“พวกเขาเป็นเพื่อนที่มาช่วยเหลือ จากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ และล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่ได้ฝึกฝนกังฟูอย่างแท้จริง” หลี่โม่อธิบายอย่างไม่ใส่ใจ แม้ว่าในใจของผู้คุ้มกันแห่งแดนประตูมังกรจะสับสนเล็กน้อย แต่ต่างก็ร่วมมือกับคำพูดของหลี่โม่ในทันที “ใช่ พวกเราล้วนมาจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ เป็นเพื่อนเก่าของเขามาหลายปีแล้ว ในเมื่อนายไม่เป็นไรแล้ว งั้นฉันก็ขอตัว” “พวกนายรีบไปตรวจดูอาการบาดเจ็บเถอะ ทางนี้ฉันมีน้ำมันสำหรับบาดแผลฟกช้ำ และรักษารอยฟกช้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก นายเอาไปใช้แล้วกัน” ผู้คุ้มกันยัดขวดรักษาบาดแผลฟกช้ำไว้ในมือของหลี่โม่ แล้วกะพริบตาให้หลี่โม่ และหัวหน้าผู้คุ้มกันก็แยกย้ายถอยกลับไปพร้อมกับลูกน้อง กู้หยุนหลานหยิบน้ำมันสำหรับบาดแผลฟกช้ำจากมือหลี่โม่ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เพื่อน ๆ พวกนี้ของคุณดูน่าสนใจมาก คุณสามารถต่อสู้ได้เก่งขนาดนั้น เคยฝึกกังฟูด้วยใช่ไหมคะ?" “ต้องเคยฝึกฝนมาแน่อยู่แล้ว ถ้าไม่เคยฝึกฝนก็คงไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ พวกเราต่างเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนศิลปะการต่อสู้” กู้หยุนหลานพยักหน้าเล็กน้อยและความสงสัยมากมายในใจก่อนหน้านี้ก็ได้รับการไขกระจ่าง “กลับบ้าน
เมื่อได้ยินข่าวอุบัติเหตุของคุณชายซู ซูเหวินปินก็รีบเดินทางมาเยี่ยมอย่าเร็วที่สุด แพทย์ไตร่ตรองถ้อยคำแล้วตอบกลับว่า "เนื่องจากมาส่งทันเวลา การช่วยชีวิตจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น เพียงแต่เสียเลือดมากเกินไป รวมทั้งกระดูกแขนขาทั้งสี่ถูกตัดขาดด้วยเครื่องมือที่แหลมคม อาจมีผลสืบเนื่องในการฟื้นตัวในภายหลัง เกี่ยวกับเรื่องการใช้แรงทางกายภาพ คาดว่าคงจะทำไม่ได้อีกแล้วครับ” ซูเหวินปินแอบดีใจ การไม่สามารถทำงานหนักได้แล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่คุณชายซูไม่ฆ่าตัวตายในอนาคตก็เพียงพอแล้ว “ขอบคุณครับหมอ ต่อไปคงต้องรบกวนคุณหมอมาก ๆ ด้วยครับ” ซูเหวินปินยัดซองสีแดงไว้ในมือของหมออย่างเงียบ ๆ แพทย์ปฏิเสธสองสามคำแล้วรับซองแดงจากซูเหวินปิน “ตาวปา ตกลงว่าเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น? พวกแกคนเยอะขนาดนั้นแต่กลับไม่สามารถปกป้องคุณชายซูได้อย่างนั้นเหรอ?” ซูเหวินปินจ้องไปที่พี่ตาวปาและกล่าวถาม พี่ตาวปาสะดุ้งสั่นและอธิบายสถานการณ์ “ไม่ใช่ว่าพวกเราไร้ประโยชน์ครับ แต่เป็นเพราะพวกคนลึกลับพวกนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป พวกเราต่างยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาร่างของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ก็ถูกโค่นล้มลงแล้ว คนพวกนั้นก็เหมือนกับยอดฝี
กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางกำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เนื่องจากช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจมากเกินไป คู่สามีภรรยาสูงอายุจึงไม่สนใจการทำอาหาร ดังนั้นจึงจัดการด้วยการทานอาหารที่ร้านอาหารตรงข้ามหน้าบ้าน “ทั้งหมดต้องโทษหลี่โม่คนไร้ประโยชน์นั่น ถ้าไม่ใช่เพราะเขายั่วยุประธานโอวหยาง ก็คงจะไม่มาไกลถึงจุดนี้” หวังฟางบ่นพึมพำเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “พอได้แล้วน่า มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่อให้คุณจะฆ่าเขาก็เปลี่ยนข้อเท็จจริงไม่ได้อยู่ดี คิดหาวิธีว่าต้องทำยังไงในอนาคตดีกว่า” กู้เจี้ยนหมินเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าตระกูลกู้กำลังจะล้มละลาย และชีวิตในอนาคตจะลำบากเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีหาเงิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและเห็นว่าเป็นสายจากบริษัท กู้เจี้ยนหมินพลันถอนหายใจหนัก ๆ แล้วรับสายด้วยมือที่สั่นเทา “เสี่ยวหวู่ มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ บริษัทถูกกดจนอยู่ไม่ได้แล้วใช่ไหม?” "ไม่ใช่ ไม่ใช่ บริษัทไม่เป็นไรแล้ว คำสั่งซื้อทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูแล้ว ตอนนี้กำลังเร่งเพิ่มการจัดส่ง" เมื่อเสี่ยวหวู่เห็นว่ากู้เจี้ยนหมินเข้าใจผิดก็อธิบายอย่างรีบร้อน “หืม? นายไม่ได้ไข้ขึ้นใช่ไหม ประธานโ
