แต่คนผู้นั้นก็ยังคงโง่เขลา เธอทำกับเขาถึงเพียงนั้น เขากลับไม่เคยที่จะกล่าวโทษเธอ หรือโกรธเกลียดเธอเลย
คนที่เธอคิดว่าเขาร้ายกาจและเกลียดชังเธอ กลับเป็นคนที่รักและดีกับเธอที่สุด
เสิ่นหนิงหลงมักจะนำดอกไม้สวยๆ มาเคารพหลุมศพเธอในทุกๆ วัน และอยู่พูดคุยกับเธอ ราวกับว่าเธอไม่เคยทำให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ
และการที่เขาพูดเรื่องราวต่างๆ ออกมา มันทำให้เธอได้รู้อะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยรู้ นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดและยิ่งรู้สึกเสียใจ
เธอติดค้างเขามากมายเหลือเกิน
ขอโทษ ขอโทษจริงๆ
เธอเฝ้าเอ่ยคำคำนี้กับเขาทุกครั้งที่เขามา แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีวันที่จะได้ยิน
ในวันนี้ ผู้ชายที่เธอเกลียดเขานักหนา เขาก็มาหาเธออีกแล้ว
เสิ่นหนิงหลงกำลังคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของเธอ วางดอกไม้ในมือลงอย่างทะนุถนอม
หากเธอเปิดใจยอมรับเขา ไม่หลงเชื่อคำพูดหวานหูและวาจาหลอกลวงของหวังลู่เสียน เธอคงจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด ที่มีสามีเช่นเสิ่นหนิงหลง ผู้ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ และ รักเธอด้วยหัวใจจริงๆ
เพราะเธอโง่งมหลงเชื่อคนชั่วจึงทำให้กลายเป็นเครื่องมือที่อีกฝ่ายใช้ทำร้ายเขา ทุกอย่างจึงต้องเป็นเช่นนี้
"อีอี พี่รักเธอ รักมาตลอด"
คนโง่ มาบอกอะไรเอาตอนนี้ ไม่ใช่ว่าตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่จะเอาแต่กล่าวคำจิกกัดและกลั่นแกล้งเธอหรอกหรือ
คำสารภาพรักของเสิ่นหนิงหลง ทำให้เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา รับฟังคำพูดมากมายที่ออกมาจากปากของเขา คำพูดที่เมื่อครั้งที่มีชีวิตอยู่เขาไม่เคยพูด หรือจะเป็นเธอเองที่ไม่เคยคิดจะรับฟังก็ไม่ทราบได้
แต่แล้วการเคลื่อนไหวของคนผู้หนึ่งที่เธอสัมผัสได้ทำให้ดวงจิตของเธอร้อนรุ่ม
เจิ้งซิงอีมองไปยังคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยความตื่นตระหนกเพราะคนผู้นั้นกำลังเล็งอาวุธสังหารไปยังเสิ่นหนิงหลง
"พี่หนิงหลงระวัง"
ปัง ปัง ปัง
ไม่!!!!
ภาพของคนที่คุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของเธอล้มลงไปต่อหน้า เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเขา เจิ่งนองไปทั่วบริเวณหลุมศพ นั่นทำให้เจิ้งซิงอีกรีดเสียงร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม
เขาสูญเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่คนชั่วพวกนั้นก็ยังไม่คิดที่จะละเว้นชีวิตของเขา
พวกสารเลว
เจิ้งซิงอีรู้สึกว่าวิญญาณโปร่งแสงนี้คล้ายจะแตกสลาย
ความคั่งแค้นไม่ยินยอมทำให้ดวงวิญญาณที่ล่องลอย กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เกิดเป็นลมกระโชกรุนแรง ท้องฟ้าเบื้องบนแปรปรวนมืดครึ้มไปทั่วทั้งผืนนภา ก่อนจะเกิดเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบและผ่าลงมาตรงวิญญาณที่กำลังคลุ้มคลั่ง
เฮือก!!!เจิ้งซิงอีลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่เสิ่นหนิงหลงถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตาทำให้เธอหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากหญิงสาวรีบกวาดตามองหาร่างของชายหนุ่มที่เธอเห็นว่าเขานอนจมกองเลือดอยู่หน้าหลุมศพของเธออย่างร้อนรน แต่สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้กลับทำให้เธอต้องนิ่งงันเมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่บนเตียงเตาในห้องที่คุ้นเคย ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอในบ้านเจิ้ง หาใช่สุสานบนหุบเขาในหมู่บ้านไม่มีร่างไร้วิญญาณของเสิ่นหนิงหลง ไม่มีแม้แต่รอยเลือดสักหยด มีเพียงข้าวของที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบ สภาพเตียงเตาที่เธอนั่งอยู่ดูยุ่งเหยิง ภายในห้องราวกับสมรภูมิรบแต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือเสียงเสียงหนึ่งที่เธอไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลับกำลังดังขึ้นอีกครั้งตึกๆ ตึกๆ ตึกๆเธอได้ยินเสียงและรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงอยู่ภายในอก นั่นทำให้เธอรู้สึกตื่นตะลึงจนต้องยกมือขึ้นทาบลงไปตรงตำแหน่งนั้น เธอมีหัวใจ และมันก็กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน"หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง นี่คือห้องนอนของเธอไม่ผิดแน่ เมื่อลองหยิกเนื้อตั
หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยดีแล้ว เจิ้งซิงอีจึงได้เดินออกมาจากห้อง หญิงสาวกวาดตามองและเดินสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านด้วยความคิดถึง ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะทุกคนต่างก็ออกไปทำงานกันหมด ภายในบ้านจึงค่อนข้างที่จะเงียบ เวลานี้ทั้งพ่อ แม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่คงจะกำลังตากแดดตากลมทำงานอยู่ในแปลงนา พี่รองและพี่สะใภ้รองคงวุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านค้าจนหัวหมุน พี่สามก็คงประจำการอยู่ในค่ายทหารทำหน้าที่ที่เขารักและภาคภูมิใจ ส่วนหลานชายทั้งสองของเธอก็คงกำลังมีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน เจิ้งซิงอียิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงทุกคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างดี แม้จะเหนื่อยแต่พวกเขาก็มีรอยยิ้มและมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีจริงๆ ที่เธอได้มีโอกาสได้ย้อนกลับมาในตอนที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และการได้กลับมาในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้ความสุขและรอยยิ้มของพวกเขาต้องหายไปอีกตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อเตรียมหุงหาอาหารให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่ในชีวิตก่อนเธอไม่เคยคิดที่จะทำ หากเป็นเมื่อก่อน หน้าที่นี้คงจะเป็นของผู้เป็นแม่ พอใกล้จะเที่ยงแม่เจิ้งที่ทำ
"พี่คะ ฉันเอาอาหารมาให้ค่ะ""พี่หนิงหลง อาหารสำหรับพี่ค่ะ""สามี ฉันเอาอาหารมาให้คุณค่ะ"แค๊ก! แค๊ก!เจิ้งซิงอีสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดง รีบยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหน้าลูบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเพราะความกระดากอาย เมื่อลองเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาตลอดเส้นทางที่เดินมาบ้านเสิ่น เธอเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยกับสามีเอาไว้มากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี ไม่คิดว่าการพูดประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคจะยากเย็นถึงเพียงนี้ด้วยทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามี เธอไม่เคยที่จะเอ่ยกับเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าย่อมไม่เคยที่จะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากจะพูดด้วยก็มีเพียงแค่คำด่าทอ พูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะคำพูดของเธอนั้นจะมีเพียงคำถากถาง จิกกัดและคำต่อว่าเท่านั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เลยสักครั้ง คิดๆ ดูแล้วเธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ในตอนที่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ล้วนแต่เสแสร้งหาความจริงใจไม่เจอและท่าทีของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีก็มักจะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจ เมินเฉย และมักจะหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ มาเดินเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังทำอาหารไปให้ อี
"มาทำอะไรที่นี่"น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจิ้งซิงอีสะดุ้ง รู้ดีว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นคือผู้ใดโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง หัวใจของเธอพลันเต้นแรงขึ้นราวกับจะทะลุออกมานอกอก เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจริงๆเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนอยากจะแทรกกายหายไปจากตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็ขอไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างใจคิด จึงตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่กำยำเฉกเช่นชายชาติทหารภาพที่ปรากฏสู่สายตาทันทีที่หันกลับไปมองคือแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย เสื้อเนื้อบางสีเทาหม่นที่ชื้นเหงื่อ เปียกจนแนบเนื้อ มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแผงอกกำยำและยอดอกเด่นชัด จนอดไม่ได้ที่จะหลุบสายตามองต่ำลงไปกว่านั้นมัดกล้ามเนื้ออันทรงพลังของบุรุษเพศที่เรียงตัวสวยทำลมหายใจคนมองสะดุด ลำคอถึงกับแห้งผาก จนต้องรีบดึงสายตากลับขึ้นมาด้านบน แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยอันใดมากนัก เมื่อไล่สายตาไปตามลำคอแกร่ง และสันกรามคมชัดที่สื่อถึงความมั่นคง ริมฝีปากบางได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน จนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีสนิมเข้มดั่งดวงดาวในยามราตรี แฝงไว้ด้ว
เจิ้งซิงอีอ้าปากค้าง มองค้อนอีกฝ่ายตาแทบพลิกก่อนจะคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเหล่านั้นเข้าปาก"ทีนี้จะกินได้หรือยัง"เสิ่นหนิงหลงมองสตรีที่ขึงตามองเขา ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับปรากฏประกายแง่งอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะทำให้หัวใจคันยุบยิบ กระนั้นความคลางแคลงสงสัยก็ยังคงไม่จางหาย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเป็นภรรยา หากในยามปกติคาดว่าถ้อยคำแสลงหูคงได้หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั่น และอาหารบนโต๊ะคงได้ถูกเก็บกลับไปตั้งแต่เขาเอ่ยจบประโยคแล้วแต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภรรยามีจุดประสงค์ใดที่มาทำดีด้วย เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกขุ่นเคืองและอารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก เพราะอาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ไหว วาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ต้องระเห็จมาที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังทำให้ใจเจ็บและจุกไม่หาย หากถูกภรรยาแสดงฤทธิ์เดชใส่อีกรอบเขาคงได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่ จึงยอมเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามภรรยาแต่โดยดี แต่ภาพอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้งเจิ้งซิงอีขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองอาหารนิ่งไม่ยอมขยับตะเกียบเสียท
หลังจากมื้อเที่ยงที่ไม่เคยได้มีร่วมกันมาก่อนกับภรรยาจบลง เสิ่นหนิงหลงที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของภรรยาคนงามก็ยิ่งเกิดความระแวงสงสัย เพราะเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปจนเขาคิดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาของเขา เธอไม่ใช่เจิ้งซิงอีผู้หญิงเอาแต่ใจที่เขารู้จักถึงแม้ว่าท่าทางจะดูเหมือนปั้นปึ่ง ไม่ใส่ใจ นิ่งๆ เงียบๆ แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมา ดังคำกล่าวที่ว่า สายตาหลอกกันไม่ได้ตลอดมื้ออาหารสายตาของภรรยาที่มักจะเผลอไผลมองมานั้น มันทั้งรอคอยและเต็มไปด้วยความคาดหวังแม้ปากเล็กๆ นั้นจะปิดเงียบ แต่ดวงตาพราวระยับของเธอกลับกำลังส่งเสียงดังอร่อยใช่หรือไม่ ชมฉันสิ ชมฉันสิถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็ทำเพียงกินอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ถึงมันจะอร่อยมากๆ ก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากชมให้เธอได้ใจหรอกเพราะรู้ดีว่าเธอมีจุดประสงค์แอบแฝง ภรรยามีบางอย่างในใจแน่ แต่เมื่อไม่อาจบังคับให้อีกฝ่ายพูดออกมาได้ในตอนนี้ว่าต้องการสิ่งใดจากเขา จึงได้แต่นิ่งเฉยเสีย ความอดทนของอีกฝ่ายใช่ว่าจะมีมากเสียเมื่อไหร่ ยิ่งการต้องมาทำดีกับเขา อีกฝ่ายไม่เคยที่จะฝืนใจทำได้นานเสียด้วยซ้ำ อีกไ
