”ถูกทำร้ายจนมีสภาพแบบนั้นแล้ว ยังมาบอกว่าบาดเจ็บแค่ภายนอก หากว่านายมีเลือดออกภายในและเสียชีวิตในบ้าน นั่นถือว่าเคราะห์ร้ายแล้ว ตามไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพร้อมกัน” กู้เจี้ยนหมินกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา กู้หยุนหลานขยิบตาให้หลี่โม่ และทั้งสองตามกู้เจี้ยนหมินคู่สามีภรรยาไปยังโรงพยาบาล ภายในโรงพยาบาลวุ่นวายกับการตรวจต่าง ๆ และผลการตรวจก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใด ๆ กู้หยุนหลานนั้นตกใจกลัวเกินไปและจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นเวลาสองวัน ส่วนหลี่โม่นั้นได้รับบาดเจ็บจากเนื้อเยื่ออ่อนหลายจุดทั่วร่างกาย กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หยุนหลาน ครั้งนี้ลูกทำได้ยังไง ลูกทำให้ประธานโอวหยางขอขมาและกู้คืนคำสั่งซื้อทั้งหมด ลูกคือผู้กอบกู้ของตระกูลกู้เรา” กู้หยุนหลานฝืนยิ้มบาง ๆ และไม่ได้ตอบกลับกู้เจี้ยนหมิน เมื่อนึกถึงเรื่องของประธานโอวหยางก็นึกถึงท่าทีของผู้เฒ่ากู้และคนอื่น ๆ สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกท้อแท้ “ครั้งนี้ลูกช่วยกอบกู้ตระกูลกู้ ในที่สุดบ้านสองของพวกเราก็ถือว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว คอยดูซิว่าหลังจากนี้เมื่อบ้านใหญ่และบ้านสามเจอพวกเราแล้วจะละอายใจ ทำได้ดีมากหยุนหลาน” กู้เจี้ยนหมินเลิกค
หลี่โม่ซึ่งกำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้านกำลังดูข่าวต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ ทันใดนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นปรากฏสายโทรเข้า สายที่โทรเข้ามาปรากฏเป็นชื่อของเฉียวเจิ้งหลง หลี่โม่กดรับสายอย่างไม่ตั้งใจ และเสียงที่เคารพอ่อนน้อมก็ดังขึ้นมาจากเฉียวเจิ้งหลง “คุณหลี่ครับ ผมคือเฉียวเจิ้งหลง” "อืม" หลี่โม่ทำเสียงขึ้นจมูก เพื่อแสดงว่าเขารับรู้แล้ว เฉียวเจิ้งหลงไม่ได้คิดอะไรมาก กลับกันพูดอย่างมีความสุขมากขึ้นว่า "พอดีทางผมจัดงานประมูล ก็เลยอยากเชิญคุณมาด้วย ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างไหมครับ" งานประมูลสำหรับบุคคลทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงได้ แต่สำหรับคนระดับอย่างหลี่โม่แล้ว การเข้าร่วมงานประมูลเป็นกิจกรรมบันเทิงยามว่าง “การประมูลประเภทอะไร?” หลี่โม่ถามอย่างไม่ใส่ใจ ถ้าหากรายการประมูลไม่น่าสนใจ หลี่โม่จะไม่ไปแน่นอน เฉียวเจิ้งหลงเข้าใจความหมายของหลี่โม่เป็นอย่างดี และรีบกล่าวว่า “มีสมบัติและโบราณวัตถุทุกประเภทเลยครับ รวมทั้งเครื่องประดับชั้นยอด และยังมีจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณ ค่อนข้างดีมากเลยนะครับ แล้วก็ค่อนข้างหายากด้วย" สีเขียวมรกตเป็นสีระดับสูงสุดของหยก และยิ่งเป็นชนิดโ
“คุณผู้ชายเชิญทางนี้ค่ะ ตอนนี้เป็นช่วงทานอาหารว่างและเชื่อมสัมพันธ์ แขกหลายท่านที่มาสามารถสื่อสารกันได้ค่ะ” พนักงานต้อนรับหญิงเดินนำหลี่โม่เข้าไปในห้องโถง มีโต๊ะอาหารยาวอยู่ในห้องโถง และมีอาหารว่างหลากหลายจัดเรียงวางอยู่บนโต๊ะอาหาร นอกจากนั้นยังมีพนักงานเสิร์ฟยกไวน์แดง แชมเปญ วิสกี้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ ซึ่งกำลังยกไปมาในห้องโถงอาหาร ในขณะที่หลี่โม่กำลังมองไปรอบ ๆ สุภาพบุรุษจอมปลอมที่กำลังถือแก้วไวน์แดงและหมุนแก้วเบา ๆ นั้นกำลังสนทนากับผู้นำธุรกิจสถาบันทางการเงิน และหญิงสาวสวยที่ร่ำรวยไม่กี่คนอย่างฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เห็นเงาร่างของหลี่โม่ เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามาในสถานที่ด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดา คิ้วของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เลิกขึ้นสูง “นานน้อยเจี้ยนเฟิงเป็นอะไรไป เห็นคุณขมวดคิ้วขึ้นแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคุณเจอศัตรูเข้า?” เศรษฐีที่อยู่ตรงข้ามฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ้มพลางพูดติดตลก เมื่อเห็นท่าทางของฮั่วเจี้ยนเฟิงในตอนนี้ ต้องมีเรื่องให้ซุบซิบนินทาอย่างแน่นอน "นายน้อยฉิน นายน้อยจาง พอดีผมเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งน่ะ" ตอนที่พูดถึงเพื่อนเก่า ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็แสดงท่าทางกัดฟันกรอด ซึ่งขัดต่อความร