”ถูกทำร้ายจนมีสภาพแบบนั้นแล้ว ยังมาบอกว่าบาดเจ็บแค่ภายนอก หากว่านายมีเลือดออกภายในและเสียชีวิตในบ้าน นั่นถือว่าเคราะห์ร้ายแล้ว ตามไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพร้อมกัน” กู้เจี้ยนหมินกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา กู้หยุนหลานขยิบตาให้หลี่โม่ และทั้งสองตามกู้เจี้ยนหมินคู่สามีภรรยาไปยังโรงพยาบาล ภายในโรงพยาบาลวุ่นวายกับการตรวจต่าง ๆ และผลการตรวจก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใด ๆ กู้หยุนหลานนั้นตกใจกลัวเกินไปและจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นเวลาสองวัน ส่วนหลี่โม่นั้นได้รับบาดเจ็บจากเนื้อเยื่ออ่อนหลายจุดทั่วร่างกาย กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หยุนหลาน ครั้งนี้ลูกทำได้ยังไง ลูกทำให้ประธานโอวหยางขอขมาและกู้คืนคำสั่งซื้อทั้งหมด ลูกคือผู้กอบกู้ของตระกูลกู้เรา” กู้หยุนหลานฝืนยิ้มบาง ๆ และไม่ได้ตอบกลับกู้เจี้ยนหมิน เมื่อนึกถึงเรื่องของประธานโอวหยางก็นึกถึงท่าทีของผู้เฒ่ากู้และคนอื่น ๆ สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกท้อแท้ “ครั้งนี้ลูกช่วยกอบกู้ตระกูลกู้ ในที่สุดบ้านสองของพวกเราก็ถือว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว คอยดูซิว่าหลังจากนี้เมื่อบ้านใหญ่และบ้านสามเจอพวกเราแล้วจะละอายใจ ทำได้ดีมากหยุนหลาน” กู้เจี้ยนหมินเลิกค
หลี่โม่ซึ่งกำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้านกำลังดูข่าวต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ ทันใดนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นปรากฏสายโทรเข้า สายที่โทรเข้ามาปรากฏเป็นชื่อของเฉียวเจิ้งหลง หลี่โม่กดรับสายอย่างไม่ตั้งใจ และเสียงที่เคารพอ่อนน้อมก็ดังขึ้นมาจากเฉียวเจิ้งหลง “คุณหลี่ครับ ผมคือเฉียวเจิ้งหลง” "อืม" หลี่โม่ทำเสียงขึ้นจมูก เพื่อแสดงว่าเขารับรู้แล้ว เฉียวเจิ้งหลงไม่ได้คิดอะไรมาก กลับกันพูดอย่างมีความสุขมากขึ้นว่า "พอดีทางผมจัดงานประมูล ก็เลยอยากเชิญคุณมาด้วย ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างไหมครับ" งานประมูลสำหรับบุคคลทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงได้ แต่สำหรับคนระดับอย่างหลี่โม่แล้ว การเข้าร่วมงานประมูลเป็นกิจกรรมบันเทิงยามว่าง “การประมูลประเภทอะไร?” หลี่โม่ถามอย่างไม่ใส่ใจ ถ้าหากรายการประมูลไม่น่าสนใจ หลี่โม่จะไม่ไปแน่นอน เฉียวเจิ้งหลงเข้าใจความหมายของหลี่โม่เป็นอย่างดี และรีบกล่าวว่า “มีสมบัติและโบราณวัตถุทุกประเภทเลยครับ รวมทั้งเครื่องประดับชั้นยอด และยังมีจี้หยกมรกตเนื้อแก้วโบราณ ค่อนข้างดีมากเลยนะครับ แล้วก็ค่อนข้างหายากด้วย" สีเขียวมรกตเป็นสีระดับสูงสุดของหยก และยิ่งเป็นชนิดโ
“คุณผู้ชายเชิญทางนี้ค่ะ ตอนนี้เป็นช่วงทานอาหารว่างและเชื่อมสัมพันธ์ แขกหลายท่านที่มาสามารถสื่อสารกันได้ค่ะ” พนักงานต้อนรับหญิงเดินนำหลี่โม่เข้าไปในห้องโถง มีโต๊ะอาหารยาวอยู่ในห้องโถง และมีอาหารว่างหลากหลายจัดเรียงวางอยู่บนโต๊ะอาหาร นอกจากนั้นยังมีพนักงานเสิร์ฟยกไวน์แดง แชมเปญ วิสกี้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ ซึ่งกำลังยกไปมาในห้องโถงอาหาร ในขณะที่หลี่โม่กำลังมองไปรอบ ๆ สุภาพบุรุษจอมปลอมที่กำลังถือแก้วไวน์แดงและหมุนแก้วเบา ๆ นั้นกำลังสนทนากับผู้นำธุรกิจสถาบันทางการเงิน และหญิงสาวสวยที่ร่ำรวยไม่กี่คนอย่างฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เห็นเงาร่างของหลี่โม่ เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามาในสถานที่ด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดา คิ้วของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เลิกขึ้นสูง “นานน้อยเจี้ยนเฟิงเป็นอะไรไป เห็นคุณขมวดคิ้วขึ้นแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคุณเจอศัตรูเข้า?” เศรษฐีที่อยู่ตรงข้ามฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ้มพลางพูดติดตลก เมื่อเห็นท่าทางของฮั่วเจี้ยนเฟิงในตอนนี้ ต้องมีเรื่องให้ซุบซิบนินทาอย่างแน่นอน "นายน้อยฉิน นายน้อยจาง พอดีผมเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งน่ะ" ตอนที่พูดถึงเพื่อนเก่า ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็แสดงท่าทางกัดฟันกรอด ซึ่งขัดต่อความร
เมื่อได้ยินเสียงของเฉียวเจิ้งหลง ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ฉายรอยยิ้ม นายน้อยฉิน นายน้อยจางและคนอื่น ๆ ต่างก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา และใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่สดใส สำหรับพวกเขาแล้ว การที่สามารถปรากฏใบหน้าต่อเฉียวเจิ้งหลง ได้กล่าวทักทาย และพูดเพียงไม่กี่คำนั้นก็ถือว่าเป็นการมีเกียรติมากแล้ว ฮั่วเจี้ยนเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างผู้เหนือกว่าและหรี่ตามองหลี่โม่ เขาออกเสียงในลำคออย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเบา ๆ ว่า "หึ! นายรอตายได้เลย เฉียวเจิ้งหลงเกลียดคนที่แอบอ้างมากที่สุด ทุกคนได้ยินสิ่งที่นายพูดไปเมื่อกี้นี้" หลี่โม่ใช้สายตามมองที่สมเพชคนทึ่มอย่างฮั่วเจี้ยนเฟิง ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกัน ถึงได้กล้าพูดคำแบบนี้ออกมา เมื่อเห็นสายตาของหลี่โม่ ในใจของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็เต็มไปด้วยความโกรธ และรู้สึกว่าสายตาของหลี่โม่เป็นการยั่วยุ เฉียวเจิ้งหลงเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับข้างกายที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มลูกน้อง สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เฉียวเจิ้งหลง และผู้คนมากมายต่างรวมตัวกันที่ประตู พวกเขาอยากจะพูดคุยกับเฉียวเจิ้งหลงสองสามคำก็ยังดี หลังจากใช้สายตากวาดมองไปรอ
“พวกคุณสองคนก็ร่วมด้วยเหรอ?” เฉียวเจิ้งหลงถามนายน้อยจางและนายน้อยฉินอย่างฉุนเฉียว นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่าไม่สามารถยอมรับความผิดนี้ได้อย่างแน่นอน “พวกเราถูก… ฮั่วเจี้ยนเฟิงยุยงนะครับ เขาเป็นคนนำเรื่องพวกนี้ก่อนเลย ลึก ๆ ในใจพวกเราไม่ได้เต็มใจเลยนะครับ” “ใช่ครับ พวกเราต่างไม่เต็มใจ พวกเรารู้ดีว่าทุกคนเท่าเทียมกัน และไม่ควรตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเลยสักนิด” นายน้อยจางและนายน้อยฉินต่างพยายามที่จะโยนความผิด แต่เฉียวเจิ้งหลงก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นเฉียวเจิ้งหลงก็ยกมือขึ้นมาโบกตบทั้งสองคนด้วยหน้ามือแล้วต่อด้วยหลังมืออีกที “คิดว่าฉันหลอกง่ายมากหรือไง?” เฉียวเจิ้งหลงยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ ไม่ใช่ครับ พวกผมผิดไปแล้ว สำนึกผิดแล้วครับ” นายน้อยจางและนายน้อยฉินจะร้องไห้แล้ว เดิมทีพวกเขาต้องการติดตามฮั่วเจี้ยนเฟิงเพื่ออวดอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกุมหน้าตัวเอง และมองไปยังหลี่โม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจก็ไม่พอใจมากขึ้นทันที “ปร