“รถของเป้าหมายขับออกจากบริษัทแล้วครับ ผมกำลังติดตามเธออยู่” คนขับรถสีเงินพูดกับวิทยุสื่อสารบนรถ “จับตาดูให้ดี จากการสำรวจของเรา สถานที่ที่เป้าหมายจะไปคือบ้าน บริษัท โรงงานและโรงพยาบาล ทิศทางทั้งสี่แห่งนี้แตกต่างกันมาก นายต้องจับทิศทางของเป้าหมายให้ได้” “รับทราบครับ” จากนั้นคนขับรถสีเงินก็วางวิทยุสื่อสารลงแล้วขับตามรถของกู้หยุนหลานอย่างไม่คลาดสายตา กู้หยุนหลานไม่รู้ว่าเธอกำลังตกเป็นเป้าหมายของคนอื่นแล้ว เมื่อขับไปจนถึงโรงพยาบาล กู้หยุนหลานก็จอดรถไว้ที่ลานจอดรถ หลังลงจากรถแล้วเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มีชายสองคนเดินสวนเข้ามาใกล้เธอ กู้หยุนหลานไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นและกำลังจะเดินสวนชายสองคนนั้น แต่ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นแล้วใช้ผ้าเปียกที่ชุบยาสลบมาปิดปากของกู้หยุนหลานไว้ นั่นเป็นผ้าเปียกที่พ่นยาสลบลงไปเรียบร้อยแล้ว แค่สูดเข้าไปในจมูกเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้คนหมดสติได้ทันที กู้หยุนหลานพยายามดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ไม่นานหลังจากนั้นดวงตาของเธอก็พร่ามัวและในที่สุดเธอก็หมดสติไป “เหอะ ๆ ผู้หญิงคนนี้ดูดีจริง ๆ ไม่แปลกเลยที่คุณชายซูจะชอบเธอ ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปอ
หลังจากที่เปิดอ่านข้อความ หลี่โม่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นก็กดเข้าไปดูคลิปวิดีโอที่อีกฝ่ายส่งมา เมื่อเปิดดูคลิปวิดีโอนั้น เขาก็เห็นกู้หยุนหลานถูกมัดติดกับเก้าอี้ด้วยสภาพที่หมดสติ กู้หยุนหลานถูกลักพาตัว! หลี่โม่โกรธขึ้นมาทันที จากนั้นเขากดไปที่เบอร์โทรศัพท์แล้วโทรกลับไปตามหมายเลขที่ส่งข้อความมา “ฮัลโหล ภรรยาฉันอยู่ไหน พวกแกต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันจะให้พวกแก แต่พวกคุณแกห้ามทำร้ายภรรยาฉัน!” หลี่โม่พูดอย่างร้อนใจ “แหม ดูเหมือนจะเป็นห่วงเมียเสียจริง ๆ เลยนะ แต่เสียใจด้วย คุณชายของเราไม่ต้องการเงิน ถ้าแกไม่อยากให้เมียแกเป็นอะไรไป ก็รีบมาหาเธอที่โกงดัง 502 ที่เขตชานเมืองตะวันตกเดี๋ยวนี้ แต่จำไว้ด้วยว่า แกต้องมาคนเดียว ถ้าแกแอบพาคนมาด้วยล่ะก็ ฉันก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของเมียแกล่ะนะ” “ได้ พวกแกรอฉัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ แต่พวกแกห้ามแตะต้องเธอโดยเด็ดขาด!” หลี่โม่ตะโกนพูดอย่างประหม่า “อย่าพูดมาก ฉันจะให้เวลาแกยี่สิบนาที ถ้ายังมาไม่ถึง ฉันจะไม่เกรงใจกับเมียแกแล้ว!” ลูกน้องกดวางสายแล้วกลับไปรายงานคุณชายซูด้วยสีหน้ามั่นใจ “คุณชายซูครับ เรียบร้อยแล้วครับ เจ้าคนไร้ประโยชน์คนนั้นรับปา
หลี่โม่พูดอย่างกังวล “หลี่โม่” กู้หยุนหลานเม้มริมฝีปากของเธอและน้ำตาก็ไหลลงมาทันที เมื่อเห็นว่าหลี่โม่ที่เข้ามาช่วยเธอเพียงลำพัง กู้หยุนหลานก็รู้สึกว่าเขาช่างโง่เขลาเสียจริง ๆ แต่ความโง่เขลาของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่มีใครทำตามคำขอของคุณชายซูเช่นนี้แน่นอน กู้หยุนหลานคิดว่า ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะทำเหมือนหลี่โม่อีกแล้ว “ความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันจริง ๆ จะบอกให้นะ พวกแกยิ่งรักกันมากเท่าไหร่ เกมของฉันก็ยิ่งดูน่าตื่นเต้นมากเท่านั้น” คุณชายซูรู้สึกเบื่อหน่ายกับความรักที่มีให้ซึ่งกันและกันของหลี่โม่กับกู้หยุนหลาน จากนั้นเขาหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วสอดปลายมีดเข้าไปในคอเสื้อของกู้หยุนหลาน “แกคิดจะทำอะไร! ฉันขอเตือนแกก่อนนะ แกอย่าคิดทำอะไรแย่ ๆ ! แกปล่อยหยุนหลานไป ฉันจะเป็นตัวประกันให้แกเอง!” หลี่โม่ตะโกนอย่างกระวนกระวาย ถ้ากู้หยุนหลานไม่ได้ถูกจับตัวไว้ หลี่โม่ก็จะสามารถสู้กับทุกคนในนี้ได้ แต่กู้หยุนหลานในขณะนี้อยู่ในกำมือของศัตรู หลี่โม่จึงทำอะไรไม่ได้จริง ๆ“เหอะ ๆ แค่นี้ก็กังวลซะแล้ว ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของแกช่างอ่อนไหวจริง ๆ เลยนะ ถ้าแทงมันเข้าไ