เมื่อได้ยินเสียงของเฉียวเจิ้งหลง ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ฉายรอยยิ้ม นายน้อยฉิน นายน้อยจางและคนอื่น ๆ ต่างก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา และใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่สดใส สำหรับพวกเขาแล้ว การที่สามารถปรากฏใบหน้าต่อเฉียวเจิ้งหลง ได้กล่าวทักทาย และพูดเพียงไม่กี่คำนั้นก็ถือว่าเป็นการมีเกียรติมากแล้ว ฮั่วเจี้ยนเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างผู้เหนือกว่าและหรี่ตามองหลี่โม่ เขาออกเสียงในลำคออย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเบา ๆ ว่า "หึ! นายรอตายได้เลย เฉียวเจิ้งหลงเกลียดคนที่แอบอ้างมากที่สุด ทุกคนได้ยินสิ่งที่นายพูดไปเมื่อกี้นี้" หลี่โม่ใช้สายตามมองที่สมเพชคนทึ่มอย่างฮั่วเจี้ยนเฟิง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกัน ถึงได้กล้าพูดคำแบบนี้ออกมา เมื่อเห็นสายตาของหลี่โม่ ในใจของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เต็มไปด้วยความโกรธ และรู้สึกว่าสายตาของหลี่โม่เป็นการยั่วยุ เฉียวเจิ้งหลงเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับข้างกายที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มลูกน้อง สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เฉียวเจิ้งหลง และผู้คนมากมายต่างรวมตัวกันที่ประตู พวกเขาอยากจะพูดคุยกับเฉียวเจิ้งหลงสองสามคำก็ยังดี หลังจากใช้สายตากวาดมองไปรอ
“พวกคุณสองคนก็ร่วมด้วยเหรอ?” เฉียวเจิ้งหลงถามนายน้อยจางและนายน้อยฉินอย่างฉุนเฉียว นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่าไม่สามารถยอมรับความผิดนี้ได้อย่างแน่นอน “พวกเราถูก… ฮั่วเจี้ยนเฟิงยุยงนะครับ เขาเป็นคนนำเรื่องพวกนี้ก่อนเลย ลึก ๆ ในใจพวกเราไม่ได้เต็มใจเลยนะครับ” “ใช่ครับ พวกเราต่างไม่เต็มใจ พวกเรารู้ดีว่าทุกคนเท่าเทียมกัน และไม่ควรตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเลยสักนิด” นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างพยายามที่จะโยนความผิด แต่เฉียวเจิ้งหลงก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นเฉียวเจิ้งหลงก็ยกมือขึ้นมาโบกตบทั้งสองคนด้วยหน้ามือแล้วต่อด้วยหลังมืออีกที “คิดว่าฉันหลอกง่ายมากหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ ไม่ใช่ครับ พวกผมผิดไปแล้ว สำนึกผิดแล้วครับ” นายน้อยจางและนายน้อยฉินจะร้องไห้แล้ว เดิมทีพวกเขาต้องการติดตามฮั่วเจี้ยนเฟิงเพื่ออวดอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกุมหน้าตัวเอง และมองไปยังหลี่โม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจก็ไม่พอใจมากขึ้นทันที “ปร
“นายคิดว่าหัวสมองฉันทึ่มเหมือนนายหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงทุบหัวฮั่วเจี้ยนเฟิงอย่างแรงจนเจิงหลงเกิดอาการวิ๊งวิ๊ง และดาวสีทองกำลังจะขึ้นมาบนหัวเขา เฉียวเจิ้งหลงรู้สึกหงุดหงิดโมโหมากที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่ตระหนักถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน ในใจก็แอบด่าฮั่วเจี้ยนเฟิงว่าสมองเบลอ ไม่ได้ดูเลยว่าเขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นแล้ว นายยังไม่รู้จักขอโทษขออภัยอีกเหรอ! “คุณหลี่ คุณอยากให้ผมไล่พวกเขาออกไปไหมครับ ผมไม่ควรเชิญคนที่ไม่รู้จักกาละเทศะแบบนี้มาเลย” เฉียวเจิ้งหลงกล่าวด้วยความละอายใจ บรรดาเศรษฐีและหญิงสาวต่างตกใจอย่างมาก และแอบคาดเดาว่าหลี่โม่มีที่มาอย่างไร แต่เมื่อมองไปยังการแต่งกายที่ธรรมดาของหลี่โม่ บรรดาเศรษฐีและหญิงสาวก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเขามาจากไหน และไม่มีสิ่งไหนที่มาตัดสินเขาได้ว่าเขามีพื้นเพอย่างไรหรือมาจากไหน ฮั่วเจี้ยนเฟิงดูเหมือนมดในสายตาของหลี่โม่ และไม่ต้องการแม้แต่จะสนใจเขาเลย "ช่างมันเถอะ" หลี่โม่ตอบกลับเบา ๆ “คุณหลี่ใจกว้างเกินไปแล้ว คราวนี้ถือว่าพวกเขาโชคดีไป ไม่อย่างนั้นผมคงจะตบให้เลือดกลบปาก แต่ละคนพูดจาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เปิดปากพูดแต่เรื่องไร้สาระ” เฉียวเจิ้งหลงก
ก่อนหน้านี้ต่อหน้าทุกคน หลี่โม่อาจไม่แสดงท่าทีหยิ่งทะนงใด ๆ แต่หลังจากหันหลังกลับ เขาอาจจะสั่งให้เฉียวเจิ้งหลงทำอะไรบางอย่างก็ได้ ถ้าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่ ๆ “พวกคุณไปก่อนเลย วันนี้มีรายการสินค้าอย่างหนึ่ง ผมต้องชนะการประมูลมาให้ได้ พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ วันหลังผมจะเชิญคุณสองคน” ฮั่วเจี้ยนเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา นายน้อยจางและนายน้อยฉินไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว ทั้งสองหันหลังกลับและออกจากสถานที่พร้อมกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้ง จากนั้นหยิบแก้ววิสกี้ขึ้นมาจากถาดของพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านมา และยกขึ้นดื่มหมดแก้ว ในขณะนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่กล้าที่จะมองใครเลย เพราะรู้ว่าทุกคนรอบตัวกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเยาะเย้ยและเสียดสี แต่ฮั่วเจี้ยนเฟิงจะจากไปไม่ได้เพราะเขาต้องการประมูลสิ่งของที่สำคัญ นั่นก็คือจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณ ทันทีที่เห็นจี้นั้น ในความคิดของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็จินตนาการถึงจี้คอนี้ที่ได้ไปอยู่บนรอบคอสีขาวของกู้หยุนหลาน จากนั้นหญิงสาวก็นัวเนียเขาราวกับแมวน้อย! เขารู้สึกว่ามีเพียงจี้ที่วิจิตรงดงามเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับรูปลักษณ์ที่ไม
"สิบล้าน!" ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายประมูลของฮั่วเจี้ยนเฟิง หลังจากที่เขาเบื่อหน่ายมาครึ่งงาน ในที่สุดก็ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย แล้วโบกป้ายทะเบียนในมืออย่างบ้าคลั่งเพื่อเสนอราคา ผู้ดำเนินการประมูลยิ้มและพูดว่า "หมายเลข 78 เสนอราคา 10 ล้าน มีใครจะเสนอราคาอีกไหมครับ? นี่คือจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณชั้นเยี่ยมที่สุด" ฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ้มที่มุมปาก เขารู้สึกว่าทันทีที่ตัวเองเสนอ 10 ล้านหยวนนั้นทำให้ผู้ชมตกใจอย่างแน่นอน หลี่โม่มองผู้ดำเนินการประมูลบนหน้าจออย่างสบาย ๆ จากนั้นเปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้วพูดว่า "20 ล้าน" "ได้ครับเจ้านาย" ผู้ดำเนินการประมูลได้รับคำสั่งจากหลี่โม่ ก็ชูป้ายทะเบียนในมือให้สูงขึ้น "ยี่สิบล้าน" บรรดาเศรษฐีบางคนที่กำลังเตรียมที่จะเสนอราคา ต่างก็ถอนหายใจเมื่อได้ยินราคา 20 ล้านบนหน้าจอ ในใจคิดว่าวันนี้มีคนโหดเหี้ยมมาจากไหนกันที่เสนอราคาเพิ่มขึ้นทีละ 10 ล้าน นี่ยังจะให้พวกเขาเข้าร่วมอยู่อีกไหม ฮั่วเจี้ยนเฟิงขมวดคิ้ว คิดว่าคราวนี้คงจะเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งเข้าแล้ว และไม่แน่ว่าบางทีก็อาจจะทำให้เขากระอักเลือดได้หากเสนอเงินสูงขนาดนั้น แต่เมื่อคิดว่าตัวเองได้เตรียมเงินสดไว้ 60 ล
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา