“พอได้แล้ว หยุดทำร้ายเขาได้แล้ว ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ คุณชายซู คุณปล่อยหลี่โม่ไปเถอะนะ ถ้าทำร้ายเขาต่อไป เขาต้องตายแน่!” กู้หยุนหลานร้อนใจ แม้เธอจะไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหลี่โม่ แต่เธอก็สัมผัสถึงความเจ็บปวดจากความรุนแรงที่ชายสองคนนั้นกระทำกับสามีของเธอได้ เขาอดทนเพื่อเธอ อดทนกับความเจ็บปวดและไม่ส่งเสียงอะไรออกมา กู้หยุนหลานรู้สึกเจ็บปวดใจแทนหลี่โม่อย่างที่สุด “หยุดก่อน เดี๋ยวมันจะตายซะ ฉันยังไม่ทันจะให้มันเห็นของดีเลย ฉันเตรียมจะสวมเขาให้ไอ้คนไร้ค่านี่ด้วย” คุณชายซูพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ตาวปาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายครับ เราเตรียมเขาไว้ให้มันสวมเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวตอนที่กำลังมีความสุข พวกผมจะจับมันสวมเขาเองครับ”“แกนี่ช่างรู้จักคิดจริง ๆ เลยนะตาวปา แต่ตอนนี้ฉันชักจะรอไม่ไหวแล้วสิ พวกแกจับตัวไอ้คนไร้ประโยชน์ไว้ให้ดี ให้มันดูว่าฉันมีความสุขแค่ไหน”ชายร่างกำยำสองคนดึงตัวหลี่โม่ขึ้นมาแล้วจับแขนสองข้างของเขาไว้แน่น และให้เขาหันหน้าไปหากู้หยุนหลาน “เจ้าสุนัขจรจัด ดูให้ดีเถอะ เดี๋ยวฉันจะสวมเขาให้แกแล้ว แต่เขาที่ฉันจะสวมให้แกมีค่ามาก ถือว่าเป็นเกียรติของแ
ในฐานะที่หลี่โม่เป็นนายน้อยแห่งแดนประตูมังกร จึงได้รับการปกป้องจากผู้คุ้มกันของแดนประตูมังกรอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดเพียงแต่ในเวลาที่ชีวิตไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ผู้คุ้มกันเหล่านี้จะไม่เปิดเผยตัวตนออกมา “ช่วยหยุนหลานก่อน!” หลี่โม่เงยหน้าตะโกนเสียงดัง คุณชายซูสั่นสะท้านในใจและตะโกนเสียงดังว่า “ฉันไม่สนว่าแกเป็นใคร ถ้าแกกล้าลงมือกับฉันล่ะก็ ฉันจะจัดการยัยผู้หญิงนี่ให้ตายก่อนแน่นอน! ให้เวลาแกออกมาภายในสามวินาที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันหยาบคาย!" ประเด็นหลักคือต้องบีบบังคับให้ยอดฝีมือผู้ลึกลับออกมาถึงจะได้ มีกู้หยุนหลานในมือเป็นตัวประกัน คุณชายซูรู้สึกว่าชีวิตยังมีความปลอดภัยอยู่บ้าง พี่ตาวปามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง และพยายามค้นหายอดฝีมือผู้ลึกลับออกมา แต่สิ่งที่ทักทายพวกเขากลับเป็นเสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพัดผ่านไปราวกับได้เริ่มอารัมภบทฝันร้ายของคุณชายซู "น้อมรับคำสั่ง" เสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วลอยล่องอยู่ในโกดัง จับเสียงระยะทางไม่ได้และไม่ได้ยินเสียงทิศทางราวกับว่ามันดังก้องอยู่ข้างหู และดูเหมือนว่ามันมาจากที่ไกล ๆ คุณชายซูสั่นสะท้านในใจทัน
หลี่โม่และกู้หยุนหลานจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะพร้อมกัน ราวกับว่าเหมือนมีจิตที่เชื่อมถึงกัน ทั้งสองต่างมองเห็นตัวเองในดวงตาของกันและกัน ราวกับว่าถูกสลักไว้ในหัวใจของกันและกัน ณ เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ แค่สบตากันก็ดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นเป็นพันคำ คุณชายซูจ้องมองด้วยดวงตาที่กลมโต มองดูความรักที่สนิทสนมของหลี่โม่และกู้หยุนหลาน แต่ทั้งร่างนั้นอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง และไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปากพูด ความรู้สึกกลัวได้งอกเงยในหัวใจของคุณชายซู แล้วแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว และกล้ามเนื้อก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกอย่างดูราวกับอยู่ในความฝัน เมื่อครู่นี้คุณชายซูยังรู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้า แต่ตอนนี้รู้สึกงุนงงว่าตัวเองตกอยู่ในนรกแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนคุณชายซูไม่สามารถตามทันได้ และคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมจู่ ๆ ก็มียอดฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น หลังจากเตรียมการมามากมาย และเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกอย่างต้องเสร็จสิ้นตามแผนการที่ตัวเองได้วางแผน แต่ในวินาทีสุดท้ายกลับพลิกผัน 180 องศา รับไม่ได้ คุณชายซูยอมรับไม่ไ
หลี่โม่ยิ้มและกล่าวว่า "อยู่ต่อหน้าหยุนหลาน ฉันก็ไม่อยากที่จะทำให้เกิดการนองเลือดมากเกินไป ดังนั้นฉันจะไว้ชีวิตสุนัขของแก" ขณะที่คุณชายซูกำลังจะพูดด้วยความตื่นเต้น หลี่โม่ค่อย ๆ เหวี่ยงมีดในมือของเขา ทันใดนั้นก็แทงเข้าไปยังต้นแขนขวาของคุณชายซู มีดนั้นคมมาก เจาะผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ชั้นไขมัน ชั้นกล้ามเนื้อและสุดท้ายก็เจาะเข้ากระดูกแขนแยกกระดูกแขนจากหนึ่งส่วนออกเป็นสองส่วน เมื่อดึงมีดออก แขนของคุณชายซูก็มีรูเลือดออก และเลือดสด ๆ ก็พุ่งออกมา “อร๊ากกก! เจ็บ แขน แขนฉัน!” คุณชายซูมองไปยังรูเลือดบนแขนของตัวเองที่มีเลือดสดพุ่งออกมาด้วยความกลัว พี่ตาวปามองไปยังรูเลือดบนแขนของคุณชายซูอย่างสยอง และรู้สึกว่าหลี่โม่แทงคุณชายซูด้วยสามมีดหกรู “หอนอะไร มีดเล่มนี้เป็นราคาที่แกต้องจ่ายที่ลักพาตัวหยุนหลานมา” หลี่โม่พูดอย่างไม่แสดงอารมณ์ คุณชายซูตกใจกลัวจนกัดฟันแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเซียว และมองไปยังหลี่โม่ด้วยแววตาหวาดหวั่นราวกับกวางน้อยตัวหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอน เจ็บปวดจนทำให้คุณชายซูเหงื่อออกทั่วร่างกาย และกำลังคิดที่จะทนต่อความเจ็บปวดและขอความเมตตา แต่แล้วก็เห็นแสงเย็น
“พวกเขาเป็นเพื่อนที่มาช่วยเหลือ จากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ และล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่ได้ฝึกฝนกังฟูอย่างแท้จริง” หลี่โม่อธิบายอย่างไม่ใส่ใจ แม้ว่าในใจของผู้คุ้มกันแห่งแดนประตูมังกรจะสับสนเล็กน้อย แต่ต่างก็ร่วมมือกับคำพูดของหลี่โม่ในทันที “ใช่ พวกเราล้วนมาจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ เป็นเพื่อนเก่าของเขามาหลายปีแล้ว ในเมื่อนายไม่เป็นไรแล้ว งั้นฉันก็ขอตัว” “พวกนายรีบไปตรวจดูอาการบาดเจ็บเถอะ ทางนี้ฉันมีน้ำมันสำหรับบาดแผลฟกช้ำ และรักษารอยฟกช้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก นายเอาไปใช้แล้วกัน” ผู้คุ้มกันยัดขวดรักษาบาดแผลฟกช้ำไว้ในมือของหลี่โม่ แล้วกะพริบตาให้หลี่โม่ และหัวหน้าผู้คุ้มกันก็แยกย้ายถอยกลับไปพร้อมกับลูกน้อง กู้หยุนหลานหยิบน้ำมันสำหรับบาดแผลฟกช้ำจากมือหลี่โม่ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เพื่อน ๆ พวกนี้ของคุณดูน่าสนใจมาก คุณสามารถต่อสู้ได้เก่งขนาดนั้น เคยฝึกกังฟูด้วยใช่ไหมคะ?" “ต้องเคยฝึกฝนมาแน่อยู่แล้ว ถ้าไม่เคยฝึกฝนก็คงไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ พวกเราต่างเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนศิลปะการต่อสู้” กู้หยุนหลานพยักหน้าเล็กน้อยและความสงสัยมากมายในใจก่อนหน้านี้ก็ได้รับการไขกระจ่าง “กลับบ้าน
เมื่อได้ยินข่าวอุบัติเหตุของคุณชายซู ซูเหวินปินก็รีบเดินทางมาเยี่ยมอย่าเร็วที่สุด แพทย์ไตร่ตรองถ้อยคำแล้วตอบกลับว่า "เนื่องจากมาส่งทันเวลา การช่วยชีวิตจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น เพียงแต่เสียเลือดมากเกินไป รวมทั้งกระดูกแขนขาทั้งสี่ถูกตัดขาดด้วยเครื่องมือที่แหลมคม อาจมีผลสืบเนื่องในการฟื้นตัวในภายหลัง เกี่ยวกับเรื่องการใช้แรงทางกายภาพ คาดว่าคงจะทำไม่ได้อีกแล้วครับ” ซูเหวินปินแอบดีใจ การไม่สามารถทำงานหนักได้แล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่คุณชายซูไม่ฆ่าตัวตายในอนาคตก็เพียงพอแล้ว “ขอบคุณครับหมอ ต่อไปคงต้องรบกวนคุณหมอมาก ๆ ด้วยครับ” ซูเหวินปินยัดซองสีแดงไว้ในมือของหมออย่างเงียบ ๆ แพทย์ปฏิเสธสองสามคำแล้วรับซองแดงจากซูเหวินปิน “ตาวปา ตกลงว่าเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น? พวกแกคนเยอะขนาดนั้นแต่กลับไม่สามารถปกป้องคุณชายซูได้อย่างนั้นเหรอ?” ซูเหวินปินจ้องไปที่พี่ตาวปาและกล่าวถาม พี่ตาวปาสะดุ้งสั่นและอธิบายสถานการณ์ “ไม่ใช่ว่าพวกเราไร้ประโยชน์ครับ แต่เป็นเพราะพวกคนลึกลับพวกนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป พวกเราต่างยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาร่างของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ก็ถูกโค่นล้มลงแล้ว คนพวกนั้นก็เหมือนกับยอดฝี
กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางกำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เนื่องจากช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจมากเกินไป คู่สามีภรรยาสูงอายุจึงไม่สนใจการทำอาหาร ดังนั้นจึงจัดการด้วยการทานอาหารที่ร้านอาหารตรงข้ามหน้าบ้าน “ทั้งหมดต้องโทษหลี่โม่คนไร้ประโยชน์นั่น ถ้าไม่ใช่เพราะเขายั่วยุประธานโอวหยาง ก็คงจะไม่มาไกลถึงจุดนี้” หวังฟางบ่นพึมพำเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “พอได้แล้วน่า มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่อให้คุณจะฆ่าเขาก็เปลี่ยนข้อเท็จจริงไม่ได้อยู่ดี คิดหาวิธีว่าต้องทำยังไงในอนาคตดีกว่า” กู้เจี้ยนหมินเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าตระกูลกู้กำลังจะล้มละลาย และชีวิตในอนาคตจะลำบากเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีหาเงิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและเห็นว่าเป็นสายจากบริษัท กู้เจี้ยนหมินพลันถอนหายใจหนัก ๆ แล้วรับสายด้วยมือที่สั่นเทา “เสี่ยวหวู่ มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ บริษัทถูกกดจนอยู่ไม่ได้แล้วใช่ไหม?” "ไม่ใช่ ไม่ใช่ บริษัทไม่เป็นไรแล้ว คำสั่งซื้อทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูแล้ว ตอนนี้กำลังเร่งเพิ่มการจัดส่ง" เมื่อเสี่ยวหวู่เห็นว่ากู้เจี้ยนหมินเข้าใจผิดก็อธิบายอย่างรีบร้อน “หืม? นายไม่ได้ไข้ขึ้นใช่ไหม ประธานโ
”ถูกทำร้ายจนมีสภาพแบบนั้นแล้ว ยังมาบอกว่าบาดเจ็บแค่ภายนอก หากว่านายมีเลือดออกภายในและเสียชีวิตในบ้าน นั่นถือว่าเคราะห์ร้ายแล้ว ตามไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพร้อมกัน” กู้เจี้ยนหมินกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา กู้หยุนหลานขยิบตาให้หลี่โม่ และทั้งสองตามกู้เจี้ยนหมินคู่สามีภรรยาไปยังโรงพยาบาล ภายในโรงพยาบาลวุ่นวายกับการตรวจต่าง ๆ และผลการตรวจก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใด ๆ กู้หยุนหลานนั้นตกใจกลัวเกินไปและจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นเวลาสองวัน ส่วนหลี่โม่นั้นได้รับบาดเจ็บจากเนื้อเยื่ออ่อนหลายจุดทั่วร่างกาย กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หยุนหลาน ครั้งนี้ลูกทำได้ยังไง ลูกทำให้ประธานโอวหยางขอขมาและกู้คืนคำสั่งซื้อทั้งหมด ลูกคือผู้กอบกู้ของตระกูลกู้เรา” กู้หยุนหลานฝืนยิ้มบาง ๆ และไม่ได้ตอบกลับกู้เจี้ยนหมิน เมื่อนึกถึงเรื่องของประธานโอวหยางก็นึกถึงท่าทีของผู้เฒ่ากู้และคนอื่น ๆ สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกท้อแท้ “ครั้งนี้ลูกช่วยกอบกู้ตระกูลกู้ ในที่สุดบ้านสองของพวกเราก็ถือว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว คอยดูซิว่าหลังจากนี้เมื่อบ้านใหญ่และบ้านสามเจอพวกเราแล้วจะละอายใจ ทำได้ดีมากหยุนหลาน” กู้เจี้ยนหมินเลิกค