หวังฟางเห็นเช่นนั้นก็พูดเสียงสูงขึ้นมา “ไม่มีความรู้ก็อย่าได้เสแสร้งเลย โดยเฉพาะหลี่โม่ นายฟังให้ดีนะ ฟังเจี้ยนเฟิงแนะนำนาฬิกาที่เขามอบให้เรือนนี้ จะได้เพิ่มพูนความรู้ให้มากหน่อย”หลี่โม่มองไปที่หวังฟางด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงหันกลับไปมองฮั๋วเจี้ยนเฟิงสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงและหลี่โม่ปะทะกัน ความรู้สึกเย่อหยิ่งประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิง'ฉันเป็นนักเรียนนอก เคยคลุกคลีอยู่ที่วอลล์สตรีท เห็นโลกมามากกว่านายเยอะ!''คนจนอย่างนายจะมาแข่งอะไรกับฉัน อ่านสถานการณ์ออกว่าต้องทำยังไง ก็รีบถอยออกไปแล้วเปิดทางซะ'สายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสดงออกอย่างเงียบ ๆ ถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจส่วนหลี่โม่ดูราวกับเครื่องรับสัญญาณวิทยุที่ใช้การไม่ได้ ไม่รับรู้ถึงสารที่ส่งผ่านมาทางสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงใช้สายตาที่ว่างเปล่า จ้องมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างเงียบ ๆฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกตกใจกับสายตาของหลี่โม่เล็กน้อย ในใจคิดว่า ตนนั้นเป็นกระเบื้องเคลือบชั้นดีหายาก จะนำไปรู่กับเศษหินอย่างหลี่โม่ไม่ได้ถ้าเจ้าตัวสกปรกอย่างหลี่โม่ จู่ ๆ เกิดเสียสติ กลายเป็นสุนัขบ้ากัดตนเองขึ้นมา
อย่างไรเสียหลี่โม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเห็นการกระทำของหลี่โม่ กู้หยุนหลานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขัดขึ้นมา เธอไม่อยากเห็นหลี่โม่ต้องเสียหน้าต่อผู้คนมากมายอีก จึงยิ้มเล็กน้อย และพูดกับทุกคนว่า “ของที่หลี่โม่เตรียมไว้ลืมอยู่ที่บ้าน รอกลับไปแล้วเขาจะเอามาให้คุณพ่อของฉันเอง”กู้ชิงหลินเดินมาข้าง ๆ หลี่โม่แล้ว จากนั้นจึงใช้มือขวาจับที่ข้อมือของหลี่โม่ และใช้แรงดึงขึ้นมาทันที เพื่อยกมือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของหลี่โม่ออกมามือที่กำลังถือกล่องไม้ของหลี่โม่ จึงถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน“ฮ่า ๆ นี่ก็คือของขวัญที่คนไร้ค่าอย่างนายเตรียมไว้สินะ รีบเปิดออกให้ฉันสิ เร็วเข้า ดูซิว่าคนจนอย่างนายเตรียมของดีอะไรไว้”กู้ชิงหลินหัวเราะเสียงดัง สีหน้าดูถูกเยาะเย้ย และรอที่จะชมเรื่องสนุก“ใช่แล้ว ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตา ไม่แน่ว่าพวกเราอาจไม่รู้จัก และต้องให้นายช่วยแนะนำก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น นายก็คงได้หน้ายกใหญ่”“กล่องไม้นี่ดูไปแล้วธรรมดาจริง พอมองไปแล้ว ลายไม้ที่ติดอยู่บนกล่องก็เป็นของเลียนแบบ แค่มองกล่องเปล่า ๆ ก็รู้ว่า เป็นของที่หาซื้อได้ตามท้องถนนทั่วไป”คนหลายคน เธอพูดคำ ฉันพูดคำ คำพูดที่พูดออกมาล้วนไม่น่าฟ
เสียงชายชราก้องกังวานอย่างมาก เพียงพูดขึ้นเสียงก็ดังไปทั่วทั้งห้องคนที่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก็ค่อย ๆ ยิ้มค้าง แล้วจึงหันมองชายชราที่พูดขึ้น สีหน้าท่าทางเริ่มดูแปลกออกไปกู้ซิ่งเหว่ยมองชายชรา และไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรมอบหยกขาวแกะสลักลายมังกรในมือของเขาให้ชายชรา“นี่คือหยกมังกร? อีกทั้งยังเป็นของในตำนานอีก? คุณปู่ คุณมองผิดไปหรือเปล่า”กู้ซิ่งเหว่ยไม่พอใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ ชายชราก็พูดขึ้นมา ดังนั้นจึงพูดอย่างไม่เกรงใจ“เหอะ ๆ นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? ตั้งแต่ฉันเกิดมาจนถึงตอนนี้ มองสิ่งของไม่เคยพลาดมาก่อน”ชายชราเอามือไขว้หลังแล้วยืดอกขึ้น แสดงออกถึงท่าทางที่ไม่ธรรมดา“เหล่าสวี่ ของสิ่งนี้เป็นหยกมังกรจริงหรือ? ”กู้เจี้ยนหมินเอ่ยอย่างประหลาดใจ“อะแฮ่ม ๆ เช่นนั้นต้องดูให้ละเอียดถึงจะรู้”ชายชราแสร้งพูดอย่างผู้ทรงภูมิมาหนึ่งประโยค“ซิ่งเหว่ย ส่งของมานี่ ท่านนี้คือสวี่ฝานเม่า หัวหน้าคณะกรรมการประเมินพิพิธภัณฑ์เมืองฮั่น และก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ของอามานานปี” กู้เจี้ยนหมินแนะนำขึ้นหลายครั้งหลายครา การส่งของขวัญทางการค้า ล้วนแล้วแต่ต้องส่งของเก่าแก่เพื่อยืนยันว่า สิ่งของเก่าแก
หวังฟางหน้านิ่วคิ้วขมวด หันมองไปที่สวี่ฝานเม่า รู้สึกว่าสวี่ฝานเม่ากำลังทำลายบรรยากาศอันดีงามนี้“เจี้ยนหมิน สวี่ฝานเม่าคนนี้เชื่อถือได้ไหม? ได้ยินว่าคนที่ทำงานประเมิน หลายคนก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถนัก” หวังฟางกระซิบถามกู้เจี้ยนหมินจ้องหวังฟางตาเขม็ง และวางมาดของหัวหน้าครอบครัวขึ้นมา“ผู้หญิงนี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย คุณสวี่นั่นเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการประเมินวัตถุ เคยเข้าร่วมการจำแนกระดับขั้นของระบบโบราณวัตถุ รับผิดชอบการประเมินสมบัติทางวัฒนธรรมระดับชาติ ผู้คนในแวดวงสะสมล้วนเชื่อถือในผลการชี้ขาดของคุณสวี่”หวังฟางฟังแล้วก็แอบตกใจ คิดไม่ถึงว่าสวี่ฝานเม่าที่ดูขัดหูขัดตาคนนี้ จะมีความสามารถระดับนี้กู้หยุนหลานเองก็ตกใจเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ในใจของกู้หยุนหลานรู้สึกปั่นป่วน คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของหลี่โม่ที่บอกว่า จะพิสูจน์ตัวเอง หรือว่านี่คือการพิสูจน์ของเขา?เธอหันไปมองหลี่โม่เล็กน้อย หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานมองมาที่ตนเอง ก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยทันที สายตาสื่อความหมายว่าให้กู้หยุนหลานวางใจกู้หยุนหลานเหลือบมอง และหันหน้ากลับอย่างรวดเร็
ตอนที่กู้ซิ่งเหว่ยถามว่า หยกมังกรมูลค่าเท่าไหร่นั้น ในใจก็รู้สึกกังวลอย่างมาก เมื่อครู่เขาเย้ยหยันหลินโม่ไว้ไม่น้อยเหลือบตามองหลี่โม่ที่กำลังมอบหยกมังกรของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ออกไป กู้ซิ่งเหว่ยก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยสีหน้าของกู้ชิงหลินและคนอื่น ๆ ต่างก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทุกคนต่างขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่ายิ่งหยกมังกรมีค่ามากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พูดว่า หยกมังกรมีค่าแค่สองร้อยบาทเมื่อครู่ ตอนนี้ยิ่งรู้สึกอับอายจนหน้าแดงก่ำ หากบนพื้นมีรอยแยกแล้วล่ะก็ คงจะพาตนเองมุดลงไปซ่อนตัวด้านในอย่างแน่นอนคิ้วคู่งามของฮั๋วเจี้ยนเฟิงผูกเป็นปมขึ้นมา และรู้สึกกระวนกระวายใจเดิมคิดว่าจองห้องVIPราคาสิบล้านกว่าได้ และมอบนาฬิกาเหรียญทองที่มีมูลค่ากว่า 3.5 ล้านได้ จะสามารถกลายเป็นพระเอกของงานในวันนี้ได้ แต่ดูไปแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป!ก่อนหน้านี้ใครพูดว่าหลี่โม่เป็นคนไร้ค่า เป็นคนจนกัน?คนจนไร้ค่าสามารถมอบสิ่งของที่ราชวงศ์ใช้ได้ด้วยหรือ?ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเจ็บใจ หากจัดการได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าเงินสองล้านในวันนี้ อาจเสียไปโดยเปล่าประโยชน์!ฮั๋วเจี
กู้ซิ่งเหว่ยก้มหน้าก้มตา แล้วถอยร่นไปด้านหลัง เหมือนกับเด็กที่ทำความผิดตอนนี้ ในหัวของกู้ซิ่งเหว่ยคิดถึงแต่จำนวนเงินมูลค่า 400 ล้าน รู้สึกว่าความโชคดีเช่นนี้ ควรเป็นของเขาถึงจะถูก ทำไมจะต้องเป็นคนโง่เง่าอย่างหลี่โม่นั่น ที่เก็บของล้ำค่าไปได้ คนที่ไปเดินเตร็ดเตร่ที่ตลาดที่ขายของโบราณบ่อย ๆ คือตนเองต่างหาก!แต่ว่ากู้ซิ่งเหว่ยอยู่ในตลาดขายของโบราณ กลับไม่เคยเก็บอะไรได้เลย มิหนำซ้ำยังตกหลุมพรางโดนหลอกให้ซื้อของปลอมอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเปรียบเทียบ กู้ซิ่งเหว่ยยิ่งเกิดความอับอายจนพาลรู้สึกโกรธขึ้นมา คิดว่าหลี่โม่แย่งโชคดีของตนไป และแค้นใจที่ไม่อาจฆ่าหลี่โม่ให้ตายที่นี่ได้!กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงทั้งสองครอบครัว ตอนนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น มีสีหน้าที่ไม่น่าดูนักเสียเวลาเสียตั้งนาน สุดท้ายเจ้าหลี่โม่นี่ กลับเก็บของล้ำค่าได้จริง ๆ !มิหน้ำซ้ำยังเป็นของเก่าแก่มูลค่าหลายร้อยล้านอีกด้วย!ถึงแม้ว่าในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะกระวนกระวายอย่างมาก แต่ก็ยังต้องแสร้งทำใบหน้าเรียบเฉย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเจ้าคนนายคน จึงยังพอมีความสุขุมอยู่บ้าง“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ หลี่… หลี่อะไรนะ เรื่อง
น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังขึ้นมา ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันไปมองฮั๋วเจี้ยนเฟิงกำลังสั่งอาหารอย่างสบายใจ รู้สึกว่าเพิ่งจะกู้หน้ากลับมาได้เล็กน้อย จู่ ๆ ก็ถูกเสียงที่ฟังดูไม่เป็นมิตร ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศ“นี่คือห้องส่วนตัวที่ฉันจองไว้ นายมีสิทธิ์อะไรจะมาเอาไป พวกเราไม่เปลี่ยน”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่กำลังมองรายการอาหาร ไม่แม้แต่จะเงยขึ้นมา และพูดตอบน้ำเสียงแข็งกร้าวถึงแม้ว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังไม่ได้อยู่ในระดับที่เพียงพอจะหยิ่งผยองในเมืองฮั่นได้ แต่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงคิดว่า หากอาศัยเส้นสายของตนเอง ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครอย่างไรก็ตาม นอกจากคนใหญ่คนโตที่สูงส่งเหล่านั้นแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จทั่ว ๆ ไป ในสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ล้วนเป็นเพียงแค่ลิ่วล้อเท่านั้นด้านนอกประตู ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดสูทรองเท้าหนัง ผมถูกหวีจนเป็นระเบียบอย่างพิถีพิถัน สวมแว่นกรอบทอง มีใบหน้าเอิบอิ่ม รอยยิ้มดูราวกับพระสังกัจจายน์ค่อย ๆ หุบลงใบหน้าอวบอิ่มของชายวัยกลางคนเงยขึ้นสูง มองฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างเหยียดหยาม และเอ่ยขึ้น “ผลที่จะตามมาของการไม่หลีกทางให้ นายไม่มีทางรับไหวแน่นอน”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคงไม่เงยหน
กู้ซิ่งเหว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเบา ๆ “ดูสิ นี่คือความแตกต่างสินะ คนบางคนเก็บได้ของล้ำค่ามาจะมีประโยชน์อะไร ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก็ยังคงขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย”“ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานทำให้มองเห็นใจคน คนบางคนนี่นะ พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ผู้ชายเช่นนั้นพึ่งพาไม่ได้เลยสักนิด เลือกผู้ชายมาเป็นสามีจะต้องหัดมองให้ทะลุปรุโปร่ง” กู้ชิงหลินพูดด้วยท่าทีคลุมเครือเมื่อมีคำพูดของฮั๋วเจี้ยนเฟิงเป็นประกัน คนเหล่านี้ก็เริ่มลำพองขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงจะสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหวังฟางมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างมีความสุข รู้สึกว่ายังคงเป็นฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่สามารถทำให้ตนเองมีหน้ามีตาได้ เมื่อเทียบกับหลี่โม่ที่มัวแต่นั่งเงียบไม่พูดจาตรงหน้าแล้ว ถือว่าดีกว่าร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรเสียจะต้องเปลี่ยนลูกเขยให้ได้!ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกลำพองใจอย่างมาก ยิ่งคนตระกูลกู้ดูถูกหลี่โม่ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็ยิ่งรู้สึกสบายใจลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็เดินไปที่ประตูห้อง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณลุงหวง ผ