หวังซานเย่เดินขึ้นบันได้มาหยุดยังบานประตูไม้เรียบหรู วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ไหนจะต้องสะสางงานในกองทัพ ไหนจะต้องไปเจรจากับหยางตงฉวน มิหนำซ้ำยังต้องมาอธิบายให้คุณแม่เข้าใจเรื่องที่เขาซื้อฉินเจินเจินมาอีก ตอนนี้เขาแทบจะหมดแรงจนอยากจะอาบน้ำและพักผ่อนเต็มที ร่างสูงผลักฝ่ามือลงบนบานประตูเข้ามายังห้องนอนของตัวเองดังเช่นทุกวัน
ดวงตาคู่คมที่พร่ามัวสะลึมสะลือด้วยอาการง่วงนอน กวาดมองไปยังเตียงนอนของตัวเองดังเช่นเคย แต่ทว่าเขากลับต้องเบิกตากว้างขึ้นเมื่อภาพเบื้องหน้าปรากฏหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีชมพูบางเบานั่งไขว่ห้างโชว์เรียวขาพร้อมกับส่งสายตาสุดเย้ายวนมาให้ เห็นทีคุณป้าหวังและฉินเจินเจินคงเข้าใจผิดไปกับคำพูดของเขาอยู่ไม่น้อย การที่เขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้นไม่ได้สื่อความหมายว่าตัวเองต้องการให้เธอมาเป็นนางบำเรอในค่ำคืนนี้ แต่เขาต้องการให้เธอเข้ามามารอที่ห้องนอนของตัวเอง นั่นก็เพื่อที่จะหลบหลีกสายตาของคุณแม่และคนอื่นที่ภายในคฤหาสน์ต่างหาก ดวงตาของเขาทอประกายขึ้นอย่างวาบหวาม เมื่อเผลอไผลจ้องมองไปตามร่างกายสาวของสาวน้อยวัยแย้มยิ้ม เธอช่างดูงดงามอย่างไร้ซึ่งที่ติ ผิวพรรณนั้นขาวผ่องเป็นยองใย แม้จะมีรอยเขียวช้ำในบางจุดจากการถูกครอบครัวข่มเหงรังแก ทรวงอกอิ่มกลมกลึงคู่นั้นก็ช่างเด่นหราทะลุออกมาจากกี่เพ้าตัวบางจนต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความกระหาย เขาเองก็ห่างเหินจากผู้หญิงมานานหลายปี แม้ว่าจะอายุมากขึ้นเข้าไปทุกทีแต่ความเป็นชายไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้พบเจอกับเธอ มิหนำซ้ำใจเจ้ากรรมกลับเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ความอัดแน่นกลางกายดุนดันกางเกงเครื่องแบบทหารขึ้นมาจนรู้สึกรวดร้าว ผู้บัญชาการถึงกับยกมือฝ่ามือขึ้นมาทาบบนหน้าผากและพยายามตั้งสติ ก่อนจะส่งเสียงตวาดเธอออกไปเบา ๆ ทั้งที่ภายในใจนั้นทั้งรู้สึกสงสารและเลือดลมสูบฉีดขึ้นบนใบหน้าและอวัยวะส่วนอื่นจนอยากจะกระโจนเข้าหาเธอราวกับเสือร้ายที่พร้อมจะขย้ำกระต่ายตรงหน้าใจแทบขาด แต่เขาไม่คิดจะล่วงเกินเธอ จึงได้แต่บอกเธอออกไปว่าสิ่งที่เขาต้องการคือ ซื้อเธอมาเพื่อเป็นสาวรับใช้เพียงเท่านั้น หวังซานเย่หมุนตัวหันหลังให้กับเธอ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นภาพที่แสนจะยั่วเย้าอารมณ์เหล่านั้น แต่ทว่ารอบเอวของเขาตอนนี้กลับมีท่อนเเขนเล็กยื่นเข้ามาโอบกอดเขาเอาไว้อย่างแน่นเหนียวราวกับฝ่ามือของตุ๊กแกก็ไม่ปาน “เจินเจิน คะ...คุณทำอะไรของคุณ” เสียงทุ้มเข้มแข็งแกร่งของชายชาตรีเอ่ยออกไป มันตะกุกตะกักจนแทบจะไม่เหลือมาดของนายทหารยศสูงเลยแม้แต่น้อย “ท่านคะ ฉันไม่อยากเป็นคนใช้นี่คะ” ฉินเจินเจินฝังใบหน้าได้รูปลงบนแผ่นหลังกว้างของเขาจนได้กลิ่นกายอ่อน ๆ ที่หอมสะอาดบนตัวของเขา โดยที่เธอยังคงกระชับท่อนแขนโอบรอบเอวของเขาเอาไว้แน่น น้ำเสียงของเธอนั้นออดอ้อนและฟังดูกระเส่าเพื่อหวังให้นายทหารคนนี้รับเธอไว้ในฐานะอื่นที่ไม่ใช่ฐานะคนใช้ “เป็นคนใช้ที่นี่ คุณไม่ได้ลำบากเหมือนอยู่กับหยางตงฉวนและคุณแม่ของคุณหรอกนะเจินเจิน คุณยังมีอิสระ” เขาสูดลมหายใจด้วยความยากลำบาก มันช่างติดขัดไปเสียหมด เมื่อก้อนเนื้อกลมกลึงของเธอบดเบียดอยู่บนแผ่นหลังของเขาจนแทบจะอดใจไม่ไหวอีกต่อไป ฉินเจินเจินที่ได้ฟังเช่นนั้นถึงกับหน้าเสียไม่น้อย ‘ฉันไม่เคยลำบาก ไม่ว่าอย่างไรชีวิตใหม่ฉันก็จะต้องไม่ลำบาก’ เธอยังคงฮึดสู้สุดใจ ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่เธอก็ตัวคนเดียว อย่างน้อยได้เป็นคนใกล้ชิดของเขาในฐานะคนร่วมเตียงก็ยังคงดีเสียกว่าเป็นคนใช้ที่แก่งแย่งชิงดีกัน เธอเดินหน้ายั่วยวนเขาเต็มที่ ฝ่ามือเล็กลูบไล้ลงบนแผงอกแผงใหญ่ของเขาจากทางด้านหลังไปพร้อมกับการคลึงเต้าถูไถลงบนแผ่นหลังไปด้วยพร้อมกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายอกสามศอกมีหรือจะไม่หวั่นไหว มะ...หมับ “อ่ะ” ในขณะที่เธอไม่ทันได้ระวังตัว หวังซานเย่ก็พลิกตัวกลับมาพร้อมกับรวบข้อมือเล็กของเธอเอาไว้ด้วยแรงมหาศาล พร้อมกับดันร่างบางของเธอเข้าประชิดกับกำแพง ความเจ็บแปลบที่ข้อมือน้อยทำให้เธอต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บที่น้ำตาเริ่มคลอ “นี่คุณจะพลีกายให้กับผู้ชายทุกคนที่ซื้อคุณมาอย่างนั้นหรือ !” หวังซานเย่กดเสียงต่ำลอดไรฟัน จนเผลอกดแรงลงบนข้อมือเล็กอย่างลืมตัว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา เมื่อเธอรุกเขามากจนเกินไป หรือเธอคิดจะทำแบบนี้กับผู้ชายทุกคนที่ซื้อเธอมา เพื่อหวังจะบำเรอกามแลกความสบายในชีวิต “ปะ...เปล่าค่ะ คุณปล่อยฉันก่อนจะได้ไหม ฉันเจ็บ” ฉินเจินเจินสะดุ้งเฮือกไปกับน้ำเสียงและสีหน้าของเขา โดยเฉพาะแววตาที่เจือความผิดหวังเล็ก ๆ ในนั้น หยาดน้ำตาเม็ดโตไหลอาบพวงแก้มด้วยความเจ็บสะท้านบริเวณข้อมือที่ถูกบีบเอาไว้ เธอไม่ได้มีความคิดอย่างที่เขากล่าวหา เพียงแต่ที่เธอกล้าทำเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่าเขาดูเป็นผู้ชายที่ดีและไว้ใจได้ อยู่ในโลกใบนี้เธอจะได้มีที่พึ่งพึงโดยไม่ต้องหวาดระแวงสิ่งใด หวังซานเย่เห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของเธอ เขาจึงได้สติและคลายแรงบีบที่ฝ่ามือออก ก่อนจะย้ายฝ่ามือหยาบใหญ่เข้าไปปาดน้ำตาให้กับเธอด้วยความรู้สึกผิด “ผะ...ผมขอโทษ...” น้ำเสียงที่ดุดันในตอนแรก อ่อนโยนลงในทันทีที่เห็นน้ำตาของเธอ “อยู่ที่นี่ฉันมีแค่คุณเพียงคนเดียว แล้วคุณก็เป็นผู้ชายที่ฉันสามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ การที่ฉันจะพลีกายให้กับคุณเพื่อให้คุณเป็นร่มไม้ใหญ่ให้ฉันได้พักพิงมันผิดด้วยหรือคะ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แพขนตางอนงามเปียกชื้น ดวงตาแดงก่ำฉ่ำไปด้วยคราบน้ำตา ในขณะที่เขายังคงยันฝ่ามือเอาไว้กับกำแพงจนเธอไม่สามารถออกไปจากอ้อมแขนของเขาได้ หวังซานเย่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวราวกับต้องการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเธอ แม้อายุของเธอจะน้อยกว่าเขาเกือบเท่าตัว ทว่าการแสดงออกผ่านทางดวงตาและถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเธอนั้น เหมือนกับผู้ใหญ่ในวัยเดียวกันกับเขาไม่มีผิด “การที่คุณจะพักพิงผม คุณไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกหรอกนะเจินเจิน ผมไม่สามารถมีความสัมพันธ์ชั่วคราวกับคนที่ผมเพิ่งจะรู้จักไม่ทันข้ามคืนได้หรอกนะ” เขาบอกกับเธอด้วยสายตาที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้กับเธอ “แต่ฉัน...” เธอยังคงคิดจะโต้แย้งกับเขา แต่เขากลับวางนิ้วมือลงบนริมฝีปากของเธอ เพื่อเป็นการปรามให้เธอไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก “คุณรับใช้ผมเพียงแค่คนเดียว ที่นี่จะไม่มีใครรังแกคุณได้ สิ่งนั้นมีค่ากับผู้หญิงเช่นคุณ เก็บเอาไว้ให้ผู้ชายที่รักคุณและคุณรักเถอะครับ” สิ่งที่เธอได้ยินจากปากของเขา ทำให้เธอตัวเกร็งไปแทบจะทุกส่วนของร่างกาย เขาช่างเป็นผู้ชายที่ดีเหลือเกิน ไม่คิดจะหวังผลจากร่างกายของสตรีเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นผู้ชายที่น่าเคารพเหลือเกิน และเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยได้พบเจอมาก่อน “จะเป็นอะไรไหม หากฉันจะเริ่มจากการหลงรักคุณ” ฉินเจินเจินฉีกยิ้มกว้างส่งให้กับเขา ดวงตาของเธอเป็นประกายและมีความหวังขึ้นมาในชีวิตใหม่ ‘นี่สินะสิ่งที่เธอควรค่า ผู้ชายที่ดีอย่างเขา ในโลกใบนี้เธอจะต้องคว้าเอาไว้ให้ได้’ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ ว่าคุณจะทำให้ผมหลงรักคุณได้หรือไม่” เขาขยิบตาส่งให้กับเธอ พร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเหลือล้น เขาไม่ได้ปิดกั้นเธอแต่อย่างใด หากเธอเข้าหาเขาอย่างถูกวิธี เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกหวั่นไหวกับเธอที่อายุน้อยกว่าอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่อยากเอาเปรียบ หรือข่มเหงรังแกใครก็เท่านั้น หากเธอไม่ได้รักหรือมีใจให้กับเขา เขาก็จะไม่มีวันฝืนใจเธอเพราะเรื่องบนเตียงโดยเด็ดขาด “ค่ะ ฉันจะพยายามทำให้คุณรักให้ได้นะคะ” “เอาล่ะ หน้าที่แรกที่คุณต้องทำตอนนี้ก็คือไปนอน อ่อ นี่ชุดคลุมของคุณ คลุมเอาไว้เสีย แล้วพรุ่งนี้ผมจะคุณไปซื้อชุดใหม่” เขาเบี่ยงหน้าหนี พร้อมกับก้มลงหยิบชุดคลุมที่บางเบาไม่ต่างจากกี่เพ้า ก่อนจะโยนให้กับเธอ แล้วโบกมือไล่ให้เธอออกไป “ค่ะ…” เธอรับชุดคลุมมาจากมือของเขาด้วยความเขินอาย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มที่หุบไม่ลง โดยที่เธอไม่ได้ตอบคำถามใครเลยสักคน ในขณะที่ทุกคนก็ได้แต่แสดงสีหน้างุนงงไปตามกัน และพากันคิดไปต่าง ๆ นานาว่าคืนนี้คุณหนูคนนี้คงปฏิบัติหน้าที่บนเตียงให้กับคุณชายของพวกเธอเป็นอย่างดี ฉินเจินเจินทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างด้วยความอิ่มเอม สิ่งที่เธอได้สัมผัสถึงตัวตนของเขาในวันนี้ ทำให้เธอปลาบปลื้มใจเหลือเกิน ในที่สุดเธอก็ได้เจอผู้ชายที่แสนดีกับเขาเสียทีฉินเจินเจินถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่ตามคำสั่งของผู้บัญชาการที่ตื่นมาออกกำลังลังกายตั้งแต่ยามที่ฟ้ายังไม่สาง ดวงตากลมแทบจะปิดสนิท กว่าเธอจะได้นอนเวลาก็ล่วงเลยจนเกือบจะสว่าง นั่นก็เพราะอาการตกหลุมรักจนนอนไม่หลับ“คุณคะ ตื่นเถอะค่ะ คุณชายรออยู่นะคะ”คุณป้าหลิวเขย่าตัวเธออยู่นาน แต่ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการจะเล่นงานเธอบนเตียงหนักไปหน่อยกระมัง คุณหนูคนนี้ถึงได้ดูอ่อนเพลียเช่นนี้“เธอยังไม่ตื่นอีกหรือป้าหวัง”หวังซานเย่เดินผ่านหน้าห้องของเธอ ก่อนจะมองเห็นว่าป้าหวังหรือแม่บ้านหวังหมิงของเขากำลังเขย่าตัวเธอเพื่อให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมา เขาจึงอดที่จะเดินเข้าไปดูไม่ได้ ‘เห็นทีคฤหาสน์ของเขาคงจะทำให้เธอหลับสบายไม่น้อย’ เขาได้แต่คิดเช่นนั้น โดยไม่รู้ความจริงเลยสักนิดว่าเธอดีใจจนนอนไม่หลับ“ยังเลยค่ะ เมื่อคืนคุณชายใช้งานเธอหนักหรือคะ” ป้าหวังเอ่ยถามคนเป็นนาย โดยแฝงนัยไว้ในคำถามอย่างชัดเจน“ไม่มีเรื่องเช่นนั้นครับ คุณป้าอย่าพูดไป เธอจะเสียหายเอาได้” เขาเก็บรอยยิ้มซ่อนลงในใบหน้าทันทีที่ดูเหมือนว่าจะมีหลายต่อหลายคนเข้าใจผิดไป“ค่ะ ๆ ป้าไม่พูดค่ะ”หวังหมิงพยักใบหน้ารับ ก่อนจะหุบปากจนสนิท แม้นายผู้นี้จะดูเหมือนใ
ในทันทีที่รถของผู้บัญชาการหวังจอดเทียบเหลา หรือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองลั่วหยาง ก็มีผู้หญิงในวัยสามสิบต้น ๆ แต่งกายด้วยกี่เพ้าสีจัดจ้านเข้ามาให้การต้อนรับเขาในทันที“ผู้บัญชาการหวัง มี่เถียนดีใจจริง ๆ ที่คุณมาทานอาหารที่นี่”ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากรถ ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นก็เข้ามาคล้องแขนเขาในทันที แต่ทว่าหวังซานเย่นั้นไร้คำว่าปรานี เพียงแค่เขาปรายดวงตาด้วยความดุดัน ผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยมือที่คล้องแขนเขาในทันที“รบกวนจัดโต๊ะให้ผมด้วย” เขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจสิ่งใด“มี่เถียนต้องขออภัยผู้บัญชาการหวัง วันนี้ด้านในร้านอาหารคนเยอะนัก เพราะรองผู้บัญชาการหลิวจองเอาไว้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ถ้าคุณไม่สะดวก...”“ผมขอที่นั่งแค่สองที่ ตรงไหนก็ได้ หวังว่าคุณจะมีวิธีการจัดการ” ผู้บัญชาการหวังยังคงมีท่าทีที่นิ่งเฉย เขาเอ่ยบอกกับผู้หญิงที่ชื่อมี่เถียนเพียงสั้น ๆ เท่านั้น“ค่ะ ผู้บัญชาการหวังเชิญด้านในค่ะ”มี่เถียนผายมือเชื้อเชิญเขาเพียงเท่านั้น แต่สำหรับฉินเจินเจินนั้นได้รับเพียงสายตาจิกกัดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอจึงรีบเดินเข้าไปเพื่อเดินข้างกายของผ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการหวังก็สั่งการให้นายทหารคนสนิทขับรถไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านหนึ่ง โชคดีที่ถนนหนทางในยุคนี้ ผู้คนโดยทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้เกือบทุกคน บนท้องถนนจึงมีรถไม่มากเท่าใรนัก ประชาชนทั่วไปมักจะใช้รถไฟเป็นการเดินทาง หรือไม่ก็ใช้จักรยานรถยุโรปที่มีตราสัญลักษณ์ของผู้บัญชาการทหารมักจะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดาย ในช่วงที่ยุคเศรษฐกิจกำลังฟื้นฟู และส่วนใหญ่ประเทศจีนเป็นพวกอนุรักษ์นิยม พวกนายทุนที่ประสบความสำเร็จจึงมักจะเป็นคนหัวสมัยใหม่พร้อมที่จะเปิดรับอะไรใหม่ ๆ เข้ามาเสียมากกว่าเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงมีความคิดของนักธุรกิจขึ้นมา ชีวิตใหม่ของเธอของมีเพียงเขาเป็นนายทุน เธอก็พร้อมที่จะใช้เงินลงทุนของเขาทำให้เกิดความงอกเงยด้วยการเปิดกิจการใดกิจการหนึ่งขึ้นมา หากถึงวันนั้นเขาไม่ได้มีใจให้กับเธอ เธอก็สามารถที่จะอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร“เรื่องแบบนี้ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ” เธอพึมพำขึ้นมา โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำกิจการ“คุณว่าอะไรนะ” เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอพึมพำอยู่ค
เสียงที่ดังลั่นออกไปของเธอ ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันจับจ้องสายตามายังฉินเจินเจินด้วยความไม่เข้าใจ และสงสัยว่าเธอกำลังเรียกชื่อของใครกัน“คุณหมายถึงผมอย่างนั้นหรือ”ผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะปรายนิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง เพื่อย้ำในสิ่งที่เธอเอ่ยเมื่อครู่อีกครั้ง และด้วยความที่เธอทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์บอกปัดออกไป“ปะ...เปล่าคะ คุณแค่หน้าเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก ต้องขออภัยด้วย” เธอตอบออกไปโดยที่ไม่ได้คิดจะมองใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย“เจินเจิน นี่คือหวังไห่เถิง น้องชายเพียงคนเดียวของผม” ผู้บัญชาการหวังเอ่ยแนะนำผู้เป็นน้องชายให้เธอได้รู้จัก“ฉันฉินเจินเจินค่ะ” เพื่อเป็นการไม่ให้เสียมารยาท เธอจึงรวบรวมความกล้า มองสบตากับเขา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแนะนำตัวเอง“ผมหวังไห่เถิง คุณสวยมากเลยครับ พี่ชายเธอเป็นเมียใหม่ของพี่อย่างนั้นหรือ”หวังไห่เถิง มองสาวสวยข้างกายของผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาโลมเลีย เธอช่างสวยถูกใจของเขาเสียเหลือเกิน พี่ชายของเขาคนนี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเมียใหม่หรือเมียเก่าล้วนแล้วแต่มีใบหน้าและรูปร่างที่น่าจับต้อง“เธอย
“เจินเจิน คุณไม่เป็นอะไรนะ”หวังซานเย่ลูบไล้ฝ่ามือลงบนเส้นผมของเธอด้วยความอ่อนโยน ในขณะที่ร่างบอบบางของเธอยังคงไหวสะท้านราวกับหวาดกลัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา“คุณคะ ฉันกลัว คุณอยู่กับฉันก่อนนะคะ”ที่พึ่งของเธอในยามนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่การที่เธอจะกล่าวโทษน้องชายสายเลือดเดียวกันของเขาอย่างโจ้งแจ้ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะทำในตอนนี้"อืม ผมจะอยู่กับคุณ คุณไม่ต้องกลัวนะ" เขากระชับวงแขนแน่นขึ้นเพื่อหวังจะปลอบประโลมความกลัวของเธอ“...”เธอไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป แต่เธอทำเพียงแค่ซุกใบหน้าลงบนแผงอกกว้างของเขา พร้อมกับท่อนแขนเล็กที่โอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้แน่น“เจินเจิน ถ้าผมจะบอกคุณว่า คุณไม่จำเป็นต้องอ่อนแอเสมอไป หากคุณเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องกลัวอีกต่อไป” หวังซานเย่บอกกับเธอราวกับให้ข้อคิดฉินเจินเจินคิดตามถ้อยคำที่เขาบอกกล่าว ไม่ว่าจะเป็นฉินเจินเจินที่จากมา หรือเจ้าของร่างนี้ ล้วนแล้วแต่อ่อนแอ และมักจะถูกคนที่ไว้ใจหักหลังและเอาเปรียบ ในตอนนี้ก็เช่นกันเธอกำลังจะถูกน้องชายของเขาเอาเปรียบ ชีวิตใหม่ของเธอจะกลับสู่หนทางเดิมอีกแล้วหรือ ในใจของเธอเองก็ไม่อยากเ
“นี่คุณ รีบปลุกลูกสาวตัวดีของคุณเร็วเข้า หากนานกว่านี้ ผู้บัญชาการเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกเราแย่แน่”“อาฉวน คุณไม่เห็นหรือว่าฉันปลุกเธอตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ตื่น จะมาขี้เซาอะไรกันตอนนี้นังลูกไม่รักดี” คนที่โดนเร่งเร้าให้ออกแรงปลุกก็เริ่มจะมีน้ำเสียงที่หงุดหงิดเช่นเดียวกัน“โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้หาง่าย ๆ นะคุณ รีบปลุกลูกสาวของคุณซะ ด้วยความหวังดี” บุรุษเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่รื่นหูเท่าไรนัก ซ้ำยังมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจเสียงสนทนาที่ฟังดูคล้ายกับคนทะเลาะกันระหว่างชายหญิงที่ไม่คุ้นหู ผ่านเข้ามาในภวังค์ความคิด แม้จะยังคงหลับตาแต่ก็รับรู้ได้ถึงบทสนทนาที่ชัดเจนมาก พอให้รู้ว่าเสียงนั้นช่างน่ารำคาญและรบกวนการนอนมากเพียงใด ‘แต่เดี๋ยวนะ !’ฉินเจินเจิน ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะกวาดมองไปรอบกาย จนเจอเข้ากับหนึ่งหญิงหนึ่งชายในวัยกลางคนที่กำลังส่งฝ่ามือเข้ามาปลุกด้วยท่าทางรีบร้อน“พวกคุณเป็นใครกัน เข้ามาในคอนโดของฉันได้อย่างไร” เธอเอ่ยถามออกไป พร้อมกับยันกายลุกขึ้นพิงหมอนอิงใบใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้ง เพื่อมองหาเด็กหนุ่มคนรักของตัวเอ
เมืองหนานซาง มณฑลเจียงซี...คอนโดหรูกลางเมืองใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของ ฉินเจินเจิน สาวใหญ่ในวัยสี่สิบปี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจมากมาย ชีวิตในปัจจุบันนั้นไร้สามี หรือลูกสาว ลูกชาย ให้สืบสกุล อีกทั้งบิดาและมารดาต่างก็พากันจากโลกนี้ไปตั้งแต่ที่เธอยังไม่ร่ำรวยการใช้ชีวิตเพียงคนเดียวมานานแสนนานนั้นช่างเปลี่ยวเหงา บาร์โฮสต์อันแสนหรูหราจึงเป็นสถานที่ให้เธอได้บรรเทาความเหงา กับเงินในกระเป๋าที่ทำให้เธอซื้อความสุขมาครอบครองเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตางดงาม เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่โชคชะตากลับนำพาเด็กหนุ่มรูปหล่อนามว่าเป่าซานซาน ในวัยเพียงยี่สิบปีมาอยู่ข้างกายให้จิตใจกระชุ่มกระชวยฉินเจินเจิน ได้เจอกับเป่าซานซานที่บาร์โฮสต์ เขาทั้งเอาอกเอาใจ และไม่รังเกียจเธอที่มีอายุมากกว่า ทำให้เธอหลงรักเขาทั้งใจ จนต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินครั้งใหญ่จ้างเขาให้เลิกทำงานเป็นโฮสต์ เพื่อมาอยู่กับเธอในทุกวันชีวิตที่เป็นดั่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้น จากความชอบกลายเป็นความรักที่ยากจะถอนตัวถอนใจ ไม่ว่าเป่าซานซานจะต้องการอะไรเธอก็บันดาลให้กับเขาได้ทุกสิ่ง และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตอบสนองคว
บรรยากาศภายในรถยุโรปนั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่ดังขึ้นด้วยความแผ่วเบาราวกับขนนก ช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สตรีร่างกายบอบบางที่นั่งตัวเกร็งจำต้องส่งสายตากวาดมองสำรวจภายในรถเพื่อลดความเกร็ง เมื่อเธอมองอย่างเต็มตาก็ต้องรู้สึกประหลาด เพียงแค่ปรายตามองดูก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นทรงอำนาจและมีเงินมากมายเพียงใด ถึงจะสามารถครอบครองรถเหล่านี้ได้ในยุคสาธารณรัฐที่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังไม่ได้เปิดกว้างเช่นนี้ได้“นี่คุณ ปีนี้คือปีที่เท่าไร” เธอถามออกไปโดยไร้หางเสียงเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย จากสายตาและการประเมินเพียงผิวเผินบุรุษที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายของเธอก็น่าจะอายุราว ๆ เดียวกันกับเธอในโลกใบที่เธอจากมา“ไม่มีมารยาท คุณเด็กกว่าผมจนเกือบจะเป็นลูกสาวของผมได้อยู่แล้ว พูดจาไม่มีหางเสียงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าตระกูลฉินของคุณไม่สั่งไม่สอนมารยาทมาบ้างเลยหรือ” เสียงเข้มของเขากล่าวขึ้นด้วยความตำหนิ ที่ทำให้เธอต้องขบกรามแน่น“คุณซื้อฉันมาเป็นลูกสาวหรือคะ หากเป็นเช่นนั้นฉันจะได้เรียกคุณว่า คุณพ่อ” ฉินเจินเจินเอ่ยคำประชดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย และ
“เจินเจิน คุณไม่เป็นอะไรนะ”หวังซานเย่ลูบไล้ฝ่ามือลงบนเส้นผมของเธอด้วยความอ่อนโยน ในขณะที่ร่างบอบบางของเธอยังคงไหวสะท้านราวกับหวาดกลัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา“คุณคะ ฉันกลัว คุณอยู่กับฉันก่อนนะคะ”ที่พึ่งของเธอในยามนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่การที่เธอจะกล่าวโทษน้องชายสายเลือดเดียวกันของเขาอย่างโจ้งแจ้ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะทำในตอนนี้"อืม ผมจะอยู่กับคุณ คุณไม่ต้องกลัวนะ" เขากระชับวงแขนแน่นขึ้นเพื่อหวังจะปลอบประโลมความกลัวของเธอ“...”เธอไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป แต่เธอทำเพียงแค่ซุกใบหน้าลงบนแผงอกกว้างของเขา พร้อมกับท่อนแขนเล็กที่โอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้แน่น“เจินเจิน ถ้าผมจะบอกคุณว่า คุณไม่จำเป็นต้องอ่อนแอเสมอไป หากคุณเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องกลัวอีกต่อไป” หวังซานเย่บอกกับเธอราวกับให้ข้อคิดฉินเจินเจินคิดตามถ้อยคำที่เขาบอกกล่าว ไม่ว่าจะเป็นฉินเจินเจินที่จากมา หรือเจ้าของร่างนี้ ล้วนแล้วแต่อ่อนแอ และมักจะถูกคนที่ไว้ใจหักหลังและเอาเปรียบ ในตอนนี้ก็เช่นกันเธอกำลังจะถูกน้องชายของเขาเอาเปรียบ ชีวิตใหม่ของเธอจะกลับสู่หนทางเดิมอีกแล้วหรือ ในใจของเธอเองก็ไม่อยากเ
เสียงที่ดังลั่นออกไปของเธอ ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันจับจ้องสายตามายังฉินเจินเจินด้วยความไม่เข้าใจ และสงสัยว่าเธอกำลังเรียกชื่อของใครกัน“คุณหมายถึงผมอย่างนั้นหรือ”ผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะปรายนิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง เพื่อย้ำในสิ่งที่เธอเอ่ยเมื่อครู่อีกครั้ง และด้วยความที่เธอทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์บอกปัดออกไป“ปะ...เปล่าคะ คุณแค่หน้าเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก ต้องขออภัยด้วย” เธอตอบออกไปโดยที่ไม่ได้คิดจะมองใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย“เจินเจิน นี่คือหวังไห่เถิง น้องชายเพียงคนเดียวของผม” ผู้บัญชาการหวังเอ่ยแนะนำผู้เป็นน้องชายให้เธอได้รู้จัก“ฉันฉินเจินเจินค่ะ” เพื่อเป็นการไม่ให้เสียมารยาท เธอจึงรวบรวมความกล้า มองสบตากับเขา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแนะนำตัวเอง“ผมหวังไห่เถิง คุณสวยมากเลยครับ พี่ชายเธอเป็นเมียใหม่ของพี่อย่างนั้นหรือ”หวังไห่เถิง มองสาวสวยข้างกายของผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาโลมเลีย เธอช่างสวยถูกใจของเขาเสียเหลือเกิน พี่ชายของเขาคนนี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเมียใหม่หรือเมียเก่าล้วนแล้วแต่มีใบหน้าและรูปร่างที่น่าจับต้อง“เธอย
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการหวังก็สั่งการให้นายทหารคนสนิทขับรถไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านหนึ่ง โชคดีที่ถนนหนทางในยุคนี้ ผู้คนโดยทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้เกือบทุกคน บนท้องถนนจึงมีรถไม่มากเท่าใรนัก ประชาชนทั่วไปมักจะใช้รถไฟเป็นการเดินทาง หรือไม่ก็ใช้จักรยานรถยุโรปที่มีตราสัญลักษณ์ของผู้บัญชาการทหารมักจะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดาย ในช่วงที่ยุคเศรษฐกิจกำลังฟื้นฟู และส่วนใหญ่ประเทศจีนเป็นพวกอนุรักษ์นิยม พวกนายทุนที่ประสบความสำเร็จจึงมักจะเป็นคนหัวสมัยใหม่พร้อมที่จะเปิดรับอะไรใหม่ ๆ เข้ามาเสียมากกว่าเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงมีความคิดของนักธุรกิจขึ้นมา ชีวิตใหม่ของเธอของมีเพียงเขาเป็นนายทุน เธอก็พร้อมที่จะใช้เงินลงทุนของเขาทำให้เกิดความงอกเงยด้วยการเปิดกิจการใดกิจการหนึ่งขึ้นมา หากถึงวันนั้นเขาไม่ได้มีใจให้กับเธอ เธอก็สามารถที่จะอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร“เรื่องแบบนี้ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ” เธอพึมพำขึ้นมา โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำกิจการ“คุณว่าอะไรนะ” เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอพึมพำอยู่ค
ในทันทีที่รถของผู้บัญชาการหวังจอดเทียบเหลา หรือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองลั่วหยาง ก็มีผู้หญิงในวัยสามสิบต้น ๆ แต่งกายด้วยกี่เพ้าสีจัดจ้านเข้ามาให้การต้อนรับเขาในทันที“ผู้บัญชาการหวัง มี่เถียนดีใจจริง ๆ ที่คุณมาทานอาหารที่นี่”ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากรถ ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นก็เข้ามาคล้องแขนเขาในทันที แต่ทว่าหวังซานเย่นั้นไร้คำว่าปรานี เพียงแค่เขาปรายดวงตาด้วยความดุดัน ผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยมือที่คล้องแขนเขาในทันที“รบกวนจัดโต๊ะให้ผมด้วย” เขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจสิ่งใด“มี่เถียนต้องขออภัยผู้บัญชาการหวัง วันนี้ด้านในร้านอาหารคนเยอะนัก เพราะรองผู้บัญชาการหลิวจองเอาไว้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ถ้าคุณไม่สะดวก...”“ผมขอที่นั่งแค่สองที่ ตรงไหนก็ได้ หวังว่าคุณจะมีวิธีการจัดการ” ผู้บัญชาการหวังยังคงมีท่าทีที่นิ่งเฉย เขาเอ่ยบอกกับผู้หญิงที่ชื่อมี่เถียนเพียงสั้น ๆ เท่านั้น“ค่ะ ผู้บัญชาการหวังเชิญด้านในค่ะ”มี่เถียนผายมือเชื้อเชิญเขาเพียงเท่านั้น แต่สำหรับฉินเจินเจินนั้นได้รับเพียงสายตาจิกกัดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอจึงรีบเดินเข้าไปเพื่อเดินข้างกายของผ
ฉินเจินเจินถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่ตามคำสั่งของผู้บัญชาการที่ตื่นมาออกกำลังลังกายตั้งแต่ยามที่ฟ้ายังไม่สาง ดวงตากลมแทบจะปิดสนิท กว่าเธอจะได้นอนเวลาก็ล่วงเลยจนเกือบจะสว่าง นั่นก็เพราะอาการตกหลุมรักจนนอนไม่หลับ“คุณคะ ตื่นเถอะค่ะ คุณชายรออยู่นะคะ”คุณป้าหลิวเขย่าตัวเธออยู่นาน แต่ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการจะเล่นงานเธอบนเตียงหนักไปหน่อยกระมัง คุณหนูคนนี้ถึงได้ดูอ่อนเพลียเช่นนี้“เธอยังไม่ตื่นอีกหรือป้าหวัง”หวังซานเย่เดินผ่านหน้าห้องของเธอ ก่อนจะมองเห็นว่าป้าหวังหรือแม่บ้านหวังหมิงของเขากำลังเขย่าตัวเธอเพื่อให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมา เขาจึงอดที่จะเดินเข้าไปดูไม่ได้ ‘เห็นทีคฤหาสน์ของเขาคงจะทำให้เธอหลับสบายไม่น้อย’ เขาได้แต่คิดเช่นนั้น โดยไม่รู้ความจริงเลยสักนิดว่าเธอดีใจจนนอนไม่หลับ“ยังเลยค่ะ เมื่อคืนคุณชายใช้งานเธอหนักหรือคะ” ป้าหวังเอ่ยถามคนเป็นนาย โดยแฝงนัยไว้ในคำถามอย่างชัดเจน“ไม่มีเรื่องเช่นนั้นครับ คุณป้าอย่าพูดไป เธอจะเสียหายเอาได้” เขาเก็บรอยยิ้มซ่อนลงในใบหน้าทันทีที่ดูเหมือนว่าจะมีหลายต่อหลายคนเข้าใจผิดไป“ค่ะ ๆ ป้าไม่พูดค่ะ”หวังหมิงพยักใบหน้ารับ ก่อนจะหุบปากจนสนิท แม้นายผู้นี้จะดูเหมือนใ
หวังซานเย่เดินขึ้นบันได้มาหยุดยังบานประตูไม้เรียบหรู วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ไหนจะต้องสะสางงานในกองทัพ ไหนจะต้องไปเจรจากับหยางตงฉวน มิหนำซ้ำยังต้องมาอธิบายให้คุณแม่เข้าใจเรื่องที่เขาซื้อฉินเจินเจินมาอีก ตอนนี้เขาแทบจะหมดแรงจนอยากจะอาบน้ำและพักผ่อนเต็มที ร่างสูงผลักฝ่ามือลงบนบานประตูเข้ามายังห้องนอนของตัวเองดังเช่นทุกวันดวงตาคู่คมที่พร่ามัวสะลึมสะลือด้วยอาการง่วงนอน กวาดมองไปยังเตียงนอนของตัวเองดังเช่นเคย แต่ทว่าเขากลับต้องเบิกตากว้างขึ้นเมื่อภาพเบื้องหน้าปรากฏหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีชมพูบางเบานั่งไขว่ห้างโชว์เรียวขาพร้อมกับส่งสายตาสุดเย้ายวนมาให้เห็นทีคุณป้าหวังและฉินเจินเจินคงเข้าใจผิดไปกับคำพูดของเขาอยู่ไม่น้อย การที่เขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้นไม่ได้สื่อความหมายว่าตัวเองต้องการให้เธอมาเป็นนางบำเรอในค่ำคืนนี้ แต่เขาต้องการให้เธอเข้ามามารอที่ห้องนอนของตัวเอง นั่นก็เพื่อที่จะหลบหลีกสายตาของคุณแม่และคนอื่นที่ภายในคฤหาสน์ต่างหากดวงตาของเขาทอประกายขึ้นอย่างวาบหวาม เมื่อเผลอไผลจ้องมองไปตามร่างกายสาวของสาวน้อยวัยแย้มยิ้ม เธอช่างดูงดงามอย่างไร้ซึ่งที่ติ ผิวพรรณนั้นขาวผ่
ฉินเจินเจินเดินตามสตรีวัยกลางคนที่ชื่อว่าป้าหวังด้วยความจำยอมและเชื่อฟัง เธอไม่ได้คิดจะขัดขืนแต่อย่างใด จนกระทั่งป้าหวังพาเธอมายังห้องอาบน้ำที่แสนจะกว้างใหญ่และหรูหรา เมื่อเธอเห็นว่าที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเกือบ ๆ จะเท่าที่ที่เธอจากมา รอยยิ้มที่แสนจะสดใสและดวงตาที่ทอประกายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยความแช่มชื่น 'อย่างน้อยก็ไม่ได้ลำบากเท่าที่คิด'"คุณหนู ป้าชื่อหวังหมิง เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์นี้"ป้าหวังแนะนำตัวพร้อมกับยื่นฝ่ามือที่เริ่มจะมีรอยย่นเข้ามาเพื่อปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอ ด้วยความตกใจฉินเจินเจินจึงดึงรั้งเสื้อผ้าของตัวเองเอาไว้ด้วยความเขินอาย"ระ...เรียกว่าฉินเจินเจิน หรือเจินเจิน เฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณป้า" เธอแนะนำตัวออกไปพร้อมกับปกป้องกี่เพ้าตัวเก่าเอาไว้เป็นอย่างดี"ถอดเสื้อผ้าออกเถอะค่ะ ป้าจะอาบน้ำให้"ป้าหวังหมิงยังคงยื้อยุดฉุดกระชากเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอ ซึ่งเธอก็ปกป้องตัวเองเต็มที่ แม้ว่าร่างกายของเด็กสาวคนนี้จะไม่ใช่ร่างกายที่คุ้นเคยของเธอ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในร่างนี้เธอก็ไม่หน้าด้านที่จะเปลื้องผ้าล่อนจ้อนให้ใครมาอาบน้ำให้หรอกนะ"ไม่เป็นไรค่ะป้า ฉันอาบเอ
บรรยากาศภายในรถยุโรปนั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่ดังขึ้นด้วยความแผ่วเบาราวกับขนนก ช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สตรีร่างกายบอบบางที่นั่งตัวเกร็งจำต้องส่งสายตากวาดมองสำรวจภายในรถเพื่อลดความเกร็ง เมื่อเธอมองอย่างเต็มตาก็ต้องรู้สึกประหลาด เพียงแค่ปรายตามองดูก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นทรงอำนาจและมีเงินมากมายเพียงใด ถึงจะสามารถครอบครองรถเหล่านี้ได้ในยุคสาธารณรัฐที่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังไม่ได้เปิดกว้างเช่นนี้ได้“นี่คุณ ปีนี้คือปีที่เท่าไร” เธอถามออกไปโดยไร้หางเสียงเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย จากสายตาและการประเมินเพียงผิวเผินบุรุษที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายของเธอก็น่าจะอายุราว ๆ เดียวกันกับเธอในโลกใบที่เธอจากมา“ไม่มีมารยาท คุณเด็กกว่าผมจนเกือบจะเป็นลูกสาวของผมได้อยู่แล้ว พูดจาไม่มีหางเสียงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าตระกูลฉินของคุณไม่สั่งไม่สอนมารยาทมาบ้างเลยหรือ” เสียงเข้มของเขากล่าวขึ้นด้วยความตำหนิ ที่ทำให้เธอต้องขบกรามแน่น“คุณซื้อฉันมาเป็นลูกสาวหรือคะ หากเป็นเช่นนั้นฉันจะได้เรียกคุณว่า คุณพ่อ” ฉินเจินเจินเอ่ยคำประชดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย และ
เมืองหนานซาง มณฑลเจียงซี...คอนโดหรูกลางเมืองใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของ ฉินเจินเจิน สาวใหญ่ในวัยสี่สิบปี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจมากมาย ชีวิตในปัจจุบันนั้นไร้สามี หรือลูกสาว ลูกชาย ให้สืบสกุล อีกทั้งบิดาและมารดาต่างก็พากันจากโลกนี้ไปตั้งแต่ที่เธอยังไม่ร่ำรวยการใช้ชีวิตเพียงคนเดียวมานานแสนนานนั้นช่างเปลี่ยวเหงา บาร์โฮสต์อันแสนหรูหราจึงเป็นสถานที่ให้เธอได้บรรเทาความเหงา กับเงินในกระเป๋าที่ทำให้เธอซื้อความสุขมาครอบครองเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตางดงาม เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่โชคชะตากลับนำพาเด็กหนุ่มรูปหล่อนามว่าเป่าซานซาน ในวัยเพียงยี่สิบปีมาอยู่ข้างกายให้จิตใจกระชุ่มกระชวยฉินเจินเจิน ได้เจอกับเป่าซานซานที่บาร์โฮสต์ เขาทั้งเอาอกเอาใจ และไม่รังเกียจเธอที่มีอายุมากกว่า ทำให้เธอหลงรักเขาทั้งใจ จนต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินครั้งใหญ่จ้างเขาให้เลิกทำงานเป็นโฮสต์ เพื่อมาอยู่กับเธอในทุกวันชีวิตที่เป็นดั่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้น จากความชอบกลายเป็นความรักที่ยากจะถอนตัวถอนใจ ไม่ว่าเป่าซานซานจะต้องการอะไรเธอก็บันดาลให้กับเขาได้ทุกสิ่ง และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตอบสนองคว