จะคุกเข่า หรือไม่คุกเข่า? นี่เป็นคำถามที่ตัดสินใจได้ยากมาก สายตาของจางจงหยางกวาดมองชูจงเทียนและลู่เจี้ยนปินที่เป็นดั่งเทพเจ้า และท้ายที่สุดก็หยุดลงบนตัวของลี่โม่ หลี่โม่นั่งอย่างเรียบเฉย ใบหน้าไม่เศร้าหรือสุข ราวกับไม่ได้แยแสทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย จางจงหยางจ้องเขม็งสองตาของหลี่โม่อย่างโหดเหี้ยม แต่ก็มองไม่เห็นความหวาดหวั่นในดวงตาของหลี่โม่เลย กลับกันยังเห็นความเย้ยหยันในแววตาของหลี่โม่เสียด้วยซ้ำ สำหรับหลี่โม่แล้ว จางจงหยางก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชูจงเทียนต้องการจะแสดงออกต่อหน้าตน ดังนั้นหลี่โม่จึงให้โอกาสชูจงเทียนได้แสดง แม้ว่าแววตาเย้ยหยันในดวงตาของหลี่โม่จะทำให้จางจงหยางรู้สึกทั้งโกรธและอับอาย แต่ความไม่สบายใจในใจของจางจงหยาง ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีความผิดปกติบางอยู่ในนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ใช้การขอโทษครั้งนี้ เป็นโอกาสให้การปลดโซ่ตรวนของชูจงเทียนออกไปโดยสมบูรณ์เลยแล้วกัน และยังเป็นการใช้ประโยชน์จากเจ้าสกุลหลี่นั่นด้วย จางจงหยางก้าวฝีเท้าอันหนักหน่วง เดินมาถึงเบื้องหน้าของหลี่โม่และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ขอโทษคุณหลี่ด้วย
ชูจงเทียนหัวเราะอย่างดูแคลน ในใจคิดว่า 'นายไปล่วงเกินนายน้อยแห่งแดนมังกรเข้า แค่ให้แทงสักสามมีดหกรูเพื่อช่วยชีวิตนาย ก็ยังไม่รู้จักสำนึกเสียนี่' ชูจงเทียนพาตัวจางจงหยางออกไปจากห้องประมูล ไม่นานเสียงโอดครวญของจางจงหยางก็ดังขึ้นมาจากนอกห้อง ชัดเจนว่าจางจงหยางแทงตัวเองสามมีดจริง ๆ มุมปากของลู่เจี้ยนปินหยักยิ้มเล็กน้อย เขามองไปยังพวกเฝิงจื่อไฉแล้วเอ่ย “ถึงตาพวกนายแล้ว” เหอลี่ฉวินเอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นเครือ “พวกเรา พวกเราแค่ว่าเขาไม่กี่คำเท่านั้น ขอโทษเขาก็น่าจะพอแล้วนะครับ” “ใช่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นถึงกับต้องแทงตัวเองสามครั้งหรอกมั้งครับ พวกเราก้มหัวคำนับก็ได้แล้ว” เฝิงจื่อไฉอดกลั้นความหวาดกลัวและคับแค้นในใจเอาไว้ เขามองไปยังหลี่โม่แล้วพูด “นายอย่าให้มันเกินไปจะดีกว่า ที่นี่คือจินไห่ คุณเทียนกับลุงลู่สามารถปกป้องนายได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ปกป้องนายไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก!” “ถ้างั้นนายก็ไม่ยอมสินะ?” หลี่โม่ถามพร้อมหัวเราะฮ่า ๆ “ไม่ยอมแน่อยู่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะมีคุณเทียนกับลุงลู่คุ้มหัวนายอยู่ นายคิดว่าคนอย่างนายจะไปทำอะไรได้! ถ้าแน่จริงก็มาเดิมพันกับฉันสักตั้งสิ” เฝิงจื่อไฉตะโกน
