“พวกคุณสองคนก็ร่วมด้วยเหรอ?” เฉียวเจิ้งหลงถามนายน้อยจางและนายน้อยฉินอย่างฉุนเฉียว นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่าไม่สามารถยอมรับความผิดนี้ได้อย่างแน่นอน “พวกเราถูก… ฮั่วเจี้ยนเฟิงยุยงนะครับ เขาเป็นคนนำเรื่องพวกนี้ก่อนเลย ลึก ๆ ในใจพวกเราไม่ได้เต็มใจเลยนะครับ” “ใช่ครับ พวกเราต่างไม่เต็มใจ พวกเรารู้ดีว่าทุกคนเท่าเทียมกัน และไม่ควรตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเลยสักนิด” นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างพยายามที่จะโยนความผิด แต่เฉียวเจิ้งหลงก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นเฉียวเจิ้งหลงก็ยกมือขึ้นมาโบกตบทั้งสองคนด้วยหน้ามือแล้วต่อด้วยหลังมืออีกที “คิดว่าฉันหลอกง่ายมากหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ ไม่ใช่ครับ พวกผมผิดไปแล้ว สำนึกผิดแล้วครับ” นายน้อยจางและนายน้อยฉินจะร้องไห้แล้ว เดิมทีพวกเขาต้องการติดตามฮั่วเจี้ยนเฟิงเพื่ออวดอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกุมหน้าตัวเอง และมองไปยังหลี่โม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจก็ไม่พอใจมากขึ้นทันที “ปร
“นายคิดว่าหัวสมองฉันทึ่มเหมือนนายหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงทุบหัวฮั่วเจี้ยนเฟิงอย่างแรงจนเจิงหลงเกิดอาการวิ๊งวิ๊ง และดาวสีทองกำลังจะขึ้นมาบนหัวเขา เฉียวเจิ้งหลงรู้สึกหงุดหงิดโมโหมากที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่ตระหนักถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน ในใจก็แอบด่าฮั่วเจี้ยนเฟิงว่าสมองเบลอ ไม่ได้ดูเลยว่าเขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นแล้ว นายยังไม่รู้จักขอโทษขออภัยอีกเหรอ! “คุณหลี่ คุณอยากให้ผมไล่พวกเขาออกไปไหมครับ ผมไม่ควรเชิญคนที่ไม่รู้จักกาละเทศะแบบนี้มาเลย” เฉียวเจิ้งหลงกล่าวด้วยความละอายใจ บรรดาเศรษฐีและหญิงสาวต่างตกใจอย่างมาก และแอบคาดเดาว่าหลี่โม่มีที่มาอย่างไร แต่เมื่อมองไปยังการแต่งกายที่ธรรมดาของหลี่โม่ บรรดาเศรษฐีและหญิงสาวก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเขามาจากไหน และไม่มีสิ่งไหนที่มาตัดสินเขาได้ว่าเขามีพื้นเพอย่างไรหรือมาจากไหน ฮั่วเจี้ยนเฟิงดูเหมือนมดในสายตาของหลี่โม่ และไม่ต้องการแม้แต่จะสนใจเขาเลย "ช่างมันเถอะ" หลี่โม่ตอบกลับเบา ๆ “คุณหลี่ใจกว้างเกินไปแล้ว คราวนี้ถือว่าพวกเขาโชคดีไป ไม่อย่างนั้นผมคงจะตบให้เลือดกลบปาก แต่ละคนพูดจาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เปิดปากพูดแต่เรื่องไร้สาระ” เฉียวเจิ้งหลงก
ก่อนหน้านี้ต่อหน้าทุกคน หลี่โม่อาจไม่แสดงท่าทีหยิ่งทะนงใด ๆ แต่หลังจากหันหลังกลับ เขาอาจจะสั่งให้เฉียวเจิ้งหลงทำอะไรบางอย่างก็ได้ ถ้าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่ ๆ “พวกคุณไปก่อนเลย วันนี้มีรายการสินค้าอย่างหนึ่ง ผมต้องชนะการประมูลมาให้ได้ พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ วันหลังผมจะเชิญคุณสองคน” ฮั่วเจี้ยนเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา นายน้อยจางและนายน้อยฉินไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว ทั้งสองหันหลังกลับและออกจากสถานที่พร้อมกัน ฮั่วเจี้ยนเฟิงหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้ง จากนั้นหยิบแก้ววิสกี้ขึ้นมาจากถาดของพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านมา และยกขึ้นดื่มหมดแก้ว ในขณะนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่กล้าที่จะมองใครเลย เพราะรู้ว่าทุกคนรอบตัวกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเยาะเย้ยและเสียดสี แต่ฮั่วเจี้ยนเฟิงจะจากไปไม่ได้เพราะเขาต้องการประมูลสิ่งของที่สำคัญ นั่นก็คือจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณ ทันทีที่เห็นจี้นั้น ในความคิดของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็จินตนาการถึงจี้คอนี้ที่ได้ไปอยู่บนรอบคอสีขาวของกู้หยุนหลาน จากนั้นหญิงสาวก็นัวเนียเขาราวกับแมวน้อย! เขารู้สึกว่ามีเพียงจี้ที่วิจิตรงดงามเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับรูปลักษณ์ที่ไม