เมื่อเห็นหลี่โม่ไม่ขยับไปไหน น้ำตาของกู้หยุนหลานก็ไหลลงมาเหมือนสายฝน น้ำตาที่ไหลรินทำให้ดวงตาของเธอพร่ามัวและมองไม่เห็นสีหน้าของหลี่โม่อีก แต่เมื่อรู้ว่าหลี่โม่ไม่ยอมไปไหน กู้หยุนหลานก็ยิ่งตะโกนดังขึ้น “นายคนไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบไปให้พ้นอีก ฉันเกลียดคุณ ฉันอยากจะเลิกกับคุณตั้งนานแล้ว คุณไปให้พ้น ไปไกล ๆ เลย ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกแล้ว” คุณชายซูเฝ้าดูฉากนี้อย่างมีความสุข ราวกับว่าเขากำลังชมภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์โศกเศร้าอยู่ “ด่าได้ดีมาก นายคนไร้ประโยชน์ เมียแกสั่งให้แกไปให้พ้นแล้ว น้องหยุนหลานคงอยากอยู่กับฉันตามลำพังสินะ ถึงได้ไล่สามีไร้ค่าไปให้พ้น ฮ่า ๆ” แต่หลี่โม่ได้แต่จ้องไปที่กู้หยุนหลานด้วยความรัก กู้หยุนหลานร้องไห้หนักกว่าเดิม “คนโง่ ทำไมคุณถึงได้โง่ขนาดนี้” แปะ แปะ แปะ! คุณชายซูปรบมือและพี่ตาวปากับลูกน้องของเขาก็ปรบมือตาม “เป็นการแสดงความรักอันลึกซึ้งจริง ๆ ช่างโรแมนติกสุด ๆ ว่ากันว่าความสุขนั้นมักจะเกิดขึ้นบนความเศร้าโศกของผู้อื่นจริง ๆ ฉันรู้สึกชอบใจมาก ตาวปาไปหยิบเหล้าหลุยส์สิบสามของฉันมา เวลาแห่งความสุขแบบนี้จะขาดเหล้าได้ยังไง” “เจ้านายช่างเข้าใจความ
ตาวปายิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายสุดยอดไปเลยครับ หาความสุขให้ตัวเองเก่งที่สุดเลย อีกสักแก้วไหมครับ?” “แน่นอนสิ เทให้เต็มแก้วเลยนะ” ตาวปาหยิบขวดเหล้าแล้วรินลงไปบนแก้วเหล้าในมือของคุณชายซูจนเต็มแก้ว “กู้หยุนหลาน ฉันเคยชวนเธอกินข้าวด้วยกันแต่เธอไม่ตกลง วันนี้ฉันอยากให้เธอดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย เธอจะตกลงไหม? แต่ถ้าเธอไม่ตกลง สามีไร้ประโยชน์ของเธอก็คงต้องแย่หน่อยนะ ลองคิดดี ๆ ก่อนให้คำตอบฉันก็ได้” “คุณชายซู ฉันผิดเอง นายทำฉันเถอะ อย่าลำบากหยุนหลานเลย!” ดวงตาของหลี่โม่เริ่มแดงก่ำและมองไปที่คุณชายซูด้วยความโกรธ จากนั้นคุณชายซูหันไปแล้วขว้างแก้วเหล้าในมือใส่หลี่โม่ จนเหล้าในแก้วกระเด็นใส่หน้าและตัวของหลี่โม่ แต่แก้วเหล้าไม่ได้ขว้างอย่างแม่นยำ จึงตกลงไปที่พื้นแล้วแตกเป็นชิ้น ๆ อยู่ข้าง ๆ หลี่โม่ “ฉันสั่งให้แกพูดแล้วเหรอ? ไอ้กระจอกอย่างแกกล้าขึ้นเสียงกับฉัน แกไปเอาความกล้านี้มาจากไหน!” “ให้แกคุกเข่าคงเป็นการลงโทษที่ใจดีเกินไปใช่ไหม หรือว่าแกอยากท้าทายฉัน!” ตาวปาขมวดคิ้วแล้วหยิบมีดสั้นออกจากเอวแล้ว พลางอย่างเย็นชา “คุณชายครับ ให้ผมตัดแขนขามันทิ้งไหมครับ ให้มันกลายเป็นคนไร้ประโยชน์จร
“พอได้แล้ว หยุดทำร้ายเขาได้แล้ว ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ คุณชายซู คุณปล่อยหลี่โม่ไปเถอะนะ ถ้าทำร้ายเขาต่อไป เขาต้องตายแน่!” กู้หยุนหลานร้อนใจ แม้เธอจะไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหลี่โม่ แต่เธอก็สัมผัสถึงความเจ็บปวดจากความรุนแรงที่ชายสองคนนั้นกระทำกับสามีของเธอได้ เขาอดทนเพื่อเธอ อดทนกับความเจ็บปวดและไม่ส่งเสียงอะไรออกมา กู้หยุนหลานรู้สึกเจ็บปวดใจแทนหลี่โม่อย่างที่สุด “หยุดก่อน เดี๋ยวมันจะตายซะ ฉันยังไม่ทันจะให้มันเห็นของดีเลย