“ได้! ยาจกอย่างนายก็รอความพ่ายแพ้ไปเถอะ ถึงตอนนั้นอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แล้วกัน จะพนันก็ต้องกล้าได้กล้าเสียด้วย ลุงลู่ คุณต้องเป็นพยานให้ด้วยนะ” เฝิงจื่อไฉพูดจบก็พาพวกเหอลี่ฉวินหันหลังออกไป ฮั่วเจี้ยนเฟิงลังเลเล็กน้อย แล้วเดินตามเฝิงจื่อไฉออกไปด้วยกัน ขณะมองดูพวกของเฝิงจื่อไฉเดินจากไป ลู่เจี้ยนปินก็เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ “คุณหลี่ เรื่องนี้คุณประมาทไปนะ หินแร่หมายเลข 9 ก้อนนั้นเป็นสินค้าที่คุณภาพดีที่สุดในหินแร่ล็อตนี้ คนวงในหลายคนต่างก็เคยเห็นมาแล้ว ในหินแร่หมายเลขนั่นจะต้องเป็นหยกจักรพรรดิอย่างแน่นอน ส่วนก้อนอื่น ๆ ล้วนเทียบไม่ได้เลย” กู้หยุนหลานพลันเคร่งเครียดขึ้นมา มือสองข้างจับแขนของหลี่โม่เอาไว้แน่น “หลี่โม่ คุณ… ครั้งนี้คุณประมาทไปจริง ๆ” หลี่โม่พลิกดูอัลบั้มรูปของการประมูล พลิกมาถึงรายการสินค้าประมูลในส่วนของหินแร่หยกแล้วมองดูครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย พวกเขาไม่มีทางชนะแน่” ลู่เจี้ยนปินเอาสองมือปิดหน้า ไม่รู้ว่าหลี่โม่ไปเอาความมั่นใจจากไหน หินแร่พวกนั้นล้วนเป็นของที่ลู่เจี้ยนปินเคยผ่านมือมาแล้ว เขารู้หมดแล้วว่าหินแร่พวกนั้นมีคุณภาพอยู่ระดับไหน “คุณห
กู้หยุนหลายมองไปยังหลี่โม่อย่างค่อนข้างลำบากใจ ไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องเมื่อครู่นี้กับหวังฟางอย่างไรดี “เขาเจอเพื่อนสองสามคนเข้าน่ะครับ บอกว่าจะไปคุยเรื่องธุรกิจกัน” หลี่โม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น หวังฟางมองหลี่โม่อย่างสงสัย ก่อนจะยื่นมือมาจิ้มหน้าผากของหลี่โม่อย่างแรงทีหนึ่ง “แกนี่มันทำให้ฉันเกลียดเทียบตายเลยจริง ๆ ทำไมฉันถึงต้องมีลูกเขยไม่ได้เรื่องขนาดนี้อย่างแกด้วยนะ ออกไปข้างนอกพูดถึงแกฉันก็ขายหน้าตลอด พวกคุณหนูคุณนายทั้งหลายต่างก็เอาฉันไปเป็นตัวตลก ใบหน้าของฉันหวังฟางถูกแกทำลายย่อยยับไปหมดแล้ว!” “คุณแม่ อย่าทำแบบนี้สิคะ” กู้หยุนหลานปกป้องหลี่โม่ แล้วสบตากับหวังฟาง “ลูกก็ปกป้องไอ้คนไม่ได้เรื่องนี่ให้ดีแล้วกัน แล้วดูซิว่าต่อไปไอ้คนไม่ได้เรื่องนี่จะมีอนาคตประสบความสำเร็จอะไรได้” กู้เจี้ยนหมินดึงตัวหวังฟาง “ไม่ต้องพูดแล้ว คนตั้งเยอะแยะมองอยู่นะ จะพูดก็ค่อยกลับไปพูดทีหลังสิคะ” หวังฟางจ้องหลี่โม่ตาเขม็ง ก่อนจะหยิบหนังสือรายการสินค้าประมูลขึ้นมาอ่าน ...... ที่โรงจอดรถของศูนย์การประมูล จางจงหยางที่แทงตัวเองไปสามมีดหกรูนั้น ถูกลูกน้องหามไปขึ้นรถเบนซ์แล้ว เฝิงจื่อไฉและคนอ
เมื่อได้ยินฮั่วเจี้ยนเฟิงพูดถึงคุณเทียน กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางก็มองมาทางฮั่วเจี้ยนเฟิงพร้อมกัน “เจี้ยนเฟิง เธอพูดถึงคุณเทียนคนนั้นที่กรุงโซลของเราน่ะเหรอ?” กู้เจี้ยนหมินถามอย่างจริงจัง “ใช่ครับ เมื่อกี้นี้คุณเทียนมาทักทายเจ้าขยะนี่ ผมคิดว่ามันค่อนข้างแปลกน่ะครับ” ฮั่วเจี้ยนเฟิงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม สีหน้าของกู้เจี้ยนหมินและหวังฟางต่างเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา ท่าทางของชูจงเทียนที่เคารพนบนอบต่อหลี่โม่ในงานเลี้ยงของคุณปู่หวังนั้น พลันปรากฏขึ้นในหัวของทั้งสองคน เมื่อเห็นสีหน้าของกู้เจี้ยนหมินและหวังฟางแปลกไป ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ถามอย่างสงสัย “คุณลุง คุณป้า เป็นอะไรไปเหรอครับ?” “เจี้ยนเฟิงเอ๊ย เรื่องนี้เธออย่าซักไซ้เลย ก่อนหน้านี้หลี่โม่บังเอิญโชคดีไปช่วยคุณเทียนไว้นิดหน่อย ไม่ได้มีมิตรภาพอะไรมากมายกับคุณเทียนนักหรอก” กู้เจี้ยนหมินหาข้ออ้างมาตอบอย่างขอไปที สำหรับหลี่โม่กับพวกชูจงเทียน อีกทั้งความสัมพันธ์กับเฉียนฝูนั้น กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางสองสามีภรรยาต่างก็ยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ในเมื่อไม่เข้าใจ ก็คงยากจะอธิบายอะไร นอกจากนี้หากอธิบายไปก็ต้องถูกซักไซ้ไล่เลียงแน่ อย่างนั
สีหน้าของหวังฟางและกู้เจี้ยนหมินซีดเผือดลง ในใจต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอัดแน่น หวังฟางที่ตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างยื่นมือออกไปทุบหลี่โม่อย่างแรง “แก ไอ้คนระยำ แกก่อเรื่องขนาดนี้ได้ยังไง! ไปยั่วโมโหพี่ใหญ่ของจินไห่ได้ยังไง!” “แม่คะ ใจเย็นลงหน่อย เป็นฮั่วเจี้ยนเฟิงต่างหากที่พาคนพวกนั้นมาหาเรื่องหลี่โม่ ชูจงเทียนก็ช่วยคลี่คลายเรื่องนี้ไปแล้ว” กู้หยุนหลานช่วยอธิบายแทนหลี่โม่ กู้เจี้ยนหมินเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจี้ยนเฟิง ฉันจะให้คุณพูดมาให้ละเอียด ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่” ฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ้มอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “ผมบังเอิญเจอกับคู่ค้าทางธุรกิจสองสามราย ก็เลยพูดคุยกันไม่กี่คำ พวกเราเข้ามาก็เจอกับหลี่โม่พอดี จากนั้นหลี่โม่ก็ยั่วโมโหให้พวกเขาไม่พอใจ ผมที่อยู่ตรงกลางเองก็เกลี้ยกล่อมไม่ไหว เรื่องราวก็เลยวุ่นวายใหญ่โตน่ะครับ” “พูดจาเหลวไหล” กู้หยุนหลานมองไปยังฮั่วเจี้ยนอย่างโกรธเคือง “ผมพูดเหลวไหลยังไง ไม่เชื่อจะไปถามต่อหน้าตัวต่อตัวเลยก็ได้นะ แถมเจ้าขยะนี่ยังเดิมพันกับพวกเขาด้วย เดิมพันว่าตอนท้ายสุดของการประมูลหินแร่ หินแร่ที่ประมูลมาของใครจะผ่าออกมาแล้วจะคุณภาพดีกว่ากัน