"สิบล้าน!" ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายประมูลของฮั่วเจี้ยนเฟิง หลังจากที่เขาเบื่อหน่ายมาครึ่งงาน ในที่สุดก็ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย แล้วโบกป้ายทะเบียนในมืออย่างบ้าคลั่งเพื่อเสนอราคา ผู้ดำเนินการประมูลยิ้มและพูดว่า "หมายเลข 78 เสนอราคา 10 ล้าน มีใครจะเสนอราคาอีกไหมครับ? นี่คือจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณชั้นเยี่ยมที่สุด" ฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ้มที่มุมปาก เขารู้สึกว่าทันทีที่ตัวเองเสนอ 10 ล้านหยวนนั้นทำให้ผู้ชมตกใจอย่างแน่นอน หลี่โม่มองผู้ดำเนินการประมูลบนหน้าจออย่างสบาย ๆ จากนั้นเปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้วพูดว่า "20 ล้าน" "ได้ครับเจ้านาย" ผู้ดำเนินการประมูลได้รับคำสั่งจากหลี่โม่ ก็ชูป้ายทะเบียนในมือให้สูงขึ้น "ยี่สิบล้าน" บรรดาเศรษฐีบางคนที่กำลังเตรียมที่จะเสนอราคา ต่างก็ถอนหายใจเมื่อได้ยินราคา 20 ล้านบนหน้าจอ ในใจคิดว่าวันนี้มีคนโหดเหี้ยมมาจากไหนกันที่เสนอราคาเพิ่มขึ้นทีละ 10 ล้าน นี่ยังจะให้พวกเขาเข้าร่วมอยู่อีกไหม ฮั่วเจี้ยนเฟิงขมวดคิ้ว คิดว่าคราวนี้คงจะเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งเข้าแล้ว และไม่แน่ว่าบางทีก็อาจจะทำให้เขากระอักเลือดได้หากเสนอเงินสูงขนาดนั้น แต่เมื่อคิดว่าตัวเองได้เตรียมเงินสดไว้ 60 ล
แต่ในกรณีนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงอยากจะเก็บเงินอีก 10 ล้านเอาไว้ ในขณะนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงรู้สึกว่า ตราบใดที่มายเลข 118 นั้นเป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจคุณค่าของจี้หยกนี้ เขาก็จะไม่เสนอราคามากกว่า 60 ล้านหยวน เพราะราคานั้นเกินมูลค่าของหยกนี้แล้ว หลังจากเสนอราคาแล้ว ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็รู้สึกโมโห และดึงเนคไทที่คอเสื้อออกอย่างแรงเพื่อให้ตัวเองหายใจได้คล่องยิ่งขึ้น บนหน้าจอ ตัวแทนปาะมูลของฮั่วเจี้ยนเฟิงใช้กำลังทั้งหมดตะโกนขึ้นไปว่า "หก! หกสิบล้าน!" น้ำเสียง สำเนียง และความเร็วในการพูดล้วนเลียนแบบฮั่วเจี้ยนเฟิง และตัวแทนประมูลก็อยากจะทำตามคำสั่งของฮัวเจี้ยนเฟิงให้เสร็จ และเขาก็ได้ทุ่มเทสุดตัวแล้วจริง ๆ หลี่โม่มองไปที่ท่าทางตัวแทนการประมูลของฮั่วเจี้ยนเฟิง เขาอดไม่ได้ที่จะขำออกมา และคิดว่าผู้ชายคนนี้มาเล่นตลกจริง ๆ “ไม่รู้หรอกนะว่าตัวแทนประมูลของใครกัน น่าเสียดายมาก ถ้าไม่ไปเล่นตลก” เมื่อผู้ดำเนินการประมูลได้ยินราคา 60 ล้านหยวน ทันใดนั้น อะดรีนาลีนก็หลั่งออกมาในปริมาณมาก ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และสีหน้าก็แดงฉาน ในฐานะผู้ดำเนินการประมูล เขาจำเป็นต้องทราบข้อมูลทุนและช่วงมูลค่าของสินค้าแต่ละรายก
แกร็กลูกบิดประตูหมุนโดยฮั่วเจี้ยนเฟิง เสียงดังชัดเจน ฮั่วเจี้ยนเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และเตะประตูให้เปิดออก เขารุดเข้าไปในห้องแล้วตะโกน "ไอ้สารเลวหน้าไหนที่กล้าฉวยโอกาสกับฉัน!" พนักงานทำความสะอาดในห้องมองไปที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงด้วยความประหลาดใจ“คุณ มีอะไรให้รับใช้ไหมคะ”แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงเป็นตัวตลก แต่พนักงานก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมาแบบนั้นฮั่วเจี้ยนเฟิงมองไปที่ห้องส่วนตัวที่มีแต่พนักงานเท่านั้น และเสยผมอย่างแรง“ไอ้สารเลว! ไอ้ชั่วนั่นมันอยู่ไหน! คนในห้องนี้อยู่ที่ไหน!”“เขาออกไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน” พนักงานพูดอย่างอ่อนน้อมฮั่วเจี้ยนเฟิงคว้าคอเสื้อพนักงาน แล้วเขย่าเธออย่างแรง "เธอรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร บอกฉันมา บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!"“ขอโทษค่ะท่าน ดิฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อน หัวหน้าให้ดิฉันมาทำความสะอาด”พนักงานมองไปที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงด้วยความตื่นตระหนก กังวลว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงจะทำร้ายเธอฮั่วเจี้ยนเฟิงผลักพนักงานออกไป เขามองไปรอบ ๆ ห้องส่วนตัวและกำลังจะออกไปด้วยความโกรธ ทันใดนั้นเมื่อฮั่วเจี้ยนเฟิงหันกลับมา เขาก็เหลือบมองไปบนโต๊ะและเห็นป้ายถูกโยนทิ้งไปที่มุมโต๊ะ
หลี่โม่เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและเห็นหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ข้าง ๆ หวังฟางซึ่งมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับหวังฟาง “นี่แกยังไม่มาทักทายอีก ยืนแข็งเป็นไม้อยู่ได้ นี่ป้ารองของหยุนหลาน แกควรจะเรียกเธอว่าป้ารอง” หวังฟางก้มหน้าลงและจ้องมองหลี่โม่ด้วยความขุ่นเคือง ตระกูลของหวังฟางไม่ได้แข็งแกร่งและเป็นเพียงตระกูลเล็ก ๆ ในกรุงโซล ย้อนกลับไปในตอนนั้น ชายชราของตระกูลหวังอาศัยพลังเพียงเล็กน้อยในมือ และได้พัฒนาตระกูลหวังมาจนในปัจจุบัน ตระกูลหวังแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตระกูลอันดับสามในกรุงโซล ในรุ่นของหวังฟาง ตระกูลหวังมีลูกสี่คนโดยมีผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน หวังฟางเป็นน้องสุดท้องในตระกูล มีพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สาม วันนี้ที่มาคือพี่รอง หวังเหม่ย “ป้ารอง สวัสดีครับ”หลี่โม่เดินไปหาหวังเหม่ยและพูดทักทาย 哎呦,这就是那个李什么来着吧,小妹啊,你这女婿是不是做那个美容的?大男人哪能这样混吃等死呢。”“ไอหยา นี่หลี่ขยะไร้ประโยชน์อะไรนั่นใช่ไหม น้องสาว ลูกเขยของเธอนี่ดูเหมือนวัน ๆ จะไม่ทำอะไรเลยนะ อยู่รอวันตายอย่างเดียวหรือไงกัน” หวังเหม่ยมองไปที่หลี่โม่ด้วยความดูถูก และสิ่งที่เธอพูดนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า จู่ ๆ สีหน้าของหวังฟางก็มืดลง เธอพ
หลังจากส่งหวังเหม่ยกลับไปแล้ว หวังฟางก็ถูหน้าอกของเธอที่เหมือนจะระเบิด เธอเดินอย่างรวดเร็วไปที่ประตูห้องของกู้หยุนหลานและเคประตูอย่างแรง "หยุนหลาน ไปพาไอ้ขยะนั้นมาหาฉัน เรามีเรื่องต้องคุยกัน!" หวังฟางคำรามด้วยความโกรธ หลังจากถูกหวังเหม่ยเยาะเย้ย หวังฟางก็เสียหน้าอย่างแท้จริง และอารมณ์เชิงลบทั้งหมดที่สะสมตั้งแต่ในอดีตก็ระเบิดออกมา "รีบเอาหลี่โม่ไอ้ขยะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ลูกต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ป้ารองของลูกพูด อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของคุณปู่ของลูกแล้ว ลูกห้ามพาหลี่โม่ไอ้ขยะนั่นไปด้วยเด็ดขาด!" ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก กู้หยุนหลานมองไปที่หวังฟางอย่างทุกข์ใจ "แม่ แม่จะทำอะไร ป้ารองเป็นคนหัวสูงก็ปล่อยเธอไปสิ ทำไมต้องทำให้หลี่โม่อับอายเพราะคำพูดของคนอื่นด้วย" “นี่อายของมันเหรอ มันทำให้ตระกูลเราต้องอับอายเข้าใจไหม ญาติและเพื่อนทุกคนต่างดูถูกเราเพราะมันเป็นคนไร้ค่า ภาพลักษณ์ครอบครัวของเราถูกทำลายเพราะมัน พ่อกับแม่ก็ต้องอับอายที่จะไปพบเจอคนอื่นข้างนอก เราเชิดหน้าชูตาไม่ได้แล้ว” ยิ่งหวังฟางพูดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น และน้ำเสียงของเธอก็เฉียบแหลมมาก "เวลาที่คนอื่