เสิ่นหนิงหลงมองใบหน้างามของภรรยาที่อยู่ห่างเพียงฝ่ามือกั้นอย่างเผลอไผล คล้ายดังภาพตรงหน้าเป็นความฝันอันเลือนราง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าภรรยาจะอ่อนโยนต่อเขาถึงเพียงนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่เหนือเมฆหมอกนุ่มละมุน หัวใจของเขาเต้นระรัวกับความชิดใกล้และใส่ใจของภรรยาสายตาคู่งามของเธอกำลังกวาดมองไปทั่วใบหน้าของเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นหอมหวาน กลิ่นเฉพาะตัวของเธอที่เขาชื่นชอบ บรรจงเช็ดไปตามใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ สัมผัสนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมอ่อนๆ ที่ไล้ไปบนผิวเนื้อ ให้ความรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลาย หากว่ากำลังฝัน นี่คงเป็นความฝันที่เขาไม่อยากตื่นเสิ่นหนิงหลงราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ จ้องมองริมฝีปากอิ่มที่ขยับเอื้อนเอ่ยราวกับต้องมนต์สะกด"สะอาดแล้วค่ะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกคนที่เอาแต่จ้องมองเธอเสียงแผ่วเพราะความกระดากอายกับเรื่องน่าขายหน้าที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ สายตาที่มองมาก็คล้ายจะอ่อนลง ภายในใจก็เกิดความคาดหวังขึ้นมา คิดใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับผู้เป็นสามีเธอรวบรวมความกล้าใช้มือข้างหนึ่งที่สั่นน้อยๆ เพราะความตื่นเต้น คล้องลำคอแกร่งให้โน้มต่ำลงมา มืออีกข้
"ขอบคุณนะคะ สามี"เจิ้งซิงอีอุบอิบบอกเจ้าของอ้อมแขนด้วยรอยยิ้มขัดเขินกับคำเรียกขานที่ตนใช้ ซุกใบหน้าที่แดงก่ำกับแผงอกกว้าง ถูไถปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายที่เธอพึ่งจะค้นพบว่าเธอชอบมาก กระชับอ้อมแขนกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น ซึมซับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยของอ้อมกอดของสามี"อืม"เสิ่นหนิงหลงหลับตาลงกดจมูกโด่งลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มขานรับในลำคอ หัวใจของเขาเต้นระรัว อิ่มเอมไปด้วยความยินดี ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่แต่กับคนในอ้อมแขนหญิงสาวผู้ที่อยู่ในใจของเขามาเนิ่นนาน ภรรยาของเขา"มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม"ชายหนุ่มกระซิบถามแผ่วเบาราวกับละเมอ แขนแข็งแรงกอดรัดร่างเล็กที่สูงแค่อกของเขาแน่นขึ้น ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่วเบากับแผ่นหลังบอบบาง สัมผัสร่างนุ่มนิ่มหอมละมุนของภรรยาที่ขยับกายแนบชิดกับอกแกร่งของเขา สูดดมความหอมละมุนของเส้นผมดำขลับ และซึมซับถึงการเต้นของหัวใจที่ใกล้ชิดกัน เจิ้งซิงอีคลี่ยิ้มน้ำตาคลอเธอรู้ดีว่าสามีกำลังรู้สึกอย่างไร เธอไม่ได้ตอบเขาในทันทีหญิงสาวคลายอ้อมแขนออกจากเอวสอบของสามีแล้วเปลี่ยนเป็นยกขึ้นคล้องลำคอของเขาเอาไว้แทน แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองปลายคางแกร่งด้วย
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล
หลังจากที่ช่วยให้สามีคลายความหม่นเศร้า ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ วันนี้เจิ้งซิงอีกับสามีจึงจูงมือกันเข้าเมืองมาตั้งแต่เช้า เพื่อมาดูความคืบหน้าและตรวจตราดูความเรียบร้อยในการสร้างตลาด ซึ่งในตอนนี้ตัวอาคารนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตลาดของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ทุกอย่างราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าอีกไม่เกินสิบวันการก่อสร้างก็คงจะแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการได้ในทันที"อีกไม่นานตลาดของเราก็จะสร้างเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกสามีพร้อมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ดวงตาคู่งามส่องประกายระยิบระยับ มองสำรวจอาคารเปิดโล่งเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกไม่นานความฝันความหวังของเธอก็จะเป็นจริง ชีวิตของเธอและครอบครัวจะต้องดีขึ้น เธอเชื่อเต็มหัวใจว่าตลาดแห่งนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"ครับ ภรรยาเก่งมากๆ"เสิ่นหนิงหลงยิ้มกว้างเอ่ยชื่นชมภรรยา ก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายเดินเข้าไปยังตัวอาคารขนาดกว้างขวาง สายตามองคนข้างกายอย่างภาคภูมิใจ ภรรยาของเขาช่างเก่งกาจและมีความสามารถ วางแผนทุกอย่างได้อย่างรอบคอบ รูปแบบการก่อสร้างเหล่านี้ล้วนเป็นภรรยาของเขาที่ออกแบบตัว
ฝ่ามืออ่อนนุ่มถูกคนเป็นสามีดึงรั้งให้เลื่อนลงไปเบื้องล่าง สัมผัสกับความแข็งขึงที่ร้อนผ่าวของเขา มันกร้าวแกร่งและดุดันจนหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เจิ้งซิงอีจ้องมองสามีตาโตอย่างตื่นตะลึง หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ ภายใต้มวลน้ำอุ่นร้อนมือของเธอกำลังสัมผัสกับสิ่งที่ร้อนเสียยิ่งกว่า มันแข็ง มันร้อนผ่าว และสู้มือเธอ จนต้องเกร็งมือหนีแต่คนไร้ยางอายกลับไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้น พอเธอจะขยับมือหนี เขากลับรั้งมือของเธอเอาไว้ กุมกระชับให้มือน้อยๆ ของเธอกอบกุมท่อนเนื้อขนาดใหญ่ที่แทบจะกำไม่รอบ โดยมีฝ่ามือใหญ่ของเขาคอยควบคุมขยับมันขึ้นลงเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายลงคอ หลุบตาลงมองความใหญ่โตใต้ผืนน้ำที่ขยับไหวเลือนราง ระดับน้ำที่ปริ่มอยู่ตรงเอวสอบของสามี ทำให้เธอมองเห็นสิ่งนั้นวับๆ แวมๆสิ่งนี้น่ะหรือที่เข้าไปในร่างกายของเธอ เข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มที่แสนจะเปราะบางของเธอ มิน่าเล่าทุกครั้งที่ร่วมรักกันเธอถึงได้เจ็บจุกจนหน่วงท้องน้อยไปหมดผ่านมาสองชีวิตบอกอย่างไม่อายเลยว่า ครั้งนี้เธอพึ่งจะได้สัมผัสตัวตนของเขาด้วยมือและตาตัวเอง ชีวิตแรกเพราะไม่เต็มใจ เธอจึงไม่เคยที่จะลืมตามองเขาเลยสักครั้งส่วนชีวิตนี้ แม้จะผ่านการร่วมร
"สามี มาล้างไม้ล้างมือได้แล้วค่ะ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเดินออกมาชะโงกหน้าด้านหลังประตูห้องครัว ร้องบอกคนเป็นสามีที่กำลังพรวนดินอยู่ในแปลงผักที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าขาหมูตุ๋นที่เธอตุ๋นมาหลายชั่วโมงเริ่มที่จะเปื่อยได้ที่แล้ว"ครับๆ พี่ขอรดน้ำผักอีกนิด ไม่นานก็เสร็จแล้วครับ"เสิ่นหนิงหลงขานตอบภรรยาก่อนจะวางจอบในมือลง แล้วคว้าบัวรดน้ำที่วางอยู่ข้างกัน เร่งรดน้ำผักในแปลงที่ตอนนี้เขียวชอุ่ม เติบโตอวบอ้วน ใกล้จะเก็บมากินได้แล้ว หลังจากที่รดน้ำผักเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาล้างไม้ล้างมือและหน้าตาที่เปื้อนดินโคลนจนสะอาดสะอ้านเตรียมกินมื้อเย็นแสนอร่อยกับภรรยา"เหนื่อยไหมคะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยถามสามีด้วยรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในครัว เธอวางจานผัดเห็ดป่าในมือลง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดหน้าเช็ดตาที่เปียกน้ำให้เขาอย่างใส่ใจ"เหนื่อยมากๆ เลยครับภรรยา"เสิ่นหนิงหลงเอ่ยตอบภรรยา สีหน้าและแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหอมแก้มนุ่มนิ่มฟอดใหญ่"แต่ตอนนี้หายเหนื่อยแล้วครับ"ลำแขนแกร่งโอบกอดภรรยาเข้ามาแนบชิด กระซิบบอกเสียงแหบพร่า ปลายจมูกโด่งกดหอมกดจูบไปทั่