ฉันเตรียมจะสวมเขาให้ไอ้คนไร้ค่านี่ด้วย” คุณชายซูพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ตาวปาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายครับ เราเตรียมเขาไว้ให้มันสวมเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวตอนที่กำลังมีความสุข พวกผมจะจับมันสวมเขาเองครับ”“แกนี่ช่างรู้จักคิดจริง ๆ เลยนะตาวปา แต่ตอนนี้ฉันชักจะรอไม่ไหวแล้วสิ พวกแกจับตัวไอ้คนไร้ประโยชน์ไว้ให้ดี ให้มันดูว่าฉันมีความสุขแค่ไหน”ชายร่างกำยำสองคนดึงตัวหลี่โม่ขึ้นมาแล้วจับแขนสองข้างของเขาไว้แน่น และให้เขาหันหน้าไปหากู้หยุนหลาน “เจ้าสุนัขจรจัด ดูให้ดีเถอะ เดี๋ยวฉันจะสวมเขาให้แกแล้ว แต่เขาที่ฉันจะสวมให้แกมีค่ามาก ถือว่าเป็นเกียรติของแ
ในฐานะที่หลี่โม่เป็นนายน้อยแห่งแดนประตูมังกร จึงได้รับการปกป้องจากผู้คุ้มกันของแดนประตูมังกรอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดเพียงแต่ในเวลาที่ชีวิตไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ผู้คุ้มกันเหล่านี้จะไม่เปิดเผยตัวตนออกมา “ช่วยหยุนหลานก่อน!” หลี่โม่เงยหน้าตะโกนเสียงดัง คุณชายซูสั่นสะท้านในใจและตะโกนเสียงดังว่า “ฉันไม่สนว่าแกเป็นใคร ถ้าแกกล้าลงมือกับฉันล่ะก็ ฉันจะจัดการยัยผู้หญิงนี่ให้ตายก่อนแน่นอน! ให้เวลาแกออกมาภายในสามวินาที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันหยาบคาย!" ประเด็นหลักคือต้องบีบบังคับให้ยอดฝีมือผู้ลึกลับออกมาถึงจะได้ มีกู้หยุนหลานในมือเป็นตัวประกัน คุณชายซูรู้สึกว่าชีวิตยังมีความปลอดภัยอยู่บ้าง พี่ตาวปามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง และพยายามค้นหายอดฝีมือผู้ลึกลับออกมา แต่สิ่งที่ทักทายพวกเขากลับเป็นเสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพัดผ่านไปราวกับได้เริ่มอารัมภบทฝันร้ายของคุณชายซู "น้อมรับคำสั่ง" เสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วลอยล่องอยู่ในโกดัง จับเสียงระยะทางไม่ได้และไม่ได้ยินเสียงทิศทางราวกับว่ามันดังก้องอยู่ข้างหู และดูเหมือนว่ามันมาจากที่ไกล ๆ คุณชายซูสั่นสะท้านในใจทัน
หลี่โม่และกู้หยุนหลานจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะพร้อมกัน ราวกับว่าเหมือนมีจิตที่เชื่อมถึงกัน ทั้งสองต่างมองเห็นตัวเองในดวงตาของกันและกัน ราวกับว่าถูกสลักไว้ในหัวใจของกันและกัน ณ เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ แค่สบตากันก็ดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นเป็นพันคำ คุณชายซูจ้องมองด้วยดวงตาที่กลมโต มองดูความรักที่สนิทสนมของหลี่โม่และกู้หยุนหลาน แต่ทั้งร่างนั้นอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง และไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปากพูด ความรู้สึกกลัวได้งอกเงยในหัวใจของคุณชายซู แล้วแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว และกล้ามเนื้อก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกอย่างดูราวกับอยู่ในความฝัน เมื่อครู่นี้คุณชายซูยังรู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้า แต่ตอนนี้รู้สึกงุนงงว่าตัวเองตกอยู่ในนรกแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนคุณชายซูไม่สามารถตามทันได้ และคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมจู่ ๆ ก็มียอดฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น หลังจากเตรียมการมามากมาย และเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกอย่างต้องเสร็จสิ้นตามแผนการที่ตัวเองได้วางแผน แต่ในวินาทีสุดท้ายกลับพลิกผัน 180 องศา รับไม่ได้ คุณชายซูยอมรับไม่ไ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา