กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางกำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เนื่องจากช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจมากเกินไป คู่สามีภรรยาสูงอายุจึงไม่สนใจการทำอาหาร ดังนั้นจึงจัดการด้วยการทานอาหารที่ร้านอาหารตรงข้ามหน้าบ้าน “ทั้งหมดต้องโทษหลี่โม่คนไร้ประโยชน์นั่น ถ้าไม่ใช่เพราะเขายั่วยุประธานโอวหยาง ก็คงจะไม่มาไกลถึงจุดนี้” หวังฟางบ่นพึมพำเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “พอได้แล้วน่า มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่อให้คุณจะฆ่าเขาก็เปลี่ยนข้อเท็จจริงไม่ได้อยู่ดี คิดหาวิธีว่าต้องทำยังไงในอนาคตดีกว่า” กู้เจี้ยนหมินเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าตระกูลกู้กำลังจะล้มละลาย และชีวิตในอนาคตจะลำบากเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีหาเงิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและเห็นว่าเป็นสายจากบริษัท กู้เจี้ยนหมินพลันถอนหายใจหนัก ๆ แล้วรับสายด้วยมือที่สั่นเทา “เสี่ยวหวู่ มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ บริษัทถูกกดจนอยู่ไม่ได้แล้วใช่ไหม?” "ไม่ใช่ ไม่ใช่ บริษัทไม่เป็นไรแล้ว คำสั่งซื้อทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูแล้ว ตอนนี้กำลังเร่งเพิ่มการจัดส่ง" เมื่อเสี่ยวหวู่เห็นว่ากู้เจี้ยนหมินเข้าใจผิดก็อธิบายอย่างรีบร้อน “หืม? นายไม่ได้ไข้ขึ้นใช่ไหม ประธานโ
”ถูกทำร้ายจนมีสภาพแบบนั้นแล้ว ยังมาบอกว่าบาดเจ็บแค่ภายนอก หากว่านายมีเลือดออกภายในและเสียชีวิตในบ้าน นั่นถือว่าเคราะห์ร้ายแล้ว ตามไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพร้อมกัน” กู้เจี้ยนหมินกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา กู้หยุนหลานขยิบตาให้หลี่โม่ และทั้งสองตามกู้เจี้ยนหมินคู่สามีภรรยาไปยังโรงพยาบาล ภายในโรงพยาบาลวุ่นวายกับการตรวจต่าง ๆ และผลการตรวจก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใด ๆ กู้หยุนหลานนั้นตกใจกลัวเกินไปและจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นเวลาสองวัน ส่วนหลี่โม่นั้นได้รับบาดเจ็บจากเนื้อเยื่ออ่อนหลายจุดทั่วร่างกาย กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หยุนหลาน ครั้งนี้ลูกทำได้ยังไง ลูกทำให้ประธานโอวหยางขอขมาและกู้คืนคำสั่งซื้อทั้งหมด ลูกคือผู้กอบกู้ของตระกูลกู้เรา” กู้หยุนหลานฝืนยิ้มบาง ๆ และไม่ได้ตอบกลับกู้เจี้ยนหมิน เมื่อนึกถึงเรื่องของประธานโอวหยางก็นึกถึงท่าทีของผู้เฒ่ากู้และคนอื่น ๆ สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกท้อแท้ “ครั้งนี้ลูกช่วยกอบกู้ตระกูลกู้ ในที่สุดบ้านสองของพวกเราก็ถือว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว คอยดูซิว่าหลังจากนี้เมื่อบ้านใหญ่และบ้านสามเจอพวกเราแล้วจะละอายใจ ทำได้ดีมากหยุนหลาน” กู้เจี้ยนหมินเลิกค
หลี่โม่ซึ่งกำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้านกำลังดูข่าวต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ ทันใดนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นปรากฏสายโทรเข้า สายที่โทรเข้ามาปรากฏเป็นชื่อของเฉียวเจิ้งหลง หลี่โม่กดรับสายอย่างไม่ตั้งใจ และเสียงที่เคารพอ่อนน้อมก็ดังขึ้นมาจากเฉียวเจิ้งหลง “คุณหลี่ครับ ผมคือเฉียวเจิ้งหลง” "อืม" หลี่โม่ทำเสียงขึ้นจมูก เพื่อแสดงว่าเขารับรู้แล้ว เฉียวเจิ้งหลงไม่ได้คิดอะไรมาก กลับกันพูดอย่างมีความสุขมากขึ้นว่า "พอดีทางผมจัดงานประมูล ก็เลยอยากเชิญคุณมาด้วย ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างไหมครับ" งานประมูลสำหรับบุคคลทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงได้ แต่สำหรับคนระดับอย่างหลี่โม่แล้ว การเข้าร่วมงานประมูลเป็นกิจกรรมบันเทิงยามว่าง “การประมูลประเภทอะไร?” หลี่โม่ถามอย่างไม่ใส่ใจ ถ้าหากรายการประมูลไม่น่าสนใจ หลี่โม่จะไม่ไปแน่นอน เฉียวเจิ้งหลงเข้าใจความหมายของหลี่โม่เป็นอย่างดี และรีบกล่าวว่า “มีสมบัติและโบราณวัตถุทุกประเภทเลยครับ รวมทั้งเครื่องประดับชั้นยอด และยังมีจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณ ค่อนข้างดีมากเลยนะครับ แล้วก็ค่อนข้างหายากด้วย" สีเขียวมรกตเป็นสีระดับสูงสุดของหยก และยิ่งเป็นชนิดโ
“คุณผู้ชายเชิญทางนี้ค่ะ ตอนนี้เป็นช่วงทานอาหารว่างและเชื่อมสัมพันธ์ แขกหลายท่านที่มาสามารถสื่อสารกันได้ค่ะ” พนักงานต้อนรับหญิงเดินนำหลี่โม่เข้าไปในห้องโถง มีโต๊ะอาหารยาวอยู่ในห้องโถง และมีอาหารว่างหลากหลายจัดเรียงวางอยู่บนโต๊ะอาหาร นอกจากนั้นยังมีพนักงานเสิร์ฟยกไวน์แดง แชมเปญ วิสกี้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ ซึ่งกำลังยกไปมาในห้องโถงอาหาร ในขณะที่หลี่โม่กำลังมองไปรอบ ๆ สุภาพบุรุษจอมปลอมที่กำลังถือแก้วไวน์แดงและหมุนแก้วเบา ๆ นั้นกำลังสนทนากับผู้นำธุรกิจสถาบันทางการเงิน และหญิงสาวสวยที่ร่ำรวยไม่กี่คนอย่างฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เห็นเงาร่างของหลี่โม่ เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามาในสถานที่ด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดา คิ้วของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เลิกขึ้นสูง “นานน้อยเจี้ยนเฟิงเป็นอะไรไป เห็นคุณขมวดคิ้วขึ้นแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคุณเจอศัตรูเข้า?” เศรษฐีที่อยู่ตรงข้ามฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ้มพลางพูดติดตลก เมื่อเห็นท่าทางของฮั่วเจี้ยนเฟิงในตอนนี้ ต้องมีเรื่องให้ซุบซิบนินทาอย่างแน่นอน "นายน้อยฉิน นายน้อยจาง พอดีผมเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งน่ะ" ตอนที่พูดถึงเพื่อนเก่า ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็แสดงท่าทางกัดฟันกรอด ซึ่งขัดต่อความร
เมื่อได้ยินเสียงของเฉียวเจิ้งหลง ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ฉายรอยยิ้ม นายน้อยฉิน นายน้อยจางและคนอื่น ๆ ต่างก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา และใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่สดใส สำหรับพวกเขาแล้ว การที่สามารถปรากฏใบหน้าต่อเฉียวเจิ้งหลง ได้กล่าวทักทาย และพูดเพียงไม่กี่คำนั้นก็ถือว่าเป็นการมีเกียรติมากแล้ว ฮั่วเจี้ยนเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างผู้เหนือกว่าและหรี่ตามองหลี่โม่ เขาออกเสียงในลำคออย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเบา ๆ ว่า "หึ! นายรอตายได้เลย เฉียวเจิ้งหลงเกลียดคนที่แอบอ้างมากที่สุด ทุกคนได้ยินสิ่งที่นายพูดไปเมื่อกี้นี้" หลี่โม่ใช้สายตามมองที่สมเพชคนทึ่มอย่างฮั่วเจี้ยนเฟิง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกัน ถึงได้กล้าพูดคำแบบนี้ออกมา เมื่อเห็นสายตาของหลี่โม่ ในใจของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เต็มไปด้วยความโกรธ และรู้สึกว่าสายตาของหลี่โม่เป็นการยั่วยุ เฉียวเจิ้งหลงเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับข้างกายที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มลูกน้อง สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เฉียวเจิ้งหลง และผู้คนมากมายต่างรวมตัวกันที่ประตู พวกเขาอยากจะพูดคุยกับเฉียวเจิ้งหลงสองสามคำก็ยังดี หลังจากใช้สายตากวาดมองไปรอ
“พวกคุณสองคนก็ร่วมด้วยเหรอ?” เฉียวเจิ้งหลงถามนายน้อยจางและนายน้อยฉินอย่างฉุนเฉียว นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่าไม่สามารถยอมรับความผิดนี้ได้อย่างแน่นอน “พวกเราถูก… ฮั่วเจี้ยนเฟิงยุยงนะครับ เขาเป็นคนนำเรื่องพวกนี้ก่อนเลย ลึก ๆ ในใจพวกเราไม่ได้เต็มใจเลยนะครับ” “ใช่ครับ พวกเราต่างไม่เต็มใจ พวกเรารู้ดีว่าทุกคนเท่าเทียมกัน และไม่ควรตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเลยสักนิด” นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างพยายามที่จะโยนความผิด แต่เฉียวเจิ้งหลงก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นเฉียวเจิ้งหลงก็ยกมือขึ้นมาโบกตบทั้งสองคนด้วยหน้ามือแล้วต่อด้วยหลังมืออีกที “คิดว่าฉันหลอกง่ายมากหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ ไม่ใช่ครับ พวกผมผิดไปแล้ว สำนึกผิดแล้วครับ” นายน้อยจางและนายน้อยฉินจะร้องไห้แล้ว เดิมทีพวกเขาต้องการติดตามฮั่วเจี้ยนเฟิงเพื่ออวดอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกุมหน้าตัวเอง และมองไปยังหลี่โม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจก็ไม่พอใจมากขึ้นทันที “ปร
“นายคิดว่าหัวสมองฉันทึ่มเหมือนนายหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงทุบหัวฮั่วเจี้ยนเฟิงอย่างแรงจนเจิงหลงเกิดอาการวิ๊งวิ๊ง และดาวสีทองกำลังจะขึ้นมาบนหัวเขา เฉียวเจิ้งหลงรู้สึกหงุดหงิดโมโหมากที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่ตระหนักถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน ในใจก็แอบด่าฮั่วเจี้ยนเฟิงว่าสมองเบลอ ไม่ได้ดูเลยว่าเขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นแล้ว นายยังไม่รู้จักขอโทษขออภัยอีกเหรอ! “คุณหลี่ คุณอยากให้ผมไล่พวกเขาออกไปไหมครับ ผมไม่ควรเชิญคนที่ไม่รู้จักกาละเทศะแบบนี้มาเลย” เฉียวเจิ้งหลงกล่าวด้วยความละอายใจ บรรดาเศรษฐีและหญิงสาวต่างตกใจอย่างมาก และแอบคาดเดาว่าหลี่โม่มีที่มาอย่างไร แต่เมื่อมองไปยังการแต่งกายที่ธรรมดาของหลี่โม่ บรรดาเศรษฐีและหญิงสาวก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเขามาจากไหน และไม่มีสิ่งไหนที่มาตัดสินเขาได้ว่าเขามีพื้นเพอย่างไรหรือมาจากไหน ฮั่วเจี้ยนเฟิงดูเหมือนมดในสายตาของหลี่โม่ และไม่ต้องการแม้แต่จะสนใจเขาเลย "ช่างมันเถอะ" หลี่โม่ตอบกลับเบา ๆ “คุณหลี่ใจกว้างเกินไปแล้ว คราวนี้ถือว่าพวกเขาโชคดีไป ไม่อย่างนั้นผมคงจะตบให้เลือดกลบปาก แต่ละคนพูดจาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เปิดปากพูดแต่เรื่องไร้สาระ” เฉียวเจิ้งหลงก
ก่อนหน้านี้ต่อหน้าทุกคน หลี่โม่อาจไม่แสดงท่าทีหยิ่งทะนงใด ๆ แต่หลังจากหันหลังกลับ เขาอาจจะสั่งให้เฉียวเจิ้งหลงทำอะไรบางอย่างก็ได้ ถ้าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่ ๆ “พวกคุณไปก่อนเลย วันนี้มีรายการสินค้าอย่างหนึ่ง ผมต้องชนะการประมูลมาให้ได้ พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ วันหลังผมจะเชิญคุณสองคน” ฮั่วเจี้ยนเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา นายน้อยจางและนายน้อยฉินไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว ทั้งสองหันหลังกลับและออกจากสถานที่พร้อมกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้ง จากนั้นหยิบแก้ววิสกี้ขึ้นมาจากถาดของพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านมา และยกขึ้นดื่มหมดแก้ว ในขณะนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่กล้าที่จะมองใครเลย เพราะรู้ว่าทุกคนรอบตัวกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเยาะเย้ยและเสียดสี แต่ฮั่วเจี้ยนเฟิงจะจากไปไม่ได้เพราะเขาต้องการประมูลสิ่งของที่สำคัญ นั่นก็คือจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณ ทันทีที่เห็นจี้นั้น ในความคิดของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็จินตนาการถึงจี้คอนี้ที่ได้ไปอยู่บนรอบคอสีขาวของกู้หยุนหลาน จากนั้นหญิงสาวก็นัวเนียเขาราวกับแมวน้อย! เขารู้สึกว่ามีเพียงจี้ที่วิจิตรงดงามเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับรูปลักษณ์ที่ไม