การประมูลค่อย ๆ ดำเนินไปสู่ตอนจบอย่างช้า ๆ หินแร่ก้อนนั้นที่ถูกผู้เชี่ยวชาญมองว่าจะมีแน้วโน้มที่ดีมากที่สุด ถูกเคาะค้อนประมูลไปในราคาหนึ่งล้านหยวน ซึ่งถูกเฝิงจื่อไฉสอยเข้ากระเป๋าไปได้สำเร็จ “พี่ไฉสุดยอดจริง ๆ เพิ่มราคาสองครั้งก็สยบได้ทั้งห้องแล้ว ไม่มีใครกล้าสู้ราคากับพี่ไฉเลย” “คนที่ได้รับมอบหมายให้ทำการประมูลคงร้องไห้แน่ ฉันได้ยินว่าหินแร่ดิบก้อนนี้มีมูลค่าถึงหกเจ็ดล้านเชียวนะ พี่ไฉได้มาในราคาหนึ่งล้านนี่คุ้มสุด ๆ ไปเลย” “เราประมูลหยกมาได้แล้ว เจ้าขยะนั่นยังไม่ขยับเขยื้อนเลย คงจะไม่ได้กลัวพวกเราจนเอ๋อไปแล้วหรอกนะ ไปดูสักหน่อยดีกว่า” เหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ กำลังจับจ้องการเคลื่อนไหวของหลี่โม่ ตลอดการประมูลหลี่โม่ไม่เคยยกป้ายเสนอราคาเลย จึงทำให้พวกเหอลี่ฉวินสบประมาทหลี่โม่จากส่วนลึกในใจ เฝิงจื่อไฉหัวเราะเย็นชา ลุกขึ้นยืนและพูดขึ้น “ไปกันเถอะ ทำให้ไอ้ขยะนั่นขายขี้หน้าสักรอบ ที่เหลืออยู่ก็แค่หินแร่ดิบที่ไร้ค่าที่สุดก้อนนั้น ฉันเดาว่าเงินของไอ้ขยะนั่นคงจะซื้อได้แค่หินขยะก้อนนั้นนั่นแหละ” เหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ รายล้อมรอบตัวเฝิงจื่อไฉและเดินไปทางหลี่โม่ ตอนนี้การประมูลกำลังจะจบลงแ
เฝิงจื่อไฉพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เพิ่มบ้าอะไร รีบทำตามข้อตกลง ไม่เห็นเหรอว่าฉันมีเรื่องอื่นต้องทำ !""ได้ครับ"ผู้ประมูลหดคอด้วยความตกใจ และยกค้อนไม้ในมือทุบทันทีและทิ้งมัน"ขอแสดงความยินดีกับคุณหมายเลข 99 ผู้ได้รับรางวัลหยกเจไดต์เนื้อหยาบนี้ในราคา 100 หยวน"ทั้งกู้เจี้ยนหมินและหวังฟางถึงกับหน้าเสีย รู้สึกว่าหลี่โม่ทำให้อับอายขายหน้าจริง ๆ และคิดว่าหลี่โม่จะทำให้คนใหญ่คนโตคนอื่น ๆ อับอายมากไปกว่านี้ ทั้งคู่ไม่ต้องการยืนดูมันอีกต่อไป"เจี้ยนเฟิง ลุงกับป้าขอตัวกลับโรงแรมกันก่อนนะ ฝากเธอดูแลหยุนหลานให้ดีด้วย ถ้าไอ้ขยะนั่นมีปัญหาอะไร เธอไม่ต้องสนใจ แค่พาหยุนหลานกลับก็พอ"ฮั่วเจี้ยนเฟิงแสดงสีหน้าด้วยความสะใจ เขาพยักหน้าพูดว่า "คุณป้า คุณลุง กลเบไปก่อนก็ได้ครับ ผมจะดูแลหยุนหลานเป็นอย่างดีเอง"กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางจากไปพร้อมกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ยิ้มและจ้องไปที่หลี่โม่"ไอ้อ่อน จะเข้าไปตัดหยกแล้ว แกรอคุกเข่าร้องขอความเมตตาได้เลย" เฝิงจื่อไฉพูดอย่างมั่นใจหลี่โม่ดึงกู้หยุนหลานยืนขึ้นพร้อมกัน ยิ้มและพูดว่า "ผมจะไปจ่ายเงิน""จ่ายเงินอะไรของแก เก็บเงินหนึ่งร้อยของแกไว้ไปโรงพยาบาลเถอะ!"